วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ของขวัญวันเกิด

เมื่อครบรอบวันเกิดเวียนมาถึงคนรักจึงเตรียมของขวัญสเน่หาถ้าเธอชอบคนให้คงอิ่มอุราและหวังว่าคงถูกใจไปอีกนาน
เตรียมค้นหารูปภาพจัดวางหน้าเลือกคัดมาเพียงรูปสวยรวยความหลังจัดตำแหน่งบรรจงวางจนครบคลังได้แต่หวังรูปพาย้อนก่อนวันวาน
วางรูปครบจบกระบวนเริ่มงานใหม่หันใส่ใจกรอบรูปสวยและพื้นหลังอยากให้ช่วยขับรูปสวยเด่นอลังด้วยใจหวังให้รูปนั้นดูงดงาม
เสร็จเรื่องภาพมาเรื่องเขียนแสนเวียนหัวหานิยามในตัวเจ้าของขวัญแต่สุดท้ายก็ได้ชื่อของตัวมันนั่นคือเครื่องย้อนวันและเวลา
จากนั้นเขียนคำนิยามไว้ด้านหน้าเปิดเข้ามาจะได้เห็นกลุ่มคำสวยบรรจงเขียน บรรจงแต่ง บรรจงอวยหวังจะช่วย เพิ่มอารมณ์ชมรูปเพลิน
อีกขั้นตอนที่สำคัญอย่างที่สุดแต่งกลองชุดไล่เรื่องราวคราวหนหลังตั้งแต่เริ่มหาภาพจนหมดคลังจนกระทั่งเสร็จสิ้นทั้งชิ้นงาน
ขั้นสุดท้ายจัดส่งอย่างเซอร์ไพรส์แค่อยากให้ตกตะลึงกับของขวัญตั้งใจทำตั้งใจสร้างทุกสิ่งอันหวังเธอนั้นเอ่ยว่าชอบคงขอบใจ
สุดท้ายนี้มีอีกสิ่งที่มอบให้แนบเอาไว้กับทุกหน้าของหนังสือแอบเอาไว้กับทุกรูปที่ในมือแนบไว้คือหัวใจคนให้เอย

คนกับเต่า เรากับปลา ฟ้ากับน้ำ

คนกับเต่า เรากับปลา ฟ้ากับน้ำ

ท้องฟ้าที่นี่กว้างใหญ่กว่าท้องฟ้าที่ครอบคลุมพื้นถนนด้านนอกอยู่มากทีเดียว ดูราวกับว่ามันเป็นท้องฟ้าคนละผืนกัน แต่ในความเป็นจริง มันยังคงเป็นท้องฟ้าผืนเดียวกัน ผิดกันแค่สิ่งที่เท้าเราสัมผัสอยู่ตรงนี้มันเป็นหญ้าที่นิ่มนวลไม่ใช่ปูนอันแข็งกระด้าง และที่สำคัญไปกว่านั้น สิ่งที่ทอดตัวขวางหน้าเราอยู่ยามนี้มันเป็นสระน้ำกว้างใหญ่ หาใช่ท้องถนนที่มีรถราวิ่งกันขวักไขว่ไม่
ณ ที่แห่งนี่ ที่ซึ่งมีเพียงสนามหญ้าขนาดย่อมและสระน้ำที่สุดแสนจะธรรมดา แต่ที่แห่งเดียวกันนี้ล่ะ ที่สร้างความผูกพันให้กับชีวิตที่อาศัยอยู่บนบกกับชีวิตที่อาศัยอยู่ในท้องน้ำเหล่านั้น ไม่ได้เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เล็ก ไม่ได้รู้จักกันมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย แต่ปัจจุบันกลับผูกพันกันชนิดไม่สามารถแยกจากกันได้ เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้นนะ
ในฝั่งของชีวิตบนบก เวลาในแต่ละวันเดินทางไปอย่างเร่งรีบ ต้องลืมตาตื่นก่อนพระอาทิตย์จะตื่น ต้องออกจากบ้านแทบจะพร้อมแสงอาทิตย์ออกเดินทาง ต้องทำงานแทบจะเท่าเวลาของแสงอาทิตย์ ตั้งหน้าตั้งตาหา
เลี้ยงชีวิตและครอบครัวกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ต่างกับฝั่งชีวิตในน้ำ ไม่รู้ว่าต้องตื่นเมื่อไร ไม่รู้ว่าต้องกินเวลาไหน ง่วงก็นอน หิวก็กิน ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ และถึงแม้ชีวิตทั้งสองฝั่งจะต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่ใช่สิ ราวดินกับน้ำต่างหาก แต่สุดท้ายแล้วชีวิตทั้งสองฝั่งก็มาร่วมแบ่งปันกันได้ที่นี่ ที่ที่ดินต่อกับหญ้าและฟ้าต่อกับน้ำ
ในฝั่งของน้ำ ที่นี่มีเพียบพร้อมทั้งเจ้าปลาตะเพียนผู้เป็นมังสวิรัติ ไม่ผูกเสน่หากับเนื้อสัตว์ใดๆ ต่างกับเจ้าปลาดุกผู้พิสมัยเนื้อสัตว์มากกว่าพืชผักยิ่งนัก อีกทั้งยังมีเจ้าปลาหมอสีตัวน้อยผู้ไม่เคยเอาชนะใครได้ในการ
แย่งอาหาร เพราะร่างกายอันบอบบางร่างน้อยที่ได้รับมานั้นทำให้การเอาชนะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น ยังมีสิ่งมีชีวิตในน้ำที่น่าสนใจมากกว่านี้อีกมากแต่เกรงว่าหน้ากระดาษอันน้อยนิดนี้คงไม่พอที่จะบรรยาย จึงขอพาสิ่งมีชีวิตที่หน้าสนใจกว่ามาแนะนำ
หนึ่งในสองคือเจ้าปลาคาร์พซึ่งเป็นปลาที่ค่อนข้างจะไฮโซโก้เก๋ ซึ่งเราไม่ค่อยจะได้พบเห็นกันนักในสถานที่อย่างนี้ สถานที่ที่อยู่กันตามมีตามเกิด ไม่ใช่บ่อปลาของมหาเศรษฐีแต่อย่างใด และด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างกับปลาอื่นๆ ทำให้เจ้าคาร์พต้องต่อสู้กับการเหยียดเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ไปจนกระทั่งเหยียดผิว ซึ่งเป็นปัญหาในการหาอาหารเลี้ยงชีพของมันมากทีเดียว แต่สุดท้ายปัญหานี้ก็ได้ถูกแก้ไขด้วยความใส่ใจจากสิ่งมีชีวิตบนบกซึ่งไม่ปล่อยให้เจ้าคาร์พต้องต่อสู้คนเดียว การต่อสู้ร่วมกันอาจจะไม่ได้ทำให้เจ้าคาร์พอิ่มกายได้มาก แต่ถ้ามันสัมผัสถึงความจริงใจของสิ่งมีชีวิตบนบกที่ร่วมต่อสู้กับมันได้ มันคงจะอิ่มใจมากมายเช่นกัน
ชีวิตสุดท้ายที่มีบทบาทสำคัญในสระน้ำแห่งนี้มันคือสิ่งมีชีวิตที่สามารถหดหัวได้โดยที่ไม่มีใครว่ามัน ต่างกับเราๆที่คำว่าหดหัว ช่างดูน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก และไม่ว่ามันจะหดหัวด้วยเหตุใด หรือว่าจะหัวหดเพราะเหตุไหน มันก็เป็นเพียงแค่เต่าตัวน้อยที่หากินอยู่ที่นี่อย่างไม่ได้เบียดเบียนใคร เต่าที่แต่ดั้งเดิมเคยกินแต่ผัก จวบจนมารู้จักกับขนมปัง มารู้จักกับไส้กรอก จนเมื่อกลับไปกินผักอีกครั้ง กลับมีอาการไม่คุ้นลิ้นเกิดขึ้น และนั่นได้สร้างภาระให้กับชีวิตบนบกที่ไปพานพบมันยิ่งนัก แต่ก็เป็นภาระที่สุขใจอย่างยิ่งที่ได้ทำ เป็นภาระที่พร้อมจะแบกรับไว้อยู่ตลอดเวลา จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายจะจากไป
และสำหรับใครก็ตาม ที่อยากจะลองสร้างความผูกพัน หรืออยากจะเป็นตัวแทนชีวิตบนบกเพื่อสัมผัสกับชีวิตในน้ำเหล่านั้น รบกวนให้ปลีกตัวออกมาจากชีวิตที่เร่งรีบ ปลีกตัวออกมาจากงานประจำที่เร่งรัด และเมื่อคุณว่าง ชีวิตในน้ำเหล่านี้ก็ว่าง และพร้อมจะสร้างความผูกพันกับคุณเสมอ ณ ที่นี่ ที่ซึ่งคนผูกพันกับเต่า ที่ซึ่งพวกเราผูกพันกับปลา และที่ซึ่งขอบฟ้าติดกับพื้นน้ำ หวังว่าคงได้พบกัน

กรมชลประทาน
เลขที่ 200 ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

รวมเล่ม 8.ผู้หญิงส้นสูง

ความรักของผมเริ่มต้นขึ้นที่นี่ แม้ที่นี่มันจะเป็นแค่เพียง food center ของห้างสรรพสินค้าย่านชานเมือง แต่ลักษณะการแต่งองค์ทรงเครื่องของเธอคนนี้ มันกลับดูไฮโซมีระดับมากกว่านั้นมาก และด้วยกางเกงขาสั้นโชว์เรียวขาขาวสวยคู่นั้น มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มผู้พิสมัยความขาวอย่างผมจะเบี่ยงเบนสายตาออกไปจากขาสวยคู่นั้นได้ ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสงสัยอะไรเกี่ยวกับรองเท้าส้นสูงแม้แต่น้อย แต่วันนี้ผมกลับสงสัยว่าใครกันนะที่คิดค้นสิ่งประดิษฐ์สุดวิเศษชิ้นนี้ขึ้นมา เพราะลำพังแค่เรียวขาคู่นั้นมันก็สะกดสายตาผมจนแทบจะไม่กล้ากระพริบตา แต่พอมันถูกตกแต่งด้วยรองเท้าส้นสูงของเจ้าหล่อนเข้ามาอีก อย่าว่าแต่สะกดสายตาผมเลย แม้แต่หัวใจผมก็พร้อมที่จะหยุดเต้น ขอเพียงเธอชายหางตาสะกดมาเท่านั้น

เสื้อยืด กางเกงยีน รองเท้าแตะ ผมก้มลงมองตัวเองพร้อมสบถอยู่ในใจ ราคาเครื่องแต่งกายผมทั้งตัวยังไม่น่าจะซื้อรองเท้าส้นสูงเธอข้างเดียวได้ ถึงแม้มันจะเป็นเพียงรองเท้าข้างที่เธอไม่ถนัดก็เถอะ แต่เอาวะด้านได้อายอด ผมอุทานในใจพร้อมใช้สมองซีก Playboy หาวิธีเปิดบทสนทนากับเธอคนนั้น

“มาคนเดียวหรือคะ” เสียงใคร ผมคิดในใจ พลางค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง และเพียงเสี้ยวเดียวของรองเท้าส้นสูงคู่นั้น มันก็บอกผมได้ทันทีว่าผมกำลังโดนรุกจากคนที่ผมคิดจะให้เธอตั้งรับซะแล้ว “ครับ ผมมาคนเดียว ว่าแต่คุณล่ะมาคนเดียวเหมือนกันหรือครับ” “ก็แล้วคุณอยากให้ชั้นมากับใครล่ะ อย่าคิดนะว่าชั้นไม่เห็นว่าคุณแอบมองขาชั้นสลับกับกลืนน้ำลายมานานสองนานแล้ว” โอย แย่แล้วสิครับ เกิดมาไม่เคยโดนจู่โจมขนาดนี้ แต่เอาก็เอาวะ ก็เรานั่งมองเค้าจริงๆนี่หว่า “ผมว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกครับที่มองคุณ ไม่ว่าใครมานั่งอยู่ตรงที่ผมนั่ง ร้อยทั้งร้อยก็ต้องมองคุณ ก็เล่นขาวซะขนาดนั้น” “บ้า คุณนี่ แล้วชื่ออะไรคะนี่ แล้วจะให้ชั้นยืนคุยอย่างนี้อีกนานหรือเปล่า” “เอ่อ เชิญนั่งครับ ผมเอกครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

หลังจากนั้น ก็เป็นบทสนทนาของสองหนุ่มสาวโสด ที่มีชั้นเชิงและเข้าใจจังหวะของการสร้างความพึงพอใจแก่เพศตรงข้ามได้เป็นอย่างดี และเมื่อจังหวะมันทันกัน ความสัมพันธ์ก็บังเกิด ผมเองไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ทันผมที่สุดตั้งแต่เคยพานพบผู้หญิงมา ส่วนเธอก็ยอมรับว่าผมมีเสน่ห์และไม่น่ารำคาญที่สุด เท่าที่เธอเคยสัมผัสผู้ชายมาในจำนวนที่ไม่น้อยกว่าผมสัมผัสผู้หญิง แต่เธอเองสารภาพกับผมว่า ผมเป็นเพียงคนที่สองเท่านั้นที่เธอให้ความใกล้ชิดมากขนาดนี้ มากขนาดที่ผมคิดกับเธอตอนเห็นเรียวขาเธอครั้งแรกนั่นล่ะ

วันเวลาผ่านไปเพียงแค่ 3 วันหลังจากวันที่ผมเห็นขาเธอ มาถึงวันนี้ ผมได้เห็นมันอีกครั้ง เพียงแต่มันใกล้กว่าเดิม ใกล้กว่าเดิมมาก เพราะตอนนี้มันพาดพันอยู่บนคอผมอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง มาถึงตอนนี้ผมคงจะไม่อาจบรรยายอะไรได้มาก เพราะว่าปากและลิ้นผมกำลังทำหน้าที่ปรนเปรอความสุขให้เธออยู่ และถึงแม้ว่าผมจะต้องการหยุดมัน ผมก็คงทำไม่ได้ ตราบใดที่ท่อนขาเรียวงามของเธอยังคงเกี่ยวกระหวัดรัดต้นคอผมอยู่อย่างนี้ ผ่านไปไม่กี่นาทีเธอก็แสดงความต้องการออกมาอีกครั้งว่าเพียงแค่ลิ้นคงไม่เพียงพอกับอารมณ์ปรารถนาของเธอในตอนนี้ ผมตอบสนองเธอทันทีราวกับกลัวว่าจะไม่มีโอกาสนี้อีก ผมมอบความเป็นชายอันแข็งแกร่งและบึกบึนให้กับเธอ ในขณะเดียวกันเธอแลกมันคืนให้ผมด้วยความอ่อนนุ่ม โอบอุ้มและชุ่มชื้น พลันสิ้นเสียงครางของเราสองคนไปสักพัก ผมและเธอก็กอดก่ายกันเยี่ยงคู่รักทั่วไป ต่างกันเพียงแค่ว่าเรารู้จักกันเพียง 3 วัน และทุกๆความคืบหน้าของความสัมพันธ์ เธอเป็นคนเริ่มต้นส่วนผมเพียงแค่ตอบสนองอย่างสุดสนานเท่านั้นก็พอ

วันเวลาผ่านไปอีก 3 วัน และ 3 วันที่ผ่านมานี้ ผมไม่ได้เจอเธอเลย เธอหายเงียบไปราวกับว่าเธอลืมไปแล้วว่าโลกนี้ยังมีผมอยู่ หรือว่าโลกของเธอมันไม่เคยมีผมอยู่มาตั้งแต่แรกแล้วนะ เบอร์มือถือของเธอคือข้อมูลอย่างเดียวที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเธอ และ 3 วันมานี้มันไม่เคยจะติดต่อได้เลยสักครั้ง นี่ผมกำลังจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรือนี่

3 วันแรกที่รู้จักกันเธอมอบรสรักให้ผมอย่างชนิดที่ผมไม่เคยได้จากที่ไหน ทั้งอบอุ่น ดุดัน รุกเร้าและอ่อนโยนไปในคราวเดียวกัน การสำลักความสุขเป็นอย่างไรผมเพิ่งเคยรู้ และอีกอย่างที่ผมอาจจะได้รู้คือ 3 วันหลังจากนั้น ผมต้องสำลักความทุกข์ ตั้งแต่ผมตื่นขึ้นมาวันนี้ผมเฝ้าแต่คิดว่าอะไรในตัวเธอกันนะที่ทำให้ผมคิดถึงจะเป็นจะตายขนาดนี้ แววตา รอยยิ้ม คำพูด เรือนร่าง หรือท่วงทำนองรักที่เธอมอบให้กันนะ ใครเล่าจะตอบมันได้นอกจากตัวผมเอง

วันเวลาผ่านไป 3 ปีแล้วนะ 3 ปีที่ผมไม่ได้เจอกับเธอ 3 ปีที่ผมทราบคำตอบแล้วว่าอะไรที่ทำให้ผมคิดถึงเธอเสมอมาและนี่เป็น 3 ปีที่ผมเฝ้าตามหาสิ่งที่เธอมอบให้ แต่เนื่องจากผมไม่เคยตามเธอเจอและเธอเองก็ไม่เคยกลับมา ผมจึงตามหามันในตัวผู้หญิงคนอื่นแทน คุณคิดว่าผมตามหาอะไรกันนะ หรือว่าคุณเดาถูกกันอยู่แล้ว ใช่แล้วล่ะที่ผมใช้เวลา 3 ปีลองคบกับผู้หญิงราว 20 คน ก็เพียงเพื่อหาคนที่มีท่วงทำนองและจังหวะรักที่เหมือนเธอ ผมได้รับความรู้สึกทั้ง อบอุ่น อ่อนโยน ดุดัน แต่มันไม่เคยมีใครสักคนที่ส่งผ่านความรู้สึกให้ผมได้ครบทุกอย่างและผมกำลังตามหาต่อไป จะเป็นเธอคนนั้นที่กระโปรงสั้น หรือจะกระโปรงยาว ใส่บิกินี่หรือเปลือยเปล่า ผมไม่สนใจ ขอแค่เพียงเธอคนนั้นกับส้นสูงคู่นั้น กลับมาเติมเต็มรสรักให้ผมอีกครั้ง ผมพร้อมจะยอมแลกทุกอย่าง ถึงแม้มันเป็นรสรักครั้งสุดท้ายในชีวิตผมก็ยอม ผมรักคุณนะ......ผู้หญิงส้นสูงของผม

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รวมเล่ม 7.หัวหิน นอร์เวย์ sebastian


วินาทีนี้ผมกำลังอยู่บนทางด่วน ผมตั้งหน้าตั้งตาถ่ายน้ำหนักจากปลายเท้าลงสู่คันเร่งอย่างเต็มกำลังจนกระทั่งเข็มไมล์แสดงความเร็วไม่ต่ำกว่า 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชั่วขณะหนึ่งที่สมองและจิตใจของผมว่างเปล่า ผมดึงตัวเองย้อนกลับเข้าไปในมิติเวลาเพื่อระลึกให้ชัดเจนอีกครั้งว่าผมกำลังมุ่งหน้าไปที่แห่งนี้ทำไม

“พี่จะไปทำอะไรตั้งสี่วัน” ไอ้ต้นรุ่นน้องที่แผนกเอ่ยถามอย่างสุดฉงนเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ผมจะใช้ในการเดินทางคราวนี้ “กูก็ไปเที่ยวสิวะถามได้” ผมตอบไปตามความจริงโดยมิได้ตรึกตรองอะไรมากมายเพราะสำหรับผม 4 วันยังออกจะน้อยเกินไปไม่เพียงพอสำหรับการพักผ่อนหย่อน “ใจ” เลยสักนิด เพราะการไปครั้งนี้ของผมนั้นเป็นการค่อยๆประคองหัวใจดวงนี้ของผม นำมันไปหย่อนลงในสถานที่ที่ปลอดมลพิษทางจิตใจและเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ดีไม่ใช่เพียงแค่สักแต่ว่าหย่อน “ใจ” ลงไปที่ใดก็ได้โดยไม่ได้ละเอียดลออต่อหัวใจของตัวเองแม้สักนิด “หัวหินนี่นะ เค้าเที่ยวกันสองวันก็หมดแล้ว” เสียงของไอ้ต้นสะกิดให้วิญญาณผมสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้ง เพียงชั่วครู่ผมกลั่นกรองคำตอบที่รวมความต้องการของสมองและหัวใจเข้าด้วยกันเพื่อคลายความสงสัยของน้องอีกครั้ง “นั่นมันคนอื่นเที่ยวว่ะ สำหรับพี่ พี่อยู่ได้เป็นเดือน”

ป้ายที่เห็นอยู่ข้างหน้าพยายามบอกทางผมอย่างเคร่งครัดราวกับมันรู้ว่าผมเพิ่งเคยขับรถมาทางนี้เป็นครั้งแรก แถมมันคงรู้อีกด้วยว่าผมยังมีการเตรียมตัวดูแผนที่อย่างน้อยนิดเหตุผลที่ทำให้ผมไม่เตรียมตัวนั่นเพราะผมเคยได้ยินมาว่าไม่เคยมีใครขับรถจากกรุงเทพไปหัวหินแล้วหลงทางเลยแม้สักคน หรือว่าผมจะได้รับเกียรตินี้เป็นคนแรกกันนะ ผมตามป้ายดาวคะนองตรงไปจนกระทั่งพบกับป้ายบอกทางสมุทรสาครขวางหน้าอยู่อย่างกลัวว่ามนุษย์ผู้เดินทางมาอย่าง “น้อยการเตรียมตัว” จะมองไม่เห็น และด้วยความเร็วคงที่ในการเคลื่อนตัวของเจ้าพาหนะ 4 ล้อคู่ใจ ผมใช้เวลาเพียงชั่วโมงไม่ถึงครึ่งพาตัวเองเคลื่อนที่เข้าสู่จุดเล็กๆในความทรงจำจุดหนึ่งที่ตัวผมเองไม่เคยลืมเลือน ย้อนวันคืนกลับไปในวัยเด็ก ผมโตมากับเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง ที่พ่อเปิดขับกล่อมมาตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย และคุณลุงชรินทร์ นันทนาคร ก็เป็นหนึ่งในเจ้าของบทเพลงทั้งหลายที่พ่อได้เชิญมาร้องขับกล่อมผมอยู่ในเครื่องเล่นเทปคาสเซตเป็นประจำ ซึ่งปัจจุบันเครื่องเล่นเทปคาสเซตก็ได้ตายตามยุคสมัยหลงเหลือไว้เพียงภาพความคลาสสิกที่คนรุ่นกลางเก่า กลางใหม่อย่างผมยังคงคร่ำครวญถึง “ท่าฉลอมกับมหาชัย จะคิดทำไมว่าไกลเชื่อมความรักไว้ดีกว่า” เสียงเพลงของลุงชรินทร์ซึ่งร้องผ่านเทปคาสเซตดังขึ้นในหัวผมทันทีราวกับตั้งเวลาเปิดอัตโนมัติไว้ เนื้อเพลงท่อนนี้นั้นกล่าวหยอกล้อกับความกว้างของแม่น้ำท่าจีนที่คั่นกลางระหว่างสองอำเภอนี้ไว้รวมทั้งยังคั่นกลางความรักระหว่างสองหนุ่มสาวที่เติบโตกันคนละฝั่งแม่น้ำ แต่การคั่นกลางของแม่น้ำท่าจีนนั้น ปัจจุบันนี้ไม่ได้มีความหมายใดหลงเหลืออีกแล้วเพราะความสะดวกสบายที่มนุษย์ต่างไขว่คว้าหานั้นมันได้สร้างให้เกิดสะพานที่สามารถพาความรักบรรจุลงในรถยนต์คันงามควบตะบึงข้ามแม่น้ำท่าจีนได้อย่างสบายโดยไม่ได้ยี่หระในความลำบากที่คนรุ่นคุณลุงชรินทร์ต้องเผชิญแม้เพียงสักนิดเดียว

สติของผมจดจ่ออยู่กับความเร็วที่ผมสร้างขึ้นด้วยปลายเท้าอีกครั้ง ผมใช้เวลาอีกไม่นานเคลื่อนผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงครามจวบจนกระทั่งเคลื่อนที่เข้าสู่เพชรบุรี และทันใดนั้นผมก็พบกับป้ายหัวหินแสยะยิ้มอยู่ตรงหน้า ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือไม่แต่ผมว่ามันยักคิ้วให้ผมราวกับมันจะรู้ว่าในบรรดารถทุกคันที่มุ่งหน้ามาสู่หัวหินนั้น หัวใจภายใต้รถคันนี้คือหัวใจที่ร้องเรียกหาหัวหินมาอย่างยาวนานและยังคงเปล่งเสียงดังที่สุดอย่างไม่อายใคร

นี่ไม่ใช่การเดินทางมาหัวหินครั้งแรกของผม ก่อนหน้านี้ราว 2 ปีผมเคยเดินทางเคลื่อนที่ตามรางมายังสถานีหัวหินแล้วครั้งหนึ่ง ความร้อนและความเมื่อยล้าที่ได้รับจากการเดินทางคราวนั้นทำให้กล้ามเนื้อและผิวหนังทุกส่วนของร่างกายผมไม่เคยลืมมัน อบอ้าวที่กายแต่เย็นชื้นที่ใจ เมื่อยล้ากล้ามเนื้อแต่สุขเหลือเกินใคร นั่นคือนิยามสั้นๆที่ผมคิดว่าร่างกายของผมอยากจะเอ่ยถึงการเดินทางในคราวนั้น และวันนี้ผมพาตัวเองมาถึงหัวหินอีกครั้ง หัวหินที่ใครบางคนกล่าวว่าแค่ 2 วันก็สามารถรู้จักหัวหินได้อย่างสนิทสนมชนิดล้อชื่อบิดากันได้ แต่สำหรับผมหัวหินไม่ต่างจากสาวใหญ่ซึ่งผ่านชีวิตมาอย่างยาวนาน ผ่านทุกประสบการณ์ทั้งดีและร้าย แต่ถึงอย่างไรในตอนนี้สาวใหญ่คนนี้ยังคงความงามสมวัยที่สามารถดึงดูดใจหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่จากเมืองหลวงอันห่างไกลให้มุ่งหน้าเดินทางมาเชยชมความงามของหล่อน ความงามที่มีเสน่ห์ชนิดที่สาวแรกรุ่นไม่สามารถจะเลียนแบบได้ และวันนี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ ผมคือชายหนุ่มอีกคนจากเมืองหลวงที่หลงเสน่ห์อันเย้ายวนของเธอ จนกระทั่งมายืนอยู่ตรงนี้ วันเวลา 4 วันที่ผมกำแน่นอยู่ในมือเพียงเพื่อที่จะมาทำความรู้จักกับเธอนั้น ใครบางคนอาจกล่าวว่ามากเกินพอ แต่สำหรับผม สาวใหญ่พราวเสน่ห์เช่นนี้ เพียงแค่โอบกอดในเวลาไม่กี่วันไม่มีทางทำให้รู้จักเธอดีพอ แต่ผมก็หวังเพียงว่าผมคงมี 4 วันที่ดีที่สุดภายใต้อ้อมกอดของสาวใหญ่ที่ผู้ชายทั้งไทยและเทศฝันถึงนางนี้

นี่คืออาหารมื้อแรกของผมที่หัวหิน ก๋วยเตี๋ยวเรือรสจัดซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 2 ของสถานที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลูกสาวคนเล็กของหัวหิน เธอชื่อเพลินวาน เธอคือสาวแรกรุ่นที่ผู้ปกครองพยายามแต่งองค์ทรงเครื่องเธอด้วยอาภรณ์โบราณด้วยมุ่งหวังอยากให้เธอเป็นสาวย้อนยุคผู้ดึงดูดหนุ่มวัยรุ่นจากแดนไกลให้เข้ามาสัมผัสเธอ และผมคิดว่าความตั้งใจครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า เสน่ห์อันเย้ายวนใจของโลกใบเก่าที่หมุนช้ากว่าโลกใบปัจจุบันและเพียงองศาเล็กๆของทุกการหมุนกลับเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายซึ่งไม่เพียงแต่จะคอยอธิบายทุกเหตุการณ์ที่โลกใบเก่าใบนั้นหมุนผ่าน แต่ยังหลงเหลือเอาไว้เพื่อเติมเต็มจินตนาการให้กับคนในโลกปัจจุบันที่เดินเข้ามาด้วยความสงสัยในความละเอียดของการบันทึกร่องรอยการหมุนในโลกใบเก่าใบนั้นใบที่พวกเขาไม่คุ้นเคย ผมก้าวเข้าสู่โลกของสาวน้อยเพลินวานอย่างเต็มไปด้วยความบันเทิงอารมณ์ สัมผัสทั้ง 5 ของผมเปิดรับทุกความแปลกใหม่ของเธอ ความแปลกใหม่ภายใต้เครื่องห่อหุ้มยุคเก่าที่เร้าทุกความรู้สึกของผมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง สัมผัสแรกของผมผมเลือกใช้การมองเห็นเป็นสิ่งแรก ทุกๆการมองเห็นของผมในอ้อมกอดของเพลินวานนั้นเต็มไปด้วยสีสันแปลกตา ธงเล็กๆสลับสีถูกร้อยเรียงจากฝั่งซ้ายไปสู่ฝั่งขวาและย้อนกลับจากขวาไปสู่ซ้ายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อีกทั้งสีของร้านรวงทั้งสองฝั่งที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีน้ำตาลให้อารมณ์ของบ้านริมฝั่งคลองเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อผมเดินก้าวลึกเข้าไปใกล้ใจกลางของเพลินวานเรื่อยๆ สายตาผมก็สะดุดอยู่กับชิงช้าสวรรค์ขนาดกลางอันให้บรรยากาศของงานวัดในสมัยเก่าซึ่งก็ยังคงมีเล็ดรอดมาในปัจจุบันบ้างแต่ไม่ใช่ในเมืองกรุงที่ผมอาศัยอยู่เป็นแน่ ด้วยประสบการณ์ทางสายตาที่ผมกำลังสัมผัสอยู่ซึ่งประกอบไปด้วยสีสันต่างๆที่พาให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงวัยเด็กอีกครั้ง วัยเด็กที่เคยเดินทางไปเยี่ยมบ้านริมคลองของคุณปู่ที่ให้บรรยากาศไม่แตกต่างจากร้านรวงสีน้ำตาลที่เพลินวานบรรจงสรรค์สร้างขึ้นเลยสักนิดเดียว

ในขณะที่ผมกำลังล่องเรืออารมณ์อยู่ในทะเลสาบแห่งความสุขทางสายตาอยู่นั้น สัมผัสทางการได้ยินของผมก็ทำหน้าที่ราวกับว่ากลัวจะน้อยหน้าสัมผัสอื่นๆ โสตประสาทการได้ยินของผมกำลังใจจดใจจ่อ อยู่กับเสียงร้องที่ประกอบกับเครื่องดนตรีนานาชนิดที่ร่วมประสานเสียงพาอารมณ์ของผมถอยหลังออกจากทะเลสาบ มุ่งหน้าตรงเข้าสู่ท้องทุ่งนาอันเขียวขจี แม้ว่าตัวผมเองจะไม่เคยใช้ชีวิตผูกพันกับท้องทุ่งนาเท่าไรนัก แต่ในขณะนี้ผมถูกเสียงบางอย่างที่เข้ามากระทบกระบวนการได้ยินอีกทั้งนำผมดำดิ่งลงสู่ภาพท้องทุ่งนาในจินตนาการอย่างจมลึกราวกับผมเป็นหนึ่งในต้นข้าวน้อยๆ ที่กำลังพลิ้วไหวไปตามลมอยู่กับเพื่อนๆต้นข้าวนับร้อยนับพันที่กำลังเริงร่าอยู่เช่นเดียวกัน ผมนึกในใจว่านี่สินะ ที่ทำให้คนดนตรีสมัยก่อนขนานนามเสียงที่กำลังกระทบหูทั้งสองข้างของผมอยู่นี้ว่า “เพลงลูกทุ่ง”
“16 ปี แห่งความหลัง ทั้งรักทั้งชังทั้งหวานและขมขื่น 16ปีเหมือน 16 วัน รักเอ๋ยช่างสั้นไม่ยั่งยืน มีหวานมีชื่น มีขื่นมีขม ” เสียงเพลงอมตะของครูเพลงอมตะ สุรพล สมบัติเจริญ เจ้าของบทเพลงมากมายที่ยังคงทำหน้าที่ขับกล่อมแฟนเพลงที่จงรักภักดีอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย แม้ตัวเองจะจากไป แต่เสียงเพลงในหัวใจของแฟนเพลงยังคงอยู่ ราวกับว่าท่วงทำนองเพลงเหล่านี้วางตัวอยู่เหนือการผันเปลี่ยนของเวลาและไม่มีทีท่าว่ามันจะเสื่อมลงตามกาลเวลาแต่อย่างใด

เมื่อการมองเห็นและการได้ยินนำผมไปสู่ประสบการณ์ในแต่ละห้วงเวลาอย่างเต็มอิ่มแล้ว การได้กลิ่นและการลิ้มรสจึงพานพบกับผมอย่างสนิทชิดเชื้อในรูปแบบของเหล่าขนมกินเล่นต่างๆที่ผมเคยรู้จักในวัยเด็ก แน่ล่ะว่าเมื่อก่อนผมเคยหลงใหลไปกับพวกมันและคิดต่อว่าผู้ใหญ่ที่พยายามห้ามปราม ไม่ให้ผมเอาชีวิตไปผูกพัน กับพวกมันมากมายนัก แต่พอเวลาหล่อหลอมผมจนมาถึงปัจจุบันผมตระหนักรู้แล้วว่าด้วยคำเตือนแห่งความหวังดีเหล่านั้นที่ทำให้ผมเติบโตมาได้จนทุกวันนี้

ในขณะที่สัมผัสทั้งสี่พาผมเต็มอิ่มกับทุกอารมณ์แห่งความสุขสันต์ ผมไม่คำนึงถึงสัมผัสที่ 5 เท่าใดนักเพราะทุกสัดส่วนของสาวเจ้าเพลินวานนั้นได้ถูกแตะต้องไปแล้วไม่มากก็น้อย แน่ล่ะถึงแม้จะเป็นเพียงสัมผัสเล็กน้อยของชายหนุ่มจากเมืองหลวง แต่มันก็คงจะสร้างความวาบหวามในเสี้ยวอารมณ์ให้กับเธอบ้าง และผมหวังว่านั่นจะเพียงพอที่จะทำให้เรากลับมาพบกันอีกครั้งไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะความคิดถึงของผมหรือเธอก็ตาม

ที่นี่มีแต่ต้นโกงกาง ผมคิดอย่างนั้นตั้งแต่ย่างก้าวแรกภายใต้สวนอนุรักษ์ธรรมชาติปราณบุรีแห่งนี้ เหล่าต้นไม้รากยาวหน้าตาประหลาดเหล่านี้ที่ทำหน้าที่คอยยึดหน้าดินไม่ให้ถูกกัดเซาะจากความรุนแรงของน้ำที่คอยทำร้ายตลิ่งอย่างมิได้ตั้งใจ รวมทั้งเจ้าต้นไม้หน้าตาลึกลับเหล่านี้ยังเป็นที่อยู่ของสัตว์มากมายที่ยินดีจะอยู่ในป่าชายเลนโดยไม่ได้กลัวต้นไม้หน้าตาพิศวงเหล่านั้นอย่างที่ผมเป็น ระหว่างที่ผมกำลังชื่นชมธรรมชาติอยู่อย่างดื่มด่ำนั้น ผมก็พบกับอีกกิจกรรมที่น่าจะเติมเต็มการหย่อนใจของผมได้อย่างเต็มรูปแบบและเมื่อผมคิดได้อย่างนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะล่องเรือชมปากน้ำปราณโดยมิได้รีรอแต่อย่างใด ปากน้ำปราณแห่งนี้เป็นจุดเชื่อมระหว่างน้ำเค็มกับน้ำจืด และนั่นทำให้ชาวบ้านละแวกนี้คุ้นเคยกับแหล่งน้ำทั้งสองราวกับญาติสนิทมิตรสหายเลยก็ว่าได้ สิ่งที่ผมพบเห็นตลอดสองริมฝั่งน้ำที่ผมล่องผ่านไปก็คือเรือประมงทุกขนาดที่จอดรอเวลาออกหาสัตว์ทะเลในยามค่ำคืน โดยถึงแม้ขณะนี้เรืออาจจะจอดอยู่ในจุดกึ่งกลางระหว่างน้ำเค็มและน้ำจืดแต่ทั้งสองน้ำก็พร้อมจะเปิดต้อนรับเหล่าเรือประมงผู้ซึ่งทำหน้าที่เกื้อกูลและเกื้อหนุนให้ชีวิตริมน้ำเหล่านั้นดำรงอยู่สืบต่อกันมานับร้อยปี ซึ่งความผูกพันทั้งหลายเหล่านี้ผสานแทรกซึมเข้ามาในกระพุ้งแก้มจนทำเอาผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

หลังจากที่ผมล่ำลากับปากน้ำปราณเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมก็ตัดสินใจพาร่างกายอันเหนื่อยล้าแต่ซุกซ่อนหัวใจอันเปี่ยมสุขเดินทางกลับมายังที่พัก ซึ่งเป้าหมายของการกลับมาครั้งนี้ไม่ใช่การพักผ่อนตามที่ร่างกายต้องการ แต่ผมกลับเลือกที่จะทำตามประสงค์ของหัวใจด้วยการตัดสินใจนำฝ่าเท้าไปสัมผัสกับเม็ดทรายน้อยๆริมชายหาดหัวหินที่ผมสามารถเดินเท้าไปพบปะได้ด้วยระยะทางเพียงไม่กี่ก้าวจากที่พักที่ผมได้จับจองไว้ในคราแรก และด้วยการที่ผมได้พาฝ่าเท้าออกไปพักผ่อนครั้งนี้กลับเป็นการเดินทางไปสู่ประสบการณ์อันหอมหวานที่ผมไม่สามารถลืมเลือนมันได้เลยแม้แต่สักวินาทีเดียว

ขณะนี้ผมกำลังพาเธอผู้ครอบครองอีกครึ่งหนึ่งของหัวใจของผมมาสัมผัสกับชายหาดหัวหิน(หรือก่อนหน้านี้คุณคิดว่าผมมาคนเดียวกันนะ)เราสองคนมีโอกาสได้ทำหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดีด้วยการตอบคำถามเกี่ยวกับถนนหนทางให้กับชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งในหนึ่งวันก่อนหน้านี้เขาใช้ชีวิตอยู่ไกลจากเราไม่ต่ำกว่าครึ่งค่อนโลก แต่ในขณะนี้เขาเดินทางข้ามโลกมาเพื่อสัมผัสกับดินแดนซึ่งผมกำลังทำความรู้จักอยู่ในวินาทีนี้ และด้วยสถานที่ที่ชายต่างแดนจะไปนั้นเป็นเป้าหมายเดียวกับผมที่จะไปลิ้มลองอยู่พอดีนั่นทำให้เราทั้งสามคนตัดสินใจร่วมทางกันเดินตั้งแต่บัดนั้นและสถานที่แรกที่เราทั้งสามร่วมทางกันก็คือ Night market อีกหนึ่งหลักไมล์ของหัวหินที่พวกเราทุกคนไม่ยอมจะพลาดถนนเส้นที่เป็นดังลมหายใจในยามค่ำคืนของหัวหินเส้นนี้

นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมได้มาสัมผัสกับสีสันในยามค่ำคืนของที่นี่ พ่อค้าแม่ขายต่างทำหน้าที่กันอย่างเคร่งครัด และไม่แพ้กัน เหล่าสินค้าน้อยใหญ่ต่างพากันอวดโฉมอย่างละลานตาราวกับกลัวว่าตนเองจะหมดความสำคัญ สิ่งเหล่านี้อาจแปลกตาไปบ้างสำหรับครั้งแรกที่ได้พบเจอแต่ในครั้งนี้ความแปลกตาแปลกใจของผมกลับไปผูกอยู่กับความแปลกตาแปลกใจของใครอีกคนหนึ่ง Sebastian คือชื่อของใครคนนั้น เพื่อนใหม่ที่ผมเพิ่งรู้จักกันที่ชายหาดเมื่อไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้และผมยังไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทั้งคู่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวของอีกฝ่ายนั้นเพียงพอที่จะใช้คำว่า “รู้จัก”ได้หรือยัง สิ่งที่ผมได้มาพร้อมกับการเดินเที่ยวใน Night market ครั้งนี้นั่นก็คือประวัติของเพื่อนต่างแดนผู้นี้และเพื่อที่ในวันต่อไปคุณจะรู้จักเขามากขึ้นผมขอแนะนำเขาคนนี้ให้คุณรู้จักสักนิด เขาเกิดที่สวิตเซอร์แลนด์และสามารถพูดได้ถึงสี่ภาษา และทั้งหมดนั้นคือ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เยอรมัน อีกทั้งเขายังพอฟังภาษาอิตาลีได้บ้าง แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ช่วยอะไรผมเลยเพราะผมทำได้แค่เพียงพูดอังกฤษสำเนียงไทยโดยใช้คำศัพท์ง่ายๆเท่านั้นแต่นั่นก็ไม่ได้เป็นกำแพงคั่นความสัมพันธ์ของเราแต่อย่างใด ผมยังอยากจะแนะนำเพิ่มอีกว่าขณะนี้เขาทำงานอยู่ที่นอร์เวย์และนอร์เวย์ไม่ใช่ประเทศแรกที่เขาไปทำงานนอกบ้าน เม็กซิโก อังโกลา มาเลเซีย คือตัวอย่างประเทศที่เขาเคยไปเหยียบย่ำทำงานมา ในขณะนี้เขามาพักร้อนที่เมืองไทยเพียงคนเดียว ถึงแม้นี่จะไม่ใช่การมาไทยครั้งแรกของเขาแต่นี่คือครั้งแรกของเขาที่หัวหิน ผมไม่แปลกใจว่าทำไมหนุ่มวัยสามสิบห้าจากนอร์เวย์คนนี้ ถึงเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพียงเพื่อทำความรู้จักกับสาวใหญ่ลือชื่อในประเทศขวานทองแห่งนี้ ก็อย่างที่ผมเคยบอกคุณเสน่ห์ของเธอไม่เคยเป็นสองรองใครและในช่วงเวลาที่เหลือนี้ผมจะพาคุณไปพบกับอีกหลายเสน่ห์ของหัวหินที่คุณจะไม่มีทางลืมเลือน

หลังจากเสร็จสิ้นการดูแลกระเพาะอาหารในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินบน Night market แล้ว ผมทิ้งตัวลงอย่างเหน็ดเหนื่อยในห้องพักที่สะดวกสบายสมกับราคาค่างวดที่ผมยอมจ่ายเพื่อซื้อความสบายเหล่านี้ นี่จะเป็นคืนแรกหลังจากที่ผมตระเวนทำความรู้จักกับญาติสนิทของสาวใหญ่อย่างหัวหิน โดยผมได้รับโอกาสให้ใกล้ชิดกับน้องสาวคนเล็กอย่างเพลินวานอีกทั้งได้ละเลียดเวลาแห่งการกลับคืนสู่ธรรมชาติกับคุณลุงปราณบุรี ลุงแก่ที่ยังคงขับเคลื่อนสังคมริมฝั่งน้ำอย่างทะมัดทะแมง ถึงแม้ใบหน้าของลุงจะเต็มไปด้วยริ้วรอยของประสบการณ์ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ลุงกลายเป็นคนแก่หลงยุคแต่อย่างใด ประสบการณ์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้กลับกลายเป็นอีกหนึ่งในแรงดึงดูดนับร้อยที่พาคนหนุ่มคนสาวมาสัมผัส มารู้จัก และรับฟังประสบการณ์อันยาวนานเฉกเช่นเดียวกับที่ผมได้สัมผัส ผมพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงนอนอันแสนนุ่มอีกครั้งเพื่อเข้าไปสัมผัสกับสายน้ำจากฝักบัวที่จะคอยชำระล้างร่างกายของผมในทุกอณู ผมตั้งใจที่จะทำร่างกายให้สะอาดเพื่อรอเวลาที่จะประสานกับหัวใจที่สดชื่นและเดินทางเข้าสู่ความสุขในยามราตรีที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามรู้จักกับมันมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกแล้วนั่นเอง ผมเช็ดเนื้อเช็ดตัวและแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่โปร่งสบายโดยหวังเพียงว่ามันจะเป็นความง่ายถ้าผมจำเป็นจะต้องสลัดร่างกายออกจากเสื้อผ้าเหล่านี้เพียงเพื่อออกเดินทางไปรู้จักกับหัวหินอีกครั้งแม้มันจะเป็นเพียงในฝันก็ตาม

อรุณแรกแห่งหัวหินเล็ดรอดจากม่านบังตาที่หน้าระเบียงพาตัวเองเข้ามาในห้องเพียงเพื่อมาสะกิดผมให้ตื่นขึ้นมารับรู้กับความสดชื่นในยามเช้าตรู่ที่หัวหินบรรจงมอบให้ ผมไม่อาจปฏิเสธความหวังดีครั้งนี้ได้จึงจำยอมบอกลาเจ้าหมอนน้อยพลางพยุงตัวเองเข้าไปสัมผัสกับสายน้ำอุ่นซึ่งหลั่งไหลลงมาราวกับจะแย่งชิงพื้นที่สกปรกในร่างกายผม ผมยืนสัมผัสกับสายน้ำเหล่านั้นเพียงชั่วครู่พรางนึกย้อนถึงการนัดหมายที่เกิดขึ้นเมื่อวาน การนัดหมายที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่นำไปสู่การเริ่มต้นของสัมพันธภาพอันยิ่งใหญ่ระหว่างคนสองคนที่มีถิ่นฐานบ้านเกิดห่างไกลกันอย่างสุดลูกหูลูกตา ด้วยความเย็นของทุกหยดน้ำที่ไหลลงมานั้นทำให้ผมจำเป็นต้องดึงตัวเองออกจากจินตนาการและรีบสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เตรียมตัวเองให้พร้อมเพราะในช่วงสายของวันที่สองภายใต้การโอบล้อมของหัวหินนี้ ผมนัดพบกับพ่อหนุ่มจากยุโรปอีกครั้งในเวลาที่ไม่เช้าจนเกินไปนัก ผมปล่อยเวลาให้พระอาทิตย์เริ่มทำงานไปได้ราวสี่ชั่วโมงจึงได้ออกมารอหน้าที่พักตามสถานที่ที่เรานัดหมายกันไว้ โปรแกรมที่เราตกลงกันว่าจะไปร่วมผจญภัยกันในวันนี้นั้นมีสองสถานที่ใหญ่ๆ สถานที่แรกผมจะพาเราไปรู้จักกับอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยมาอย่างยาวนานส่วนอีกสถานที่หนึ่งนั้นเป็นที่อยู่ของสิ่งก่อสร้างซึ่งเป็นตัวแทนของหนึ่งบุรุษผู้เป็นที่พึ่งทางใจของคนไทยมาอย่างยาวนานเช่นเดียวกัน

สิบโมงตรงคือเวลาที่ล้อเริ่มหมุน เราทั้งสามคน(ผมบอกแล้วนะว่าผมไม่ได้มาคนเดียว) มุ่งหน้าออกจากที่พักด้วยความเร็วพอประมาณ เราเคลื่อนที่อย่างใจเย็นเพราะได้เพื่อเวลาไว้อย่างพอเหมาะแล้วและด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งมวลเหล่านี้นั่นทำให้เรามีโอกาสชมบรรยากาศริมถนนทั้งสองฝั่งของหัวหินได้เป็นอย่างดี และเพียงเวลาไม่ถึงเศษเสี้ยวของชั่วโมงเราทั้งสามก็มาถึงสถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายแรกของเราในวันนี้ ปางช้างหัสดินทร์ ปางช้างแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองหัวหินมากนักนั่นทำให้สะดวกต่อการเดินทางของเราเป็นอย่างยิ่ง วินาทีแรกที่ผมมองเข้าไปภายในปางช้างแห่งนี้ ความรู้สึกแรกที่เข้ามากระทบกระเทือนการรับรู้ของผมก็คือความสงสาร ภาพรวมของที่นี่ผมจำเป็นต้องบรรยายด้วยคำว่าเงียบเหงา ผมรับรู้ว่าช้างทั้งหมดที่นี่มีอยู่ด้วยกัน 12 เชือก และในขณะนี้ทั้งหมดทุกเชือกก็ถูกปล่อยให้เดินเล่นกันตามอัธยาศัยเพราะว่าไม่มีแขกผู้มาเยือนเลยแม้แต่คนเดียว นั่นทำให้เหล่าคชสารทั้งหมดไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงโชว์ใดๆเพื่อเป็นการเร้าอารมณ์ผู้ชมแม้สักนิด พวกเราไม่รอช้าพยายามถามผู้ต้อนรับในทันทีว่ากิจกรรมที่เราสามารถที่จะทำร่วมกับเจ้าบ้านร่างใหญ่เหล่านี้นั้นมีอะไรน่าสนใจบ้าง คำตอบที่ได้รับกลับมาสร้างความกลัวกึ่งเสียวให้กับเราในทันทีทันใดแต่ความรู้สึกนี้นั้นเกิดขึ้นกับสองชีวิตเชื้อชาติไทยเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เพราะในตอนนี้คำตอบเดียวกันนั้นได้สร้างความรู้สึกอยากจะลิ้มลองให้ลุกโชนขึ้นในแววตาของผู้มาเยือนจากต่างเชื้อชาติอีกผู้หนึ่งแล้ว

ผมกำลังนั่งอยู่บนหลังของปีเตอร์ ควาญช้างจากสุรินทร์แนะนำชื่อของเจ้างายาวตัวที่ผมกำลังขี่อยู่ว่าอย่างนั้น และในขณะเดียวกัน รัศมีคือชื่อของช้างสาววัยสะคราญผู้กำลังแบกรับน้ำหนักของชายหนุ่มตาน้ำข้าวเพื่อนรวมเดินทางของผมซึ่งกำลังลิงโลดอยู่บนหลังช้างสาวโดยไม่ได้เกรงกลัวการเกิดอุบัติเหตุใดๆเลย หนึ่งชั่วโมงเต็มคือเวลาที่เราตกลงกันไว้ในการชมทัศนียภาพภายในปางโดยการเดินทางรูปแบบใหม่ มุมมองจากด้านบนที่ผมได้รับสร้างความตื่นเต้นและเวียนศีรษะให้กับผมพร้อมๆกันไป แต่สิ่งที่สร้างปัญหาให้ผมอันดับต้นๆก็คือเส้นใยแดดจากท้องฟ้าที่เจ้าวงกลมสีแดงทรงพลังบรรจงปล่อยลงมาโลมเลียผิวกายผมราวกับว่ามันจะไม่มีโอกาสได้ส่องแสงอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น แต่ในขณะที่มันเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของผมมันก็กลับเป็นลำแสงแห่งความสุขให้กับชายอีกคนที่จงใจจะปล่อยวางเสื้อไว้นอกร่างกายเยี่ยงนั้น Sebastian มีสีหน้าเพียบพร้อมไปด้วยความสุขเปรียบดังว่าแสงแดดที่แผดเผาเราอยู่นี้คือสิ่งที่เค้าตามหามาทั้งชีวิต และหลังจากที่ผมพยายามเค้นหาความจริงกับเขาด้วยภาษาอังกฤษสไตล์ของผมเองนั้น คำตอบที่ได้มาทำให้ผมไม่สามารถจะทักท้วงอะไรกับเขาได้อีก เพราะเขาเองไม่สามารถหาอะไรอย่างนี้ในประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่เขาทำงานอยู่ได้เลย

เสร็จสิ้นจากการขึ้นรับแสงตะวันบนหลังเพื่อนร่างใหญ่แล้ว เราทั้งหมดใช้เวลาชมการแสดงของพลายน้อยวัยเจ็ดขวบผู้เคยข้ามน้ำข้ามทะเลไปโชว์ตัวที่แดนปลาดิบมาแล้วครั้งหนึ่ง และด้วยความสามารถรวมทั้งความแสนรู้ของเจ้าช้างน้อยนั่นทำให้การเดินทางไปในครั้งนี้ของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

แต่แล้วเมื่อเราเดินทางออกจากปางช้างด้วยใจอันอิ่มเอมนั้น ผมเองกลับคิดไปอีกทางหนึ่งว่า ถ้าในทุกช่วงที่วันเวลาเดินผ่านไปด้วยความเร็วเท่าเดิม เหล่านักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่ปางแห่งนี้มีจำนวนเพียงเท่านี้ การมาเยือนหัวหินรอบหน้าของผมอาจจะไม่พบปางช้างแห่งนี้อีกแล้วก็ได้ ผมหวังว่าสิ่งที่ผมคิดมันจะไม่เกิดขึ้นจริง แต่ใครล่ะจะกล้ารับประกัน

หลังตอบสนองความต้องการพื้นฐานของร่างกายในช่วงเที่ยงเรียบร้อยแล้ว คณะของเรา(สามคนก็ใช้คำว่าคณะได้นะผมว่า) ก็เริ่มออกเดินทางไปรู้จักกับหัวหินในทุกพื้นผิวให้มากยิ่งขึ้น ยิ่งเวลาในการอยู่ร่วมกันมากเท่าไร ความสัมพันธ์ของผมกับเพื่อนต่างแดนก็มากยิ่งขึ้น เราคุยกันถึงเรื่องที่เราทั้งสองต่างอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของอีกฝ่าย ศิลปะ วิทยาศาสตร์ และศาสนา ล้วนเป็นหัวข้อที่เราต่างคุยกันอย่างออกรสออกชาติ จำนวนประโยคที่เราสื่อสารกันออกไปเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนเวลาที่เราเดินทางไปไหนต่อไหน และบทสนทนาที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นเหล่านั้นยังเป็นตัวแทนซึ่งบอกให้เรารู้ว่า เราต่างพยายามมอบความไว้ใจให้กันและกันมากขึ้น สมองส่วนภาษาอังกฤษของผมทำงานไปพร้อมกับสมาธิในการขับรถที่ทั้งสองส่วนล้วนสร้างภาระให้กับรอยหยักในศีรษะของผมอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายแก่ๆ เราก็เดินทางมาถึงอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของหนึ่งสิ่งก่อสร้างซึ่งเป็นตัวแทนของความเคารพที่ชาวพุทธทั้งหลายมีมอบให้กับมหาบุรุษผู้เป็นที่สักการะของคนไทยครึ่งค่อนประเทศ ผมบังคับลิ้นให้อ่านออกเสียงป้ายชื่อสถานที่นี้อย่างช้าๆเพื่อไม่ให้พยัญชนะอังกฤษที่ลอยอยู่ท่วมสมองของผมตอนนี้มามีผลกับการอ่านป้ายคำภาษาไทยง่ายๆสี่พยางค์นี้
“วัดห้วยมงคล” ผมเปล่งเสียงออกมาอย่างโล่งใจว่าตัวเองยังคงใช้ภาษาของตนเองได้ดีอยู่ จากนั้นผมสับสวิตซ์ที่ลิ้นเพื่อใช้ภาษาอังกฤษอีกครั้งเพียงเพื่ออธิบายอย่างสุดความสามารถถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่คนรุ่นผมได้ยินมาเนิ่นนานเกี่ยวกับเจ้าของรูปปั้นยักษ์ที่ตั้งตระหง่านถ้าลมถ้าแดดอยู่ต่อหน้าเราตอนนี้ จากปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่นผมเชื่อว่าน้อยคนนักที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธแล้วจะไม่รู้จักหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดผู้นี้ ผมเองทั้งได้ฟังและได้อ่านเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่มาไม่น้อยไปกว่าใครแต่สิ่งที่เรียกรอยยิ้มน้อยตรงริมฝีปากของผมออกมาได้อย่างไม่รู้ตัว คือคำจำกัดความของหนึ่งหนุ่มต่างศาสนาที่เดินทางมาสักการะหลวงปู่ทวดพร้อมกับผมนั่นเอง เขาบอกกับผมว่าความสามารถของหลวงปู่ทวดนั้นช่าง “useful” เสียจริงๆ ผมเองไม่ได้มองเป็นเรื่องของการลบหลู่ดูหมิ่นใดๆทั้งสิ้นแต่กลับเห็นด้วยกับ Sebastian อย่างเต็มกำลัง แต่ไม่ว่าความสามารถของหลวงปู่จะถูกจำกัดความด้วยคำว่าอะไร ผมภาวนาเอาไว้ว่าอย่างน้อยพวกเราเหล่าชาวพุทธทั้งหลายคงไม่มาสักการะเพียงเพื่อหวังปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ทวดแค่เท่านั้น แต่ขอให้หลวงปู่เป็นแรงบันดาลใจในการที่จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีเฉกเช่นที่หลวงปู่แสดงให้เห็นตลอดชีวิตสมณะเพศของหลวงปู่ เพียงเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ศาสนาของเรายืนหยัดต่อสู้กับยุคสมัยไปได้อีกนานแสนนาน

ผมแบมือพลางเพ่งมองไปที่ฝ่ามือของตัวเอง สี่วันที่ผมกำเอาไว้ภายใต้อุ้งมือเพื่อที่จะมาใช้ที่นี่นั้น ขณะนี้เหลืออีกเพียงครึ่งเดียว และวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ผมกับเพื่อนผมทองจะเดินทางร่วมกันภายใต้ท้องฟ้าและก้อนเมฆของหัวหิน แหล่งท่องเที่ยวที่เราจะไปกันในวันนี้คืออีกหนึ่งสถานที่ธรรมชาติที่เป็นหนึ่งเดียวของหัวหิน ด้วยความที่เรามีเป้าหมายเพียงแค่หนึ่งเดียวในวันนี้ นั่นทำให้ผมสามารถที่จะลืมตาตื่นได้ช้าที่สุดเท่าที่ผมจะเคยทำมาในสามวันที่ผันผ่านไป ผมแปรงฟันพลางเพ่งมองในกระจกเพื่อเตือนตัวเองอีกครั้งให้มีสติอยู่ตลอดเวลากับทุกวินาทีของที่นี่ ผมไม่อยากพลาดทำสติหลุดลอยแม้เพียงชั่วเสี้ยวนาทีเพราะผมกลัวที่จะสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งแล้วรู้ว่าตัวเองกลับจากหัวหินไปแล้ว ผมยิงฟันพลางใช้ข้อมือบังคับแปรงขึ้นลงอย่างช้าๆ พลางส่งยิ้มให้ตัวเองในกระจกอีกครั้งทางแววตา หนุ่มน้อยในกระจกมองกลับมาพร้อมกับส่งยิ้มเย้ยหยันกลับมาดังกับว่าจะเยาะเย้ยผมที่เหลือเวลาเพียงวันเดียวในการแตะต้องหัวหินให้ทั่วทุกรูขุมขน

น้ำที่นี่เย็นยะเยือก ผมจินตนาการถึงความเย็นไว้ก่อนที่ผมจะได้มาสัมผัสสายน้ำที่ไหลลงมาตามภูเขาเหล่านี้อยู่แล้ว แต่มันก็ยังให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่ดี ผมและคนข้างกายไม่ได้พร้อมที่จะลงไปเริงระบำในลำน้ำแต่อย่างใด แต่กับมัจฉาผมทองที่ผมกำลังมองอยู่นี่เขาทำราวกับว่าในหนึ่งชาติภพนี้เขาจะได้ไม่ได้พบกับน้ำตกอีกเลย เราใช้เวลาชมน้ำตกกันเกือบหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ และผมยังใช้เวลาอีกราวครึ่งชั่วโมงเพื่อแนะนำให้เขารู้จักกับน้ำตกป่าละอูแห่งนี้อันเป็นเพียงน้ำตกหนึ่งเดียวในเมืองหัวหิน ถ้าผมเปรียบเพลินวานเป็นดังน้องนุชสุดท้อง เปรียบปากน้ำปราณเป็นดังคุณลุง พี่ชายของสาวใหญ่หัวหิน น้ำตกป่าละอูแห่งนี้คงไม่ต่างกับพี่สาวคนโตของหัวหินที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อยกว่าใคร ทุกอณูของหยดน้ำตกเหล่านี้บอกเล่าถึงเรื่องราวของป่าละอูได้เป็นอย่างดี และถึงแม้นี่จะเป็นสถานที่สุดท้ายที่ผมจะได้มาเยือนในการมาเหยียบหัวหินครั้งนี้แต่นี่ก็จะเป็นหนึ่งในสถานที่แรกๆที่ผมจะ “คิดถึง” ในช่วงเวลาที่ผมลาจากหัวหินไปแล้ว

สติของผมกำลังจะหลุดลอย นี่คือคืนสุดท้ายภายใต้ราตรีของหัวหินแห่งนี้ เมื่อใดก็ตามที่ผมตื่นขึ้นมา นั่นหมายถึงช่วงเวลาที่ผมจำเป็นจะต้องเตรียมตัวเดินทางกลับสู่เมืองหลวง กลับสู่งานประจำที่น่าเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง ผมไม่อยากหลับตา ผมอยากลืมตาอยู่อย่างนี้เพื่อจดจำดวงดาวทุกดวงบนท้องฟ้า และเมื่อใดก็ตามที่ผมเหนื่อยล้าในอยู่ในเมือง เพียงผมเงยหน้าขึ้นทักทายกับดวงดาวที่ผมคุ้นเคย มันจะทำให้ผมรู้สึกถึงรอยจูบของหัวหินขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายก็ไม่มีใครเอาชนะธรรมชาติได้ สติผมกำลังจะหลุดลอย ผมพยายามต่อสู้ อีกครั้งและอีกครั้ง

ผมนัดพบเพื่อนร่วมเดินทางกลับไว้ในเวลาบ่ายสองโมง ด้วยความสัมพันธ์ตลอดเกือบสามวันที่หัวหินทำให้ผมตัดสินใจชวน Sebastian กลับกรุงเทพด้วยเมื่อรู้ว่าเค้าจะเดินทางกลับในเวลาใกล้เคียงกัน ถนนจากหัวหินไปสู่กรุงเทพยังคงเป็นเส้นเดิมเส้นเดียวกับที่ผมเดินทางมา แต่เมื่อผมจะต้องเหยียบคันเร่งขึ้นมาจริงๆ เส้นทางไปและเส้นทางกลับช่างห่างไกลกันยิ่งนัก เพียงแค่ทางขนานคนละฝากฝั่งถนนแต่มันเหมือนเป็นกำแพงยักษ์ขวางกั้นผมไว้ระหว่างอารมณ์อิ่มเอมกับอารมณ์ขุ่นมัว แค่เพียงสองชั่วโมงที่ผมกำลังจะก้าวผ่านต่อจากนี้ ผมรู้สึกราวกับว่ามันกินเวลานับเป็นปี นี่เป็นครั้งแรกในรอบสี่วันที่ผมกำลังหันหลังให้หัวหิน ผมมั่นใจว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งพูดได้สี่ภาษาก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน บรรยากาศภายในรถดูเงียบเหงาเมื่อเราค่อยๆเดินทางผ่านแต่ละจังหวัดที่เคยใช้เป็นสะพานต่อเชื่อมจากกรุงเทพไปสู่หัวหิน ผมและเธอตกลงกับเพื่อนต่างแดนว่าจะไปเดินดูของกันที่สุดยอดตลาดนัดใจกลางกรุงในวันรุ่งขึ้น ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งสามคนจะเดินทางไปอีกไกลแค่ไหน สิ่งที่ผมทำได้คือทำแต่ละวินาทีต่อจากนี้ให้ดีที่สุด แตกต่างกับความสัมพันธ์ของผมกับหัวหิน เพียงไม่กี่กิโลเมตรจากกรุงเทพกลับดูเหมือนไกลเหลือเกินเมื่อคำนึงถึงภาระต่างๆที่คอยฉุดรั้งผมไว้ ผมมั่นใจเหลือเกินว่าผมคงโหยหาอ้อมกอดอุ่นของสาวใหญ่วัยกลางคนนางนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อีกไม่นาน ผมจะอยู่ไกลเกินกว่าที่ปลายนิ้วของหัวหินจะสามารถสัมผัสตัวผมได้ แต่ถึงอย่างไรมันคงไม่ไกลจนเกินไปนักถ้าผมพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะยื่นแขนออกไปสัมผัสปลายมือนุ่มของหัวหินมือนั้น จากนอร์เวย์มาถึงหัวหินกี่มหาสมุทรกั้น จากกรุงเทพมาหัวหินคงไม่ลำบากกว่ากัน นาทีนี้ผมยังคงได้แต่ครุ่นคิด หัวหิน นอร์เวย์ Sebastian แล้วสักวันเราคงได้พบกัน

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

ละครชีวิต

หายหน้าไปนานนะ ไม่ได้เขียนอะไรมาสักพักแล้ว ทำไมถึงไม่ได้เขียนน่ะเหรอ จะหาข้ออ้างอะไรดีล่ะ ไม่มีเวลา ทั้งๆที่ 1 วันก็มี 24 ชม.เท่าเดิม หรือว่าไม่มีไอเดีย นั่นยิ่งแล้วใหญ่ ไอเดียผุดขึ้นมามากมายอยากระบายเต็มที่ แต่แปลกนะ ร่างกายมันไม่สดชื่นเหมือนสมองเลยจริงๆ แต่เอาน่า จะบ่นทำไมมากมาย ยังไงวันนี้ก็ได้โอกาสมาปล่อยของแล้ว เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ
เคยดูละครกันหรือเปล่า เคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่าว่า ในชีวิตจริง เราสามารถมองออกอย่างชัดเจนเลยหรือเปล่านะ ว่าใครคือตัวดี ใครคือตัวร้าย ใครนางอิจฉา ใครเพื่อนพระเอก มันไม่ง่ายเหมือนในละครเลยนะ แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้จะเล่นละครให้ฟังเรื่องนึง ละครชีวิตผมเอง ไม่มีชื่อเรื่องนะครับ รู้แต่ชื่อพระเอก หุหุ
ก่อนอื่นผมถามคุณๆกันหน่อย คุณเคยสนใจตัวละครในชีวิตคุณบ้างหรือเปล่าครับ ว่ามีตัวไหนกันบ้าง ตัวละครหลักที่ทุกคนมีเหมือนๆกันก็คงจะไม่พ้น พ่อ แม่ เพื่อนร่วมงาน ต่างๆ ซึ่งผมก็มีเหมือนกันกับทุกคน แต่วันนี้ผมจะไม่พูดถึงนะ มันธรรมดาไป
เริ่มต้นชีวิตในแต่ละวัน เมื่อจะต้องขับรถออกไปทำงาน ตัวละครแรกๆที่ผมสนใจคือ พี่รปภ.หรือเอาแบบถนัดปากเลยก็คือ ยาม โดยในอพาร์ตเมนท์ก็มียามอยู่หลายคน แต่มีแค่ 2 คนที่น่าสนใจ เพราะเป็นคนที่จะคอยเปิดประตูให้ คือเป็นคนกำหนดชีวิตของเราเลยว่า จะให้เราเข้าหรือออกจากที่พักหรือไม่ และยามกะกลางวันกับกลางคืนของอพาร์ตเมนท์ผม ก็มีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ไปว่ากันที่พี่ยามกลางวันก่อน พี่แกเป็นคนที่ผมอยากจะเรียกว่า service man เลยทีเดียว คือปกติที่หอผม เค้าให้คีย์การ์ดกับรถทุกคันที่พักอยู่ที่อพาร์ตเมนท์นี้อยู่แล้ว แต่ว่าพี่แกไม่เคยให้ผมต้องควักคีย์การ์ดออกมาใช้เลยสักครั้ง ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ผ่าน แกจะรีบกุลีกุจอมาเปิดทางให้รถเข้าออก พร้อมทั้งคอยโบกรถเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งไม่ว่าขณะนั้นแกจะทำอะไรยุ่งอยู่แค่ไหน แกก็จะรีบวิ่งมาทำหน้าที่นี้อย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย และนี่คือตัวละครที่ทำให้ผมต้องยิ้มและชื่นชมแกอยู่เสมอๆในทุกๆเวลาที่ผมต้องผ่านไปในเขตรับผิดชอบของแก
ซึ่งเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นแค่เวลากลางวันเท่านั้น เพราะเมื่อเป็นกะกลางคืน คุณจะได้ผมกับพี่โย่ง ยามกะกลางคืน ซึ่งแกไม่ได้ชื่อนี้หรอกนะ แต่รุปร่างแกทำให้ผมแทนคำเรียกแกด้วยคำนี้ พี่โย่งนี่แกแตกต่างกลับพี่ยามอีกคนนึงมาก คือแกไม่เคยเปิดประตูให้ผมเลยสักครั้งเดียว ไม่ว่าจะเข้าหรือออก ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นเรื่องปกติที่แกทำกับทุกคน แต่บางครั้งผมถึงกับงง เมื่อแกเปิดประตูให้รถคันหน้าผม และปิดลงเมื่อผมจะเข้า และทำให้ผมต้องควักคีย์การ์ดออกมาใช้งาน โดยที่พี่แกนั่งมองด้วยสายตานิ่งเฉย และในบางครั้งแกถึงกับไปยืนรอโบกรถให้ผม โดยที่ผมยังผ่านประตูไม่ได้ และแกก็ไม่สนใจเพราะนึกว่ายังไงผมก็ต้องมีคีย์การ์ด ซึ่งนั่นสร้างความรำคาญให้ผมมาก เพราะว่าคันอื่นๆผมเห็นเค้าก็เปิดให้ผ่านไปได้สบายๆ หรือว่าเค้าไม่ถูกใจอะไรผม แต่ว่าก็ว่าเถอะ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยจะถูกใจแกเท่าไร แต่มาตอนหลังผมคิดอย่างนี้ครับ ถ้าวันใดวันนึง มีรถหรือของใดๆที่อพาร์ตเมนท์หาย คุณว่าใครจะโดนเพ่งเล็งมากกว่ากันครับ ระหว่างพี่ยามกะกลางวันกับพี่โย่ง
ใช่ครับว่าการกระทำของพี่ยามถูกใจคนมากกว่า แต่พี่โย่งแกก็ยืดมั่นในหน้าที่ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ใครหลายๆคนไม่พอใจ(หรือว่าผมไม่พอใจคนเดียวนะ) แต่ก็ไม่สามารถเอาผิดอะไรแกได้ เพราะว่าแกแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นเอง สุดท้ายผมได้ข้อสรุปว่าการทำงานของพี่สองคนนี้ก็เปรียบเสมือนการทำงานแบบไทยๆกับแบบฝรั่งครับ บางทีไทยเราอาจจะเน้นความสะดวกสบาย พอไปเจอแบบฝรั่งก็อาจจะอึดอัดบ้าง ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องที่ถูก ว่าแต่ในละครชีวิตของคุณๆ มีตัวละคร "ยาม" บ้างหรือเปล่านะ ลองคิดกันดูนะ แล้วคราวหน้า ผมจะเล่าถึงตัวละครตัวต่อไปให้ฟัง พวกเค้า ขายของอยู่หน้าอพาร์ตเมนท์ผมเองครับ

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รวมเล่ม 6. 2 คน 2 ปี

2 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก
ทำไมต้องเหมือนโกหกนะ
ช่วงเวลาที่คนอื่นมักจะเรียกกันว่า
"คบ" กันมา 2 ปี
แต่เรา 2 คนไม่ใช่
เราเรียกมันว่า
"ใช้ชีวิตร่วมกัน" มา 2 ปีมากกว่า
คำว่า"ใช้ชีวิตร่วมกัน" ของคุณเป็นอย่างไรกันนะ
ถ้าสำหรับคุณมันหมายถึงคุณมี 1 ชีวิต
และนำมาใช้ร่วมกันกับอีก 1 ชีวิต
แต่เรา 2 คนไม่ใช่
เรา 2 คนมีแค่ 1 ชีวิต
เพราะว่าเราใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ
บางคนใช้กระเป๋าเงินรวมกัน
ใช้เตียงเดียวกัน ใช้รถคันเดียวกัน
แล้วคิดว่าได้ใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว
แต่เราสองคนไม่ใช่
เพราะเราใช้ทุกส่วนของชีวิตร่วมกัน
อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้
แต่เรา 2 คนไม่เคยอยากรู้
เพราะเมื่อเรามีกันอยู่
เรา 2 คนเชื่อว่า อนาคตเราต้องดีแน่ๆ
ถึงแม้มันจะไม่ดีต่อใคร
แต่แค่ดีต่อเรา 2 คนก็พอ
อดีตของเรา 2 คนจะผ่านมาอย่างไร
เราไม่สนใจ
มีแค่อย่างเดียวที่เรา 2 คนหยิบยื่นให้แก่กัน
เมื่ออดีตของอีกคนไม่น่าจดจำ
"อภัย" คือสิ่งที่เราให้กันและกัน
วันใดเราสองคนหมดกำลังกาย
เราต่างพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
แต่เมื่อเราหมดกำลังใจ
ต่างคนต่างมีเติมให้กันและกัน
2 ปี 3 ปี 4 ปี ต่อไป
จะเป็นอย่างไร
จะมีวันดีๆอย่างนี้อีกหรือไม่
ใครเล่าอยากรู้
เรา 2 คนไม่อยากรู้
แค่วินาทีนี้เรามีกันอยู่
สุขใจ พอใจ และอุ่นใจ
ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันต่อไป
ก็พอ

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

รวมเล่ม 5.manual

ตีหนึ่งสามสิบเจ็ดนาทีขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาของการทำงาน เหนื่อย ง่วง ล้า แต่ยังคงต่อสู้กับธรรมชาติของร่างกายต่อไป

ณ ขณะนี้ 80% ของมนุษย์หรืออาจจะมากกว่านั้นน่าจะกำลังใช้ประโยชน์จากหมอน เตียง ที่นอน กันอยู่อย่างเอิกเกริก แต่ไม่แน่ใจว่าทำไม เรายังคงต้องถ่ายทอดบางสิ่งบางอย่างผ่านคีย์บอร์ดอยู่คนเดียว ณ ขณะนี้ยังหาวิธีแก้ไม่ได้ ไม่อยากอดนอน ไม่อยากรถติด ไม่อยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่อยากอดตาย

ทำไมนะ ในตอนเกิดมาพระเจ้าน่าจะเพิ่มอะไรบางอย่างให้กับผลิตผลของตัวเองสักหน่อย ไม่ใช่ปล่อยให้ลืมตาดูโลกโดยไม่แนบ manual มาด้วยอย่างนี้ จะดีหรือเปล่านะถ้าเด็กคนนึงเกิดมาพร้อมๆกับมีวิธีใช้งานแนบมาด้วย อาจจะไม่ต้องเขียนยาวแต่ก็ขอให้ไม่ต้องตีความมากมาย ถ้าเป็นเช่นนั้น อะไรๆในโลกนี้คงง่ายกว่านี้เยอะ

ดช.ปาเกียว เกิดมาพร้อมกับ manual ข้างกาย "นักชกที่ดีที่สุดในโลกถ้าวัดเป็นปอนด์ต่อปอนด์" แค่นี้ก็จบ พ่อแม่ก็ไม่ต้องเสียเวลาส่งไปเรียนหนังสือ หรือให้ทำงานหนักอะไรมากมาย ตั้งไข่ได้ จำความได้ ก็ซ้อมมวย ซ้อมมวย และซ้อมมวย ง่ายดีมั้ย หรือ ดช.โอบามา ก็คงจะมาพร้อมกับ "ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐและจะ change everything" จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำอะไรมาก เรียนๆๆๆๆๆ ตั้งหน้าตั้งตารอเลือกตั้ง เท่านั้นก็จบ

แต่จะว่าไปมันก็ง่ายเกินไปเหมือนกันนะ เช่นถ้ารู้ว่าเราจะเป็นภราดรแน่ๆ เราก็คงจะไม่ลองเล่นกีฬาอื่นๆเลย ชีวิตก็คงขาดความสนุกไปอีกเยอะ หรือว่าพระเจ้าจะรู้อยู่แล้วนะ ก็เลยใส่พรสวรรค์มาให้กับทุกคนแต่ไม่ได้แนบ manual มาด้วยเพื่อความสนุกของท่านเองที่จะได้เห็นพวกเราไปผิดที่ผิดทาง หรือว่าจริงๆท่านไม่มีเวลาจะมาทำอะไรไร้สาระอย่างนี้นะ

คิดๆไปคนเรานี่ก็แปลก ปัจจุบันเรามีนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากมาย เรามีนาดาล เฟดเอ๊กซ์ เมสซี่ หรือโรนัลโด้ แต่ถามจริงๆว่าถ้ามนุษย์ไม่ได้คิดค้นเทนนิสและฟุตบอลขึ้นมา ไอ้ 4 คนนี้มันจะทำอะไรกินกันวะน่ะ

โอเคถ้าคุณเป็น ไมเคิล เฟลป์ คุณว่ายน้ำเก่ง มันเห็นไงว่าว่ายน้ำเก่ง คนเรามันต้องมีโอกาสว่ายน้ำบ้างล่ะน่า หรือถ้าคุณเป็น ยูเซน โบลต์ ก็คือคุณวิ่งเร็วที่สุดในโลกไง ถึงจะไม่มีโอลิมปิก ไม่มีการแข่งขัน แต่เอาคนมาวิ่งๆกันก็รู้ไงว่าใครวิ่งเร็วสุด แต่อย่างเทนนิสกับฟุตบอลมันไม่ใช่นะ อยู่ดีๆไม่มีใครมาเอาไม้อะไรไปตีลูก หรือเอาเท้าไปเตะลูกกลมๆกันนะ คือ มันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ใช่

ว่าแต่ว่าตอนเราเกิดมา พระเจ้าแนบ manual มาหรือเปล่านะ เราจะรู้ได้ไงว่ามันไม่ได้มาพร้อมกับเรา แม่เราเอาไปแอบเก็บหรือเปล่านะ พยาบาลกับหมอเอาของเราไปหรือเปล่าหว่า 26 ปีเต็มแล้วนะ ที่เราเคว้งคว้างอยู่โดยที่ไม่รู้ว่า พระเจ้าส่งเรามาทำอะไรบนโลกนี้ ไม่เอาน่า ท่านส่งมาให้ผมมาทำงานกินเงินเดือนไปวันๆจนตายน่ะเหรอ ผิดคนแล้วมั้ง ไม่เอาๆ เมื่อไรท่านว่างๆก็หาโอกาสมาบอกนะว่าอยากให้ทำไร ทุกวันนี้จนปัญญาจริงๆ หรือถ้าต้องการให้มากินเงินเดือนไปจนตายจริงๆ ก็ไปบอกคนอื่นๆให้เลิกเป็นมนุษย์เงินเดือนกันได้แล้วนะ ผมจะได้เป็นมนุษย์เงินเดือนคนเดียวในโลกไง หุหุ แตกต่างอย่างลงตัว

พล่ามมานานและสุดท้ายขอสัญญาอะไรกับตัวเองสักหน่อยดีกว่า เผื่อวันหลังมาอ่านเจอจะได้รู้ว่าเราผิดสัญญากับตัวเองไปเยอะแค่ไหนแล้ว เอาเป็นว่าเราขอสัญญาว่าจะหา manual ของตัวเองให้เจออย่างเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้มุ่งตรงไปในทางที่พระเจ้าท่านมอบพรสวรรค์มาให้สักที ใครบางคนที่ได้ยินว่าเราหา manual อยู่อาจจะบอกว่า อ้าวก็มึงเป็นวิศวกรไง พระเจ้าอยากให้มึงเป็น หุหุ กูอยากจะบอกว่า ถุย!!! กูแค่เรียนจบวิศวกรมา และก็หาแดกด้วยอาชีพนี้ ทั้งกายและใจกูไม่ได้เป็นวิศวกรหรอก เหมือนพี่หม่ำเคยพูดไว้น่ะ ตลกอาชีพกับอาชีพตลก ไม่เหมือนกันนะ นั่นล่ะ กูมันแค่อาชีพวิศวกร แต่ไม่ใช่วิศวกรอาชีพว่ะ ได้ยินเปล่าวะ พระเจ้าโว้ย เอา manual กูมา.........................

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เสร็จ

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552เสร็จ
ห่างหายไปสองเดือน วันนี้ไปเจอประเด็นเก่าๆ แต่อยากนำเสนอในแบบใหม่ๆ เลยได้เวลามาคุยกันอีกครั้ง ที่มาที่ไป ที่ได้ประเด็นนี้มามันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ แต่ก็เอานะ จะลองเล่าให้ฟังดูละกัน
เรื่องของเรื่องก็คือ วันนี้เข้างานตอนดึก พอช่วงประมาณตีห้า นึกอยากยืดเส้นยืดสาย เลยเดินลงลิฟท์ มาที่ 7-11 หน้าตึก และซื้อน้ำผลไม้ กับขนมต่างๆไปกิน หลังจากจ่ายเงินด้วยบัตรเสร็จก็ทำท่าจะเดินกลับ แต่น้องพนักงานส่งเสียงตะโกนเรียก "พี่ๆ อย่าลืมใบเสร็จ" ปร๊าดดดด ความคิดพรั่งพรูขึ้นมาในหัว มันชื่ออะไรนะ ใบอะไรนะ ใบเสร็จ ทำไมมันชื่อนี้วะ กูงง ทุกคนคงรู้จักใบเสร็จ(ใช่มะ?) มันเป็นใบที่แจกแจงราคาของต่างๆ รวมทั้งเงินทอน และรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ แต่ทำไมนะ ทำไมไม่เรียกใบสรุปราคา หรือใบแจกแจงราคา ดันมาเรียก "ใบเสร็จ"
ตอนน้องพนักงานบอก เอาบัตรออกได้เลยค่ะพี่ ไอ้เราก็นึกในใจ "เสร็จซะที กูไปล่ะนะ" แต่ยัง ยังก่อน มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ทำไมน่ะเหรอ ก็มึงยังไม่ได้รับใบ "เสร็จ" จำไว้นะ ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไร ถ้ามึงรับ "ใบเสร็จ" นั่นหมายถึงเรื่องราวตรงนั้นมันเรียบร้อยแล้ว มึงจะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมาถาม "เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ" หรือ "โอเคนะครับ" เพราะชื่อมันบอกอยู่แล้วว่า ใบเสร็จ มึงเข้าใจกันหรือเปล่าเนี่ย คราวหน้าเวลาไปเที่ยวอาบ อบ นวด อย่าลืมออกใบนี้ให้น้องๆเค้าล่ะ ตอนจะกลับน่ะ "ใบเสร็จ" ให้น้องเค้าไปซะ หรือว่าถ้าใครเข้าไปแล้วไม่ "เสร็จ" ก็เสียใจด้วยนะ 555
มีคำอีกมากมายที่เราใช้กันเป็นประจำโดยไม่ได้มองว่ามันตลกดีไปอีกแบบ เช่น ใบสั่ง เข้าใจป่ะ ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องขอร้อง ไม่ต้องออดอ้อน เพราะนี่ไม่ใช่การขอร้องให้ทำ หรือว่าขอความร่วมมือ แต่มันคือใบ "สั่ง" เข้าใจเปล่าวะ
จัดไปอีกคำ "สืบสวน" เข้าใจป่ะว่าแปลกอย่างไร ก็คดีมันเกิดขึ้นแล้ว คนถูกฆ่าไปแล้ว เรื่องราวมันจบ แต่ยังหาคนทำผิดไม่ได้ เลยต้องสืบย้อนจากปลายเหตุการณ์ ขึ้นมาหาผู้กระทำผิด ไอ้ครั้นจะเรียก "สืบย้อน" ก็ดูยังไงอยู่ เค้าเลยใช้ สืบ "สวน" ว่าแต่ฟังแล้วเสียวๆนะ หุหุ ว่าไง จะลองโดนสืบ "สวน" ดูสักทีป่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

รวมเล่ม 4.ตัวเองรักเค้ามากแค่ไหน

เธอถามผมว่า "ตัวเองรักเค้ามากแค่ไหน" ผมนิ่งเงียบ ความคิดวนเวียนอยู่ในหัวสมอง ผมรู้และผมทราบความรู้สึกของผมดีว่ารักเธอมากแค่ไหนแต่แค่หาคำตอบที่เหมาะสมให้กับเธอไม่ได้เท่านั้นเอง สองปีที่แล้ว ครั้งแรกที่เราเจอกัน เธอแตกต่างจากที่ผมจินตนาการไปนิดหน่อย แต่ผมก็เลือกที่จะลองเสี่ยงคบกับเธอดูอย่างน้อยๆเธอก็แตกต่างกับทุกคนที่ผมเคยผ่านมา ห้าคืนบนเกาะเสม็ดทำให้ความสัมพันธ์ของเรารุดหน้าไปมาก มากเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการออกซะอีก จากที่เคยแต่ใช้โทรศัพท์ msn e-mail ย่นระยะความคิดถึง แต่ 5 วันนั้นเราไม่ต้องคิดถึงกัน เพราะเราใช้ชีวิตใกล้ชิดกันในแบบที่ทะเลกับหาดทรายยังไม่ใกล้ชิดกันเท่ากับเรา แต่หลังจากนั้นหน้าที่การงานก็ทำให้เราต้องห่างกันไปคนละที่ สาบานเลยว่าถึงตรงนั้นผมจินตนาการไม่ออกว่าความรักของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป ในขณะที่ผมจินตนาการได้ว่าสำหรับเธอ ผมคือคนที่เธอรัก

ผมว้าวุ่น คิดอะไรไม่ออก หัวใจและสมองของผมทำสงครามเย็นกันอยู่ตลอดเวลา ภายนอกเธอแตกต่างจากที่ผมจินตนาการไว้ แต่ภายใน ผมคงหาใครที่ดีกว่าเธอไม่ได้ ทุกอย่างตรงกันข้าม และผมต้องเลือก แต่เวลาและคนบนฟ้าไม่ได้ให้โอกาสผมมากมาย ไม่กี่เดือน(วัน?) เธอก็ย้ายมาทำงานอยู่ใกล้ผม เราตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกัน 2 คนที่ apartment ใกล้ๆที่ทำงานของเราสองคน และแล้วเธอสอนให้ผมรู้จักคำ 2 คำที่ผมไม่เคยรู้จัก.... "ครอบครัวและชีวิตคู่"

เวลา 2 ปีผมรู้จักชีวิตมากขึ้นในแบบที่ทุกๆคนคงจินตนาการไม่ออก เป็น 2 ปีที่ผมโตเร็วที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจ ได้สัมผัสอารมณ์ดีใจในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้น และเสียใจในแบบดำดิ่งลงไปในความอ้างว้างของอารมณ์ จากที่เคยทะเลาะกันมาตลอดในทัศนคติทุกๆเรื่อง ผมอยู่กับเธอไปวันๆ แต่เธออยู่กับผมด้วยหวังว่าจะใช้ “ชีวิตคู่” กับ "ผม" คนที่เธอคิดว่าเป็น "คู่ชีวิต"

และแล้วความดีของเธอ ก็ทำให้ผมค่อยๆเปลี่ยนไป เมื่อเวลาผ่านไปความจริงจังของความสัมพันธ์เติบโตในแบบทวีคูณ พ่อ แม่ พี่ น้อง ครอบครัว ของเธอ ก้าวเข้ามาเป็นตัวละครใหม่ๆในชีวิตผม และทุกๆตัวละครที่เธอพาเข้ามา สอนให้ผมรู้จักคำว่า “จริงใจ”

จริงใจในแบบให้ใจกันจริงๆ ผมอบอุ่นและรู้สึกได้ถึงความรู้สึกดีๆที่ทุกคนถ่ายทอดทางแววตา มันมีค่ากับคนที่รักความสันโดษ มันมีค่าพอที่จะเปลี่ยนความคิดของผม และแล้วผมตัดสินใจบอกกับตัวเองว่า เธอคือคู่ชีวิต

เธอเคยถามว่า "ตัวเองคิดว่าจะหาคนที่ดีกว่าเค้าได้หรือเปล่า" ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะไม่ได้คิดจะหาคำตอบ "แล้วตัวเองล่ะ" ผมถามกลับไป เธอยิ้มๆไม่ได้พูดอะไร ผมหวังว่าเธอจะไม่ไปหาคนที่ดีกว่าผมเช่นกัน เพราะถ้าเธอตัดสินใจไปหา มันคงง่ายพอๆกับหาต้นมะพร้าวที่ชายหาดพัทยา

มาถึงวันนี้ 2 ปีผ่านไป เราสองคนมาถึงวันที่แค่มองหางตากันก็เข้าใจ แต่เธอก็ยังคงถามผมอยู่ดี "ตัวเองรักเค้ามากแค่ไหน"
ผมตอบตัวผมเองในใจ "เค้าจินตนาการไม่ออก ว่าในวันที่เราไม่รักกัน เค้ายังอยากจะตื่นขึ้นมาบนโลกใบที่ไม่มีตัวเอง หรือว่าจะจมอยู่ในความฝันที่เราสองคนยังรักกัน อย่างไหนจะดีกว่ากันนะ ความสุขในฝันกับความจริงที่ทุกๆวันปวดร้าว อย่างไหนดีกว่ากันนะ

"ตัวเองรักเค้ามากแค่ไหน" เธอยังคงถามอยู่อย่างนั้น ผมหันไปยิ้ม มองตาเธอ "ตัวเองจินตนาการไม่ได้หรอกว่าเค้ารักตัวเองแค่ไหน เค้าก็อธิบายไม่ถูก ไม่รู้จะเปรียบเทียบกับอะไร เพราะเค้ายังไม่เคยเห็นอะไรที่มันมากเท่านี้เลย "

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2552

รวมเล่ม 3. MY OST. (My Own sound taste)

สัมผัสกับเนื้อร้อง ในแบบที่ไม่มีทำนอง ก็ประทับใจ ไปอีกแบบนึงนะ
MY OST. (My Own sound taste)

ถ้าฝันและจริงจะบังเอิญเจอกันสักวัน
ถ้าหวานข้างในใจทั้งสองได้พร้อม ๆกัน

ถ้าอายจะหายไปจากประโยคเหล่านั้น
และถ้าจูบของเธอจะกลายเป็นจูบของชั้น

ฝัน หวาน อาย จูบ OST. ฝันหวานอายจูบ


เสียงใจฉันเอง ร้องเพลงให้เธอ
ฟังอยู่คือเสียง ดังจากใจ
ร้องเพลงที่ใคร ไม่อาจฟังเสียง ใจฉันเอง
ร้องเพลงให้เธอ ฟังอยู่คือเสียง ดังจากใจ
ร้องเพลงที่ฟัง เข้าใจเพียงเรา

เพียงเธอ OST. รักแห่งสยาม


โปรดจงมั่นใจ ฉันขอสัญญา… จะจำทุกเรื่องราว
ไม่ว่าร้ายหรือดี สุขหรือทุกข์ใจ
ฉันจะทบทวน เรื่องราวของเธอตลอดไป
เผื่อวันสุดท้ายที่ฉันหายใจ…จะได้ไม่ลืมเธอ
จะได้ไม่ลืมเธอ

จะได้ไม่ลืมกัน OST.ความจำสั้นแต่รักฉันยาว


อย่าลืมคำว่ารักคำนั้น อย่าลืมความรู้สึกนั้น
คนสำคัญนั้นมีค่า รักษาเอาไว้ให้ดี
อย่าลืมคำว่ารักคำนั้น ที่เคยบอกกันและกัน
แม้ว่าคืนและวันได้เลยผ่าน ดูแลรักเราให้ดีให้งดงาม

คำสำคัญ OST.ก่อนรักหมุนรอบตัวเรา


ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี
ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ
แม้ว่าต้องพบ อะไร
ฉันได้รู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้
แม้ว่าต้องพบ อะไร...

ฉันดีใจที่มีเธอ OST. ความสุขของกระทิ


จะลองไขว่คว้าหาคำตอบ ฝันคงจริงสักครั้ง
จะมีความรัก ให้เธออย่างหาใครมาเปรียบเหมือน

เธอคือความฝัน OST.happy birthday


เธอเป็นแรงบันดาลใจ เธอเป็นไฟที่ทำให้ใจฉันสว่าง
แม้ในวันที่ฉันล้มฉันพลั้ง ฉันต้องผิดผิดหวัง
ฉันรู้ว่ามีเธอยืนอยู่ข้างกัน
เธอเป็นแรงบันดาลใจ และไม่มีคำๆใดจะอธิบายได้ดีไปกว่านี้
และมีเพียงคำๆเดียว และมีเพียงคำๆนี้
อยากตอบแทนให้กับเธอที่หวังดี ขอบคุณจากหัวใจ

เธอเป็นแรงบันดาลใจ OST.super แหบ-แสบสะบัด


ได้แต่ฝากความคิดของฉันเอาไว้ เผื่อวันไหนเธอผ่านมา
เห็นที่เดียวกันนี้ เธอจะนึกขึ้นได้ว่า
เคยมีคนนึงยืนข้างเธอ อยู่ตรงนี้เสมอ ตลอดมา
ให้เธอสัมผัสความคิดที่ฉันทิ้งไว้ อาจไม่เห็นได้ด้วยตา
ฉันได้ฝากเอาไว้ อยู่ในพื้นดินและท้องฟ้า
มันเป็นความคิดที่กระซิบว่า ฉันยังรักเธอ

ความคิด OST. A moment in June


อย่างน้อย ชั้นเคยได้รัก..เธอ
รักด้วยการไม่หวังอะไร
ก็รู้ชั้นเองมันยังไม่ใช่
ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น
อย่างน้อยชั้นได้เรียนรู้
ได้เข้าใจ ทุกนาทีที่ชั้นมีเธอ
ว่ารักคือความสุขที่ยิ่งใหญ่
และมีความหมายมากมายจริงๆ

อย่างน้อย OST. ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

my planet

ดาวของผม ผมไม่รู้นะว่ามันชื่อว่าอะไร เพราะเพิ่งเคยไปเมื่อไม่นานนี้ แต่ว่าแฟนผมเรียกดาวของผมว่า "ดาวนกกระจอกเทศ" แฟนผมรู้จักนะเพราะเราอยู่ดาวข้างๆกันแต่เราไม่ได้อยู่ดาวเดียวกัน ดาวของผมไม่มีการแก่งแย่งชิงดีกันไม่ว่าเรื่องอะไร เพราะคนในดาวผมขี้เกียจแก่งแย่งกัน คนที่นั่นไม่ค่อยสนใจเทคโนโลยีเท่าไรถ้ามันไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น ความสะดวกสบายบางครั้งไม่ได้หมายความว่าชีวิตดีขึ้นนะ คนที่ดาวผมเค้าคิดกันอย่างนั้น ดาวของผมไม่มีการโหลดบิทนะ หนังกับเพลงก็มีนะดาวผม แต่เราคุยกันเรื่องของความหมาย ไม่ใช่ความชัดหรือขนาด จะเป็น VCD หรือ DVD ไม่สำคัญเท่าความหมายของหนังมัน D หรอกนะที่ดาวผม ที่ดาวผมผู้ชายสามารถซ้อนมอเตอร์ไซต์ผู้หญิงได้นะ ไม่ต้องอายใครผู้ชายกับผู้หญิงใช้ชีวิตไปด้วยกันได้ เดินคู่กัน ไม่ต้องมีใครนำ ดาวผมเป็นอย่างนั้น ดาวผมให้ความสำคัญกับความสุข มากไปกว่าทุกๆเรื่อง เมื่อใดก็ตามที่อยากทำอะไรที่ทำแล้วมีความสุขโดยไม่ต้องเบียดเบียนใคร คนที่นั่นเค้าทำเลยนะ ไม่ต้องอายใคร ดาวผมสามารถมีแฟนที่หน้าตา รูปร่างแบบไหนก็ได้ ขอแค่เค้ารู้จักดาวของตัวเองและดาวของผมเท่านั้นเป็นพอ และกีฬาเดียวที่มีในดาวของผมคือฟุตบอลและที่ดาวของผม เราสามารถที่จะเสพฟุตบอลได้ทุกทางโดยไม่ต้องอายใคร และสามารถเสพฟุตบอลของประเทศตัวเองได้ โดยที่คนที่นั่นไม่คิดว่าฟุตบอลของประเทศตัวเองไม่น่าเสพแต่อย่างใด ดาวผมเป็นอย่างนั้น นี่คือเรื่องคร่าวๆ ที่ดาวผมและคนบนดาวผมเป็นกัน เราเป็นอย่างนี้ทุกคน เลยไม่ต้องอายใคร และสุดท้ายที่ผมพอจะนึกออกก็คือ ในดาวผมการศึกษาแค่เพียง 4 ปี ไม่สามารถบังคับให้เราเป็นอะไรต่อมิอะไรได้ แต่สิ่งที่เราเลือกเองต่างหากที่เราพร้อมที่จะเป็น สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขต่างหาก คือสิ่งที่เราพร้อมจะทำ แต่ถ้าอะไรๆในชีวิตคุณไม่ได้เป็นแบบนี้ ไม่ต้องแปลกใจนะ ก็คุณไม่ใช่คนบนดาวนกกระจอกเทศนี่นา แต่ดาวผมไม่ได้ชื่อนี้หรอกนะ แฟนผมเรียกมันอย่างนั้นต่างหาก

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

planet

ผมเพิ่งได้อ่านหนังสือเล่มนึงจบไป ตัวเอกในหนังสือเป็นคนที่หน้าตาธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ อยู่ในโลกใบนี้ ใบเดียวกับผมและคุณ แต่แล้วเหตุการณ์ๆหนึ่ง ก็ทำให้เค้าได้รู้ว่า ตนเองไม่ได้เป็นคนของโลกใบนี้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อโลกใบนี้ และไม่ได้มีรกรากอยู่ที่นี่ เค้าเป็นมนุษย์ต่างดาว และเค้ากำลังหาวิธีกลับดาวบ้านเกิด สุดท้ายเค้าก็ได้กลับดาวบ้านเกิด โดยวิธีที่เค้ากลับก็คือวิธีที่หนังสือเล่มนี้แนะนำคนที่ได้อ่าน รวมทั้งผม หรือรวมทั้งคุณๆ วิธีที่คุณจะรู้ว่าคุณมาจากดาวไหน หรือรู้ว่าคุณมาจากต่างดาว ผมไม่สามารถทราบได้แต่วิธีที่คุณจะกลับดาว ผมบอกคุณได้ และหนังสือเล่มนี้ก็บอกคุณได้ ถ้าคุณทราบแล้วว่าดาวของคุณคือดาวไหน วิธีที่ดีที่สุดวิธีนึงคือ ตามหาคนที่คุณรัก แล้วเค้าหรือเธอคนนั้น จะพาคุณกลับบ้านอย่างปลอดภัย ทุกวันนี้คุณรู้หรือยังว่าคุณมาจากดาวดวงไหน ถ้ายัง ผมไม่มีอะไรจะบอกมากไปกว่าคำว่า "เสียใจ" แต่ถ้าคุณตอบว่าไม่รู้ ว่ารู้หรือยัง ลองอ่านเรื่องของผมดู เพราะผมรู้แล้วว่าผมมาจากดาวไหน และไม่ใช่ดาวดวงเดียวกับคุณแน่ๆ ในคราวนี้ ผมยังจะไม่เล่าถึงดาวของผมให้คุณฟังหรอกนะ ว่าเป็นดาวแบบไหน หรือมีอะไรน่าสนใจบ้าง แต่ผมจะเล่าให้ฟังว่า ถ้าเทียบกับโลกของคุณๆแล้ว ดาวของผมแตกต่างกันอย่างไร เดี๋ยวผมกลับดาวสักครู่ แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังนะ

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

โลกคู่ขนาน

เพิ่งอ่านหนังสือจบไปเรื่องนึง เมื่อวานอันวันเดียวจบเลย อ่านแล้วหดหู่ เหมือนเพิ่งจะได้รู้ว่ามีอีกโลกนึงขนานกับโลกของเราอยู่ โลกของคนซึ่งเคยทำผิด ทั้งที่มีสติ ไม่มีสติ หรือว่าไม่ได้ทำผิดแต่มีคนมายัดเยียดให้ทำผิด หรือให้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำผิด
โลกนั้นมันเปลี่ยวเหงา อ้างว้าง ไร้ความหวัง และเต็มไปด้วยการเฝ้าคอย มากไปกว่าโลกไหนๆ โหดร้ายทารุณทั้งต่อสภาพจิตใจและร่างกาย แค่ลองคิดถึงตัวเราเองต้องทนอึดอัดอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมเป็นเวลาแรมปี ลองคิดดูว่ามันจะบั่นทอนความฝัน บั่นทอนร่างกาย บั่นทอนพลังชีวิตเราไปขนาดไหน
ใครบางคนคอยบอกว่าโลกของคนทำผิดนั้น เป็นโลกที่คอยสร้างกำลังใจ บ่มเพาะความหวังให้เค้ามีกำลังใจที่จะออกมาใช้ชีวิตในโลกเดียวกับเราอีกครั้ง แต่จากข้อเขียนที่ได้อ่านในหนังสือเล่มนั้น มันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
โลกใบนั้นมันไม่น่าจะเป็นโลกของมนุษย์ด้วยซ้ำ แต่จะว่าไปคนบางคนที่ได้ไปอยู่ในโลกนั้น ก็ทำตัวไม่สมกับเป็นมนุษย์จริงๆนั่นล่ะ โหดร้าย กักขฬะ เกินมนุษย์จะจินตนาการด้วยซ้ำ ซึ่งมนุษย์พวกนั้นก็ไม่เหมาะจะใช้ชีวิตร่วมกับเราหรอก แต่มนุษย์ดีๆบางคนที่หลงเข้าไปในนั้นน่ะสิ ไม่อยากจะคิด ส่วนคนปกติอย่างเราๆ ได้ยินชื่อโลกนั้นแล้ว ก็ไม่อยากข้องแวะอยู่แล้ว และขอบอกไว้เลยว่า มันแย่กว่าที่คุณคิดซะอีก อย่าได้ริไปลองเชียว
และถ้าใครอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ก็บอกนะ จะให้ยืม "ออกจากคุกมาเขียน" แล้วคุณจะได้รู้ว่า โลกของคนทำผิดมันน่ากลัวขนาดไหน ผมเตือนคุณแล้วนะ

12 กุมภาพันธ์ และเบนจามิน บัตตั้น

วันนี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรักของคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่ของผม ไม่ใช่ว่าผมไม่มีความรักนะ แต่ผมไม่ชอบใช้วันแห่งความรักซ้ำกับใครๆ ผมเลือกวันแห่งความรักเป็นวันที่ 12 กุมภาพันธ์
เลือกที่จะไปฉลองความรักของเราด้วยการไปดูหนังโรง firstclass ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว และพอดีเป็นอย่างยิ่งว่า วันและเวลาที่เราไปดู มันเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้ เค้ากำลัง
ทำงานกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ทำให้อะไรๆมันประจวบเหมาะไปหมด เราเลยได้ดูหนังกันสองคนทั้งโรงพร้อมอาหารอีกไม่จำกัด อิ่มทั้งกายทั้งใจ และหนังที่เลือกดูก็ไม่ทำให้ผิดหวัง และถ้าใครยังไม่ได้ดู buttons ก็ข้าม journal นี้ไปเลยนะ เพราะว่าอาจจะมีเปิดเผยเนื้อเรื่องบ้าง แต่ถึงจะอ่านแล้ว ก็ยังดูหนังได้สนุกอยู่ดีนั่นล่ะ เริ่มต้นเรื่องมีสิ่งแรกที่ผมประทับใจ นั่นคือสิ่งประดิษฐ์อันนึงในเรื่องซึ่งเกิดขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ท้อแท้ ต่อโชคชะตา ของผู้ผลิตนั่นเอง นาฬิกาซึ่งเดินย้อนหลัง คือสิ่งประดิษฐ์นั้น สืบเนื่องมาจากการที่ลูกชายของช่างนาฬิกา ได้ถูกส่งเข้าร่วมสงครามและเสียชีวิตในสงครามนั้น ข่างนาฬิกาจึงคิดว่าจะดีหรือเปล่านะ ถ้าเวลาย้อนถอยหลังกลับมาได้และนำลูกกลับมาให้เค้าได้ ซึ่งในโลกของความเป็นจริง นาฬิกาน่ะเดินกลับหลังได้ แต่วันเวลาน่ะไม่มีวัน และแล้วหนังก็ใช้จุดเริ่มต้นตรงนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าคนเราย้อนวันเวลาได้จริงๆ จะเป็นอย่างไร แต่อย่างที่ทราบๆกัน
button เป็นหนังที่ไมได้ใช้การย้อนเวลาแบบที่เราเคยเจอๆกันมา แต่เป็นการล้อเล่นกับการเวลาในแบบที่ว่า ถ้าชีวิตคนเราไม่ได้เริ่มต้นในแบบเดิมๆ แต่เริ่มต้นด้วยวัยชรา ย้อนไปหาวัยเด็ก อะไรๆจะน่าตื่นเต้นขึ้นหรือไม่ และแล้วหนังก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของคุณจะเริ่มต้นด้วยวัยใด สุขและทุกข์ก็มีเข้ามามิได้แตกต่างกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ในวัยเริ่มต้นที่เราเริ่มต้นด้วยวัยชรา จากที่มีแต่คนมาเอ็นดู ก็จะกลายเป็นถูกรังเกียจ ในขณะที่
ในวัยสุดท้ายของชีวิต จากที่จะเป็นวัยชราที่สามารถจะให้ประสบการณ์กับคนรุ่นหลังได้ ก็ต้องมากลายเป็นเด็กน้อยซึ่งไม่สามารถจำอะไรได้เลยก่อนที่ร่างกายจะแตกดับ ถ้าให้คุณๆเลือก คุณจะเลือกที่จะจบชีวิตแบบไหน ไร้ความทรงจำหรือเต็มไปด้วยความทรงจำ และที่สำคัญที่สุด เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกของเราสวนทางกับคนที่เรารัก เราจะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงนะ สรุปโดยรวมแล้วหนังก็ดีนะครับ นานดีด้วย สองชั่วโมงครึ่งนี่หายากแล้วนะหนังสมัยนี้ และก็ให้ข้อคิดต่างๆมากมาย และที่โดนใจที่สุดก็คือ ในตอนที่ เบนจามิน เรียนเปียโนกับป้าคนนึง ผมเองจำภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่พอจะจำเป็นภาษาไทยได้และมันทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำอะไรๆอีกเยอะเลยที เดียว "มันไม่สำคัญว่าคุณทำมันเก่งแค่ไหน แต่ัมันสำคัญว่าคุณรู้สึกอย่างไรตอนที่คุณทำ"

เหนื่อยๆล้าๆ

เหนื่อยๆล้าๆ นั่งตาจะปิด

หมดแรงจะคิด ใช้ชีวิตต่อไป

เหนื่อยๆล้า หน้าตาทรุดโทรม

แย่จังนะโยม แต่ได้แต่โทรม "ต่อไป"

เหนื่อยๆล้าๆ เวลาใกล้หมด

สุขภาพถอยถด แทบจะหมดกำลังใจ

เหนื่อยๆล้าๆ คงต้องลาลับ

หมดแรงแล้วครับ ขอกลับไปตาย

เหนื่อยๆล้าๆ แทบสิ้นชีวิต

ไม่เห็นใครคิด จะมาสนใจ

เหนื่อยๆล้าๆ แต่งกลอนไม่จบ

แต่ไม่ยอมลบ ขอสู้ต่อไป

เหนื่อยๆล้าๆ กูอยากจะบอก

กูไม่ได้หลอก แต่ต้องทนต่อไป

เหนื่อยๆล้าๆ เหมือนถูกทำโทษ

กูไม่ได้โกรธ แต่กำลังจะเข้าโหมด

"ไม่สบาย"

วันปีใหม่

วันปีใหม่ปีใหม่ปีนี้มีความรู้สึกแปลกๆเกิด ขึ้น ในคืนวันที่ 31 ต้องทำงานตั้งแต่บ่ายสามจนถึงเจ็ดโมงเช้าของวันที่ 1 มกราคม ได้นับ countdown ที่ออฟฟิศอีกครั้งตั้งแต่ทำงานมาช่วงเวลาปีใหม่มา 4 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ต้องอยู่ออฟฟิศ นั่งทรมานเพราะความง่วงตั้งแต่ช่วงตีหนึ่งจนถึงเช้า ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องมานั่งทรมานอยู่ที่นี่ในขณะที่เพื่อนๆ นอนคุยกับหมอนนุ่มๆหรือดูพลุ ดูไฟ กับคนที่รัก

เมื่ออยากรู้ก็ต้องหาคำตอบ จึงได้พยายามหาคำตอบว่าทำไมเราต้องมาอยู่ตรงนี้ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปตอนที่เปิดดู slip online รวมรายได้ก่อนหัก 43,xxx ไม่ธรรมดานะ ทำงานมาสามปีครึ่งรายรับขนาดนี้ นี่สินะเหตุผลที่ต้องมานั่งทรมานอยู่ ตอนแรกๆก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่าตัวเองเก่ง ทำรายรับได้ขนาดนี้ คิดไปคิดมาอีกทีนี่มันไม่ได้ใช้สมองเลยนะ สมองเราเองเค้าให้แค่ประมาณ 23,xxx ส่วนอีก 20,000 มันมาจากร่างกาย ใช้ร่างการทรมาน
แลกเงินมา อย่างนี้เรียกว่าผู้ใช้แรงงานหรือเปล่านะ

ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ เราร่นวันตายของตัวเองเข้ามากี่ปีแล้วนะ เอาเงินไปซื้อคืนได้หรือเปล่าหว่า ว่าแต่ว่าถ้าเราไม่ทรมานแบบนี้ แล้วส่วนต่าง 20,000 เราใช้สมองหามันเพิ่มได้หรือเปล่านะ ถ้าสมองเราหาเงินเดือนละ 20,000 ไม่ได้ เสียดายเงินที่พ่อแม่ส่งเรียนชะมัด ว่างั้นไหม ปีนี้ถึงเวลาแล้วที่จะก้าวออกมาใช้สมองของตัวเองอย่างเต็มที่ ก้าวเดินออกมาจากวงเวียนของ OT ที่ดึงพลังชีวิตและพลังสมองของเราไปมากมายเหลือเกิน ทำให้ทุกๆวันนึกถึงแต่เรื่องพักผ่อน ไม่สามารถเอาสมองไปทำอย่างอื่นได้เลยเชียว

ว่ากันถึงความแปลกของความรู้สึกอีกเรื่องในเย็นวันที่ 1 มกรา ได้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน พ่อกับแม่เปิดไฟสีต่างๆ ที่ติดไว้ตั้งแต่วันเกิดพ่อเมื่อเดือนธันวา สวยมาก ไฟสีต่างๆตัดกับความมืดมิดของบ้านชานเมือง ความงามไม่ต่างจากร้านอาหารเลื่องชื่อเลยทีเดียว แต่อาหารที่นี่อร่อยกว่ากันมากนะ เพราะแม่ใส่ความรัก ความคิดถึง ไว้เต็มจานอาหารเลยทีเดียว

กลับมาคราวนี้พ่อกับแม่เล่าเรื่องอาการเจ็บป่วยของญาติๆ และการล้มตายของคนรู้จัก รวมทั้งความล้มเหลวของครอบครัวอื่นๆทำให้เราได้รู้ว่าการพ่อแม่เราแข็งแรง ได้ในวัยเท่านี้ นั่นก็ทำให้เรามีความสุขมากๆแล้วนะ กลับกัน การที่เราเรียนจบมีงานการดีๆทำ แค่นี้พ่อกับแม่ก็มีความสุขมากๆแล้วนะ แต่ถึงแม้ว่าเราจะคิดถึงกันขนาดไหน ในตอนนี้เราก็ไม่สามารถจะกลับไปอยู่ที่บ้านได้ เพราะเรากำลังจะออกไปใช้ชีวิต ไปสร้างอนาคต ไปต่อสู้ด้วยตัวเองดูบ้าง แต่ยังไงหวังว่าพ่อและแม่จะเก็บความเป็นห่วงและคิดถึง เป็นพลังที่จะคอยติดตามดูความสำเร็จของลูกนะ ส่วนเราก็คงนำพลังส่วนนี้ไปใช้ ให้เป็นประโยชน์เช่นกัน ในส่วนของปีนี้นอกจากการงานที่เราจะเปลี่ยนเพื่อให้ สุขภาพดีขึ้นแล้ว พอได้สมองกลับมา เราก็จะใช้อย่างเต็มที่ด้วยการเดินหน้าในโปรเจ็คหารายได้ต่างๆ รวมทั้งสละเวลาตามฝันต่างๆของตัวเองด้วย เป็นกำลังใจให้กันนะ

วันสิ้นปี

วันนี้วันที่ 31 ธันวา
บางคนก็ไปเที่ยวกัน บางคนก็อยู่เหงาๆคนเดียวที่ห้อง บางคนก็กลับบ้านไปพบปะญาติพี่น้อง แต่บางคนก็ต้องมาทำงาน
มนุษย์เรา ดูเหมือนจะรู้กันมาตั้งแต่สมัยก่อนๆแล้วว่าเวลามันไม่สามารถย้อนกลับได้ และจนปัจจุบันเราก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้น เราจึงมีสิ่งต่างๆมากมายที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้ เช่น ปฏิทิน หากว่าเราไม่มีปฏิทิน ก็คงจะรู้เวลาแค่ เช้า บ่าย เย็น ดึก แต่ไม่มีการข้ามวัน ข้ามเดือนหรือข้ามปี ซึ่งนั่นทำให้เราไม่สามารถจะระลึกถึงวันอื่นๆล่วงหน้า หรือวันอื่นๆในอดีตได้ ซึ่งปัจจุบันปฏิทินตอบโจทย์ตรงนี้ได้ เพียงแต่มันอาจจะกระตุ้นความทรงจำน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง
และถ้าใครคิดว่ามันน้อยไปจริงผมแนะนำให้ใช้มันร่วมกับไดอารี่ ว่ากันไปถึงไดอารี่ผมมั่นใจว่าคนเขียนไดอารี่ ต้องมีความเป็นศิลปินในอารมณ์ มีความช่างฝัน และมีเวลาคุยกับตัวเอง มากกว่าคนที่ไม่เขียนไดอารี่แน่ๆ
ไม่เชื่อลองมองดูก็ได้ ว่าในโลกปัจจุบัน ที่หมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ยังมีเพื่อนๆวัยทำงานของคุณที่เขียนไดอารี่อยู่หรือเปล่า ถ้ามี แนะนำให้คบกับเค้าไว้นะครับ คนที่เขียนไดอารี่ผมเชื่อว่าไม่มีใครเป็นคนเลว ไม่รู้สิผมเชื่ออย่างนั้นนะ
ไดอารี่เป็นส่วนสำคัญอีกอย่างที่จะทำให้เราย้อนอดีตได้ง่ายขึ้น แต่ปัจจุบันเรามีอะไรที่ง่ายกว่านั้นนะ
รูปถ่ายก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้ภาพความทรงจำในอดีตกลับมาง่ายขึ้น แต่ปัจจุบันเรามีกล้องวิดีโอที่ช่วยเรื่องภาพในอดีตได้ดีกว่านั้น แต่ว่าก็ว่าเถอะ ไดอารี่น่ะถ้ายังไม่หมดเล่มเดิม เราก็เปิดย้อนไปอ่านวันเก่าๆได้ง่าย ส่วนรูปถ่าย ถ้าล้างออกมาก็อาจจะต้องหากันหน่อย เพราะรูปเก่าๆ ก็อาจจะเก็บไว้ในที่อื่นๆ หรือเวลาย้ายบ้านแล้วมันก็หายไป แต่ปัจจุบันถ้าเก็บเป็นไฟล์ โอกาสเปิดดูก็จะง่ายขึ้น
แต่เอาเข้าจริงๆ ในวังวนชีวิตของคนทำงานออฟฟิศอย่างเราๆ
เวลา ที่จะเอาไปเพื่อไปตามหาอดีตเหล่านั้นไม่ว่าจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบใด มันดูจะหาได้ยากเหลือเกินนะ แต่ผมมีอยู่อย่างนึงจะแนะนำ ใช้งานได้ดีกว่ารูปภาพ ไดอารี่ หรือไฟล์วิดีโอใดๆ ช่วยให้เราย้อนอดีตได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น และได้อารมณ์เช่นเดียวกัน
ลองใช้ "ความทรงจำ" ดูสิ ลองเก็บมันไว้ใน "ความทรงจำ" เปิดดูง่าย เวลาสั้น แต่ว่าถ้าเรื่องไหน มันไม่อยู่ในความทรงจำล่ะก็ ไม่ต้องพยายามไปนึกนะ เพราะมันก็คงไม่มีค่าพอจริงๆล่ะ เราถึงไม่ได้บันทึกมันไว้
ว่าแต่ว่า คืนวันสิ้นปีของคุณๆล่ะ มีความทรงจำอะไรบันทึกไว้หรือยัง หรือว่ายังตามหากันอยุ่ แนะนำให้รีบๆกันนะ เพราะในชีวิตเราวันปีใหม่มันเกิดขึ้นไม่กี่ครั้ง และไม่มีใครรู้ด้วยว่าจะมีชีิวตไปจนถึงครั้งหน้าหรือเปล่า

ช่วงเวลาแห่งความสุขและไว้อาลัยกับทุกๆความฟุ่มเฟือย

หยุดงานไปสี่วันล่ะ ได้ไปทำบุญที่วัด ที่เคยบวชมาด้วยนะ สบายใจดีจัง เวลาที่วัดนี่เดินช้าจริงๆนะ เข้าไปทำธุระอะไรต่างๆที่นั่นทีไร รู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าดี ไม่ต้องรีบเหมือนตอนอยู่ข้างนอก และทุกๆคนที่นั่นก็ดูสบายๆไม่ต้องรีบอย่างเรา กลับไปแล้วเหมือนได้ระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ

จะว่าไปก็เหมือน กับไปโรงเรียนเก่าๆที่เราเคยเรียน แล้วได้กลับไป ถ้าเราไปในวันธรรมดาแล้วเห็นเด็กๆเค้าเรียนหรือเข้าแถว หรือทำกิจกรรมต่างๆ แล้วเรายืนมอง เราจะรู้สึกเหมือนกับว่ามาด้วยไทม์ แมชชีนและมายืนดูช่วงเวลาเก่าๆของเราเอง โดยที่เราไม่ต้องใช้เวลาเดียวกับน้องๆเหล่านั้น ความรู้สึกแบบนี้ มันดีจริงๆนะ

อ่อ ลืมบอกอะไรไปอย่าง ที่กลับไปทำบุญที่วัดก็เนื่องมาจากวันเกิดพ่อนั่นเอง ไปทำบุญเลี้ยงพระเพลกันสองคนพ่อลูก และรับน้ำมนต์จากหลวงลุง ชีวิตมันก็มีความสุขง่ายๆอย่างนี้ล่ะ พ่อก็ 64 แล้วปีนี้ หวังว่าจะได้ทำบุญกันอีกหลายๆปีนะ

อีกวันก็ได้ไปดู Happy Birthday มาแล้วนะ ตอนหวานๆกันตอนแรกสนุกดีนะ หนังน่ารักดี แต่หลังจากถึงจุดหักเหของเรื่องแล้ว รู้สึกเหมือนเดินเรื่องช้าไปนะ ผู้กำกับเน้นให้เราเข้าใจอารมณ์ของตัวละครมากเกินไป เลยทำให้อึดอัดไปหน่อย และยิ่งทำให้รู้สึกว่าหนังยาวไปหน่อย แต่ยังไงๆนักแสดงเอกทั้งสองคน ทำได้ดีมากๆนะดูเป็นธรรมชาติดี และที่สำคัญ ปางอุ๋งสวยมากนะ อ่อเกือบลืม หนังเรื่องนี้มีความเป็นศิลปะมากนะ อาจจะเป็นเพราะอาชีพของตัวเอกด้วยล่ะมั้ง แต่ทั้งภาพถ่ายและภาพวาดสวยจริงๆนะ ยังไงๆลองไปดูกันนะ

และอีกเรื่องนึงที่ได้ดู แต่เรื่องนี้ดูที่บ้านนะ sex and the city น่ะ อยากดูมานานและ แต่เรื่องนี้ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี เอาเป็นว่าถ้าชอบก็ไปดูนะ หนักๆหน่อย แต่ไม่ผิดหวัง

ว่างๆช่วงนี้อ่านหนังสือ ต้นไม้ใต้โลก ก็ได้เห็นความคิดดีๆมากมาย และตอนนี้ก็มีอะไรสงสัยอยู่อย่างนึง ลองช่วยตอบกันหน่อยนะ เพื่อนๆคิดว่า ในโลกเราเนี่ย มีอะไรที่มันผลิดมาเยอะเกินไปบ้าง หรือว่ามีอะไรฟุ่มเฟือยบ้างน่ะ เมื่อวานฟังวิทยุเห็นสมาคมโรตารีบางรัก เค้ารับบริจาก cd ที่ไม่ได้ใช้แล้ว จะเอาไปทำรั้วกั้นช้าง อะไรสักอย่าง เรามานั่งคิดในใจเออว่ะ cd ในโลกนี้มันผลิดมาเกินไปเปล่าว่ะ ถ้าหารด้วยจำนวนคนบนโลก คนหนึ่งคนจะต้องเกิดมาพร้อมโควตา cd กี่แผ่นนะ ไม่น่าจะต่ำกว่า 10 แต่ทำไมมีคนตั้งมากมายไม่รู้จักหรือไม่เคยใช้ cd ในขณะที่คนบางคนมี cd ใช้แล้วเก็บไว้เต็มบ้านนะ

ทีนี้ลองใช้หลักการเดียวกัน รองเท้าในโลกนี้มีกี่คู่นะ เดินในห้างก็เห็นเต็มไปหมด แต่ทำไมบางคนไม่มีรองเท้าใส่นะ ทั้งๆที่ค่าเฉลี่ย คนๆนึงน่าจะเทียบแล้วมีรองเท้า 20 คู่ได้นะ ในโลกนี้น่ะ เสื้อผ้าเองก็คงไม่ต่างกัน ทำไมบางคนต้องหนาวและรอการบริจาค ทั้งๆที่เสื้อผ้ามันล้นโลกขนาดนี้ แปลกนะ

ลองคิดถึงสิ่งที่ไม่ใช่ขยะ อย่าง เพลง หนัง คนเรานี่ต่อหนึ่งคน ถ้าเทียบกับจำนวนเพลงในโลก คนๆนึงก็น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 20 เพลง 555 แต่ว่าชอบจริงๆไม่กี่เพลง และมีบางคนที่ไม่เคยฟังหรือฟังอยู่ไม่กี่เพลง แล้วจะแต่งมาทำไมเยอะแยะเนี่ย เอาแต่ที่ดีๆก็พอ และอย่างเช่น website เนี่ย เต็มโลก ทั้งๆที่คนบางคนไม่เคยเล่นเน็ตด้วยซ้ำ รุ้สึกกันหรือยัง ว่าโลกนี้มันฟุ่มเฟือยเลยไปมากจริงๆ

สุดท้ายอยากจะบอก รถในกรุงเทพแม่งเยอะมากว่ะ เห็นรถแล้วรู้สึกว่าคนเรานี่ แม่งไม่รู้จักช่วยกรุงเทพกันบ้างเลย แล้วบ่นรถติดๆ ก็แล้วมึงซื้อมาเพิ่มทำไมเล่า (กูก็จะซื้อ 55)

Somebody's Me

You'll always be in my life
Even if I'm not in your life
Because you're in my memory
You, will you remember me
And before you set me free
Oh listen please
Somebody wants you
Somebody needs you
Somebody dreams about you every single night
Somebody can't breath without you, it's lonely
Somebody hopes someday you will see
That Somebody's Me

รวมเล่ม 2. เอ คอมเปรซา ลา โคลาซิโอเน?

E' ComPreSa lA ColaZioNe?
เอ คอมเปรซา ลา โคลาซิโอเน?
รวมอาหารเช้าด้วยหรือไม่?
แปลกที่แปลกถิ่น แต่แค่รู้ว่าลืมตาขึ้นมาหลังจากการพักผ่อนอันยาวนานก็จะมีอะไรรองท้อง ดูแล้วปลอดภัยดีนะ อย่างน้อยก็ดูมั่นคง กว่าที่จะต้องตะลอนไปหาอะไรกินเอง ในเมืองที่ไม่รู้เลยว่า จะหาอะไรกินได้ที่ไหน

จะว่าไปแล้วอาหารเช้าก็ไม่ต่างจากเงินเดือน รู้สึกดีที่จะได้รับเงินเดือนตอลดทุกสิ้นเดือน ไม่ว่าจะทำงานดีหรือแย่ขนาดไหน ดูแล้วปลอดภัยดีนะ อย่างน้อยก็ดูมั่นคง กว่าที่จะต้องตะลอนหางานเป็น job ไปเรื่อยๆ

ว่าแต่ว่ามันมีจริงๆหรือความมั่นคงน่ะ ถ้าพรุ่งนี้เราป่วยหนักหรือพิการ บริษัทเค้าจะให้เราทำงานต่อไปหรือเปล่านะ ถ้าไม่ให้ แล้วมันจะเรียกว่ามั่นคงได้หรือเปล่านะ บริษัทมั่นคงแต่ตัวเราไม่ได้มั่นคงไปด้วยนี่นา

นั่นสิ บางคนถึงไม่ชอบที่จะรวมอาหารเช้าด้วย เพราะรู้ว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน ออกไปหาอะไรกินเองอาจจะอร่อยกว่าก็ได้ แล้วคุณล่ะ ปกติชอบรวมอาหารเช้าด้วยหรือไม่? หรือว่าถนัดหากินเอง แต่ไม่มีใครรับประกันนะ ว่ามันจะอร่อยกว่าน่ะ แต่อย่างน้อยคุณก็ได้เลือกเองล่ะนะ

แวมไพร์ ทไวไลท์

ไปดู twilight มาล่ะ ชอบมากเลย เนื้อเรื่อง ภาพ เสียง ทุกอย่างพอดีหมด เป็นหนังที่มีสเน่ห์มากๆนะ ชอบจัง

คุณๆรู้กันหรือเปล่าว่าทำไมเราถึงชอบดูหนัง แต่ละคนอาจจะมีเหตุผลแตกต่างกันไปนะ แต่สำหรับผม หนังทำให้ผมเป็นได้ทุกๆอย่างที่ผมอยากเป็น อย่างเช่นเมื่อวานผมก็ได้เป็นแวมไพร์

คนธรรมดาๆอย่างผม สามารถปลดปล่อยจินตนาการได้สองที่ ก็คือในหนัง กับในหนังสือนั่นเอง นึกออกหรือเปล่าว่าเวลาคุณๆอ่านหนังสือน่ะ เสียงบรรยายก็จะเป็นเสียงเราเอง หรือไม่เสียงพระเอกหรือนางเอก ก็จะเป็นเสียงเราเอง มันปลดปล่อยจินตนาการดีจะตาย แต่เวลาดูหนัง ถึงแม้จะไม่ใช่เสียงเราเอง แต่เราก็มองที่จอ เห็นแต่หน้าพระเอก นางเอก ไม่เห็นหน้าตัวเราเอง เพราะฉะนั้นมันก็ไม่น่ายากที่เราจะจินตนาการว่าเราเป็นตัวละครในนั้น เพราะฉะนั้นนอกจากผมจะเป็นแวมไพร์แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ยังใช้วิชาดูหลำ ขี่ปลากระเบนมาแล้วด้วย 555

ยังไงขอให้สนุกกับหนังที่ทุกๆคนชอบกันให้เต็มที่นะ นี่ผมว่าจะไปซื้อหนังสือ twilight มาอ่านด้วยนะนี่ จะได้จินตนาการให้ตัวเองเป็นแวมไพร์ให้เต็มที่ แล้วถ้าใครอยากถูกกัดคอก็บอกนะ จะจัดให้

ตื่นมาทำตามฝันแต่เช้ากันนะ ก่อนที่มันจะสาย

ช่วงสองสามวันนี้ ได้ทำอะไรหลายอย่างเลยนะ
ไปสวนทานตะวัน
เขื่อนป่าศักดิ์
สวนรถไฟ
ดูหนัง original sin
ดูซีดีคอนเสิร์ต เฉลียง
คอนเสิร์ต sevendivas
ดูบอลไปก็หลายแมตซ์
เหมือนจะสบายใจดีนะ แต่เหมือนจะอึดอัดยังไงไม่รู้ อย่างว่าล่ะ เรากำลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตนี่นา

เค้า ว่ากันว่า เทียนมาต่อไฟให้เทียนอีกอัน เทียนอันเดิมก็ไม่ได้ดับไป ตอนนี้ก็อยากได้เทียนอีกอันมาต่อให้เราเหมือนกันนะ ใกล้หมดไฟและ

ชีวิตมันแปลกอยู่อย่างนะ เวลาเรามีความฝัน แน่นอนล่ะความฝันปกติก็ต้องมาตอนดึก แต่ถ้าไม่รีบตื่นมาทำตามฝันในตอนเช้า สักพักมันก็จะสาย เหมือนที่เราๆกำลังสายกันอยู่ทุกวัน

แต่ไม่ต้องกลัวนะ ยังไงเช้ามันก็มาใหม่ๆทุกวันล่ะ เพียงแต่อย่าท้อที่จะฝันในตอนดึก แล้วก็ตื่นให้ทัน เผื่ออะไรๆมันจะเช้าสำหรับเราบ้าง

สัพเพเหระกับวิวาทะการชอปปิ้ง

ไม่ได้เขียนมา 3 - 4 วัน เลยนะ เหงาๆมือเหมือนกันนะนี่ 3 - 4 วันนี้ ได้ไปเที่ยวมา 2 ทริป บวกกับดูซีดีคอนเสิร์ตอีก 1 อัน เล่าอะไรให้ฟังก่อนดีล่ะ

เอาอันนี้ก่อนดีกว่า ซีดีคอนเสิร์ต น่ะ ดูแล้วคนที่จะต้องนั่งดูด้วยกันน่าจะชอบ ก็เลยซื้อมาดูกัน sevendivas น่ะ เคยได้ยินกันป่ะ พวกนักร้องสาวๆ(หรือเปล่า)ขั้นตำนาน ของแกรมมี่น่ะ ฟังเพลงเก่าๆ เย็นๆ สบายๆ แล้วรู้สึกดีนะ

ความ ประทับใจส่วนตัวก็มี พี่ศรัณย่า เค้าชื่อเล่นไรหว่าไม่แน่ใจ แต่ร้องเพลงเหมือนแทบไม่ต้องออกแรงอะไรมาก แต่ขึ้นเสียงได้สูงมากๆ จังหวะลงมาเสียงต่ำก็นิ่งมาก ไม่มีเพี้ยนแม้แต่นิด ตัวก็นิดเดียวเอาแรงมาจากไหนกันหว่า

พี่อุ๊ เสียงแกเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว บุคลิกก็เป็นเอกลักษณ์นะ แกร้องท่อน แค่หลับตาาาาาาาาาาาาาาาาา โห เทพมากจริงๆ เอาลมมาจากไหนเยอะแยะนะ แต่ที่ชอบจริงๆ คือตอนที่พี่แอมถามว่า ตอนไม่ได้ร้องเพลง ไปทำไรมา หุหุ พี่อุ๊เค้าตอบ ทำค่ายมวย 555 ไม่ได้ล้อเล่นนะ ทำจริงๆ เข้ากับบุคลิกแกจริงๆว่ะ 55

คนสุดท้ายประทับใจ คุณโบ สุนิตา เนี่ย แกร้องเพลงถึงดีอ่ะ เพราะดี แต่อันนั้นใครก็รู้อยู่แล้ว แต่ที่ประทับใจคือ มีเพลงนึงที่พี่ดี้แต่งเพื่อฉลอง 1 ล้านตลับ ของพี่โบ เนี่ย ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่ามันจะเคยเกิดขึ้น ในประเทศนี้ ลองคิดดูว่าถ้าคนไทยมี 60 - 70 ล้านคน และไม่มีใครที่ซื้อคนละ 2 แผ่น นั่นหมายความว่า 60 - 70 คน ต้องมี 1 คนซื้อซีดีชุดนั้น

นั่นหมายความว่า ในรถเมล์แน่นๆ คันนึง ต้องมีอย่างน้อยคนนึงซื้อซีดีชุดนั้น และถ้าบีบมาแค่คนกรุงเทพอย่างเดียว นั่นหมายความว่าในรถเมล์ไม่ต้องแน่นมากคันนึง ก็ยังต้องมีอย่างน้อยคนนึง ซื้อซีดีชุดนั้นนะ 555

จริงๆแล้วก็แอบอิจฉาพี่ๆทั้ง 7 คนนะ ที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก มาเป็นเวลายาวนาน และยังมีคนติดตามและเฝ้ารอจะเสพผลงานของเค้าเหล่านั้น ไม่รู้ว่าเค้าคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั่นเป็น "งาน" ของเค้าหรือเปล่านะ อยากมีงานอย่างนี้บ้างซะแล้วสิ
อ่ะ ใครสนใจก็อย่าลืมไปหาชมนะ ทางไหนก็แล้วแต่ มิได้เป็นนายหน้าแต่ประการใด

มาว่ากันถึง 2 ทริป ที่เกริ่นตอนแรกกันดีกว่า เล่าให้ฟังซะ 1 ทริปก่อนเลย ตั้งชื่อทริปว่า "เดินเซ็นทรัลลาดพร้าว ช็อปซะใจร้าวไปครึ่งหมื่น" อิอิ ก็ไม่มีไรมากแค่อยากจะบอกว่า เสียตังค์แล้วสบายใจจริงๆ

อ่ะ พูดกันตรงๆ วันนั้นหมดไป 5000 กับการไปเดินเซ็นทรัลลาดพร้าวไม่น่าจะเกิน 4 ชม. เสียค่าอะไรบ้างน่ะเหรอ ก็พันนึง หมดไปกับเสื้อสองตัวและตุ้มหู อันนี้ไม่ถือ ชีลๆมาก อีกพันนึงก็หมดไปกับกินฟูจิและซื้อข้าวปั้นของโออิชิราเม็งกลับบ้าน

อีกพันห้าหมดไปกับเครื่องสำอางค์ของที่รัก 555 ส่วนอีกพันนึงหมดไปกับหนังสือ 2 เล่มและบัตรดูบอลทีมชาติไทย

สรุปว่าจะเล่าให้ฟังแค่สามส่วน คือ เครื่องสำอางค์ หนังสือ และทีมชาติไทย เนอะ

เออ แต่ว่าพอดีแวะไปอ่านกระทู้มาอ่ะ อยากไปดูฝัน หวาน อาย จูบ อ่ะ เข้าวันคริสมาสต์นะ 25 ธันวา หวังว่าคุณๆคงไม่ต้องไปดูคนเดียวกันนะ วันคริสมาสต์คงอยากจะอยู่กับใครสักคนนี่เนอะ หุหุ บ้าไปแล้วตรู

เอ้าๆ เครื่องสำอางค์ ก็พอดีที่รักไปซื้อ เราก็ไปนั่งรอดูเค้าแต่งๆหน้ากัน สักพักก็เลยขี้เกียจรอ ไปร้านหนังสือดีกว่า พอกลับมา ที่รักก็บอกว่า B.A. ที่ซุ้มเครื่องสำอางค์ ชมว่าแฟนหล่อ หุหุ 555 เค้าเป็นคนจริงๆใจดีนะ เห็นอะไรก็พูดอย่างนั้น กร๊ากกก

ตอน ไปร้านหนังสือก็อยากไปหา สองเงาในเกาหลี มาอ่านนะ แต่ว่าหาไม่เจอเลยอ่ะ กี่ร้านก็ไม่มี เลยไปถอย คุยกับประภาสเล่ม 2 มาและก็ต้นไม้ใต้โลก มาอ่านอ่ะนะ แต่เรื่องที่จะเล่าให้ฟังที่ร้านหนังสือ มันคือเรื่องนี้

เคยไปร้านหนังสือ แล้วหาหนังสือเรื่องที่เราอยากอ่าน ไม่เจอกันหรือเปล่า เดินหาเท่าไรก็หาไม่เจอ แล้วคุณๆทำยังไงกัน ?

สำหรับผมก็คือถามพนักงาน หรือไม่ก็หาเครื่องคอมพ์ที่ไว้ใช้ search หนังสือ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนหายากกว่ากัน
บาง ร้านพนักงานก็ให้ความร่วมมือดี แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าหนังสืออยู่ไหน คือให้ความร่วมมือไง แต่ก็หาดุ่ยๆแบบเราหานี่ล่ะ แล้วมันจะมีประโยชน์มั้ยนี่

ส่วนใหญ่ผมเลยใช้วิธีหาเครื่องคอมพ์ แต่ปรากฏว่า แทบจะไม่เคยเจอ ไม่ใช่ไม่เจอหนังสือนะ ไม่เจอเครื่องคอมพ์นี่ล่ะ

ทำไมมันวางอยู่จุดที่มันมองเห็นยากจังวุ้ย และปัญหาต่อไปที่เจอคือ ต่อให้เห็นคอมพ์ก็ใช้มันยากมาก โปรแกรมไม่ได้ถูกออกแบบมาให้คนที่ไม่ใช่พนักงาน ใช้แน่ๆ

จากนั้นทำยังไงกัน ก็ไปหาพนักงานให้ search ให้หน่อย และจากประสบการณ์ตรงๆก็คือ แม่ง search ดุ่ยๆ พอกัน 555 มั่วเหมือนกัน

แต่ดีกว่าเรานิดเดียว 555 แต่ก็เอาเถอะ ยังดียังช่วยเรา แต่สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดก็คือ เวลาที่เราเดินไปหาพนักงานแล้วบอกว่า จะให้ช่วย search หนังสือให้หน่อย

เค้าจะทำหน้าแบบว่า มึงอะไรเนี่ย มึงทำตัวประหลาดนะ มาค้นหนังสืออะไรนี่ ใช้คอมพ์กูทำไม อะไรประมาณนี้ คือแบบ กูจะหาหนังสือนะเว้ย ไม่ได้จะมาแย่งแฟนมึง แสรดดดด

กูหาเจอ กูซื้อนะเว้ย ไม่ได้จะยืมไปอ่านบ้าน แล้วไม่เอามาคืน เวรกำ มองยังกะกูตัวประหลาด แสรดดดดด
พอล่ะยิ่งเล่าก็ยิ่งเซ็ง

เรื่องสุดท้าย ทีมชาติไทยกันดีกว่า ตอน แรกว่าจะไปวันที่ 6 เจอเวียดนาม นัดแรก แถมยังมีลาวกับมาเลเซียเป็นคู่แรกให้ชม แต่ดันทำงาน ไปไม่ได้เซ็งมาก พอวันที่ 8 จะไปดูเพราะเป็นวันธรรมดาเห็นว่าน่าจะคนเยอะ แต่ พอ ไปดูโปรแกรม เจอลาวอ่ะ ไม่ค่อยอยากดู เอาวะ ไปดูนัดวันที่ 10 ก็ได้ เจอมาเลเซีย แต่วันนี้ไม่มีคู่แรกว่ะ ก็เลยจะได้ดูคู่เดียว แถมยังอาจจะเข้ารอบไปแล้วอีกด้วยนะ เอาตัวสำรองลงเปล่าไม่รู้

แต่ก็นะ คนไทยอ่ะ ก็ต้องดูบอลไทยสิ แล้วกลับมาทำงานห้าทุ่มด้วยนะเราอ่ะ บอลเตะทุ่มครึ่งจะกลับทันเปล่าวะนี่
มันแปลกหรือเปล่านะ ที่เราวิ่งไล่หาซื้อบัตรไปดูบอลไทย ในขณะที่รอบกาย ยังมีแต่คนเถียงกันเรื่อง บิ๊กโฟร์ 555
ปีเตอร์ รีดยังบอกว่า อยู่ที่นี่ได้ดูพรีเมียร์ลีก มากกว่าตอนอยู่อังกฤษอีก ภูมิใจกันหรือเปล่าล่ะ พี่ไทยเอ๋ย

ทุกวันนี้คนไทยบางคนยังไม่รู้เลยว่าลีซอเล่นเป็นยังไง ทั้งๆที่คนเบลเยียมเค้ากำลังจะได้รู้แล้ว 555
ช่วยๆกันหน่อยเว้ย รอแฟนแมนยู ลิเวอร์พูล มันมาเชียร์ทีมชาติไทยให้ มันคงไม่มาหรอก หุหุ

ว่าแล้วก็อยากไปดูจริงๆนะนี่ เมื่อไรจะถึงวันนนนน เฮ้อ วันนี้ไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยมาเล่าเรื่องอีกทริปให้ฟัง ทริปดอกทานตะวันนั่นเอง หุหุ

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หนังที่อยากดู เพลงที่อยากฟัง

หนังที่อยากดู เพลงที่อยากฟัง จะซื้อก็เสียดายตังค์ แต่เคยถามใจบ้างหรือยัง ว่าแล้วมึงจะเอาตังค์ไปทำอะไร

พรุ่งนี้ตอนแรกจะต้องไปอบรม เรื่องที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ใช้ ไม่เกี่ยวกับเรา 555 ได้ตังค์ 1000 นึงนะถ้าไป แต่ก็ไม่รู้จะเอาตังค์ไปทำอะไร ซื้อเวลานอนยังไม่ได้เลย

เอาล่ะ มามะ ล้อมวงกันเข้ามา จะเล่าอะไรให้ฟัง คุณ เคยจะซื้ออะไรแล้วรู้สึกว่ามันเปลืองเงินหรือเปล่า? คุณเคยมองของสิ่งนั้นด้วยแววตาเป็นประกาย อยากได้อย่างสุดซึ้ง แต่ราคามันไม่พอดีกับเงินในกระเป๋าเราหรือเปล่า? แล้วถ้าเราสามารถห้ามใจไม่ซื้อไอ้ของนั้นได้จริงๆน่ะ เคยสังเกตหรือเปล่าว่าแล้วสุดท้ายเราเอาเงินส่วนนั้นไปทำอะไร?

บางทีอยากไปดูคอนเสิร์ตบัตร 2000 แพงว่ะ เสียดายนะ วงนี้ชอบด้วย ไม่เอาอ่ะประหยัด เดี๋ยวค่อยซื้อซีดีมาดูก็ได้ แล้วก็จะรู้สึกปลาบปลื้มใจ ที่สามารถประหยัดได้ ว่าแล้วเย็นนี้ไปกินพิซซ่าดีกว่า ??? โดนไปก่อนเลยเกือบ 1,000 พออีกวันจะไปดูหนัง ไปดิๆ เราไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตแล้วนี่ ดูหนังกินข้าวสมัยนี้ก็ซัดไปอีกใกล้ 1,000 หมดแล้วนะตังที่จะไปดูคอนเสิร์ตน่ะ

แถมพอคอนเสิร์ตออกมาก็ต้องซื้อซีดีอีก ก็ไปยืนอยู่หน้าซีดีที่ร้าน แล้วบอกกับตัวเองว่า แพงว่ะ เสียดาย 555
เอา อีกเรื่อง นี่เจอกับตัว พอดีวันนั้นไปเจอหนังสือดีๆ จำชื่อเรื่องไม่ได้และ ราคาประมาณ สองร้อยถึงสามร้อย อยากได้ว่ะ แต่แม่งแพง เสียดาย แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่มีไรอ่านเลย เอาไว้ก่อนละกัน ซื้ออย่างอื่นไปอ่านก่อน เดินหยิบ FHM มา 100 นึง ??? นั่งอ่านๆดูรุปไปสองวันจบ เวรกำ แล้วสุดท้ายก็ไปซื้อไอ้เล่มนั้นมาอยู่ดี สรุปแล้วเสียมากกว่าเดิมอีกกู ใครเป็นเหมือนกันมะ


ว่ากันถึงโลกปัจจุบันนี้นะ ทุกวันนี้เราเองอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลยี เพลง หนัง ภาพ หนังสือ มันมาอยู่ในมือ ง่ายกว่าเดิมเยอะ แต่มันไม่ได้มาในรุปของเพลง หนังหรือภาพ อะไรนั่นหรอกนะ มันมาในรูปของข้อมูลต่างหากแทนที่จะถามกันว่าราคาเท่าไร ก็กลายเป็น dot อะไร หรือว่า กี่ meg อะไรทำนองนี้


ว่าแล้วก็เล่าให้ฟังอีก วันนั้นไปเดิน major รัชโยธิน ไปยืนดูซีดี groove rider อัลบั้มแรก ไม่เคยฟังทั้งอัลบั้มไง ฟังแค่บางเพลง จริงๆอยากได้ทั้งสองอัลบั้ม แต่ มันแพงว่ะ เสียดาย 555 ก่อนหน้านี้เที่ยวไปถามทุกคนเลยว่า มี mp3 ทั้งอัลบั้มหรือเปล่า แต่พอกูมายืนดูที่หน้าอัลบั้ม เห็นหน้าพี่บุรินทร์แล้ว สงสารว่ะ (เค้ารวยกว่าเรานะ น่าสงสารมั้ยเนี่ย) ถ้าชอบอย่างกูยังหาฟัง mp3 แล้วพี่เค้าจะทำเพลงต่อเปล่าวะ ว่าแล้วก็ละสายตาจากมัน


เดินดูหนังในร้านต่อ สะบายดีหลวงพระบาง อยากดูว่ะ ร้อยกว่า หนังฝรั่งอีกหลายๆเรื่องอยากดูว่ะ ตอนนั้นดูในโรงไม่ทัน ร้อยกว่าบาท เสียดายว่ะ ก็ทุกๆเรื่อง น่ะ เพื่อนๆก็มีโหลดมาหมดแล้ว ก็แค่ไปก๊อปมาเท่านั้นเอง นั่นดิ แต่ถ้าไม่มีใครโหลดก็โหลดเอง หรือไปบอกให้เพื่อนโหลด ก็น่าจะได้และ ไม่น่ามีปัญหา ว่าแล้วก็เดินออกจากร้านตัวปลิว ไม่ได้อะไรกลับมา แต่ก็ไม่ได้เสียเงินเลยสักบาทนะ ดีใจเว้ย อย่างน้อยก็ไม่เปลือง ว่าแล้วก็ชวนแฟนไปกิน Fuji แล้วก็ต่อด้วย swensen(เขียนถูกเปล่าวะ)??? แล้วกูจะประหยัดไปทำไมวะ


ยังไงๆการที่มีวันว่างแล้วไปดูหนังสักเรื่อง หรือซื้อหนังมาดูสักเรื่อง น่าจะดีกว่าการที่โหลดดดด มาไว้เต็มบ้านเต็มช่อง แล้วก็ต้องมาทรมานนั่งดู ทั้งๆที่ไม่ได้อยากดู แต่เหมื อนเป็นหน้าที่ อย่างนี้ตลกดีนะ 555


หรือว่าการอ่านหนังสือ ที่บางคนบอกว่าซื้อทำไม ในเน็ตก็มี ใจคอมึงจะให้กูอยู่แต่ไอ้หน้าจอสี่เหลี่ยมนี่หรือไงนะ เวลาจะขี้ ยกมันเข้าไปอ่านได้มะ แสรดดดดด


เวลาซื้อหนังสือที่ภาพสวยๆก็เหมือนกัน บางคนบอกดูในเว็บก็ได้ มันก็ไอ้เหมือนๆกันล่ะ รูปที่ล้างมามันก็ต้องมี feeling มากกว่ารูปในคอมพ์อยู่แล้ว เชื่อกูดิ


เออ แทรกมาเรื่องนึง วันนั้นดู แปลกคนแปดวัน ดีว่ะ ดูกับแฟน แฟนก็ชอบ บอกเพื่อนไป เพื่อนไปซื้อดู บอกกูลงทุนซื้อมาเลยนะ แต่เอาบันเทิงไม่ได้เลย ไหนมึงบอกว่าดีไง 555 ก็แล้วกูบอกมึงเหรอว่ามันบันเทิง ดีของกูคนเดียวไง 555


เรื่องหนัง ภาพ หนังสือไรนี่ เรื่องเล็กๆ เลยนะ ถ้าเทียบกับเรื่องเพลง กับเทคโนโลยีสมัยนี้ น้องบางคนบอกว่าชอบนักร้องญี่ปุ่นหรือเกาหลี มานานนนนนนนนตั้งแต่เด็กๆ มีทุกชุด เราถามว่าซื้อเหรอ น้องบอก เปล่า ตามโหลด หุหุ วันหลังเค้ามาบ้านเรา ก็เอา princo ไปให้เค้าเซ็นต์ลายเซ็นต์นะ เค้าจะได้ดีใจ 555 แต่จริงๆแล้วไม่ได้ว่าใครผิดนะ มันก็เป็นเรื่องของแต่ละคนน่ะ บางคนโหลด mp3 เพลงฝรั่งมา ไรท์ใส่แผ่น ทำ screen หน้าแผ่นอย่างดี อิอิ ชอบวงนี้มาก แต่เดี๋ยวนี้เค้าไม่ซื้อกันแล้ว 555 เอาๆ นักร้องเค้าน่าจะได้ดีใจ ไรท์เก็บเชียวนะ


ว่าแต่ไอ้เดี๋ยวนี้ไม่ซื้อนั่น เค้ากำหนดมาจากไหนหว่า งงๆ ว่าแต่คนอื่นเขา เราเองทุกวันนี้ยังไปยืนมองหน้าพี่ป๊อป แคลอรี่ บลาๆ ที่ 7-11 ทุกวัน 555 ตัดใจซื้อไม่ได้ เปลือง ฟังวิทยุเอาเว้ย หนังก็ดูใน true vision ได้เว้ย 555 ว่าแล้วไปกินพิซซ่ากัน 555


บางคนเห็นเราซื้อ soccer บอกเปลืองว่ะ เล่มตั้ง 18 บาท ยืมอ่านหน่อยดิ 555 แล้วพอเย็นก็ไปกินเหล้ากัน นั่นเปลืองกว่ากูอีกนะนั้น soccer เดือนนึงเอาเต็มๆ ยัง 540 เอง 555


อย่างว่า คนเรามันก็ใช้เงินไม่เหมือนกัน ไอ้ที่บอกว่า หนังไม่ต้องซื้อ ให้โหลดเอา หรือเพลงไม่ต้องซื้อ คอนเสิร์ตไม่ต้องดู ก็ไม่เห็นจะเหลือตังค์เก็บกันเล้ยยยย


เรื่องสุดท้าย บอลไทยเตะแล้วนะ เดือนหน้า แลกเวรไมได้อ่ะ อยากไปดูมากมาย แต่ก็จะพยายามไปให้ได้นะ มัวไปรอพวกแฟนแมนยู ลิเวอร์พูล เค้ามาเชียร์ทีมชาติไทย คงยากอ่ะ เราไปเชียร์ของเค้าง่ายกว่า 555


สุดท้ายอยากจะบอกว่า จนถึงวันที่ศิลปิน ไม่ได้มาจากฝีมือ แต่มาจากการโหวต วันที่เพลงไม่ได้ถูกเปิดเพื่อฟัง แต่ถุกเปิดเพื่อคลอเวลาเล่น msn หรืออ่านเว็บ หรือทำงาน คุณค่าของศิลปินและเพลงจะลดลงหรือเปล่านะ ว่าแล้วที่ไม่ไปดู groove my dog น่ะ ก็จะเอาเงินมาดูบอลไทย และซื้อหนังสืออื่นๆมาอ่านนะ ไม่ได้ประหยัดหรอก 555


แล้วสรุปว่าการที่เรายังคงเชื่อในการจ่าย เพื่อแลกกับผลงานของเค้า และมาสร้างความสุขให้กับเรา มันผิดหรือเปล่านะ หรือว่าเราจะอยู่ผิดที่จริงๆ ที่นี่มันดินแดนแห่งการโหลดกับอินเตอร์เน็ตนี่นะ

เข้าเวรดึกแห่งวันสับสน รู้สึกว่าตน "ธรรมดา" (C+)

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552เข้าเวรดึกแห่งวันสับสน รู้สึกว่าตน "ธรรมดา" (C+)
- ฟุตบอล ไม่ได้ดูสักคู่เลยวันนี้ จะหาดูเทปโรมดาร์บี้แมตซ์ซะหน่อย ก็ไม่ได้ดู แย่ๆ เต็ม 10 ให้ 2 สำหรับความพยายามหาดู

- หนัง ซื้อ original sin มานะ ชอบทั้งแบนเดอรัส และ โจลี่ แต่ยังไม่มีเวลาดู ดูแล้วจะมาเล่าให้ฟังนะ เต็ม 10 เอาไป 6 เพราะก็ซื้อมาแล้วนี่ แค่ยังไม่ได้ดู

- หนังสือ ยังอ่าน "หมอก" ไม่จบ เหลือเรื่องของ จิมมี่ เลี่ยว คนสุดท้ายและ ตามไปดูผลงานเค้ามานิดๆด้วย เหงาๆดีนะ เจ้าหมีกากบาท เต็ม 10 เอาไป 5 เหมือนอ่านไม่ค่อยเข้าหัวยังไงไม่รู้ อาจเพราะบางคนเราไม่สนใจมั้ง

- วินนิ่ง วันนี้เล่นไปประมาณ 7 แพ้ไป 2 แต่ดันเป็นอิตาลีทั้งสองนัด เจ็บปวดๆ เต็ม 10 เอาไป 5 แมตซ์อื่นฟอร์มดีหมด แต่เล่นอิตาลีดันแพ้ น่าเขกกะโหลก

- อาหาร วันนี้ได้กินพิซซ่า หลังจากไม่ได้กินมานาน ดีใจที่สุด เอาไป 10 เต็ม 10 -

เพลง วันนี้ชอบ "ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น" groove rider ชุดแรก "เพราะฉันไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่ได้คิดอย่างนั้นไม่ได้คิดแค่นั้นอย่างที่เธอเข้าใจ มันมากกว่าแค่เพื่อนกัน เธอรู้ไหม" เอาไป 8 เต็ม 10 ฟังน้อยไปหน่อยอ่ะ แป๊ปเดียวต้องออกจากบ้านและ

- ทีวี ชอบ V.I.P นะ ตำรวจจราจรในพระราชดำริน่ะ ที่ทำคลอดกลางถนนได้น่ะ พูดถึงในหลวงนะ ตาเค้าเป็นประกายกันเชียว ทำดีต่อไปนะครับ เอาใจช่วยๆ แต่ให้ 7 เต็๋ม 10 พอนะ ก็วันนี้ดูทีวีนับครั้งได้เลยนี่

- กระทู้ วันนี้ไม่มีไรโดนใจมากนะอ่านฆ่าเวลาเฉยๆ แต่ก็เยอะพอควร เอาไป 5 เต็ม 10

- คำคม “เจ็บปวดที่สุด ณ จุดใด ต้องทำแผลให้สวยที่สุดตรงจุดนั้น” เอามาจากเจ้าหมีกากบาทของ จิมมี่ เลี่ยวล่ะ เอาไป 6 เต็ม 10

- อื่นๆ วันนี้ไอ้เตสบอกไม่อยากไปเกาะล้าน เพราะอยากเที่ยวเต็มๆแบบไกลๆ แล้วมึงจะเสียใจที่ไม่ไป ถ้านั่งมองทะเลแล้วกุมมือกัน ฟังเพลง ซัดเหล้าปั่น ยังไงๆ ก็รักมึงแน่ ไม่เชื่อกูก็แล้วไป แสรดดดด เอาไป 6 พอ จะให้ 5 แล้ว แต่อย่างน้อยมึงก็บอกกู 5555

สุดท้ายวันนี้ 66 เต็ม 100 ผ่านวันนี้ไปได้ด้วย C+ แกนๆจริงๆชีวิตกูเนี่ย สิ่ง ที่จะทำต่อไปจากนี้ก็ ลดพุงก่อนวันเกิด และซื้อหนังสือของทรงกลดมาอ่าน สองเงาในเกาหลีก่อนเลยดีมั้ง เออว่าแต่ พวกคุณทนกันได้ยังไง ที่จะเป็นแค่คน "ธรรมดา" ผมล่ะอยากจะรู้จริงๆ
ไปล่ะ เหล่าคนธรรมดาทั้งหลาย

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

รวมเล่ม 1.จุดสูงสุดของชีวิต

"จุดสูงสุดของชีวิต"
เปรียบไปก็เหมือนกับยอดเขา
ทุกๆคนต่างอยากจะไปสัมผัส
ตั้งหน้าตั้งตา มุ่งหน้าไปหายอดเขา
จนกระทั่งวันนึงก้าวไปถึง
ดีใจอยู่ชัวครู่นึง
มองไปรอบๆกาย
ไม่เห็นใครอีกแล้ว
เพื่อนๆ ครอบครัว
สิ่งต่างๆรอบกาย
"หายไปหมด"
ระหว่างทางขึ้นมาไม่ได้สังเกต
ว่าใครตามเรามาบ้าง
มาทันหรือว่าไม่ทัน
"คิดถึงแต่ตัวเอง"
พอนึกได้ตัดสินใจเดินลงจากยอดเขา
มาคราวนี้ไม่ได้มีความมุ่งมั่นที่จะไปสู้จุดหมายเป็นแรงผลักดัน
แต่ใช้ความอิ่มเอิบที่เพิ่งไปสู่จุดสูงสุดมาเป็นแรงผลักดัน
คราวนี้ไม่เดินเร็วเหมือนตอนขึ้น
แต่เดินช้าๆชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ
ได้ความสุขกายสบายใจ ถึงข้างล่างช้าหน่อย
แต่ไม่ขาดหายอะไรไป
"นั่นก็เหมือนชีวิต"
วัยหนุ่มที่มุ่งหาความสำเร็จจนลืมไปทุกอย่าง
แต่ถ้าใครโชคดีที่ไปถึงเร็ว
อาจจะมีเวลาพอที่จะเดินกลับมา
ชมวิวหรือพบปะเพื่อนๆที่ยังไปไม่ถึง
แต่ถ้าใครไปถึงช้าหรือว่าไม่ถึงก็อาจจะไม่มีโอกาสเหล่านี้
แต่มีไม่กี่คนหรอก
ที่จะได้ลงในทางเดียวกับที่ขึ้นไป
คิดดูให้ดีๆนะ
ถึงช้าหน่อย
แต่ถึงพร้อมๆกัน
และเห็นวิวไปด้วยกัน
น่าจะดีนะ
"หรือถึงแม้จะไปไม่ถึง"
แต่ระหว่างทางก็ยังได้ชมวิวที่สูงขึ้นมาเรื่อยล่ะน่า