วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

my planet

ดาวของผม ผมไม่รู้นะว่ามันชื่อว่าอะไร เพราะเพิ่งเคยไปเมื่อไม่นานนี้ แต่ว่าแฟนผมเรียกดาวของผมว่า "ดาวนกกระจอกเทศ" แฟนผมรู้จักนะเพราะเราอยู่ดาวข้างๆกันแต่เราไม่ได้อยู่ดาวเดียวกัน ดาวของผมไม่มีการแก่งแย่งชิงดีกันไม่ว่าเรื่องอะไร เพราะคนในดาวผมขี้เกียจแก่งแย่งกัน คนที่นั่นไม่ค่อยสนใจเทคโนโลยีเท่าไรถ้ามันไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น ความสะดวกสบายบางครั้งไม่ได้หมายความว่าชีวิตดีขึ้นนะ คนที่ดาวผมเค้าคิดกันอย่างนั้น ดาวของผมไม่มีการโหลดบิทนะ หนังกับเพลงก็มีนะดาวผม แต่เราคุยกันเรื่องของความหมาย ไม่ใช่ความชัดหรือขนาด จะเป็น VCD หรือ DVD ไม่สำคัญเท่าความหมายของหนังมัน D หรอกนะที่ดาวผม ที่ดาวผมผู้ชายสามารถซ้อนมอเตอร์ไซต์ผู้หญิงได้นะ ไม่ต้องอายใครผู้ชายกับผู้หญิงใช้ชีวิตไปด้วยกันได้ เดินคู่กัน ไม่ต้องมีใครนำ ดาวผมเป็นอย่างนั้น ดาวผมให้ความสำคัญกับความสุข มากไปกว่าทุกๆเรื่อง เมื่อใดก็ตามที่อยากทำอะไรที่ทำแล้วมีความสุขโดยไม่ต้องเบียดเบียนใคร คนที่นั่นเค้าทำเลยนะ ไม่ต้องอายใคร ดาวผมสามารถมีแฟนที่หน้าตา รูปร่างแบบไหนก็ได้ ขอแค่เค้ารู้จักดาวของตัวเองและดาวของผมเท่านั้นเป็นพอ และกีฬาเดียวที่มีในดาวของผมคือฟุตบอลและที่ดาวของผม เราสามารถที่จะเสพฟุตบอลได้ทุกทางโดยไม่ต้องอายใคร และสามารถเสพฟุตบอลของประเทศตัวเองได้ โดยที่คนที่นั่นไม่คิดว่าฟุตบอลของประเทศตัวเองไม่น่าเสพแต่อย่างใด ดาวผมเป็นอย่างนั้น นี่คือเรื่องคร่าวๆ ที่ดาวผมและคนบนดาวผมเป็นกัน เราเป็นอย่างนี้ทุกคน เลยไม่ต้องอายใคร และสุดท้ายที่ผมพอจะนึกออกก็คือ ในดาวผมการศึกษาแค่เพียง 4 ปี ไม่สามารถบังคับให้เราเป็นอะไรต่อมิอะไรได้ แต่สิ่งที่เราเลือกเองต่างหากที่เราพร้อมที่จะเป็น สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขต่างหาก คือสิ่งที่เราพร้อมจะทำ แต่ถ้าอะไรๆในชีวิตคุณไม่ได้เป็นแบบนี้ ไม่ต้องแปลกใจนะ ก็คุณไม่ใช่คนบนดาวนกกระจอกเทศนี่นา แต่ดาวผมไม่ได้ชื่อนี้หรอกนะ แฟนผมเรียกมันอย่างนั้นต่างหาก

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

planet

ผมเพิ่งได้อ่านหนังสือเล่มนึงจบไป ตัวเอกในหนังสือเป็นคนที่หน้าตาธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ อยู่ในโลกใบนี้ ใบเดียวกับผมและคุณ แต่แล้วเหตุการณ์ๆหนึ่ง ก็ทำให้เค้าได้รู้ว่า ตนเองไม่ได้เป็นคนของโลกใบนี้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อโลกใบนี้ และไม่ได้มีรกรากอยู่ที่นี่ เค้าเป็นมนุษย์ต่างดาว และเค้ากำลังหาวิธีกลับดาวบ้านเกิด สุดท้ายเค้าก็ได้กลับดาวบ้านเกิด โดยวิธีที่เค้ากลับก็คือวิธีที่หนังสือเล่มนี้แนะนำคนที่ได้อ่าน รวมทั้งผม หรือรวมทั้งคุณๆ วิธีที่คุณจะรู้ว่าคุณมาจากดาวไหน หรือรู้ว่าคุณมาจากต่างดาว ผมไม่สามารถทราบได้แต่วิธีที่คุณจะกลับดาว ผมบอกคุณได้ และหนังสือเล่มนี้ก็บอกคุณได้ ถ้าคุณทราบแล้วว่าดาวของคุณคือดาวไหน วิธีที่ดีที่สุดวิธีนึงคือ ตามหาคนที่คุณรัก แล้วเค้าหรือเธอคนนั้น จะพาคุณกลับบ้านอย่างปลอดภัย ทุกวันนี้คุณรู้หรือยังว่าคุณมาจากดาวดวงไหน ถ้ายัง ผมไม่มีอะไรจะบอกมากไปกว่าคำว่า "เสียใจ" แต่ถ้าคุณตอบว่าไม่รู้ ว่ารู้หรือยัง ลองอ่านเรื่องของผมดู เพราะผมรู้แล้วว่าผมมาจากดาวไหน และไม่ใช่ดาวดวงเดียวกับคุณแน่ๆ ในคราวนี้ ผมยังจะไม่เล่าถึงดาวของผมให้คุณฟังหรอกนะ ว่าเป็นดาวแบบไหน หรือมีอะไรน่าสนใจบ้าง แต่ผมจะเล่าให้ฟังว่า ถ้าเทียบกับโลกของคุณๆแล้ว ดาวของผมแตกต่างกันอย่างไร เดี๋ยวผมกลับดาวสักครู่ แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังนะ

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

โลกคู่ขนาน

เพิ่งอ่านหนังสือจบไปเรื่องนึง เมื่อวานอันวันเดียวจบเลย อ่านแล้วหดหู่ เหมือนเพิ่งจะได้รู้ว่ามีอีกโลกนึงขนานกับโลกของเราอยู่ โลกของคนซึ่งเคยทำผิด ทั้งที่มีสติ ไม่มีสติ หรือว่าไม่ได้ทำผิดแต่มีคนมายัดเยียดให้ทำผิด หรือให้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ทำผิด
โลกนั้นมันเปลี่ยวเหงา อ้างว้าง ไร้ความหวัง และเต็มไปด้วยการเฝ้าคอย มากไปกว่าโลกไหนๆ โหดร้ายทารุณทั้งต่อสภาพจิตใจและร่างกาย แค่ลองคิดถึงตัวเราเองต้องทนอึดอัดอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมเป็นเวลาแรมปี ลองคิดดูว่ามันจะบั่นทอนความฝัน บั่นทอนร่างกาย บั่นทอนพลังชีวิตเราไปขนาดไหน
ใครบางคนคอยบอกว่าโลกของคนทำผิดนั้น เป็นโลกที่คอยสร้างกำลังใจ บ่มเพาะความหวังให้เค้ามีกำลังใจที่จะออกมาใช้ชีวิตในโลกเดียวกับเราอีกครั้ง แต่จากข้อเขียนที่ได้อ่านในหนังสือเล่มนั้น มันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
โลกใบนั้นมันไม่น่าจะเป็นโลกของมนุษย์ด้วยซ้ำ แต่จะว่าไปคนบางคนที่ได้ไปอยู่ในโลกนั้น ก็ทำตัวไม่สมกับเป็นมนุษย์จริงๆนั่นล่ะ โหดร้าย กักขฬะ เกินมนุษย์จะจินตนาการด้วยซ้ำ ซึ่งมนุษย์พวกนั้นก็ไม่เหมาะจะใช้ชีวิตร่วมกับเราหรอก แต่มนุษย์ดีๆบางคนที่หลงเข้าไปในนั้นน่ะสิ ไม่อยากจะคิด ส่วนคนปกติอย่างเราๆ ได้ยินชื่อโลกนั้นแล้ว ก็ไม่อยากข้องแวะอยู่แล้ว และขอบอกไว้เลยว่า มันแย่กว่าที่คุณคิดซะอีก อย่าได้ริไปลองเชียว
และถ้าใครอยากอ่านหนังสือเล่มนี้ก็บอกนะ จะให้ยืม "ออกจากคุกมาเขียน" แล้วคุณจะได้รู้ว่า โลกของคนทำผิดมันน่ากลัวขนาดไหน ผมเตือนคุณแล้วนะ

12 กุมภาพันธ์ และเบนจามิน บัตตั้น

วันนี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรักของคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่ของผม ไม่ใช่ว่าผมไม่มีความรักนะ แต่ผมไม่ชอบใช้วันแห่งความรักซ้ำกับใครๆ ผมเลือกวันแห่งความรักเป็นวันที่ 12 กุมภาพันธ์
เลือกที่จะไปฉลองความรักของเราด้วยการไปดูหนังโรง firstclass ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว และพอดีเป็นอย่างยิ่งว่า วันและเวลาที่เราไปดู มันเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้ เค้ากำลัง
ทำงานกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ทำให้อะไรๆมันประจวบเหมาะไปหมด เราเลยได้ดูหนังกันสองคนทั้งโรงพร้อมอาหารอีกไม่จำกัด อิ่มทั้งกายทั้งใจ และหนังที่เลือกดูก็ไม่ทำให้ผิดหวัง และถ้าใครยังไม่ได้ดู buttons ก็ข้าม journal นี้ไปเลยนะ เพราะว่าอาจจะมีเปิดเผยเนื้อเรื่องบ้าง แต่ถึงจะอ่านแล้ว ก็ยังดูหนังได้สนุกอยู่ดีนั่นล่ะ เริ่มต้นเรื่องมีสิ่งแรกที่ผมประทับใจ นั่นคือสิ่งประดิษฐ์อันนึงในเรื่องซึ่งเกิดขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ท้อแท้ ต่อโชคชะตา ของผู้ผลิตนั่นเอง นาฬิกาซึ่งเดินย้อนหลัง คือสิ่งประดิษฐ์นั้น สืบเนื่องมาจากการที่ลูกชายของช่างนาฬิกา ได้ถูกส่งเข้าร่วมสงครามและเสียชีวิตในสงครามนั้น ข่างนาฬิกาจึงคิดว่าจะดีหรือเปล่านะ ถ้าเวลาย้อนถอยหลังกลับมาได้และนำลูกกลับมาให้เค้าได้ ซึ่งในโลกของความเป็นจริง นาฬิกาน่ะเดินกลับหลังได้ แต่วันเวลาน่ะไม่มีวัน และแล้วหนังก็ใช้จุดเริ่มต้นตรงนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าคนเราย้อนวันเวลาได้จริงๆ จะเป็นอย่างไร แต่อย่างที่ทราบๆกัน
button เป็นหนังที่ไมได้ใช้การย้อนเวลาแบบที่เราเคยเจอๆกันมา แต่เป็นการล้อเล่นกับการเวลาในแบบที่ว่า ถ้าชีวิตคนเราไม่ได้เริ่มต้นในแบบเดิมๆ แต่เริ่มต้นด้วยวัยชรา ย้อนไปหาวัยเด็ก อะไรๆจะน่าตื่นเต้นขึ้นหรือไม่ และแล้วหนังก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของคุณจะเริ่มต้นด้วยวัยใด สุขและทุกข์ก็มีเข้ามามิได้แตกต่างกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ในวัยเริ่มต้นที่เราเริ่มต้นด้วยวัยชรา จากที่มีแต่คนมาเอ็นดู ก็จะกลายเป็นถูกรังเกียจ ในขณะที่
ในวัยสุดท้ายของชีวิต จากที่จะเป็นวัยชราที่สามารถจะให้ประสบการณ์กับคนรุ่นหลังได้ ก็ต้องมากลายเป็นเด็กน้อยซึ่งไม่สามารถจำอะไรได้เลยก่อนที่ร่างกายจะแตกดับ ถ้าให้คุณๆเลือก คุณจะเลือกที่จะจบชีวิตแบบไหน ไร้ความทรงจำหรือเต็มไปด้วยความทรงจำ และที่สำคัญที่สุด เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกของเราสวนทางกับคนที่เรารัก เราจะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงนะ สรุปโดยรวมแล้วหนังก็ดีนะครับ นานดีด้วย สองชั่วโมงครึ่งนี่หายากแล้วนะหนังสมัยนี้ และก็ให้ข้อคิดต่างๆมากมาย และที่โดนใจที่สุดก็คือ ในตอนที่ เบนจามิน เรียนเปียโนกับป้าคนนึง ผมเองจำภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่พอจะจำเป็นภาษาไทยได้และมันทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำอะไรๆอีกเยอะเลยที เดียว "มันไม่สำคัญว่าคุณทำมันเก่งแค่ไหน แต่ัมันสำคัญว่าคุณรู้สึกอย่างไรตอนที่คุณทำ"

เหนื่อยๆล้าๆ

เหนื่อยๆล้าๆ นั่งตาจะปิด

หมดแรงจะคิด ใช้ชีวิตต่อไป

เหนื่อยๆล้า หน้าตาทรุดโทรม

แย่จังนะโยม แต่ได้แต่โทรม "ต่อไป"

เหนื่อยๆล้าๆ เวลาใกล้หมด

สุขภาพถอยถด แทบจะหมดกำลังใจ

เหนื่อยๆล้าๆ คงต้องลาลับ

หมดแรงแล้วครับ ขอกลับไปตาย

เหนื่อยๆล้าๆ แทบสิ้นชีวิต

ไม่เห็นใครคิด จะมาสนใจ

เหนื่อยๆล้าๆ แต่งกลอนไม่จบ

แต่ไม่ยอมลบ ขอสู้ต่อไป

เหนื่อยๆล้าๆ กูอยากจะบอก

กูไม่ได้หลอก แต่ต้องทนต่อไป

เหนื่อยๆล้าๆ เหมือนถูกทำโทษ

กูไม่ได้โกรธ แต่กำลังจะเข้าโหมด

"ไม่สบาย"

วันปีใหม่

วันปีใหม่ปีใหม่ปีนี้มีความรู้สึกแปลกๆเกิด ขึ้น ในคืนวันที่ 31 ต้องทำงานตั้งแต่บ่ายสามจนถึงเจ็ดโมงเช้าของวันที่ 1 มกราคม ได้นับ countdown ที่ออฟฟิศอีกครั้งตั้งแต่ทำงานมาช่วงเวลาปีใหม่มา 4 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ต้องอยู่ออฟฟิศ นั่งทรมานเพราะความง่วงตั้งแต่ช่วงตีหนึ่งจนถึงเช้า ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมต้องมานั่งทรมานอยู่ที่นี่ในขณะที่เพื่อนๆ นอนคุยกับหมอนนุ่มๆหรือดูพลุ ดูไฟ กับคนที่รัก

เมื่ออยากรู้ก็ต้องหาคำตอบ จึงได้พยายามหาคำตอบว่าทำไมเราต้องมาอยู่ตรงนี้ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปตอนที่เปิดดู slip online รวมรายได้ก่อนหัก 43,xxx ไม่ธรรมดานะ ทำงานมาสามปีครึ่งรายรับขนาดนี้ นี่สินะเหตุผลที่ต้องมานั่งทรมานอยู่ ตอนแรกๆก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่าตัวเองเก่ง ทำรายรับได้ขนาดนี้ คิดไปคิดมาอีกทีนี่มันไม่ได้ใช้สมองเลยนะ สมองเราเองเค้าให้แค่ประมาณ 23,xxx ส่วนอีก 20,000 มันมาจากร่างกาย ใช้ร่างการทรมาน
แลกเงินมา อย่างนี้เรียกว่าผู้ใช้แรงงานหรือเปล่านะ

ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ เราร่นวันตายของตัวเองเข้ามากี่ปีแล้วนะ เอาเงินไปซื้อคืนได้หรือเปล่าหว่า ว่าแต่ว่าถ้าเราไม่ทรมานแบบนี้ แล้วส่วนต่าง 20,000 เราใช้สมองหามันเพิ่มได้หรือเปล่านะ ถ้าสมองเราหาเงินเดือนละ 20,000 ไม่ได้ เสียดายเงินที่พ่อแม่ส่งเรียนชะมัด ว่างั้นไหม ปีนี้ถึงเวลาแล้วที่จะก้าวออกมาใช้สมองของตัวเองอย่างเต็มที่ ก้าวเดินออกมาจากวงเวียนของ OT ที่ดึงพลังชีวิตและพลังสมองของเราไปมากมายเหลือเกิน ทำให้ทุกๆวันนึกถึงแต่เรื่องพักผ่อน ไม่สามารถเอาสมองไปทำอย่างอื่นได้เลยเชียว

ว่ากันถึงความแปลกของความรู้สึกอีกเรื่องในเย็นวันที่ 1 มกรา ได้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน พ่อกับแม่เปิดไฟสีต่างๆ ที่ติดไว้ตั้งแต่วันเกิดพ่อเมื่อเดือนธันวา สวยมาก ไฟสีต่างๆตัดกับความมืดมิดของบ้านชานเมือง ความงามไม่ต่างจากร้านอาหารเลื่องชื่อเลยทีเดียว แต่อาหารที่นี่อร่อยกว่ากันมากนะ เพราะแม่ใส่ความรัก ความคิดถึง ไว้เต็มจานอาหารเลยทีเดียว

กลับมาคราวนี้พ่อกับแม่เล่าเรื่องอาการเจ็บป่วยของญาติๆ และการล้มตายของคนรู้จัก รวมทั้งความล้มเหลวของครอบครัวอื่นๆทำให้เราได้รู้ว่าการพ่อแม่เราแข็งแรง ได้ในวัยเท่านี้ นั่นก็ทำให้เรามีความสุขมากๆแล้วนะ กลับกัน การที่เราเรียนจบมีงานการดีๆทำ แค่นี้พ่อกับแม่ก็มีความสุขมากๆแล้วนะ แต่ถึงแม้ว่าเราจะคิดถึงกันขนาดไหน ในตอนนี้เราก็ไม่สามารถจะกลับไปอยู่ที่บ้านได้ เพราะเรากำลังจะออกไปใช้ชีวิต ไปสร้างอนาคต ไปต่อสู้ด้วยตัวเองดูบ้าง แต่ยังไงหวังว่าพ่อและแม่จะเก็บความเป็นห่วงและคิดถึง เป็นพลังที่จะคอยติดตามดูความสำเร็จของลูกนะ ส่วนเราก็คงนำพลังส่วนนี้ไปใช้ ให้เป็นประโยชน์เช่นกัน ในส่วนของปีนี้นอกจากการงานที่เราจะเปลี่ยนเพื่อให้ สุขภาพดีขึ้นแล้ว พอได้สมองกลับมา เราก็จะใช้อย่างเต็มที่ด้วยการเดินหน้าในโปรเจ็คหารายได้ต่างๆ รวมทั้งสละเวลาตามฝันต่างๆของตัวเองด้วย เป็นกำลังใจให้กันนะ

วันสิ้นปี

วันนี้วันที่ 31 ธันวา
บางคนก็ไปเที่ยวกัน บางคนก็อยู่เหงาๆคนเดียวที่ห้อง บางคนก็กลับบ้านไปพบปะญาติพี่น้อง แต่บางคนก็ต้องมาทำงาน
มนุษย์เรา ดูเหมือนจะรู้กันมาตั้งแต่สมัยก่อนๆแล้วว่าเวลามันไม่สามารถย้อนกลับได้ และจนปัจจุบันเราก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้น เราจึงมีสิ่งต่างๆมากมายที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้ เช่น ปฏิทิน หากว่าเราไม่มีปฏิทิน ก็คงจะรู้เวลาแค่ เช้า บ่าย เย็น ดึก แต่ไม่มีการข้ามวัน ข้ามเดือนหรือข้ามปี ซึ่งนั่นทำให้เราไม่สามารถจะระลึกถึงวันอื่นๆล่วงหน้า หรือวันอื่นๆในอดีตได้ ซึ่งปัจจุบันปฏิทินตอบโจทย์ตรงนี้ได้ เพียงแต่มันอาจจะกระตุ้นความทรงจำน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง
และถ้าใครคิดว่ามันน้อยไปจริงผมแนะนำให้ใช้มันร่วมกับไดอารี่ ว่ากันไปถึงไดอารี่ผมมั่นใจว่าคนเขียนไดอารี่ ต้องมีความเป็นศิลปินในอารมณ์ มีความช่างฝัน และมีเวลาคุยกับตัวเอง มากกว่าคนที่ไม่เขียนไดอารี่แน่ๆ
ไม่เชื่อลองมองดูก็ได้ ว่าในโลกปัจจุบัน ที่หมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ยังมีเพื่อนๆวัยทำงานของคุณที่เขียนไดอารี่อยู่หรือเปล่า ถ้ามี แนะนำให้คบกับเค้าไว้นะครับ คนที่เขียนไดอารี่ผมเชื่อว่าไม่มีใครเป็นคนเลว ไม่รู้สิผมเชื่ออย่างนั้นนะ
ไดอารี่เป็นส่วนสำคัญอีกอย่างที่จะทำให้เราย้อนอดีตได้ง่ายขึ้น แต่ปัจจุบันเรามีอะไรที่ง่ายกว่านั้นนะ
รูปถ่ายก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้ภาพความทรงจำในอดีตกลับมาง่ายขึ้น แต่ปัจจุบันเรามีกล้องวิดีโอที่ช่วยเรื่องภาพในอดีตได้ดีกว่านั้น แต่ว่าก็ว่าเถอะ ไดอารี่น่ะถ้ายังไม่หมดเล่มเดิม เราก็เปิดย้อนไปอ่านวันเก่าๆได้ง่าย ส่วนรูปถ่าย ถ้าล้างออกมาก็อาจจะต้องหากันหน่อย เพราะรูปเก่าๆ ก็อาจจะเก็บไว้ในที่อื่นๆ หรือเวลาย้ายบ้านแล้วมันก็หายไป แต่ปัจจุบันถ้าเก็บเป็นไฟล์ โอกาสเปิดดูก็จะง่ายขึ้น
แต่เอาเข้าจริงๆ ในวังวนชีวิตของคนทำงานออฟฟิศอย่างเราๆ
เวลา ที่จะเอาไปเพื่อไปตามหาอดีตเหล่านั้นไม่ว่าจะถูกเก็บไว้ในรูปแบบใด มันดูจะหาได้ยากเหลือเกินนะ แต่ผมมีอยู่อย่างนึงจะแนะนำ ใช้งานได้ดีกว่ารูปภาพ ไดอารี่ หรือไฟล์วิดีโอใดๆ ช่วยให้เราย้อนอดีตได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น และได้อารมณ์เช่นเดียวกัน
ลองใช้ "ความทรงจำ" ดูสิ ลองเก็บมันไว้ใน "ความทรงจำ" เปิดดูง่าย เวลาสั้น แต่ว่าถ้าเรื่องไหน มันไม่อยู่ในความทรงจำล่ะก็ ไม่ต้องพยายามไปนึกนะ เพราะมันก็คงไม่มีค่าพอจริงๆล่ะ เราถึงไม่ได้บันทึกมันไว้
ว่าแต่ว่า คืนวันสิ้นปีของคุณๆล่ะ มีความทรงจำอะไรบันทึกไว้หรือยัง หรือว่ายังตามหากันอยุ่ แนะนำให้รีบๆกันนะ เพราะในชีวิตเราวันปีใหม่มันเกิดขึ้นไม่กี่ครั้ง และไม่มีใครรู้ด้วยว่าจะมีชีิวตไปจนถึงครั้งหน้าหรือเปล่า

ช่วงเวลาแห่งความสุขและไว้อาลัยกับทุกๆความฟุ่มเฟือย

หยุดงานไปสี่วันล่ะ ได้ไปทำบุญที่วัด ที่เคยบวชมาด้วยนะ สบายใจดีจัง เวลาที่วัดนี่เดินช้าจริงๆนะ เข้าไปทำธุระอะไรต่างๆที่นั่นทีไร รู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าดี ไม่ต้องรีบเหมือนตอนอยู่ข้างนอก และทุกๆคนที่นั่นก็ดูสบายๆไม่ต้องรีบอย่างเรา กลับไปแล้วเหมือนได้ระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ

จะว่าไปก็เหมือน กับไปโรงเรียนเก่าๆที่เราเคยเรียน แล้วได้กลับไป ถ้าเราไปในวันธรรมดาแล้วเห็นเด็กๆเค้าเรียนหรือเข้าแถว หรือทำกิจกรรมต่างๆ แล้วเรายืนมอง เราจะรู้สึกเหมือนกับว่ามาด้วยไทม์ แมชชีนและมายืนดูช่วงเวลาเก่าๆของเราเอง โดยที่เราไม่ต้องใช้เวลาเดียวกับน้องๆเหล่านั้น ความรู้สึกแบบนี้ มันดีจริงๆนะ

อ่อ ลืมบอกอะไรไปอย่าง ที่กลับไปทำบุญที่วัดก็เนื่องมาจากวันเกิดพ่อนั่นเอง ไปทำบุญเลี้ยงพระเพลกันสองคนพ่อลูก และรับน้ำมนต์จากหลวงลุง ชีวิตมันก็มีความสุขง่ายๆอย่างนี้ล่ะ พ่อก็ 64 แล้วปีนี้ หวังว่าจะได้ทำบุญกันอีกหลายๆปีนะ

อีกวันก็ได้ไปดู Happy Birthday มาแล้วนะ ตอนหวานๆกันตอนแรกสนุกดีนะ หนังน่ารักดี แต่หลังจากถึงจุดหักเหของเรื่องแล้ว รู้สึกเหมือนเดินเรื่องช้าไปนะ ผู้กำกับเน้นให้เราเข้าใจอารมณ์ของตัวละครมากเกินไป เลยทำให้อึดอัดไปหน่อย และยิ่งทำให้รู้สึกว่าหนังยาวไปหน่อย แต่ยังไงๆนักแสดงเอกทั้งสองคน ทำได้ดีมากๆนะดูเป็นธรรมชาติดี และที่สำคัญ ปางอุ๋งสวยมากนะ อ่อเกือบลืม หนังเรื่องนี้มีความเป็นศิลปะมากนะ อาจจะเป็นเพราะอาชีพของตัวเอกด้วยล่ะมั้ง แต่ทั้งภาพถ่ายและภาพวาดสวยจริงๆนะ ยังไงๆลองไปดูกันนะ

และอีกเรื่องนึงที่ได้ดู แต่เรื่องนี้ดูที่บ้านนะ sex and the city น่ะ อยากดูมานานและ แต่เรื่องนี้ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี เอาเป็นว่าถ้าชอบก็ไปดูนะ หนักๆหน่อย แต่ไม่ผิดหวัง

ว่างๆช่วงนี้อ่านหนังสือ ต้นไม้ใต้โลก ก็ได้เห็นความคิดดีๆมากมาย และตอนนี้ก็มีอะไรสงสัยอยู่อย่างนึง ลองช่วยตอบกันหน่อยนะ เพื่อนๆคิดว่า ในโลกเราเนี่ย มีอะไรที่มันผลิดมาเยอะเกินไปบ้าง หรือว่ามีอะไรฟุ่มเฟือยบ้างน่ะ เมื่อวานฟังวิทยุเห็นสมาคมโรตารีบางรัก เค้ารับบริจาก cd ที่ไม่ได้ใช้แล้ว จะเอาไปทำรั้วกั้นช้าง อะไรสักอย่าง เรามานั่งคิดในใจเออว่ะ cd ในโลกนี้มันผลิดมาเกินไปเปล่าว่ะ ถ้าหารด้วยจำนวนคนบนโลก คนหนึ่งคนจะต้องเกิดมาพร้อมโควตา cd กี่แผ่นนะ ไม่น่าจะต่ำกว่า 10 แต่ทำไมมีคนตั้งมากมายไม่รู้จักหรือไม่เคยใช้ cd ในขณะที่คนบางคนมี cd ใช้แล้วเก็บไว้เต็มบ้านนะ

ทีนี้ลองใช้หลักการเดียวกัน รองเท้าในโลกนี้มีกี่คู่นะ เดินในห้างก็เห็นเต็มไปหมด แต่ทำไมบางคนไม่มีรองเท้าใส่นะ ทั้งๆที่ค่าเฉลี่ย คนๆนึงน่าจะเทียบแล้วมีรองเท้า 20 คู่ได้นะ ในโลกนี้น่ะ เสื้อผ้าเองก็คงไม่ต่างกัน ทำไมบางคนต้องหนาวและรอการบริจาค ทั้งๆที่เสื้อผ้ามันล้นโลกขนาดนี้ แปลกนะ

ลองคิดถึงสิ่งที่ไม่ใช่ขยะ อย่าง เพลง หนัง คนเรานี่ต่อหนึ่งคน ถ้าเทียบกับจำนวนเพลงในโลก คนๆนึงก็น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 20 เพลง 555 แต่ว่าชอบจริงๆไม่กี่เพลง และมีบางคนที่ไม่เคยฟังหรือฟังอยู่ไม่กี่เพลง แล้วจะแต่งมาทำไมเยอะแยะเนี่ย เอาแต่ที่ดีๆก็พอ และอย่างเช่น website เนี่ย เต็มโลก ทั้งๆที่คนบางคนไม่เคยเล่นเน็ตด้วยซ้ำ รุ้สึกกันหรือยัง ว่าโลกนี้มันฟุ่มเฟือยเลยไปมากจริงๆ

สุดท้ายอยากจะบอก รถในกรุงเทพแม่งเยอะมากว่ะ เห็นรถแล้วรู้สึกว่าคนเรานี่ แม่งไม่รู้จักช่วยกรุงเทพกันบ้างเลย แล้วบ่นรถติดๆ ก็แล้วมึงซื้อมาเพิ่มทำไมเล่า (กูก็จะซื้อ 55)

Somebody's Me

You'll always be in my life
Even if I'm not in your life
Because you're in my memory
You, will you remember me
And before you set me free
Oh listen please
Somebody wants you
Somebody needs you
Somebody dreams about you every single night
Somebody can't breath without you, it's lonely
Somebody hopes someday you will see
That Somebody's Me

รวมเล่ม 2. เอ คอมเปรซา ลา โคลาซิโอเน?

E' ComPreSa lA ColaZioNe?
เอ คอมเปรซา ลา โคลาซิโอเน?
รวมอาหารเช้าด้วยหรือไม่?
แปลกที่แปลกถิ่น แต่แค่รู้ว่าลืมตาขึ้นมาหลังจากการพักผ่อนอันยาวนานก็จะมีอะไรรองท้อง ดูแล้วปลอดภัยดีนะ อย่างน้อยก็ดูมั่นคง กว่าที่จะต้องตะลอนไปหาอะไรกินเอง ในเมืองที่ไม่รู้เลยว่า จะหาอะไรกินได้ที่ไหน

จะว่าไปแล้วอาหารเช้าก็ไม่ต่างจากเงินเดือน รู้สึกดีที่จะได้รับเงินเดือนตอลดทุกสิ้นเดือน ไม่ว่าจะทำงานดีหรือแย่ขนาดไหน ดูแล้วปลอดภัยดีนะ อย่างน้อยก็ดูมั่นคง กว่าที่จะต้องตะลอนหางานเป็น job ไปเรื่อยๆ

ว่าแต่ว่ามันมีจริงๆหรือความมั่นคงน่ะ ถ้าพรุ่งนี้เราป่วยหนักหรือพิการ บริษัทเค้าจะให้เราทำงานต่อไปหรือเปล่านะ ถ้าไม่ให้ แล้วมันจะเรียกว่ามั่นคงได้หรือเปล่านะ บริษัทมั่นคงแต่ตัวเราไม่ได้มั่นคงไปด้วยนี่นา

นั่นสิ บางคนถึงไม่ชอบที่จะรวมอาหารเช้าด้วย เพราะรู้ว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน ออกไปหาอะไรกินเองอาจจะอร่อยกว่าก็ได้ แล้วคุณล่ะ ปกติชอบรวมอาหารเช้าด้วยหรือไม่? หรือว่าถนัดหากินเอง แต่ไม่มีใครรับประกันนะ ว่ามันจะอร่อยกว่าน่ะ แต่อย่างน้อยคุณก็ได้เลือกเองล่ะนะ

แวมไพร์ ทไวไลท์

ไปดู twilight มาล่ะ ชอบมากเลย เนื้อเรื่อง ภาพ เสียง ทุกอย่างพอดีหมด เป็นหนังที่มีสเน่ห์มากๆนะ ชอบจัง

คุณๆรู้กันหรือเปล่าว่าทำไมเราถึงชอบดูหนัง แต่ละคนอาจจะมีเหตุผลแตกต่างกันไปนะ แต่สำหรับผม หนังทำให้ผมเป็นได้ทุกๆอย่างที่ผมอยากเป็น อย่างเช่นเมื่อวานผมก็ได้เป็นแวมไพร์

คนธรรมดาๆอย่างผม สามารถปลดปล่อยจินตนาการได้สองที่ ก็คือในหนัง กับในหนังสือนั่นเอง นึกออกหรือเปล่าว่าเวลาคุณๆอ่านหนังสือน่ะ เสียงบรรยายก็จะเป็นเสียงเราเอง หรือไม่เสียงพระเอกหรือนางเอก ก็จะเป็นเสียงเราเอง มันปลดปล่อยจินตนาการดีจะตาย แต่เวลาดูหนัง ถึงแม้จะไม่ใช่เสียงเราเอง แต่เราก็มองที่จอ เห็นแต่หน้าพระเอก นางเอก ไม่เห็นหน้าตัวเราเอง เพราะฉะนั้นมันก็ไม่น่ายากที่เราจะจินตนาการว่าเราเป็นตัวละครในนั้น เพราะฉะนั้นนอกจากผมจะเป็นแวมไพร์แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ยังใช้วิชาดูหลำ ขี่ปลากระเบนมาแล้วด้วย 555

ยังไงขอให้สนุกกับหนังที่ทุกๆคนชอบกันให้เต็มที่นะ นี่ผมว่าจะไปซื้อหนังสือ twilight มาอ่านด้วยนะนี่ จะได้จินตนาการให้ตัวเองเป็นแวมไพร์ให้เต็มที่ แล้วถ้าใครอยากถูกกัดคอก็บอกนะ จะจัดให้

ตื่นมาทำตามฝันแต่เช้ากันนะ ก่อนที่มันจะสาย

ช่วงสองสามวันนี้ ได้ทำอะไรหลายอย่างเลยนะ
ไปสวนทานตะวัน
เขื่อนป่าศักดิ์
สวนรถไฟ
ดูหนัง original sin
ดูซีดีคอนเสิร์ต เฉลียง
คอนเสิร์ต sevendivas
ดูบอลไปก็หลายแมตซ์
เหมือนจะสบายใจดีนะ แต่เหมือนจะอึดอัดยังไงไม่รู้ อย่างว่าล่ะ เรากำลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตนี่นา

เค้า ว่ากันว่า เทียนมาต่อไฟให้เทียนอีกอัน เทียนอันเดิมก็ไม่ได้ดับไป ตอนนี้ก็อยากได้เทียนอีกอันมาต่อให้เราเหมือนกันนะ ใกล้หมดไฟและ

ชีวิตมันแปลกอยู่อย่างนะ เวลาเรามีความฝัน แน่นอนล่ะความฝันปกติก็ต้องมาตอนดึก แต่ถ้าไม่รีบตื่นมาทำตามฝันในตอนเช้า สักพักมันก็จะสาย เหมือนที่เราๆกำลังสายกันอยู่ทุกวัน

แต่ไม่ต้องกลัวนะ ยังไงเช้ามันก็มาใหม่ๆทุกวันล่ะ เพียงแต่อย่าท้อที่จะฝันในตอนดึก แล้วก็ตื่นให้ทัน เผื่ออะไรๆมันจะเช้าสำหรับเราบ้าง

สัพเพเหระกับวิวาทะการชอปปิ้ง

ไม่ได้เขียนมา 3 - 4 วัน เลยนะ เหงาๆมือเหมือนกันนะนี่ 3 - 4 วันนี้ ได้ไปเที่ยวมา 2 ทริป บวกกับดูซีดีคอนเสิร์ตอีก 1 อัน เล่าอะไรให้ฟังก่อนดีล่ะ

เอาอันนี้ก่อนดีกว่า ซีดีคอนเสิร์ต น่ะ ดูแล้วคนที่จะต้องนั่งดูด้วยกันน่าจะชอบ ก็เลยซื้อมาดูกัน sevendivas น่ะ เคยได้ยินกันป่ะ พวกนักร้องสาวๆ(หรือเปล่า)ขั้นตำนาน ของแกรมมี่น่ะ ฟังเพลงเก่าๆ เย็นๆ สบายๆ แล้วรู้สึกดีนะ

ความ ประทับใจส่วนตัวก็มี พี่ศรัณย่า เค้าชื่อเล่นไรหว่าไม่แน่ใจ แต่ร้องเพลงเหมือนแทบไม่ต้องออกแรงอะไรมาก แต่ขึ้นเสียงได้สูงมากๆ จังหวะลงมาเสียงต่ำก็นิ่งมาก ไม่มีเพี้ยนแม้แต่นิด ตัวก็นิดเดียวเอาแรงมาจากไหนกันหว่า

พี่อุ๊ เสียงแกเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว บุคลิกก็เป็นเอกลักษณ์นะ แกร้องท่อน แค่หลับตาาาาาาาาาาาาาาาาา โห เทพมากจริงๆ เอาลมมาจากไหนเยอะแยะนะ แต่ที่ชอบจริงๆ คือตอนที่พี่แอมถามว่า ตอนไม่ได้ร้องเพลง ไปทำไรมา หุหุ พี่อุ๊เค้าตอบ ทำค่ายมวย 555 ไม่ได้ล้อเล่นนะ ทำจริงๆ เข้ากับบุคลิกแกจริงๆว่ะ 55

คนสุดท้ายประทับใจ คุณโบ สุนิตา เนี่ย แกร้องเพลงถึงดีอ่ะ เพราะดี แต่อันนั้นใครก็รู้อยู่แล้ว แต่ที่ประทับใจคือ มีเพลงนึงที่พี่ดี้แต่งเพื่อฉลอง 1 ล้านตลับ ของพี่โบ เนี่ย ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่ามันจะเคยเกิดขึ้น ในประเทศนี้ ลองคิดดูว่าถ้าคนไทยมี 60 - 70 ล้านคน และไม่มีใครที่ซื้อคนละ 2 แผ่น นั่นหมายความว่า 60 - 70 คน ต้องมี 1 คนซื้อซีดีชุดนั้น

นั่นหมายความว่า ในรถเมล์แน่นๆ คันนึง ต้องมีอย่างน้อยคนนึงซื้อซีดีชุดนั้น และถ้าบีบมาแค่คนกรุงเทพอย่างเดียว นั่นหมายความว่าในรถเมล์ไม่ต้องแน่นมากคันนึง ก็ยังต้องมีอย่างน้อยคนนึง ซื้อซีดีชุดนั้นนะ 555

จริงๆแล้วก็แอบอิจฉาพี่ๆทั้ง 7 คนนะ ที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก มาเป็นเวลายาวนาน และยังมีคนติดตามและเฝ้ารอจะเสพผลงานของเค้าเหล่านั้น ไม่รู้ว่าเค้าคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั่นเป็น "งาน" ของเค้าหรือเปล่านะ อยากมีงานอย่างนี้บ้างซะแล้วสิ
อ่ะ ใครสนใจก็อย่าลืมไปหาชมนะ ทางไหนก็แล้วแต่ มิได้เป็นนายหน้าแต่ประการใด

มาว่ากันถึง 2 ทริป ที่เกริ่นตอนแรกกันดีกว่า เล่าให้ฟังซะ 1 ทริปก่อนเลย ตั้งชื่อทริปว่า "เดินเซ็นทรัลลาดพร้าว ช็อปซะใจร้าวไปครึ่งหมื่น" อิอิ ก็ไม่มีไรมากแค่อยากจะบอกว่า เสียตังค์แล้วสบายใจจริงๆ

อ่ะ พูดกันตรงๆ วันนั้นหมดไป 5000 กับการไปเดินเซ็นทรัลลาดพร้าวไม่น่าจะเกิน 4 ชม. เสียค่าอะไรบ้างน่ะเหรอ ก็พันนึง หมดไปกับเสื้อสองตัวและตุ้มหู อันนี้ไม่ถือ ชีลๆมาก อีกพันนึงก็หมดไปกับกินฟูจิและซื้อข้าวปั้นของโออิชิราเม็งกลับบ้าน

อีกพันห้าหมดไปกับเครื่องสำอางค์ของที่รัก 555 ส่วนอีกพันนึงหมดไปกับหนังสือ 2 เล่มและบัตรดูบอลทีมชาติไทย

สรุปว่าจะเล่าให้ฟังแค่สามส่วน คือ เครื่องสำอางค์ หนังสือ และทีมชาติไทย เนอะ

เออ แต่ว่าพอดีแวะไปอ่านกระทู้มาอ่ะ อยากไปดูฝัน หวาน อาย จูบ อ่ะ เข้าวันคริสมาสต์นะ 25 ธันวา หวังว่าคุณๆคงไม่ต้องไปดูคนเดียวกันนะ วันคริสมาสต์คงอยากจะอยู่กับใครสักคนนี่เนอะ หุหุ บ้าไปแล้วตรู

เอ้าๆ เครื่องสำอางค์ ก็พอดีที่รักไปซื้อ เราก็ไปนั่งรอดูเค้าแต่งๆหน้ากัน สักพักก็เลยขี้เกียจรอ ไปร้านหนังสือดีกว่า พอกลับมา ที่รักก็บอกว่า B.A. ที่ซุ้มเครื่องสำอางค์ ชมว่าแฟนหล่อ หุหุ 555 เค้าเป็นคนจริงๆใจดีนะ เห็นอะไรก็พูดอย่างนั้น กร๊ากกก

ตอน ไปร้านหนังสือก็อยากไปหา สองเงาในเกาหลี มาอ่านนะ แต่ว่าหาไม่เจอเลยอ่ะ กี่ร้านก็ไม่มี เลยไปถอย คุยกับประภาสเล่ม 2 มาและก็ต้นไม้ใต้โลก มาอ่านอ่ะนะ แต่เรื่องที่จะเล่าให้ฟังที่ร้านหนังสือ มันคือเรื่องนี้

เคยไปร้านหนังสือ แล้วหาหนังสือเรื่องที่เราอยากอ่าน ไม่เจอกันหรือเปล่า เดินหาเท่าไรก็หาไม่เจอ แล้วคุณๆทำยังไงกัน ?

สำหรับผมก็คือถามพนักงาน หรือไม่ก็หาเครื่องคอมพ์ที่ไว้ใช้ search หนังสือ ซึ่งไม่รู้ว่าอันไหนหายากกว่ากัน
บาง ร้านพนักงานก็ให้ความร่วมมือดี แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าหนังสืออยู่ไหน คือให้ความร่วมมือไง แต่ก็หาดุ่ยๆแบบเราหานี่ล่ะ แล้วมันจะมีประโยชน์มั้ยนี่

ส่วนใหญ่ผมเลยใช้วิธีหาเครื่องคอมพ์ แต่ปรากฏว่า แทบจะไม่เคยเจอ ไม่ใช่ไม่เจอหนังสือนะ ไม่เจอเครื่องคอมพ์นี่ล่ะ

ทำไมมันวางอยู่จุดที่มันมองเห็นยากจังวุ้ย และปัญหาต่อไปที่เจอคือ ต่อให้เห็นคอมพ์ก็ใช้มันยากมาก โปรแกรมไม่ได้ถูกออกแบบมาให้คนที่ไม่ใช่พนักงาน ใช้แน่ๆ

จากนั้นทำยังไงกัน ก็ไปหาพนักงานให้ search ให้หน่อย และจากประสบการณ์ตรงๆก็คือ แม่ง search ดุ่ยๆ พอกัน 555 มั่วเหมือนกัน

แต่ดีกว่าเรานิดเดียว 555 แต่ก็เอาเถอะ ยังดียังช่วยเรา แต่สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดก็คือ เวลาที่เราเดินไปหาพนักงานแล้วบอกว่า จะให้ช่วย search หนังสือให้หน่อย

เค้าจะทำหน้าแบบว่า มึงอะไรเนี่ย มึงทำตัวประหลาดนะ มาค้นหนังสืออะไรนี่ ใช้คอมพ์กูทำไม อะไรประมาณนี้ คือแบบ กูจะหาหนังสือนะเว้ย ไม่ได้จะมาแย่งแฟนมึง แสรดดดด

กูหาเจอ กูซื้อนะเว้ย ไม่ได้จะยืมไปอ่านบ้าน แล้วไม่เอามาคืน เวรกำ มองยังกะกูตัวประหลาด แสรดดดดด
พอล่ะยิ่งเล่าก็ยิ่งเซ็ง

เรื่องสุดท้าย ทีมชาติไทยกันดีกว่า ตอน แรกว่าจะไปวันที่ 6 เจอเวียดนาม นัดแรก แถมยังมีลาวกับมาเลเซียเป็นคู่แรกให้ชม แต่ดันทำงาน ไปไม่ได้เซ็งมาก พอวันที่ 8 จะไปดูเพราะเป็นวันธรรมดาเห็นว่าน่าจะคนเยอะ แต่ พอ ไปดูโปรแกรม เจอลาวอ่ะ ไม่ค่อยอยากดู เอาวะ ไปดูนัดวันที่ 10 ก็ได้ เจอมาเลเซีย แต่วันนี้ไม่มีคู่แรกว่ะ ก็เลยจะได้ดูคู่เดียว แถมยังอาจจะเข้ารอบไปแล้วอีกด้วยนะ เอาตัวสำรองลงเปล่าไม่รู้

แต่ก็นะ คนไทยอ่ะ ก็ต้องดูบอลไทยสิ แล้วกลับมาทำงานห้าทุ่มด้วยนะเราอ่ะ บอลเตะทุ่มครึ่งจะกลับทันเปล่าวะนี่
มันแปลกหรือเปล่านะ ที่เราวิ่งไล่หาซื้อบัตรไปดูบอลไทย ในขณะที่รอบกาย ยังมีแต่คนเถียงกันเรื่อง บิ๊กโฟร์ 555
ปีเตอร์ รีดยังบอกว่า อยู่ที่นี่ได้ดูพรีเมียร์ลีก มากกว่าตอนอยู่อังกฤษอีก ภูมิใจกันหรือเปล่าล่ะ พี่ไทยเอ๋ย

ทุกวันนี้คนไทยบางคนยังไม่รู้เลยว่าลีซอเล่นเป็นยังไง ทั้งๆที่คนเบลเยียมเค้ากำลังจะได้รู้แล้ว 555
ช่วยๆกันหน่อยเว้ย รอแฟนแมนยู ลิเวอร์พูล มันมาเชียร์ทีมชาติไทยให้ มันคงไม่มาหรอก หุหุ

ว่าแล้วก็อยากไปดูจริงๆนะนี่ เมื่อไรจะถึงวันนนนน เฮ้อ วันนี้ไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยมาเล่าเรื่องอีกทริปให้ฟัง ทริปดอกทานตะวันนั่นเอง หุหุ

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หนังที่อยากดู เพลงที่อยากฟัง

หนังที่อยากดู เพลงที่อยากฟัง จะซื้อก็เสียดายตังค์ แต่เคยถามใจบ้างหรือยัง ว่าแล้วมึงจะเอาตังค์ไปทำอะไร

พรุ่งนี้ตอนแรกจะต้องไปอบรม เรื่องที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ใช้ ไม่เกี่ยวกับเรา 555 ได้ตังค์ 1000 นึงนะถ้าไป แต่ก็ไม่รู้จะเอาตังค์ไปทำอะไร ซื้อเวลานอนยังไม่ได้เลย

เอาล่ะ มามะ ล้อมวงกันเข้ามา จะเล่าอะไรให้ฟัง คุณ เคยจะซื้ออะไรแล้วรู้สึกว่ามันเปลืองเงินหรือเปล่า? คุณเคยมองของสิ่งนั้นด้วยแววตาเป็นประกาย อยากได้อย่างสุดซึ้ง แต่ราคามันไม่พอดีกับเงินในกระเป๋าเราหรือเปล่า? แล้วถ้าเราสามารถห้ามใจไม่ซื้อไอ้ของนั้นได้จริงๆน่ะ เคยสังเกตหรือเปล่าว่าแล้วสุดท้ายเราเอาเงินส่วนนั้นไปทำอะไร?

บางทีอยากไปดูคอนเสิร์ตบัตร 2000 แพงว่ะ เสียดายนะ วงนี้ชอบด้วย ไม่เอาอ่ะประหยัด เดี๋ยวค่อยซื้อซีดีมาดูก็ได้ แล้วก็จะรู้สึกปลาบปลื้มใจ ที่สามารถประหยัดได้ ว่าแล้วเย็นนี้ไปกินพิซซ่าดีกว่า ??? โดนไปก่อนเลยเกือบ 1,000 พออีกวันจะไปดูหนัง ไปดิๆ เราไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตแล้วนี่ ดูหนังกินข้าวสมัยนี้ก็ซัดไปอีกใกล้ 1,000 หมดแล้วนะตังที่จะไปดูคอนเสิร์ตน่ะ

แถมพอคอนเสิร์ตออกมาก็ต้องซื้อซีดีอีก ก็ไปยืนอยู่หน้าซีดีที่ร้าน แล้วบอกกับตัวเองว่า แพงว่ะ เสียดาย 555
เอา อีกเรื่อง นี่เจอกับตัว พอดีวันนั้นไปเจอหนังสือดีๆ จำชื่อเรื่องไม่ได้และ ราคาประมาณ สองร้อยถึงสามร้อย อยากได้ว่ะ แต่แม่งแพง เสียดาย แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่มีไรอ่านเลย เอาไว้ก่อนละกัน ซื้ออย่างอื่นไปอ่านก่อน เดินหยิบ FHM มา 100 นึง ??? นั่งอ่านๆดูรุปไปสองวันจบ เวรกำ แล้วสุดท้ายก็ไปซื้อไอ้เล่มนั้นมาอยู่ดี สรุปแล้วเสียมากกว่าเดิมอีกกู ใครเป็นเหมือนกันมะ


ว่ากันถึงโลกปัจจุบันนี้นะ ทุกวันนี้เราเองอยู่ในโลกแห่งเทคโนโลยี เพลง หนัง ภาพ หนังสือ มันมาอยู่ในมือ ง่ายกว่าเดิมเยอะ แต่มันไม่ได้มาในรุปของเพลง หนังหรือภาพ อะไรนั่นหรอกนะ มันมาในรูปของข้อมูลต่างหากแทนที่จะถามกันว่าราคาเท่าไร ก็กลายเป็น dot อะไร หรือว่า กี่ meg อะไรทำนองนี้


ว่าแล้วก็เล่าให้ฟังอีก วันนั้นไปเดิน major รัชโยธิน ไปยืนดูซีดี groove rider อัลบั้มแรก ไม่เคยฟังทั้งอัลบั้มไง ฟังแค่บางเพลง จริงๆอยากได้ทั้งสองอัลบั้ม แต่ มันแพงว่ะ เสียดาย 555 ก่อนหน้านี้เที่ยวไปถามทุกคนเลยว่า มี mp3 ทั้งอัลบั้มหรือเปล่า แต่พอกูมายืนดูที่หน้าอัลบั้ม เห็นหน้าพี่บุรินทร์แล้ว สงสารว่ะ (เค้ารวยกว่าเรานะ น่าสงสารมั้ยเนี่ย) ถ้าชอบอย่างกูยังหาฟัง mp3 แล้วพี่เค้าจะทำเพลงต่อเปล่าวะ ว่าแล้วก็ละสายตาจากมัน


เดินดูหนังในร้านต่อ สะบายดีหลวงพระบาง อยากดูว่ะ ร้อยกว่า หนังฝรั่งอีกหลายๆเรื่องอยากดูว่ะ ตอนนั้นดูในโรงไม่ทัน ร้อยกว่าบาท เสียดายว่ะ ก็ทุกๆเรื่อง น่ะ เพื่อนๆก็มีโหลดมาหมดแล้ว ก็แค่ไปก๊อปมาเท่านั้นเอง นั่นดิ แต่ถ้าไม่มีใครโหลดก็โหลดเอง หรือไปบอกให้เพื่อนโหลด ก็น่าจะได้และ ไม่น่ามีปัญหา ว่าแล้วก็เดินออกจากร้านตัวปลิว ไม่ได้อะไรกลับมา แต่ก็ไม่ได้เสียเงินเลยสักบาทนะ ดีใจเว้ย อย่างน้อยก็ไม่เปลือง ว่าแล้วก็ชวนแฟนไปกิน Fuji แล้วก็ต่อด้วย swensen(เขียนถูกเปล่าวะ)??? แล้วกูจะประหยัดไปทำไมวะ


ยังไงๆการที่มีวันว่างแล้วไปดูหนังสักเรื่อง หรือซื้อหนังมาดูสักเรื่อง น่าจะดีกว่าการที่โหลดดดด มาไว้เต็มบ้านเต็มช่อง แล้วก็ต้องมาทรมานนั่งดู ทั้งๆที่ไม่ได้อยากดู แต่เหมื อนเป็นหน้าที่ อย่างนี้ตลกดีนะ 555


หรือว่าการอ่านหนังสือ ที่บางคนบอกว่าซื้อทำไม ในเน็ตก็มี ใจคอมึงจะให้กูอยู่แต่ไอ้หน้าจอสี่เหลี่ยมนี่หรือไงนะ เวลาจะขี้ ยกมันเข้าไปอ่านได้มะ แสรดดดดด


เวลาซื้อหนังสือที่ภาพสวยๆก็เหมือนกัน บางคนบอกดูในเว็บก็ได้ มันก็ไอ้เหมือนๆกันล่ะ รูปที่ล้างมามันก็ต้องมี feeling มากกว่ารูปในคอมพ์อยู่แล้ว เชื่อกูดิ


เออ แทรกมาเรื่องนึง วันนั้นดู แปลกคนแปดวัน ดีว่ะ ดูกับแฟน แฟนก็ชอบ บอกเพื่อนไป เพื่อนไปซื้อดู บอกกูลงทุนซื้อมาเลยนะ แต่เอาบันเทิงไม่ได้เลย ไหนมึงบอกว่าดีไง 555 ก็แล้วกูบอกมึงเหรอว่ามันบันเทิง ดีของกูคนเดียวไง 555


เรื่องหนัง ภาพ หนังสือไรนี่ เรื่องเล็กๆ เลยนะ ถ้าเทียบกับเรื่องเพลง กับเทคโนโลยีสมัยนี้ น้องบางคนบอกว่าชอบนักร้องญี่ปุ่นหรือเกาหลี มานานนนนนนนนตั้งแต่เด็กๆ มีทุกชุด เราถามว่าซื้อเหรอ น้องบอก เปล่า ตามโหลด หุหุ วันหลังเค้ามาบ้านเรา ก็เอา princo ไปให้เค้าเซ็นต์ลายเซ็นต์นะ เค้าจะได้ดีใจ 555 แต่จริงๆแล้วไม่ได้ว่าใครผิดนะ มันก็เป็นเรื่องของแต่ละคนน่ะ บางคนโหลด mp3 เพลงฝรั่งมา ไรท์ใส่แผ่น ทำ screen หน้าแผ่นอย่างดี อิอิ ชอบวงนี้มาก แต่เดี๋ยวนี้เค้าไม่ซื้อกันแล้ว 555 เอาๆ นักร้องเค้าน่าจะได้ดีใจ ไรท์เก็บเชียวนะ


ว่าแต่ไอ้เดี๋ยวนี้ไม่ซื้อนั่น เค้ากำหนดมาจากไหนหว่า งงๆ ว่าแต่คนอื่นเขา เราเองทุกวันนี้ยังไปยืนมองหน้าพี่ป๊อป แคลอรี่ บลาๆ ที่ 7-11 ทุกวัน 555 ตัดใจซื้อไม่ได้ เปลือง ฟังวิทยุเอาเว้ย หนังก็ดูใน true vision ได้เว้ย 555 ว่าแล้วไปกินพิซซ่ากัน 555


บางคนเห็นเราซื้อ soccer บอกเปลืองว่ะ เล่มตั้ง 18 บาท ยืมอ่านหน่อยดิ 555 แล้วพอเย็นก็ไปกินเหล้ากัน นั่นเปลืองกว่ากูอีกนะนั้น soccer เดือนนึงเอาเต็มๆ ยัง 540 เอง 555


อย่างว่า คนเรามันก็ใช้เงินไม่เหมือนกัน ไอ้ที่บอกว่า หนังไม่ต้องซื้อ ให้โหลดเอา หรือเพลงไม่ต้องซื้อ คอนเสิร์ตไม่ต้องดู ก็ไม่เห็นจะเหลือตังค์เก็บกันเล้ยยยย


เรื่องสุดท้าย บอลไทยเตะแล้วนะ เดือนหน้า แลกเวรไมได้อ่ะ อยากไปดูมากมาย แต่ก็จะพยายามไปให้ได้นะ มัวไปรอพวกแฟนแมนยู ลิเวอร์พูล เค้ามาเชียร์ทีมชาติไทย คงยากอ่ะ เราไปเชียร์ของเค้าง่ายกว่า 555


สุดท้ายอยากจะบอกว่า จนถึงวันที่ศิลปิน ไม่ได้มาจากฝีมือ แต่มาจากการโหวต วันที่เพลงไม่ได้ถูกเปิดเพื่อฟัง แต่ถุกเปิดเพื่อคลอเวลาเล่น msn หรืออ่านเว็บ หรือทำงาน คุณค่าของศิลปินและเพลงจะลดลงหรือเปล่านะ ว่าแล้วที่ไม่ไปดู groove my dog น่ะ ก็จะเอาเงินมาดูบอลไทย และซื้อหนังสืออื่นๆมาอ่านนะ ไม่ได้ประหยัดหรอก 555


แล้วสรุปว่าการที่เรายังคงเชื่อในการจ่าย เพื่อแลกกับผลงานของเค้า และมาสร้างความสุขให้กับเรา มันผิดหรือเปล่านะ หรือว่าเราจะอยู่ผิดที่จริงๆ ที่นี่มันดินแดนแห่งการโหลดกับอินเตอร์เน็ตนี่นะ

เข้าเวรดึกแห่งวันสับสน รู้สึกว่าตน "ธรรมดา" (C+)

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552เข้าเวรดึกแห่งวันสับสน รู้สึกว่าตน "ธรรมดา" (C+)
- ฟุตบอล ไม่ได้ดูสักคู่เลยวันนี้ จะหาดูเทปโรมดาร์บี้แมตซ์ซะหน่อย ก็ไม่ได้ดู แย่ๆ เต็ม 10 ให้ 2 สำหรับความพยายามหาดู

- หนัง ซื้อ original sin มานะ ชอบทั้งแบนเดอรัส และ โจลี่ แต่ยังไม่มีเวลาดู ดูแล้วจะมาเล่าให้ฟังนะ เต็ม 10 เอาไป 6 เพราะก็ซื้อมาแล้วนี่ แค่ยังไม่ได้ดู

- หนังสือ ยังอ่าน "หมอก" ไม่จบ เหลือเรื่องของ จิมมี่ เลี่ยว คนสุดท้ายและ ตามไปดูผลงานเค้ามานิดๆด้วย เหงาๆดีนะ เจ้าหมีกากบาท เต็ม 10 เอาไป 5 เหมือนอ่านไม่ค่อยเข้าหัวยังไงไม่รู้ อาจเพราะบางคนเราไม่สนใจมั้ง

- วินนิ่ง วันนี้เล่นไปประมาณ 7 แพ้ไป 2 แต่ดันเป็นอิตาลีทั้งสองนัด เจ็บปวดๆ เต็ม 10 เอาไป 5 แมตซ์อื่นฟอร์มดีหมด แต่เล่นอิตาลีดันแพ้ น่าเขกกะโหลก

- อาหาร วันนี้ได้กินพิซซ่า หลังจากไม่ได้กินมานาน ดีใจที่สุด เอาไป 10 เต็ม 10 -

เพลง วันนี้ชอบ "ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น" groove rider ชุดแรก "เพราะฉันไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่ได้คิดอย่างนั้นไม่ได้คิดแค่นั้นอย่างที่เธอเข้าใจ มันมากกว่าแค่เพื่อนกัน เธอรู้ไหม" เอาไป 8 เต็ม 10 ฟังน้อยไปหน่อยอ่ะ แป๊ปเดียวต้องออกจากบ้านและ

- ทีวี ชอบ V.I.P นะ ตำรวจจราจรในพระราชดำริน่ะ ที่ทำคลอดกลางถนนได้น่ะ พูดถึงในหลวงนะ ตาเค้าเป็นประกายกันเชียว ทำดีต่อไปนะครับ เอาใจช่วยๆ แต่ให้ 7 เต็๋ม 10 พอนะ ก็วันนี้ดูทีวีนับครั้งได้เลยนี่

- กระทู้ วันนี้ไม่มีไรโดนใจมากนะอ่านฆ่าเวลาเฉยๆ แต่ก็เยอะพอควร เอาไป 5 เต็ม 10

- คำคม “เจ็บปวดที่สุด ณ จุดใด ต้องทำแผลให้สวยที่สุดตรงจุดนั้น” เอามาจากเจ้าหมีกากบาทของ จิมมี่ เลี่ยวล่ะ เอาไป 6 เต็ม 10

- อื่นๆ วันนี้ไอ้เตสบอกไม่อยากไปเกาะล้าน เพราะอยากเที่ยวเต็มๆแบบไกลๆ แล้วมึงจะเสียใจที่ไม่ไป ถ้านั่งมองทะเลแล้วกุมมือกัน ฟังเพลง ซัดเหล้าปั่น ยังไงๆ ก็รักมึงแน่ ไม่เชื่อกูก็แล้วไป แสรดดดด เอาไป 6 พอ จะให้ 5 แล้ว แต่อย่างน้อยมึงก็บอกกู 5555

สุดท้ายวันนี้ 66 เต็ม 100 ผ่านวันนี้ไปได้ด้วย C+ แกนๆจริงๆชีวิตกูเนี่ย สิ่ง ที่จะทำต่อไปจากนี้ก็ ลดพุงก่อนวันเกิด และซื้อหนังสือของทรงกลดมาอ่าน สองเงาในเกาหลีก่อนเลยดีมั้ง เออว่าแต่ พวกคุณทนกันได้ยังไง ที่จะเป็นแค่คน "ธรรมดา" ผมล่ะอยากจะรู้จริงๆ
ไปล่ะ เหล่าคนธรรมดาทั้งหลาย

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

รวมเล่ม 1.จุดสูงสุดของชีวิต

"จุดสูงสุดของชีวิต"
เปรียบไปก็เหมือนกับยอดเขา
ทุกๆคนต่างอยากจะไปสัมผัส
ตั้งหน้าตั้งตา มุ่งหน้าไปหายอดเขา
จนกระทั่งวันนึงก้าวไปถึง
ดีใจอยู่ชัวครู่นึง
มองไปรอบๆกาย
ไม่เห็นใครอีกแล้ว
เพื่อนๆ ครอบครัว
สิ่งต่างๆรอบกาย
"หายไปหมด"
ระหว่างทางขึ้นมาไม่ได้สังเกต
ว่าใครตามเรามาบ้าง
มาทันหรือว่าไม่ทัน
"คิดถึงแต่ตัวเอง"
พอนึกได้ตัดสินใจเดินลงจากยอดเขา
มาคราวนี้ไม่ได้มีความมุ่งมั่นที่จะไปสู้จุดหมายเป็นแรงผลักดัน
แต่ใช้ความอิ่มเอิบที่เพิ่งไปสู่จุดสูงสุดมาเป็นแรงผลักดัน
คราวนี้ไม่เดินเร็วเหมือนตอนขึ้น
แต่เดินช้าๆชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ
ได้ความสุขกายสบายใจ ถึงข้างล่างช้าหน่อย
แต่ไม่ขาดหายอะไรไป
"นั่นก็เหมือนชีวิต"
วัยหนุ่มที่มุ่งหาความสำเร็จจนลืมไปทุกอย่าง
แต่ถ้าใครโชคดีที่ไปถึงเร็ว
อาจจะมีเวลาพอที่จะเดินกลับมา
ชมวิวหรือพบปะเพื่อนๆที่ยังไปไม่ถึง
แต่ถ้าใครไปถึงช้าหรือว่าไม่ถึงก็อาจจะไม่มีโอกาสเหล่านี้
แต่มีไม่กี่คนหรอก
ที่จะได้ลงในทางเดียวกับที่ขึ้นไป
คิดดูให้ดีๆนะ
ถึงช้าหน่อย
แต่ถึงพร้อมๆกัน
และเห็นวิวไปด้วยกัน
น่าจะดีนะ
"หรือถึงแม้จะไปไม่ถึง"
แต่ระหว่างทางก็ยังได้ชมวิวที่สูงขึ้นมาเรื่อยล่ะน่า