วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โรคระบาด

เช้าวันนี้ผมได้ยินข่าวร้ายซึ่งผมไม่เคยเตรียมใจรับข่าวแบบนี้ไว้ก่อนเลยสักนิด รัฐบาลประกาศในโทรทัศน์ว่าโรคที่ผมกำลังเป็นอยู่เป็นโรคระบาดที่ขณะนี้กำลังแพร่กระจายอย่างน่าเป็นห่วงไปทั่วทั้งกรุงเทพ ผมไม่ได้ฟังข่าวตั้งแต่แรกแต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าเชื้อร้ายนี้มาพร้อมกับหน้าหนาวในช่วงส่งท้ายปีแทบจะทุกปีและบางปียังลามไปจนถึงช่วงต้นปีเสียด้วยซ้ำ แต่ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อมีจำนวนไม่มากและมักจะรักษาหายได้ไม่ยาก แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน



อาการของผมเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงต้นพฤศจิกายนโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำในช่วงแรก แต่เพื่อนๆและคนใกล้ชิดทุกคนช่วยกันยืนยันว่า “ผมไม่เหมือนเดิม” ซึ่งผมมารู้ในตอนหลังว่าช่วงเวลานั้น ผมมักจะชวนเพื่อนๆไปกินข้าว ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะหรือทำกิจกรรมร่วมกันอยู่หลายครั้ง อีกทั้งเมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็ยังใช้เวลาในการออนไลน์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากกว่าที่เคยทำ จนกระทั่งบางครั้งผมถึงกับหลับคาจอคอมพิวเตอร์ไปเลยก็เคยมี พอเวลาล่วงเข้าสู้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ผมเองเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองแปลกไปอย่างที่คนอื่นว่าไว้จริงๆเมื่อผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องพัก “ผมอยากเจอใครสักคนที่รอผมอยู่”



ลึกๆผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะไม่มีคนๆนั้นเมื่อผมเปิดประตู เพราะว่าผมพักอยู่ที่ห้องนี้คนเดียวอีกทั้งก่อนจะออกไปทำงานผมก็ล็อคประตูไว้อย่างแน่นหนา เอาจริงๆถ้าผมเปิดประตูไปเจอใครผมก็คงจะตกใจและอาจจะวิ่งหนีไปจากห้องในวินาทีนั้นเลยก็เป็นได้ แต่ผมก็ยังหวังลึกๆว่าวันนึงผมจะเจอคนๆนั้น คนที่รอผมอยู่ที่ห้องพัก



บางครั้งมันก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมในช่วงหน้าร้อนหรือหน้าฝน ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้ ในช่วงแรกผมก็ไม่ได้แปลกใจกับอาการเหล่านี้เท่าไรเพราะคิดว่าอากาศหนาวคงจะเป็นต้นเหตุเหมือนทุกครั้ง แต่แล้วผมก็ต้องวิตกกังวลกับอาการของผมมากขึ้น เมื่อบางครั้งผมถึงกับต้องขอร้องให้เพื่อนสนิทคุยโทรศัพท์อยู่กับผมจนกว่าผมจะหลับไปก่อนด้วยเหตุผลง่ายๆว่าผมไม่อยากนอนคนเดียว และอาการมันเริ่มจะร้ายแรงเมื่อผมรู้ตัวอีกที เพื่อนคนนั้นก็มานอนเป็นเพื่อนผมที่คอนโดอยู่เป็นอาทิตย์ๆ



การตัดสินใจมาทำงานที่กรุงเทพคนเดียวทำให้ผมเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับความรู้สึกอ้างว้างบ้างเป็นบางครั้งในช่วงแรกๆ แต่ผมก็คิดว่าเมื่อทำงานได้สักพัก ผมจะเริ่มมีเพื่อนร่วมงาน และเมื่อวันเวลาทำให้เราสนิทกันผมก็จะไม่รู้สึกอ้างว้างแบบนั้นอีก หรือนอกเหนือจากนั้นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่ห่างไกลพ่อแม่หรือเพื่อนเก่าอย่างใดเลย เราสามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะด้วยเทคโนโลยีรูปแบบไหน แต่พูดก็พูดเถอะ พอย่างเข้าต้นเดือนธันวาคม ไม่ว่าอะไรก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก



“ฉันเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก” ฉันคิดอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาถึงที่นี่ ใครต่อใครต่างพูดกันว่าผู้ใดเบื่อลอนดอน ผู้นั้นเบื่อชีวิต แต่ฉันอยากจะถามคนพวกนั้นเหลือเกินว่า ถ้าคุณอยู่ตัวคนเดียวในลอนดอนและไม่สามารถสื่อสารกับทุกคนรอบตัวได้ คุณจะเบื่อลอนดอนไหม



ปลายเดือนตุลาคมฉันได้ฤกษ์บินมาเรียนต่อที่ลอนดอนเสียทีหลังจากตั้งใจมานาน ใครหลายคนบอกว่าที่นี่คนไทยเยอะไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่คนเดียว แต่สาบานว่าผ่านไปอาทิตย์แรกฉันแทบอยากจะกระโดดตบหน้าคนพูดอย่างสุดขีด



ฉันไม่รู้จักใครและไม่พบคนไทยสักคนที่จะมาช่วยทำให้ฉันไม่ต้องรู้สึกว่าอยู่คนเดียวในโลก แต่อย่างที่คุณรู้กันว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่มันทำให้ฉันไม่รู้สึกแย่เท่าที่ควรจะเป็น เพราะว่าอย่างไรฉันก็ติดต่อกับคนอื่นๆที่อยู่ที่ประเทศไทยได้ แต่เมื่อหิมะมาเยือนลอนดอนอย่างรวดเร็วกว่าปกติในกลางเดือนพฤศจิกายน ร่างกายและจิตใจของฉันก็เปลี่ยนไป วันเวลาที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ฉันพอที่จะมีเพื่อนอยู่บ้างในชั้นเรียน แต่เมื่อใดก็ตามที่สมองของฉันมีเสี้ยววินาทีที่ว่างเปล่า บางสิ่งบางอย่างมันมักจะพาฉันดำดิ่งลงไป ลึกลงไป เข้าไปจนถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ และในส่วนลึกที่สุดนั้นมันก็มีเพียงฉันคนเดียวที่อยู่ในโลกใบนั้น



ฉันนั่งมองหิมะนอกหน้าต่างสลับกับมองปฏิทินและเจ้าปฏิทินผู้ซื่อสัตย์ก็บอกฉันว่าอาการที่ฉันเป็นนั้น ฉันเป็นมาหนึ่งเดือนเต็มๆแล้ว และในขณะนี้ซึ่งเพิ่งจะต้นเดือนธันวาคม ฉันแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อคิดว่ากว่าที่ฉันจะได้กลับประเทศไทยครั้งแรกก็อีกเกือบหนึ่งเดือนเต็มซึ่งมันนานพอที่จะทำให้บางสิ่งบางอย่างมันกร่อนหัวใจของฉันจนมันอาจจะไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะกลับประเทศไทย



ฉันไม่คิดเลยว่าโรคที่ระบาดอยู่ที่ประเทศไทยขณะนี้จะติดมาถึงฉันที่อยู่ถึงลอนดอนด้วย อาการที่แพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงนั้นมันคืออาการของฉันชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นการคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวในโลก ไม่ว่าจะเป็นอาการที่จะต้องมีใครก็ได้อยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา หรืออาการเหม่อลอยตลอดเวลาที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ทั้งหมดนั้นเป็นอาการของโรคระบาดดังกล่าวและที่แย่ที่สุด ฉันมีอาการแบบนั้นนับตั้งแต่บินมาจากประเทศไทยจนกระทั่งวันนี้ในต้นเดือนธันวาคม



หมอบอกผมว่าผมควรจะงดฟังเพลงลงบ้างเพราะมันจะยิ่งทำให้อาการของผมหนักขึ้น ทำอย่างไรได้ล่ะเวลาที่ผมอยู่คนเดียวแล้วอาการมันกำเริบผมก็พยายามที่จะหาอะไรมาทำให้มันบรรเทาลง และด้วยความเคยชินผมก็มักจะเปิดวิทยุทิ้งไว้ แต่แล้วไอ้วิทยุเจ้ากรรมมันก็มักจะปล่อยเพลงบางเพลงที่คนฟังชอบขอเหลือเกินในช่วงหนาวๆปลายปีแบบนี้ แล้วไอ้เพลงแบบนั้นมันทำให้อาการของผมกำเริบจนบางครั้งแทบอยากจะกลั้นใจนอนตายหน้าวิทยุ แต่พูดก็พูดเถอะ ผมเริ่มเสพย์ติดอาการเจ็บปวดแบบนั้นเสียแล้ว



หมอที่ผมไปหาท่านบอกว่าขณะนี้หมอทั้งประเทศไทยก็กำลังร่วมกันหาทางแก้ไขและป้องกันโรคระบาดตัวนี้อยู่ แต่ทุกสิ่งที่ทดลองนั้นไม่เกิดผลเลยสักนิด จะยาฉีด ยากิน ก็ไม่สามารถทำให้อาการทุเลาลงได้อีกทั้งล่าสุดมีข่าวว่าคนไข้บางรายที่มีอาการมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนและไม่สามารถหาทางรักษาได้นั้น บางคนตัดสินใจฆ่าตัวตาย



“ฆ่าตัวตาย” ฉันไม่อยากได้ยินคำนี้ในหัวเลยสักนิดแต่มันก็ดังขึ้นตลอดเวลาในช่วงที่อาการของโรคนี้มันกำเริบ บางครั้งฉันคิดว่าการดูหนังหรืออ่านหนังสือจะช่วยทำให้โลกที่ลอนดอนของฉันน่าอยู่ขึ้นมาบ้าง แต่บทสรุปที่ฉันทดลองมาด้วยความอดทนก็เผยออกมาว่า สิ่งเหล่านั้นมันทำให้ฉันแย่ลงไปอีก ความรู้สึกบางอย่างของตัวละครมันส่งตรงมาถึงฉัน และเมื่อฉันเห็นแววตาของตัวละครเหล่านั้นที่รู้สึกเหมือนกับฉัน มันเหมือนจะทำให้อาการของฉันแย่ลงไปอีกแบบทวีคูณ



ฉันตัดสินใจว่าจะกลับไปรักษาตัวที่ประเทศไทยดีกว่าที่จะทนอยู่ที่นี่ เพราะดูแล้วว่าอาการไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยไม่ว่าจะผ่านปาร์ตี้ฉลองไปแล้วกี่รอบ เพราะเมื่องานฉลองเลิกราเมื่อใด อาการดังกล่าวก็เข้าครอบงำหัวใจของฉันจนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร และถ้าฉันไม่ตัดสินใจที่จะกลับไปรักษา ฉายาเจ้าแม่ปาร์ตี้คงจะได้มาประดับบารมีฉันเป็นแน่



ผมตัดสินใจเดินทางกลับต่างจังหวัดมาหาพ่อกับแม่และญาติพี่น้อง ผมแปลกใจที่คนที่นี่ไม่มีอาการของโรคที่ผมเป็นเลยสักนิด ทุกคนดูสดใส ดูมีชีวิตชีวา หรือว่าโรคบ้านี่มันจะคอยกัดกินแต่คนในกรุงเทพกันนะ



ผมแทบจะคิดว่าผมหายจากอาการบ้าบอนี้แล้วเมื่อผมกลับมาหาพ่อกับแม่ แต่แล้วเมื่อช่วงเวลาค่ำคืนมาถึง เมื่อพ่อกับแม่ขอตัวไปนอนพักผ่อน เมื่อผมอยู่ในห้องนอนโดยลำพังและมีเพียงพระจันทร์สีนวลเป็นเพื่อนรู้ใจ อาการดังกล่าวก็กำเริบเสียจนผมแทบจะต้องวิ่งออกจากห้องไปฆ่าตัวตายกลางแสงจันทร์



ฉันคิดว่าการกลับมารักษาตัวที่เมืองไทยน่าจะดีกว่าแต่แล้วหมอที่นี่ก็ทำให้ฉันผิดหวังเมื่อรู้ว่ามันยังไม่มีวิธีรักษา แต่จะว่าไปการได้เจอกับพ่อแม่และญาติพี่น้องมันก็ทำให้อาการของฉันดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แต่มันก็แค่ตอนที่ยังไม่พ้นแสงอาทิตย์เท่านั้นเอง

จากเรื่องของเพลง หนัง หนังสือ ที่ฉันรู้มาว่าต้องหลีกเลี่ยง ความมืดก็เป็นอีกอย่างที่ฉันเพิ่งได้รู้เดี๋ยวนี้ว่า มันมีผลข้างเคียงทำให้คนที่เป็นโรคอย่างฉัน อาจจะตัดสินใจฆ่าตัวตายได้โดยไม่ทันตั้งตัวเลยก็เป็นได้แต่ก็อย่างที่คุณรู้ ถึงแม้จะอยู่ในห้องและเปิดไฟไว้ตลอดเวลา เสี้ยวหนึ่งในใจคุณก็รู้อยู่เสมอว่าด้านนอกมันมืดมิดเพียงใด



ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าสาเหตุของโรคมันไม่น่าจะเกิดจากการที่คนรักของผมตัดสินใจไปเรียนเมืองนอก แต่จนกระทั่งผมลองทุกวิธีแล้วก็ยังไม่สามารถจะรักษาอาการอ้างว้างอย่างเลวร้ายที่ผมเป็นอยู่นี้ได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะบินไปหาเธอที่ต่างประเทศดูสักครั้งเผื่อว่าอาการมันจะดีขึ้นบ้าง



ผู้ชายบ้า กว่าที่เขาจะตัดสินใจบินมาเยี่ยมฉัน ฉันก็บินกลับมาหาพ่อแม่ที่เมืองไทยเสียแล้ว คราแรกฉันก็คิดว่าจะนัดเจอเขาสักหนึ่งวันเผื่อว่าไอ้โรคบ้านี้มันจะดีขึ้นบ้าง แต่พูดก็พูดเถอะ การที่ประเทศไทยไม่มีหิมะมันก็ช่วยให้อาการฉันดีขึ้นบ้างนะ ว่าถึงเรื่องคนรักของฉันอีกครั้งว่าสุดท้ายแล้วฉันก็ไม่สามารถนัดเจอเขาได้เพราะว่าเวลาที่ฉันกลับมาเยี่ยมบ้านได้มันจำกัดจนทำให้โปรแกรมมันแน่นเสียจนฉันไม่มีเวลาให้เขา แต่พอฉันได้รับโทรศัพท์จากเขา ฟังเขาพูดถึงเรื่องของโรคที่เขาเป็น เสี้ยววินาทีนั้น ฉันคิดว่าเราเป็นโรคเดียวกัน



กระทรวงสาธารณสุขประกาศทางโทรทัศน์อีกครั้งว่า โรคดังกล่าวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ทางกระทรวงคิดค้นวิธีป้องกันไม่ให้ติดโรค หรือไม่ให้อาการกำเริบออกมาได้แล้ว โดยประชาชนสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด



สิ้นเดือนธันวาคม คนกรุงเทพมากมายเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง “กอด” กันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่อายสายตาของคนมากมายที่กำลังมองอยู่สักนิดราวกับเขาทั้งคู่กำลัง “กอด” กันเพื่อบำบัดโรคอะไรบางอย่างที่มาพร้อมกับลมหนาวในช่วงปลายปี

ปริมาณความคิดถึง

ปริมาณความคิดถึง = (ระยะห่างระหว่างกัน + ข้อแม้ในการเดินทางมาพบกัน) x ปริมาณความรักที่แท้จริง

อธิบายได้ง่ายๆว่า ถ้าระยะห่างระหว่างคู่รักไม่มากหรือไม่ไกลแต่ว่ามีข้อแม้ที่ทำให้ไม่สามารถมาพบเจอหรือพูดคุยกันได้ก็จะทำให้ปริมาณความคิดถึงมากขึ้นได้เช่นกัน ในแง่เดียวกันถึงแม้จะไม่มีข้อแม้ในการเดินทางมาพบกันแต่ระยะห่างระหว่างกันก็จะกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ปริมาณความคิดถึงเพิ่มมากขึ้นได้เช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วปริมาณของความคิดถึงจะเพิ่มทวีคูณขึ้นอันเนื่องมาจากปริมาณความรักที่แท้จริง โดยปริมาณความรักที่แท้จริงคำนวณได้จาก

ปริมาณความรักที่แท้จริง = ปริมาณความรักที่รู้สึกได้ในปัจจุบัน/ช่วงเวลานับจากที่เริ่มคบกัน

เราไม่สามารถใช้ปริมาณความรักที่รู้สึกได้ในปัจจุบันมาคำนวณเพราะว่าปกติปริมาณความรักที่รู้สึกได้จะแปรผกผันกับช่วงเวลานับจากที่เริ่มคบกันคือยิ่งคบกันนานเท่าไรก็จะยิ่งรู้สึกว่ารักกันน้อยลงเท่านั้น แต่การน้อยลงนั้นมันเป็นธรรมชาติของความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเราจึงต้องนำส่วนนี้มาคิดคำนวณหาปริมาณความรักที่แท้จริง

ช่วงเวลานับจากที่เริ่มคบกัน = นับเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเวลาที่ตกลงว่าจะดูแลซึ่งกันและกัน ไม่นับช่วงเวลาที่ทำความรู้จักกัน

ช่วงเวลาที่เรานำมาคำนวณจะเริ่มนับจากตอนที่ตกลงกันนั่นหมายความว่าถ้าดูตามสมการ ถ้าเราใส่ช่วงเวลาที่คบกันเป็นศูนย์ ไม่ว่าปริมาณความรักที่รู้สึกได้ในปัจจุบันจะมากเท่าไร ปริมาณความรักที่แท้จริงก็จะไม่สามารถคำนวณได้ เพราะว่าตอนที่ชายและหญิงยังไม่ตกลงคบกันทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปริมาณที่ไม่สามารถนำมาคำนวณได้ทั้งนั้น (ไม่ใช่ปริมาณที่แท้จริง)

สมการรัก

(1)“ปริมาณคำพูดที่ออกมาจากปากผู้หญิงจะแปรผันตรงกับระยะเวลาของความสัมพันธ์ (ใช้ได้ตลอดช่วงชีวิต)” ถอดความหมายของสมการนี้ให้เข้าใจง่ายๆได้ว่าในขณะที่ผู้ชายเริ่มไปจีบผู้หญิง ผู้หญิงจะพยายามพูดน้อยถึงน้อยที่สุดเพราะรู้ดีว่า

(2)“ปริมาณของคำพูดที่ทำให้ผู้ชายรู้สึกดีจะแปรผันตรงกับความหวังที่ผู้ชายคนนั้นๆใช้ในการเป็นแรงบันดาลใจในการจีบต่อไป” นั่นหมายความว่าถ้าพูดมากจนเกินไปแล้วไม่รู้ตัวว่าได้ไปให้ความหวังกับผู้ชายเหล่านั้นไว้ วันหนึ่งพอจะสลัดทิ้งผู้ชายเหล่านั้นก็จะเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะผู้ชายเหล่านั้นมีความหวังเรืองรองในการที่จะได้ครอบครองผู้หญิงคนนั้นๆแล้ว

และถ้ามองสมการที่(1) ในแง่ของความสัมพันธ์หลังจากตกลงที่จะดูแลกัน (คบกันเป็นแฟน) เมื่อระยะเวลาของความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้นก็จะส่งผลให้ปริมาณคำพูดที่ออกมาจากปากผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งใดเคยเห็นและเก็บไว้ในใจได้ก็จะเริ่มยากลำบากมากขึ้นในการที่จะเก็บความรู้สึกเอาไว้และนั่นจะเป็นผลให้คำพูดจะออกมาจากปากมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ และนี่จะส่งผลให้เราสามารถเขียนสมการได้อีกอันหนึ่งว่า

(3)“ปริมาณความหงุดหงิดและอารมณ์เสียของผู้ชายแปรผันตรงกับปริมาณคำพูดที่เพิ่มมากขึ้นของผู้หญิงภายหลังจากที่ตกลงเป็นแฟนกันและปริมาณความหงุดหงิดจะเริ่มต้นเมื่อปริมาณคำพูดนั้นมากจนเลยจุดเกรงใจของผู้ชายคนนั้นๆ” (จุดเกรงใจขึ้นอยู่กับผู้ชายแต่ละคน) ทีนี้ถ้าเรามองในส่วนของผู้ชายสมการที่เราได้จะแตกต่างกับผู้หญิงโดยสมการจะว่าด้วย

(4) “ปริมาณคำพูดที่ออกมาจากปากผู้ชายจะแปรผกผันกับระยะเวลาของความสัมพันธ์ (ใช้ได้จนถึงช่วงวัยทองเท่านั้น)” อธิบายได้ว่า ถ้านับตั้งแต่แรกรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งไปจนถึงใช้ชีวิตร่วมกันไปจนแก่เฒ่า ถ้าเราตัดช่วงวัยทองออกไปไม่นำมาคิดรวม เราจะสามารถเข้าใจได้ว่าผู้ชายจะพูดมากที่สุดในช่วงที่เริ่มจีบผู้หญิงคนหนึ่ง โดยคำพูดต่างๆที่ออกจากปากก็จะเป็นไปเพื่อแสดงออกถึงข้อดีของตัวเองและยังหวังผลว่าฝ่ายหญิงจะพูดโต้ตอบออกมาในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ หรือเขียนสมการเฉพาะในส่วนนี้ได้ว่า

(5)“ปริมาณคำพูดที่ออกมาจากปากผู้ชายในขณะจีบจะแปรตามความต้องการที่จะได้ครอบครองผู้หญิงคนนั้นๆ” และเมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายหญิงพูดโต้ตอบออกมามากขึ้นและหลงพูดคำใดๆที่เป็นการให้กำลังใจหรือทำให้รู้สึกดีก็จะสามารถนำไปตีความเข้ากับสมการที่ (2) ได้ทันที

และจากสมการที่ (4) และ (5) ยังอธิบายได้อีกว่า เมื่อผู้ชายได้ครอบครองผู้หญิงคนนั้นๆแล้ว ปริมาณคำพูดที่ออกจากปากจะน้อยลงไปเรื่อยๆตามช่วงเวลาของความสัมพันธ์จนกระทั่งอาจจะเหลืออยู่ไม่กี่คำต่อวันถ้าได้แต่งงานและใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน (ไม่มีความต้องการครอบครองเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย)

เมื่อเราจินตนาการได้แล้วว่าปริมาณคำพูดของผู้ชายจะน้อยลงเรื่อยๆเมื่อระยะเวลาของความสัมพันธ์มากขึ้น เราจึงจะมาว่ากันต่อถึงผู้ชายวัยทองกันบ้างโดยหลังวัยทองของผู้ชาย เราสามารถเขียนสมการได้ว่า (6)“ปริมาณของความฉุนเฉียวและอารมณ์เสียของผู้หญิงจะแปรผันตรงกับปริมาณคำพูดที่ออกมาจากปากผู้ชายวัยทอง”

อธิบายได้ง่ายโดยอ้างอิงจากสมการที่ (4) และ (5) ซึ่งผู้ชายจะพูดมากที่สุดในช่วงเวลาที่ต้องการจะได้ผู้หญิงคนนั้นมาครอบครองและเมื่อผู้หญิงตกลงที่จะมีความสัมพันธ์ร่วมกัน (ยอมให้ผู้ชายครอบครอง) ผู้ชายคนนั้นก็จะลดปริมาณคำพูดลงเรื่อยๆตามระยะเวลาของความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นจนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นๆเริ่มชินและไร้ความรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อถึงวัยทอง ปริมาณคำพูดของชายคนดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้นในแบบก้าวกระโดด (ส่วนมากจะเป็นการดุด่าว่ากล่าว) นั่นทำให้ผู้หญิงจะเสียสมดุลในการฟังเนื่องจากไม่ได้รับฟังคำพูดใดๆจากผู้ชายมาเป็นเวลานานและจะแปลงค่าคำพูดดุด่าเหล่านั้นไปเป็นอารมณ์ฉุนเฉียวในที่สุด

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เมื่อเราสอง มองมุมสูง

มนุษย์ทุกชีวิตต่างเฝ้าไขว่คว้าหาทางพาชีวิตตัวเองขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน เหตุผลเพียงเพราะเชื่อว่าการมองลงมาจากจุดสูงสุดเป็นความสุขที่ประเมินค่าไม่ได้ที่มนุษย์ทุกคนสมควรจะได้สัมผัสสักครั้งในชีวิต แน่นอนว่าการก้มมองและแหงนมองย่อมจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันมากและสำหรับคราวนี้เราสองคนเลือกที่จะก้มมองลงมาจากมุมสูงดูบ้างเผื่อว่ามุมมองที่แตกต่าง จะทำให้ชีวิตของเราหลังจากนี้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง

ถ้าพูดถึงราชบุรี แววตาของคนฟังอาจจะยังราบเรียบไร้ความรู้สึก แต่ถ้าขมวดปมให้แคบยิ่งกว่านั้น “สวนผึ้ง” เราเชื่อว่าหน้าต่างของหัวใจทุกดวงจะเปลี่ยนแปลงไปในทันทีที่ได้ยิน

คำว่าสวนผึ้งไม่ใช่คำใหม่สำหรับพวกเราทั้งสองเพราะจะว่าไป เพื่อนๆและคนรู้จักมากมายต่างก็แวะไปสร้างความสนิทสนมกับสวนผึ้งกันมาแล้วแทบจะทุกคน นั่นทำให้บางห้วงคำนึงเราสองคนเองก็หลงนึกไปว่าเราสนิทสนมกับสวนผึ้งไปด้วย และเมื่อการไปเยือนสวนผึ้งจบสิ้นลงเราไม่เสียใจแม้สักนิดที่เคยหลงสนิทชิดเชื้อ เพราะสุดท้ายแล้ว “สวนผึ้ง” ก็ได้ใจของพวกเราไปจริงๆ

ด้วยความที่เราเป็นนักท่องเที่ยวประเภทที่ไม่นิยมการทำกิจกรรมใดๆทั้งสิ้นและเน้นการพักผ่อนที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวเพราะฉะนั้นห้องพักที่เราเลือกย่อมต้องมีเสน่ห์และน่าค้นหาเพื่อรองรับการใช้เวลาส่วนใหญ่ที่มักจะหมดไปกับการนั่งชมวิวจากตัวห้องโดยไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น

ก่อนหน้านี้ ถ้าจะพูดถึงการมองจากมุมสูงหรือการพักผ่อนท่ามกลางอ้อมกอดอุ่นๆของขุนเขา เราสองคนมักคิดไปไกลถึงการเดินทางขึ้นไปทางภาคเหนือของประเทศแต่แล้วเราก็ได้รู้ว่าสวนผึ้งตอบโจทย์ของเราได้โดยไม่ต้องเดินทางห่างจากเมืองหลวงไปไกลถึงขนาดนั้น

ด้วยทิวทัศน์ที่มีให้ชมความสวยงามในรูปของหมอกในยามเช้า อีกทั้งภาพวาดบนท้องฟ้าที่พระอาทิตย์แสดงให้ชมทั้งในช่วงของการมาและลาจากไปจากท้องฟ้า ไหนจะความงามที่มาในรูปแบบของเสียง เสียงจากธรรมชาติที่ไม่สามารถหาฟังได้ในป่าคอนกรีตที่เราอาศัย ด้วยทุกสิ่งที่พูดถึงนี้ เราสองคนโชคดีที่ได้พบโดยไม่ต้องเดินทางออกจากห้องพักแต่อย่างใด

การนอนแช่ตัวในอ่างปล่อยตัวเองให้น้ำอุ่นโลมเล้า พร้อมทั้งปิดประสาทรับรู้ทางการมองเห็นและน้อมรับความงามทางกลิ่นที่มาให้รูปของเทียนหอมต่างๆ เพียงเท่านี้ก็ดูจะสุนทรีย์ในอารมณ์มากพอแล้ว เพราะฉะนั้นขอละไว้ไม่พูดถึงภาพของยอดเขาอีกทั้งทิวไม้นานาพันธุ์ที่ปรากฏด้านนอกหน้าต่างในขณะที่ใช้เวลาให้สายน้ำบำบัดความเหนื่อยล้าที่พบมาจากเมืองหลวง เพียงเพื่อไม่ให้ใครต่อใครอิจฉาเราสองคน

การแช่ตัวในบ่อน้ำร้อน ในน้ำตก การให้อาหารสัตว์สุดฮิตในสวนผึ้งอย่างเจ้าแกะขนปุยรวมทั้งการขับขี่ ATVคู่ใจ เป็นกิจกรรมน้อยๆที่เราแบ่งเวลาให้บ้างเพื่อไม่ให้สำลักความสุขในแง่ของการมองมุมสูงมากจนเกินไป และถึงแม้เราจะใช้เวลาใกล้ชิดธรรมชาติในที่พักเสียส่วนใหญ่แต่ก็ไม่ลืมที่จะพาน้องมะลิคู่ใจควบตะบึงชมธรรมชาติและรีสอร์ทสวยที่ร่วมกันสร้างความเป็น “สวนผึ้ง” ให้เป็นที่เลื่องลือจนผู้คนมากมายต้องเดินทางมาเยี่ยมเยือน

ถึงแม้เราสองคนจะตอบตัวเองได้ว่าได้ใช้เวลาในการมองจากจุดสูงสุดลงมามากเพียงพอแล้ว แต่บอกได้เลยว่าด้วยที่พักที่จัดได้ว่า “เอาอยู่” มันทำให้หัวใจของเราร่ำร้องถึงการกลับมาเยือนอีกครั้งแทบจะในวินาทีเดียวกันกับที่เราสืบเท้าก้าวออกมาจากที่นั่น จะด้วยการเสพติดบรรยากาศหรือความรู้สึกของการอยู่ในจุดสูงสุดที่แสนจะพิเศษก็ตาม แต่หลังจากการไปเยือนสวนผึ้งครั้งนี้เราสองคนเพียงสบตากันก็เข้าใจแล้วว่าคงอีกไม่นานเราทั้งสองน่าจะได้มองมุมสูงกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในถนนราดยางหรือถนนชีวิตของเราสองคนก็ตาม

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

mouth2mouth ตอนที่ 2

A: ไม่เคยเจอตัวจริงนายสักครั้ง เคยได้ยินแต่เธอพูดถึงนาย ตัวจริงนายดูตัวสูงกว่าที่คิดไว้อีกนะ แต่ดูเครียดๆยังไงไม่รู้ ช่วงนี้ไม่ค่อยผ่อนคลายเหรอ หรือปกตินายก็เครียดอย่างนี้อยู่แล้ว
B: ก็เปล่าหรอก ภายนอกอาจจะดูเครียดๆไม่ผ่อนคลายเท่านาย แต่จริงๆก็ไม่ขนาดนั้นหรอก บางทีเรามัวพะวงแต่เรื่องความมั่นคงของชีวิตเลยอาจจะดูเครียดไปบ้าง ว่าแต่เราเองก็เพิ่งเคยเจอนายครั้งแรก ดูน่าสนใจกว่าที่คิดนะ เธอเคยบอกไว้ว่านายน่าค้นหา น่าหลงใหล และน่าสนใจในหลายๆเรื่อง พอได้มาเจอถึงได้รู้ว่าเธอพูดถูกจริงๆ ถึงว่าทำไมเธอถึงชอบไปหานายจัง ว่างนิดว่างหน่อยเป็นไม่ได้ คอยจะไปหานายทุกที บางครั้งฉันก็อดน้อยใจไม่ได้

A: น้อยใจทำไมเหรอ น้อยใจที่เธอมาหาฉันนะเหรอ ลองคิดดูให้ดีนะว่าจริงๆแล้ว เธอต้องการอะไร อะไรกันแน่ ฉันหรือนาย อย่าเอาแต่มองฉาบฉวยจากภายนอก
B: ก็เห็นอยู่ว่าเป็นนาย ว่างเป็นคิดถึงนาย ว่างเป็นไปหานาย ไม่เคยดูดำดูดีฉันสักนิด อยู่ด้วยกันทุกวัน ยิ้มยังแทบจะไม่มีให้กัน จะไม่ให้น้อยใจได้อย่างไร

A: ที่นายพูดก็ถูก แต่เอาเข้าจริงๆไม่เห็นมีใครอยากอยู่กับฉันจริงๆเลย เหงาก็มา ทุกข์ก็มา พอรู้สึกดีขึ้นก็กลับไปหานาย เห็นเป็นอย่างนี้ทุกคน คงเห็นว่าฉันเป็นคนสนุก ไม่ยึดติด และให้ความสุขกับพวกเธอได้เสมอๆ ก็เลยมาใช้เวลาแก้เหงากับฉัน อยู่กับฉันทีละคืนสองคืน ทำอย่างกับฉันเป็นตัวอะไร
B: พวกเธอรีบกลับมาเพราะเธอต่างมีหน้าที่ มีภารกิจที่จะต้องรับผิดชอบ ไม่มีใครกลับมาเพราะคิดถึงฉันหรอกนายก็รู้ ใครๆก็อยากอยู่กับคนสบายๆอย่างนายทั้งนั้น ใครละจะมาอยู่กับคนที่คิดมากอย่างฉัน

A: ใครล่ะเป็นคนกำหนดภารกิจ ใครล่ะกำหนดหน้าที่ ก็พวกเธอเองทั้งนั้น พวกเธอทั้งนั้นที่เลือกที่จะอยู่กับนาย และเก็บฉันไว้แก้เหงา และเมื่อความจริงมันเป็นอย่างนี้ นายหรือฉันกันแน่ที่น่าอิจฉา นายอาจจะดูว่าคิดมาก แต่สิ่งที่นายคิด มันก็ทำให้ชีวิตของพวกเธอสบายไปทั้งชาติได้ พวกเธอก็เลยเลือกที่จะอยู่กับนายไง
B: ถึงนายจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าเธอจริงใจกับนายมากกว่า อยู่กับฉันเธอทำหน้าเครียดเสมอๆ คุยกันแต่เรื่องจริงจัง คุยกันแต่เรื่องเงิน ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะให้กันสักนิด

A: แล้วนายรู้ได้อย่างไรว่าเวลาอยู่กับฉันเธอเป็นอย่างไร ที่ผ่านมาก็มีอยู่ไม่กี่คนหรอกนะที่ตัวอยู่กับฉันแล้วใจจะอยู่กับฉันด้วยจริงๆ ฉันมองแววตาก็รู้แล้วว่าเธอคิดถึงนายอยู่ตลอดเวลา เฝ้าครุ่นคิดว่าเมื่อไรจะถึงวันที่จะกลับไปหานาย ถึงแม้ปากจะพร่ำบอกว่านายไม่มีอะไรที่เธอรัก แต่ก็ไม่เห็นมีใครยอมอยู่กับฉัน
B: ไม่อยากจะเชื่อ เพราะเวลาอยู่กับฉัน แค่ฉันมองตาก็รู้แล้วว่าเวลาไหนที่เธอต้องการนาย และยิ่งช่วงเวลาที่ใกล้กับที่เธอตั้งใจจะไปหานาย แววตาเธอไม่มีฉันอยู่ในหัวใจสักนิด หรือเธอเลือกมาอยู่กับฉันเพียงเพราะความมั่นคงที่ฉันมอบให้กันนะ หรือเธอเองคิดว่าฉันไม่มีหัวใจ

A: ฉันเองก็ตอบไม่ได้ เธอคนนี้ที่เรากำลังพูดถึงดูไม่แน่นอนสักนิด อยู่กับนายก็ไม่ได้รักนายจริง อยู่กับฉันก็เฝ้าคิดถึงแต่นาย ผู้หญิงอย่างนี้เราไม่ควรจะไปสนใจเลยจริงๆ แต่นายจำผู้หญิงคนหนึ่งได้ไหม คนที่ฉันกำลังคิดถึงอยู่
B: จำได้สิ จะมีใครจำไม่ได้บ้างล่ะ ผู้หญิงคนเดียวที่ฉันเคยรู้จักที่เลือกมาอยู่กับฉันด้วยความรัก แววตาของเธอเวลาอยู่กับฉันดูมุ่งมั่น ดูมีแรงบันดาลใจอยู่ภายใน และที่สำคัญ ดูมีความรักอยู่ข้างในนั้นเสมอๆ ถึงแม้บางเวลาจะไปหานายบ้าง แต่ฉันก็รู้ว่าสักวันเธอต้องกลับมาเพราะว่าฉันรู้ว่าเธอรักฉัน

A: เธอเป็นคนเดียวที่ไม่ได้แบกความทุกข์จากนายมาลงที่ฉัน เธอมีความสุขเวลาอยู่กับนาย เธอมาคุย
ให้ฉันฟัง แบ่งปันความสุขและความฝันของเธอให้ฉัน และที่สำคัญ เวลาอยู่กับฉันเธอก็รักฉัน แววตาเธอบอกว่าเธอรักฉันอย่างจริงใจ ถึงแม้ว่าเธอจะมีกำหนดเวลาที่จะกลับไปหานายแต่เธอก็ใช้เวลากับฉันอย่างเต็มที่ ดวงตากลมโตของเธอไม่เคยมีช่วงเวลาไหนเลยที่เธอจะแสดงให้ฉันเห็นว่าครุ่นคิดถึงนายอยู่ เมื่อไรเราสองคนจะได้เจอผู้หญิงอย่างนี้อีกนะ ผู้หญิงที่เลือกจะอยู่กับเราด้วยความรัก และวางหัวใจไว้ที่เดียวกับที่ร่างกายเธออยู่
B: ฉันเองก็ตอบไม่ได้จริงๆ โลกสมัยนี้หล่อหลอมให้พวกเธอเป็นเหมือนกันหมด เลือกอยู่กับฉันเพราะเงิน อยู่กับฉันเพราะคิดว่ามันมั่นคง และบางทีอยู่กับฉันเพื่อหาเงินไปมีความสุขกับนาย

A: ฟังดูเหมือนฉันน่าจะมีความสุข แต่มันไม่ใช่เลย พวกเธอมาหาฉันแบบเร่งรีบ มีกำหนดการทุกอย่างอยู่ในมือ ไม่มีช่วงเวลาผ่อนคลายใดๆ รวบรัดทุกสิ่งทุกอย่าง อีกทั้งจิตใจก็ครุ่นคิดถึงนายอยู่เสมอๆ ดูแล้วเหมือนคนที่ฝากใจไว้ที่นาย แต่เอากายนั่งรถมาหาฉัน มาถึงก็พร่ำบ่นถึงแต่เรื่องความอึดอัดที่อยู่กับนาย ฉันละเกลียดพวกเธอจริงๆ
B: ฉันจะพยายามตามหาเธอคนนั้น และถ้าถึงแม้มันไม่เจอ ฉันจะพยายามบอกทุกคนที่อยู่กับฉันตอนนี้ว่าช่วยพยายามเป็นอย่างนั้นบ้างได้ไหม มีน้องมีเพื่อนก็บอกๆกันต่อไป รักฉันบ้าง ดูแลเอาใจใส่กันบ้าง อย่าอยู่กับฉันเพียงเพราะอยากได้เงิน อย่าอยู่เพียงเพราะว่าจะได้ชื่อว่ามั่นคง และถ้าฉันทำได้ ผลดีมันจะตกไปถึงนายด้วย

A: พูดตามตรงว่าฉันมองไม่เห็นความหวัง นายก็รู้สมัยนี้พวกเธอไม่ได้บูชาความรักเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งถ้าพวกเธอไม่มีเงินเลย การมาหาฉันมันก็อาจจะเป็นเรื่องยากของเธอเช่นกัน แต่ถึงอย่างไร ฉันก็อยากจะเอาใจช่วยนาย
B: การคิดถึงเรื่องเงินบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะถึงอย่างไรฉันก็มีให้พวกเธออยู่แล้ว แต่ฉันอยากจะให้แต่คนที่รักฉัน คนที่เลือกมาอยู่กับฉันด้วยความรัก เพราะถ้าปล่อยให้มีแต่คนที่เข้ามากอบโกยแล้วล่ะก็ วันหนึ่งฉันคงไม่มั่นคงพอที่จะให้เงินพวกเธอได้แน่ๆ และเมื่อถึงวันนั้น ทุกคนก็จะไปจากฉัน และฉันก็ไม่รู้ว่า พวกเธอจะมีเงินเดินทางไปหานายไหม บอกตามตรง ไม่อยากจะคิดถึงวันนั้น

A: ฉันจะพยายามช่วยนายอีกแรง ผู้หญิงมากมายที่มาหาฉันแล้วค้นพบว่าจริงๆแล้วตัวเองต้องการอะไร คนมากมายที่มาหาฉันแล้วกลับไปอยู่กับนายด้วยความรัก เธอคนนั้นก็ได้รู้ว่าเธอรักนายในตอนที่อยู่กับฉันนี่ล่ะ ฉันจำแววตาเธอวันนั้นได้ เธอนั่งสบตากับฉัน จับมือกันและปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ อยู่ๆเธอก็หันมาสบตาฉัน หอมแก้มฉัน และบอกกับฉันว่าเธอรู้แล้วว่าเธอรักใคร ฉันจะพยายามทำให้วันอย่างนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง รอฉันก่อนนะ

A: ทะเลนอกเมืองหลวง B: ตึกระฟ้าในเมืองหลวง

mouth2mouth ตอนที่ 1

A: ได้ข่าวว่านายช่วยโลกจากเหล่าร้ายมาหลายครั้งแล้วเหรอ
B: ก็แทบจะทั้งชีวิตล่ะ แล้วนายล่ะ ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเหรอเห็นเอาแต่เตะฟุตบอล

A: ฟุตบอลมันคือเพื่อนของฉันนายอย่ามายุ่ง แล้วนายไม่เล่นกีฬาหรือทำอะไรผ่อนคลายบ้างหรือไง เห็นเอาแต่ฝึกต่อสู้หน้าดำคร่ำเครียด ระวังเส้นเลือดในสมองจะแตก
B: ถ้าฉันไม่ฝึกเอาไว้ เวลามีศัตรูตัวใหม่ๆจะสู้ได้ยังไง ศัตรูตัวใหม่มันจะเก่งกว่าตัวเก่าตลอด ถึงแม้ว่าตอนที่ตัวเก่าออกมามันจะบอกว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลกแล้วก็ตาม แต่อย่าลืมนะว่าถ้าโลกถูกทำลายนายก็อดเตะฟุตบอล

A: ก็น่าคิด ว่าแต่ทำไมนายไม่ลองมาเตะบอลล่ะ พลังอย่างนายยิงทีเดียวน่าจะเข้าประตูสบายๆ เราจะได้เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกเสียที ไม่ต้องมาเหนื่อยอย่างทุกวันนี้
B: ฉันมีภาระที่หนักหนากว่านั้นเยอะ อีกอย่างเตะเบาๆทีเดียวลูกบอลก็แตกแล้วไม่เห็นจะสนุกตรงไหน ว่าแต่สงสัยจัง ฉันเคยดูนายเตะบอลอยู่ครั้งหนึ่ง เห็นตอนท้ายเกมนายยิงท่าไม้ตายเข้าไปจากกลางสนาม ฉันสงสัยว่าทำไมนายไม่ยิงตั้งแต่ตอนเขี่ยลูกเริ่มเกม ซัดไปสัก 4 – 5 ลูก ก็ชนะสบายๆแล้ว ไม่ต้องมาลุ้นให้เหนื่อยทีหลัง

A: ก็แล้วทำไมนายไม่รวมพลังของนายมาจากบ้าน พอศัตรูมาถึงก็ยิงใส่ทีเดียวก็จบ
B: นายก็พูดเป็นเล่น แล้วคนดูเขาจะตื่นเต้นไหมเล่า มันก็ต้องอัดกันให้สะบักสะบอมก่อน สุดท้ายค่อยใช้ท่าไม้ตายไง ก็เหมือนเรื่องอื่นๆทั่วไปนั่นล่ะ

A: ตื่นเต้นตรงไหนพวกนายมีของคอยชุบชีวิตให้ มีของไว้สำหรับคืนพลังอีกต่างหาก ไม่เห็นจะลุ้นตรงไหน เอะอะก็ขอพร ขอไม่พอก็ไปหาขอที่ดาวอื่นอีก ยังไงนายก็ไม่ต้องตายอยู่แล้ว
B: พูดอีกก็ถูกอีก ไม่รู้จะเถียงยังไง ว่าแต่นายเถอะ ชีวิตค้าแข้งมันก็ไม่ได้ยาวนานอะไร แต่ทำไมเห็นนายใช้เวลาฟุ่มเฟือยจัง ยืดยาดเยิ่นเย้อตลอด

A: ยังไงล่ะ ฉันไม่ได้ฟุ่มเฟือยนะ ใช้เวลามีค่าจะตาย เพราะฉันไม่อยู่ยงคงกระพันเหมือนนาย
B: มีค่าตรงไหน เห็นเลี้ยงบอลทีก็นึกย้อนหลังไปถึงวัยเด็กที เลี้ยงบอลจากหน้าโกล์ตัวเองกว่าจะไปถึงโกล์คู่ต่อสู้ นายคิดย้อนไปเป็นสิบปี เสียเวลาจะตาย อย่างนี้ไม่เรียกว่ายืดยาดเหรอ

A: นายก็พูดไปเรื่อย จริงๆเวลามันนิดเดียว แต่เขาขยายให้ดูนาน ปกติแป๊บเดียวก็ถึงหน้าประตูแล้ว
B: แล้วจะเลี้ยงทำไม ทำไมไม่ยิงท่าไม้ตายไปเลย เสียเวลา แถมเวลาเลี้ยงยังดูเหมือนเลี้ยงขึ้นเนินยังไงไม่รู้สนามบอลก็เรียบๆ แต่ดูในทีวีทีไร เห็นนายเลี้ยงบอลเหมือนเลี้ยงขึ้นเนินทุกที

A: นายนี่ก็พูดไม่รู้เรื่อง ท่าไม้ตายก็เก็บไว้ตอนท้ายสิ ไม่อย่างนั้นจะตื่นเต้นเหรอ ส่วนไอ้เลี้ยงขึ้นเนินอะไรนั่น มันเป็นเรื่องของภาพในทีวี อย่าไปใส่ใจอะไรกับมันนักเลย ทำยังกับภาพของนายมันจะเหมือนจริงนัก
B: เอาล่ะๆช่างมันเถอะ ว่าแต่ปกตินายเอาเวลาที่ไหนไปพลอดรักกับแฟนนาย ฉันเห็นนายเตะบอลอย่างเดียว ไม่เคยเห็นโรแมนติกเลย หรือว่านายเป็นเกย์ เห็นอยู่แต่กับหนุ่มๆ

A: ไม่ได้เป็นเกย์นะ นายนี่มั่วไปเรื่อย ทุกเวลาที่ไม่ได้เตะบอลฉันก็ให้แฟนหมดล่ะ แต่พวกนายจะเห็นฉันแต่ตอนเตะบอลเท่านั้น นอกจากนั้นเขาไม่ให้เห็น เพราะเดี๋ยวฉันจะกลายเป็นพระเอกหนังรักวัยรุ่นไปเสียก่อน หน้าตาฉันก็ยิ่งหวานอยู่ด้วย
B: ก็ดีออก น่ารักดีจะตาย นักฟุตบอลเกย์กับความรักนอกสนาม ฮา เออนี่ฝากถาม เพื่อนนายหน่อยสิ ว่าเขาเป็นคนดาวเดียวกับพวกฉันหรือเปล่า ดูเหมือนเขาจะแปลงร่างอยู่ตลอดเวลา คนที่ผมตั้งๆน่ะ

A: ก็น่าจะเป็นไปได้นะ ดูบ้าพลังเหมือนนายเลย ว่าแต่เวลานายแปลงร่าง ผมนายจะเปลี่ยนเป็นสีทอง อย่างนี้พวกนายก็ไม่ต้องย้อมผมเลยสินะ ถ้ามันเริ่มหงอก ก็แปลงร่างไว้ตลอดเลยก็ได้นี่
B: นายนี่วอนจะไม่ได้เตะบอลต่อไปแล้วนะนี่ ทำอย่างนั้นมันก็หมดพลังกันพอดี พวกฉันไม่สนใจเรื่องสีผมอะไรนั่นหรอกน่า เออฉันถามอะไรเกี่ยวกับตอนนายเด็กๆหน่อยสิ นายไม่เคยคิดว่าจะเลิกเตะบอลแล้วหันไปเรียนให้จบบ้างเหรอ ถ้าเกิดนายเอาแต่เตะบอลแล้วนายไม่ได้เป็นนักเตะอาชีพ นายจะทำอะไร เพราะฉันเห็นนายเตะบอลเป็นอย่างเดียว ถ้าอยู่ประเทศไทย พ่อแม่นายคงปวดหัวตาย

A: ฉันรู้อยู่แล้วว่าฉันจะได้เป็นนักเตะอาชีพ ไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนอะไร เพราะชีวิตฉันมีแต่ฟุตบอล ฉันไม่เคยมีคำว่าล้มเหลวอยู่ในหัว ว่าแต่นายเถอะ ไม่เรียน ไม่ทำงานทำการ เอาเงินที่ไหนใช้ แต่อย่างว่าสงสัยไม่ค่อยมีเงิน เพราะไม่เคยเห็นนายเปลี่ยนชุดเลย มีใส่อยู่ไม่กี่ชุดล่ะมั้ง
B: ฉันต้องรักษาบุคลิกของนักรบไว้ จะให้มาแต่งตัวจัดๆ เจาะหู ใส่เดฟ อะไรอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ

A: ทำไมจะไม่ได้ เห็นนายก็ใส่เจลหัวตั้งตลอดทั้งวัน ไม่เห็นสนใจภาพลักษณ์อะไรตรงไหน
B: ดูท่าทางนายจะไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วสินะ ถึงได้มากวนกันอย่างนี้ แค่ปล่อยพลังเบาๆนายก็หมดทางสู้แล้วนะ แล้วไอ้ที่เห็นหัวตั้งๆน่ะ ฉันไม่ได้ใส่เจลอะไร ทรงผมของคนบนดาวเดียวกับฉันก็เป็นอย่างนี้ทุกคน นายไม่สังเกตหรือไง

A: คำก็ดุ สองคำก็ดุ รู้แล้วว่าเก่ง รู้แล้วว่าแข็งแรง ไม่ต้องมาขู่มากหรอกน่า นายนี่สงสัยเด็กๆไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตวัยเด็กเตะบอลให้สนุกสนานบ้างถึงได้เครียดขนาดนี้ อ่อได้ข่าวว่านายไม่เคยเห็นกระต่ายบนดวงจันทร์ใช่ไหมเพราะตอนเด็กๆนายจะมาเงยหน้าดูดาวก็ไม่ได้นี่นา เดี๋ยวเห็นพระจันทร์เต็มดวงจะกลายเป็นลิงยักษ์เสียอีก
B: อย่ามายุ่งกับวัยเด็กของฉัน เดี๋ยวจะจับหักขาไม่ให้เตะบอลเสียนี่ เอาล่ะพอกันที ฉันจะไปฝึกต่อละ เดี๋ยวถ้าเจอเหล่าร้ายมาทำลายโลกแล้วสู้ไม่ได้ โลกถูกทำลายไป นายจะอดเตะบอลเสียเปล่าๆ

A: ขอบคุณๆ ไปเถอะ ฉันก็จะไปซ้อมบอลแล้ว แล้วว่างๆมาเตะบอลกันบ้างนะ อ่อ แล้วคราวนี้ถ้าลงแข่ง ฉันจะยิงท่าไม้ตายตั้งแต่เขี่ยเลย ดูสิคนอ่านมันจะสนุกกันไหม ฮา ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แล้วว่างเจอกันละกัน
B: ตกลง แล้วเจอกัน เอานี่ เอาถั่วไปกิน เก็บไว้กินเวลาเตะบอลเหนื่อยๆ แล้วอย่าลืมหาเวลาให้แฟนบ้างล่ะ เตะบอลอย่างเดียวระวังแฟนทิ้งนะนาย

A: โอโซระ ซึบาสะ จากเจ้าหนูสิงห์นักเตะ B:ซุน โกคู จากดราก้อนบอล

วิศวกรสอนรัก ตอนที่ 2 "พรหมลิขิตบันดาลชักพา"

เป็นอย่างไรกันบ้างครับหนุ่มสาวร้อนรักทั้งหลาย วันเวลาผ่านไปทำให้ความรักคุณเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่าครับ หลังจากเราได้พบกันไปแล้วในครั้งก่อน หวังว่าคุณๆคงเข้าใจความรักกันมากขึ้นแล้วนะครับ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและเสียหน้ากระดาษไปโดยใช่เหตุ ไปว่ากันถึงคำถามวันนี้กันดีกว่าครับ

ถึง พี่วิศวกรผู้เข้าใจในความรัก

เข้าเรื่องเลยนะครับพี่ ตัวผมเองพอจะเข้าใจในความรักที่พี่อธิบายแล้ว แต่ว่าผมรอแล้วรอเล่า ความรักก็ไม่เคยเข้ามาหาผมสักที ผมเข้าใจครับว่าผมไม่ได้หล่อเหลาอย่างพี่โดมหรือพี่เคน อย่างไรแล้วสาวๆคงไม่เข้ามาจีบผมแน่ๆ แต่เห็นใครต่อใครบอกว่าพรหมลิขิตมักจะบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด แต่ทำไมกามเทพไม่เห็นเคยเหลียวแลผมสักทีเลยล่ะครับ ผมควรจะทำอย่างไรดีครับพี่

กามเทพไม่รักผม

กรณีของน้องกามเทพไม่รักไม่ใช่เรื่องยากเลยครับ ผมมีเพื่อนๆมากมายที่พบปัญหาในลักษณะเดียวกันนี้คำถามของผมก็คือใครบอกพวกคุณกันครับว่ากามเทพมีจริง? (ฮา) ก่อนอื่นเลยผมอยากจะเปลี่ยนความคิดของทุกคนที่ต้องการจะได้ลิ้มรสกับความรักก่อนเลยนะครับว่า ให้ลืมคำว่ากามเทพและพรหมลิขิตไปได้เลยครับ ลืมให้สนิท เพราะเรื่องราวเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราพบกับความรักแล้วเท่านั้นครับ งงไหมครับ คิดกันง่ายๆครับ เราจะได้ยินเรื่องของกามเทพหรือพรหมลิขิตทำงานก็ต่อเมื่อเราได้ยินเรื่องของคนสองคนที่เขารักกันเรียบร้อยแล้ว ส่วนใครที่คอยบอกคุณว่าให้รอพรหมลิขิต ผมขอบอกเลยครับว่าคนเหล่านั้นเค้ากลัวคุณจะเสียใจถ้าจะต้องอยู่คนเดียวเหี่ยวแห้งไปตลอดชีวิต ก็เลยหาอะไรมาทำให้คุณชุ่มช่ำใจโดยการอ้างถึงอะไรที่มองไม่เห็น เช่นพรหมลิขิตยังไงล่ะครับ ก็ถ้ามันมีจริงแล้วเว็บไซต์หาคู่มันจะเกิดขึ้นมาทุกหย่อมหญ้าได้อย่างไรละครับ หรือถ้ากามเทพมีจริง ลุงหนวดแห่งมาลัยเสี่ยงรักคงไม่อยู่คู่เมืองไทย ถูกต้องหรือเปล่าครับ

ถ้าน้องกามเทพไม่รักเริ่มเชื่อแล้วว่าพรหมลิขิตไม่มีจริง ผมก็จะแนะนำให้ว่าทำอย่างไรน้องจะได้รู้จักกับความรักบ้าง แต่ถ้าน้องยังเชื่อในกามเทพมากกว่าพี่ เลิกอ่านครับ (ฮา) ประเด็นคืออย่างนี้ครับ เราจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆโดยเปรียบการเกิดความรักกับการเกิดอำนาจทางไฟฟ้าครับ ชื่ออาจจะฟังดูยากแต่รับรองว่าเข้าใจง่ายครับ ลองดูนะครับโดยปกติวัตถุจะมีสองชนิดครับคือที่เป็นกลางกับพวกที่มีอำนาจทางไฟฟ้าก็คือพวกที่มีประจุเป็นบวกหรือเป็นลบนั่นเองครับ เปรียบกับคนเราก็คือคนที่เฉยๆ กับคนที่กำลังมีความรัก ตามทันนะครับ ถ้าไม่ทันก็วิ่งมา (ฮา) คราวนี้ปัญหาก็คือ เราจะทำอย่างไรให้คนที่เฉยๆ กลายเป็นคนที่มีความรักครับ คำตอบก็คือ ทำเช่นเดียวกับการทำวัตถุที่เป็นกลางให้มันมีอำนาจทางไฟฟ้าขึ้นมา น้องๆอาจจะถามว่า แล้วมันทำอย่างไร ใจเย็นๆครับ ผมกำลังจะบอกเดี๋ยวนี้แล้ว

วิธีแรกครับ นำวัตถุที่เป็นกลางสองอันมาขัด ถู สี กันครับ เมื่อทำแบบนั้นมันจะเกิดการถ่ายเทประจุกันทำให้ชิ้นหนึ่งจะเป็นลบ อีกชิ้นจะเป็นบวก พอเข้าใจนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าน้องกามเทพไม่รัก อยากให้ชีวิตที่เป็นกลางของน้องได้รู้จักกับความรักบ้าง คำตอบข้อแรกก็คือ ลองไปสีกับสาวๆที่ไม่รู้จักความรักคนอื่นดูครับ ไม่ยากใช่ไหมล่ะครับ เปรียบไปก็คงคล้ายๆกับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออะไรอย่างนั้นล่ะครับ คบเป็นเพื่อนไปก่อน พอประจุมันวิ่งปรู๊ดปร๊าดก็ค่อยรักกัน ทำนองนี้ล่ะครับ คราวนี้ผมยังมีอีกวิธีที่ง่ายกว่านั้น โดยในทางวิศวกรรมเรียกวิธีนี้ว่าการเหนี่ยวนำ นั่นคือเราเอาวัตถุที่เป็นบวกหรือลบอยู่แล้ว ไปแตะ สัมผัส หรือวางไว้ใกล้ๆกับวัตถุที่เป็นกลางครับ มันก็จะส่งผลให้วัตถุที่เป็นกลางนั้นเปลี่ยนไปเป็นบวกหรือลบได้เช่นกันครับ ถ้าเปลี่ยนเป็นมนุษย์เราก็น่าจะเรียกวิธีนี้ว่า “จีบ”นั่นเองครับ คือน้องทำตัวน้องให้มีความรักเสียก่อน จากนั้นก็เข้าไป แตะ สัมผัส วางไว้ใกล้ๆสาวๆที่เราหลงรัก ทีนี้ถ้าการจีบนั้นถูกวิธี สาวๆเค้าก็จะเลิกเป็นกลางเองล่ะครับ ฟังดูไม่ยากใช่ไหมละครับ แต่ทั้งสองข้อนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ออกตามหาเป้าหมายครับ เพราะถ้าน้องยังคงนั่งรออยู่ที่บ้าน พี่รับรองได้ว่าชาตินี้คงไม่ได้สีกับใครให้ประจุมันวิ่งแน่ๆครับ (ฮา) สมัยนี้มันต้องสร้างโอกาสกันแล้วครับไม่ใช่นั่งรอโอกาสอย่างเดียว ทำตัวเองให้พร้อมที่จะมีความรักตลอดเวลา จากนั้นก็ตามหาความรักอย่างสนุกสนาน พอเจอเป้าหมายก็ใช้เวลากับมันอย่างมีความสุข และเมื่อสำเร็จแล้ว คราวนี้จะอ้างเรื่องพรหมลิขิตอะไรให้ใครๆฟังเขาก็เชื่อทั้งนั้นล่ะครับ เพราะเราได้ความรักนั้นมาแล้ว น้องว่าจริงหรือเปล่าครับ

ผมลืมบอกอะไรไปอย่าง ถ้าลืมตรงนี้ไปน้องกามเทพไม่รักคงกลับมาฆ่าผมแน่ๆเลยทีเดียว คืออย่างนี้ครับ เตือนไว้สักนิดนะครับ วัตถุมันจะมีสองประเภทนะครับ คือพวกตัวนำกับพวกฉนวน ตัวนำก็คือประจุจะสามารถผ่านได้ครับ แต่ถ้าเป็นฉนวนนี่ หมายถึงวัตถุที่ไม่ยินยอมให้ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่านได้ ถ้าเราให้ประจุแก่ฉนวนประจุนั้นจะอยู่นิ่งไม่เคลื่อนที่ไปไหน สาวๆก็เช่นกันนะครับ ก่อนจะเข้าไปจีบก็ดูซะก่อนว่าเจ้าหล่อนเป็นฉนวนหรือเปล่านะครับ ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะเสียแรง เสียใจ เสียเวลา และอาจจะเสียเงินด้วยนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าวิศวกรไม่เตือน

ความรักนี่ก็แปลกนะครับ คนบางคนไม่อยากได้แต่พระเจ้ากลับแจกมาให้แบบไม่ทันรู้ตัว แต่คนบางคนรอมาทั้งชีวิตแต่ไม่เคยได้รู้ว่ามันเป็นยังไง สำหรับกรณีแบบนี้ผมมีคำแนะนำอย่างนี้ครับ ทำตัวให้พร้อมสำหรับความรักอยู่ตลอดเวลาครับ พระเจ้าท่านไม่แจกก็หาเองได้ หรือพระเจ้าแจกมาเมื่อไรก็พร้อมจะดูแลมันเป็นอย่างดี แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วล่ะครับ อย่าลืมนะครับ สงสัยอะไรเกี่ยวกับความรักกันบ้างหรือเปล่า วิศวกรจะสอนให้นะ

วิศวกรสอนรัก ตอนที่ 1 "รักคืออะไร"

สวัสดีวัยรุ่นผู้เจนจัดในความอกหักทุกท่านครับ ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกันอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้นผมจะถือโอกาสแนะนำตัวสักนิดหวังว่าคงไม่เสียเวลามากจนเกินไป ตัวผมเองร่ำเรียนปริญญาตรีมาทางสายวิศวกรรมแขนงหนึ่ง จากนั้นมุ่งหน้าออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาต่อในอีกสาขาที่คนทั่วโลกอยากที่จะเรียนรู้ให้เจนจัด แต่ผมขอบอกเลยว่ามีไม่กี่คนที่ทำสำเร็จเช่นผม

วิศวกรรมความรักคือศาสตร์ที่ผมร่ำเรียนมาเป็นเวลานานหลังจากวันที่ก้าวออกมาจากมหาวิทยาลัย ผมไม่จำเป็นต้องแจกแจงสรรพคุณมากมายว่าอะไรบ้างที่ผมได้มาจากการทุ่มเทค้นคว้าและศึกษาศาสตร์แขนงนี้ คุณเองอาจจะรู้จักกับคอลัมน์ตอบปัญหาความรักมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ผมรับรองด้วยเกียรติของวิศวกรได้เลยว่าไม่มีคอลัมน์ไหนในโลกเหมือนคอลัมน์ของผม และถ้าคุณอยากรู้ว่าผมมีดีอะไรถึงกล้าที่จะบอกทุกคนแบบนั้น ผมขอเชิญมาพบกันทุกเดือนที่นี่ แล้วคุณจะรู้ว่าความรักไม่ใช่เรื่องยากและเราสามารถจัดการมันอยู่ได้ง่ายๆด้วยศาสตร์ของวิศวกรรม ส่งคำถามของคุณเข้ามาครับวิศวกรความรักอย่างผมจะแก้ปัญหาให้คุณเอง

คำถาม พี่วิศวกรขา ความรักคืออะไรคะเคยได้ยินผู้ใหญ่เขาพูดกัน หรือบางทีเพื่อนผู้ชายก็มาขอความรักจากหนู หนูไม่ให้ก็โกรธกระฟัดกระเฟียด ก็หนูยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร จะให้ไปง่ายๆได้อย่างไรล่ะคะ จาก น้องหนูอยากรู้รัก

สวัสดีครับน้อง ก่อนอื่นขอบอกว่าชื่อน้องส่อไปในทางหนังสือเพลย์บอยยังไงไม่รู้นะครับ (ฮา) ที่พี่เลือกคำถามของน้องมาก็เพราะว่านี่น่าจะเป็นคำถามของเด็กวัยริรักทุกคนและคำถามนี้ก็ไม่เหมาะจะไปถามผู้ใหญ่ที่ไหนเพราะเขาจะหาว่าเราเป็นเด็กที่ตากแดดนานไป (แก่แดด) ได้นะครับ เพราะฉะนั้น น้องมาถูกทางแล้วครับ

ลองฟังคำตอบของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องความรักมาโดยตรงก่อนนะครับ ความรักก็คือการมีใจผูกพันหรือมีความรู้สึกดีๆต่อคนหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อะไรจำพวกนี้ล่ะครับ ถ้าคุณน้องหนูอยากรู้รักไปถามที่ไหนก็คงไม่ต่างจากนี้นะครับ แต่ถ้าผมจะตอบแบบนี้ก็คงจะเป็นการดูถูกคอลัมน์ของตัวเองเกินไป ร่ำเรียนมาก็ตั้งหลายปีจะให้ตอบธรรมดาก็จะอายเขาเปล่าๆ เอาเป็นอย่างนี้ดีกว่าครับ ความรักคือ “แรงชนิดหนึ่งที่สามารถดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้าหากันได้ ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ หรือสิ่งของ” พอเข้าใจหรือเปล่าครับ อาจจะยากไปนิดแต่ไม่ต้องกลัวครับ ถ้าอ่านคอลัมน์ผมแล้วไม่รู้เรื่อง มาด่าผมได้ตลอดครับ แต่หาผมให้เจอแล้วกัน (ฮา) เลิกเล่นๆ ผมจะอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความรัก โดยอ้างอิงจากกฎที่เกี่ยวกับ “แรง” ทั้งสามข้อที่คุณไอแซก นิวตัน อธิบายกันไว้ละกันนะครับ เพราะไหนๆก็บอกว่ารักเป็น “แรง” ชนิดหนึ่งแล้ว มันก็น่าจะอธิบายได้เช่นเดียวกับแรงอื่นๆ น้องหนูว่าอย่างนั้นไหมครับ แต่จะว่าอย่างไร ผมก็จะอธิบายครับ (แล้วจะถามทำไม)

กฎของรักข้อแรกครับเขาบอกว่า หากไม่มีรักมากระทำต่อชีวิตหนึ่ง ชีวิตนั้นจะอยู่นิ่งอย่างซังกะตาย จนกว่าจะมีความรักมากระทำต่อชีวิตนั้น ตัวอย่างก็เช่น หากน้องหนูใช้ชีวิตไปทุกวันๆ โดยไม่มีความรักมากระทำ ชีวิตน้องหนูก็จะคงสภาพอยู่นิ่ง เอื่อยเฉื่อย น่าเบื่อหน่าย แก่ง่าย ตายช้า หน้าไม่อายอยู่อย่างนั้น (แซวเล่นนะครับ) จะว่าไปก็คงเหมือนสาวๆที่ไม่รู้จักกับความรัก เธอจะตื่นเช้าเพื่อทำงานไปวันๆ เลิกงานก็รีบกลับบ้านมาดูละครน้ำเน่า ใช้ชีวิตเป็นหุ่นยนตร์ออฟฟิศรอว่าเมื่อไรจะมีความรักตกถึงท้องครับ น้องหนูเห็นภาพใช่ไหมครับ แต่วันใดที่น้องหนูได้พบรักกับหนุ่มวิศวกรดีๆสักคน ย้ำ วิศวกรดีๆสักคน (ฮา) ชีวิตน้องหนูก็จะชุ่มช่ำ จากที่จะกลับบ้านมาดูละครน้ำเน่าคนเดียวก็อาจจะกลายเป็นนัดกันไปจิ๊จ๊ะ บะบะโอ้บะบะ อะไรอย่างนี้ แจ่มไปเลยครับ

มากันที่ข้อสองนะครับเขาว่าไว้อย่างนี้ครับ เมื่อมีรักมากระทำต่อชีวิตหนึ่ง รักนั้นจะเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมของชีวิตและทำให้ชีวิตเคลื่อนที่ไปตามแนวทางของความรัก โดยชีวิตจะเปลี่ยนแปลงเร็วเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับว่าความรักมันโจมตีหัวใจเราหนักเท่าไรนะครับ พอเข้าใจใช่ไหมครับ ว่าแต่โมเมนตัมคืออะไรครับ ในทางวิศวกรรมให้คำตอบว่า โมเมนตัมคือความสามารถในการเคลื่อนที่ครับ นั่นหมายความว่า ถ้าหนูมีความรักเข้ามาในชีวิตความสามารถในการทำสิ่งต่างๆในชีวิตหนูจะเปลี่ยนไปครับ ตัวอย่างเช่น ความสามารถในการมองเห็นของหนูก็อาจจะแย่ลง (ความรักทำให้คนตาบอด ฮา) สรุปว่ามันขึ้นอยู่กับว่าความรักนั้นจะดีหรือไม่ดีน่ะครับ เช่นถ้าหนูมารักกับพี่ ชีวิตหนูก็จะดีขึ้นมากๆ อย่างนี้เป็นต้นครับ ฮาฮา (มีหยอดตลอด)

มาที่ข้อสุดท้ายครับเขาบอกว่าเมื่อชีวิตหนึ่งส่งมอบความรักไปกระทำกับอีกชีวิตหนึ่ง ชีวิตที่ถูกกระทำจะออกแรงกระทำกลับในขนาดที่เท่ากัน ข้อนี้ทำให้นักรักตายมานักต่อนักแล้วครับ ผมจะอธิบายให้น้องหนูเข้าใจง่ายๆนะ ถ้าน้องหนูไปรักใครคนหนึ่ง ยิ่งน้องหนูใช้แรงแห่งรักกระทำและแสดงออกต่อเขามากเท่าไร เขาก็จะกระทำและแสดงออกต่อหนูมากเท่านั้น อันนี้จริงครับผมยืนยัน แต่แรงที่เขาใช้กระทำต่อหนูนั้นมันไม่ใช่รักอย่างเดียวสิครับ มันอาจจะมีแรงเกลียด แรงแค้น หรือแรงอื่นๆ ด้วยก็ได้ และน้องหนูก็จะรับไปหนักเท่าๆกับที่เราแสดงออกต่อเขาไปนั่นล่ะครับผม เพราะฉะนั้นจะรักใครง่ายๆก็ระวังไว้หน่อยนะครับ ถ้าดูไม่ดีอาจจะเจ็บฟรีได้
อ่านมาจนจะจบ พอจะเข้าใจบ้างหรือเปล่าครับน้องหนู พี่ขอสรุปว่า ความรักก็คือแรงชนิดหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตของน้องเปลี่ยนแปลงไปได้ ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี และมันก็เป็นแรงที่น้องเองก็สามารถหยิบยื่นให้กับสิ่งต่างๆได้เช่นกัน การที่มีเพื่อนผู้ชายมาขอความรักจากน้อง ก็เพราะเขารู้ว่ามันจะขับเคลื่อนชีวิตเขาได้ คราวนี้น้องต้องระวังหน่อยนะครับที่จะให้ความรักกับใคร เพราะมันมีพลังมากกว่าที่น้องหนูจะจินตนาการได้อีกนะครับ ก็ลองคิดดูว่า แรงชนิดนี้นี่ล่ะที่ดึงดูดคนที่ไม่รู้จักกันให้อยู่ด้วยกันนานเป็น 30 – 40 ปี น่าทึ่งไหมละครับ
วันนี้น้องหนูอยากรู้รักก็น่าจะทราบคำตอบแล้วนะครับว่าความรักคืออะไร แต่ถ้าอยากรู้อะไรอีกก็ถามมาได้นะครับ พี่ไม่เคยรังเกียจน้องๆสาวๆอยู่แล้ว ว่าแต่วัยรุ่นทั้งหลายเอ๋ย สงสัยอะไรเกี่ยวกับความรักกันบ้างหรือเปล่า วิศวกรจะสอนให้นะ

คิดถึง

ผมไม่เข้าใจเลยว่าคนแก่สมัยนี้เขาพยายามพูดถึงอะไรกัน มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมคิดอะไรแบบนี้หรอกนะ หลายครั้งหลายหนที่ผมได้นั่งคุยหรือเพียงแค่แอบฟังคนแก่ๆเค้าพูดถึงสิ่งนี้ ผมเกิดความสงสัยขึ้นทุกครั้งว่ามันคืออะไรกันแน่ และถ้าไอ้สิ่งนี้มันเคยมีอยู่จริงๆ เหตุใดช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี มันจึงหายจากโลกนี้ไปราวกับว่ามันไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้เลยแม้สักวินาทีเดียว

แสงแดดในยุคสมัยปัจจุบันยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย ผมเองไม่รู้ว่าเส้นแสงที่มุดเข้ามาปลุกผมในคอนโดหรูใจกลางเมืองเส้นนี้เป็นแสงแรกของรุ่งอรุณนี้หรือไม่ แต่เมื่อเหลือบตาไปดูนาฬิกาผมก็พบว่ามันไม่ใกล้กับคำว่าแสงแรกเลยสักนิด เพราะว่าขณะนี้เข็มนาฬิกาทั้งสองของผมมันไปรวมกันอยู่ที่เลข 12 ทั้งสองเข็ม ทั้งๆที่พื้นที่ในหน้าปัดก็ตั้งมากมาย ผมไม่เข้าใจเลยว่ามันทำอย่างนั้นทำไมในเมื่อชั่วโมงที่แล้วมันทั้งสองก็เจอกัน แต่จะอย่างไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดถึงอะไรแบบนั้น วันพักผ่อนอย่างนี้ ผมควรจะรีบไปอาบน้ำและมาเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าเพื่อนๆในสังคมออนไลน์ของผมมีอะไรเคลื่อนไหวกันบ้าง

ระหว่างที่หยดน้ำจากฝักบัวตกกระทบร่างกายของผมอยู่นั้น มวลความคิดของผมก็ฟุ้งไปทั่ว แต่ยังโชคดีที่มีขอบเขตของห้องน้ำคอยขังมันไว้ไม่ให้กระจาย แต่ประเด็นหลักๆของเรื่องที่ผมฟุ้งอยู่ในขณะนี้ก็มีแค่เรื่องเดียว นั่นก็คือ การที่ผมไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลาร่วมปีมันถือเป็นความผิดปกติหรือไม่ ผมพยายามขบคิดหาคำตอบมานานแต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักที ระยะเวลาหรือความรู้สึกกันแน่ที่ควรจะเป็นตัวตัดสินว่านานเท่าไรที่ใครคนนึงควรจะกลับบ้านไปเจอหน้าพ่อแม่เสียบ้าง คิดไปคิดมามันช่างน่าปวดหัวจริงๆ
ผมไม่คิดว่าจะมีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้วนะ ไอ้การที่ผมยังอาบน้ำไม่ทันเสร็จแต่ก็ดันมีเสียงที่จัดได้ว่าน่ารำคาญเรียกมาจากคอมพิวเตอร์นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าใครเรียกมากันอีก ผมอยากจะด่าไอ้โปรแกรมตัวนี้เสียเหลือเกิน ถึงแม้มันจะมีภาพที่ชัดกว่าตัวอื่นๆ แต่มันก็เสียตรงที่ว่าเมื่อใดที่คุณเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต ตัวมันเองก็จะเข้าสู่ระบบโดยอัตโนมัติเช่นกัน และเมื่อนั้นทุกคนที่เป็นเพื่อนกับคุณบนไอ้โปรแกรมนี้ เขาก็จะเห็นว่าคุณออนไลน์และถ้าคนเหล่านั้นอยากจะคุยกับคุณ เขาก็จะเรียกหาคุณด้วยเสียงอันดังน่ารำคาญที่มันถูกเปล่งออกมาจากคอมพิวเตอร์อย่างที่ผมได้ยินนี่ล่ะ ไม่รู้มันเคยสนใจบ้างหรือเปล่านะ ว่าใครเค้าทำอะไรกันอยู่บ้าง

สุดท้ายผมก็นึกไว้ไม่มีผิด เจ้าของเสียงดังที่แย่งเวลาอาบน้ำของผมไปก็คือแฟนสาวของผมนั่นเอง ราวๆสองปีได้แล้วนะที่แฟนผมไปเรียนต่อที่อเมริกา นั่นทำให้เราเป็นคู่รักที่ไม่ได้จับมือกันมาเกือบจะสองปีแล้ว แต่ถึงแม้เราจะไม่ได้จับมือกันแต่ผมก็เห็นหน้าเธอทุกวัน อุปสรรคคงจะมีแค่เวลาที่ต่างกันครึ่งค่อนวัน แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมเห็นหน้าเธอมากกว่าตอนเธออยู่เมืองไทยเสียอีก ต่างจากพ่อกับแม่ของผมที่อยู่ประเทศเดียวกันเสียด้วยซ้ำแต่ผมกลับไม่ค่อยได้เห็นหน้าท่านเท่าไร คิดไปคิดมามันก็แปลกดี เพราะนอกจากผมกับแฟนจะเห็นหน้ากันทุกวันแล้ว ถ้าเราคนใดคนหนึ่งนอนหลับไป อีกคนหนึ่งก็ยังสามารถที่จะส่งจดหมายผ่านอินเตอร์เน็ตเข้าไปที่กล่องจดหมายของอีกคนได้โดยไม่ต้องติด ติดอะไรนะ ไอ้ที่ดวงละ 2 -3 บาท ผมเองก็จำชื่อมันไม่ได้ เอาเป็นว่าผมก็สามารถส่งจดหมายไปหาเธอได้โดยไม่ต้องให้ใครขี่มอเตอร์ไซต์ไปส่งมัน แล้วทันทีที่เธอตื่น เธอก็จะสามารถอ่านจดหมายของผมได้ทันที โดยไม่ต้องรอหลายวันเหมือนเมื่อสมัยก่อน

หลังจากร่ำลากับแฟนได้สักพัก ผมก็รู้สึกแปลกๆบางอย่างขึ้นมา ผมสงสัยว่าจะดีหรือเปล่าถ้าผมจะลองเขียนจดหมายส่งหาที่บ้านบ้าง แต่ไม่เกิน 30 วินาที ความคิดนี้ก็หายไปจากหัวผมทันที เพราะผมคิดว่ามันล่าช้าและค่อนข้างจะเชยมากๆ เอาเป็นว่าถ้ามีคนรู้จักมาเห็นผมเอาจดหมายไปหยอดลงตู้ไปรษณีย์ ผมคงจะอายไม่กล้าพบหน้าใครไปอีกนานเลยทีเดียว

นอกจากที่ผมคิดเรื่องส่งจดหมายไปหาคนที่บ้านแล้ว อยู่ดีๆผมก็รู้สึกเหมือนว่าอยากจะส่งไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่เคยสนิทกันสมัยประถมซึ่งมันหายไปจากชีวิตผมมานานพอสมควร ความรู้สึกนี้มันติดใจผมมาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน ผมไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไร แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมไปพิมพ์ความรู้สึกนี้ไว้บนชื่อบัญชีส่วนตัวของผมที่มีอยู่บนอินเตอร์เน็ตดีกว่า เผื่อวันนี้จะมีใครที่รู้สึกเหมือนผมบ้าง หรือว่าคนอื่นๆจะได้ไม่ต้องมาถามว่าผมรู้สึกอะไรในวันนี้ และเดี๋ยวถ้านึกคำอะไรคมๆออก ผมจะไปเขียนลงในหน้าหนังสือรุ่นออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตด้วย เผื่อว่าจะมีใครมาชอบคำคมของผมบ้างมันก็คงจะดีไม่น้อย

กินข้าวก็แล้ว คุยกับแฟนก็แล้ว ส่งจดหมายออนไลน์ให้เธอก็ทำตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว สถานะใหม่ๆก็เขียนไว้แทบจะทุกบัญชีออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตแล้ว แล้ววันนี้ผมจะทำอะไรต่อไปดีนะ อ่อ ลืมไปสนิทเลยทีเดียว ผมลองไปค้นหาเพื่อนเก่าในหนังสือรุ่นออนไลน์ก่อนดีกว่า ผมรู้ว่ามันเรียนมัธยมที่ไหน และรู้จักเพื่อนๆของมันสองสามคน ไม่นานผมก็คงเจอมัน จะได้คุยกับมันหน่อย ไม่ได้คุณกันมาหลายปีแล้ว เดี๋ยวมันจะหาว่าผมไม่รักมันเสียอีก และอีกอย่าง มันคงจะง่ายกว่าให้ผมไปพยายามหาที่อยู่เพื่อส่งจดหมายไปหามันแน่ๆ

จากที่ผมเล่าให้ฟัง พวกคุณคงคิดว่าวันๆผมคงเอาแต่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์สินะ จริงๆแล้วมันก็ไม่อย่างนั้นเสียทีเดียว ผมยังมีมือถือเครื่องใหม่เป็นของเล่นอีกอย่างที่ผมภูมิใจ มือถือของผมนี่มันดีจริงๆ มิน่าทำไมก่อนหน้าที่ผมจะซื้อ ผมเห็นใครๆก็ใช้มันกันทั้งบ้านทั้งเมือง ไอ้เจ้าเครื่องนี้มันทำให้ผมสามารถคุยกับเพื่อนๆทุกคนที่ถือเครื่องยี่ห้อเดียวกับผมอยู่ได้ โดยที่พวกนั้นไม่ต้องมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ อีกทั้งผมกับเพื่อนก็ไม่ต้องโทรหากันให้มันเปลืองเงินและเสียเวลาอีกด้วย คิดไปแล้วก็ขำ เพื่อนเก่าผมสมัยประถมหรือมัธยม ผมจะจำลายมือมันได้ทุกคน แต่เพื่อนปัจจุบันผมจำลายมือมันไม่ได้สักคน เพราะเราได้แต่เห็นข้อความที่มันพิมพ์ และคุณลองคิดดูว่าถ้าต่อไปผมไม่โทรหาเพื่อนเลย แต่ใช้วิธีพิมพ์คุยกันผ่านมือถือ ผมจะลืมเสียงพวกมันหรือเปล่านะ

มันง่ายอย่างนี้นี่เองวิธีค้นหาเพื่อนเก่าบนหนังสือรุ่นออนไลน์เล่มนี้ ใช้เวลาไม่กี่นาทีผมก็เจอแล้วว่ามันไปทำอะไรอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ คราวนี้ต่อไปผมคงได้คุยกับมันแทบทุกวัน (ถ้ามันว่าง) เพราะผมได้ส่งไปขอเป็นเพื่อนมันอีกครั้งบนอินเตอร์เน็ตไปแล้ว ผมหวังว่ามันคงรับผมเป็นเพื่อนนะถ้ามันยังไม่ลืมผม ว่าแต่ตอนที่ผมได้เจอมันครั้งแรกในตอนเด็ก ผมได้ขอเป็นเพื่อนกับมันอย่างเป็นทางการอย่างครั้งนี้หรือเปล่านะ ผมเองก็จำไม่ได้

มีคนมาชอบข้อความรวมทั้งสถานะที่ผมเขียนไว้ในบัญชีส่วนตัวของผมเต็มเลยล่ะ อย่างนี้ผมคงต้องใช้เวลาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆผมเหล่านี้เสียหน่อยแล้ว ว่าแต่นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้วนะ ผมจะกินอะไรดี เดี๋ยวผมสั่งอะไรมากินดีกว่า สั่งผ่านอินเตอร์เน็ต สักครู่เดี๋ยวเขาก็คงมาส่ง และอีกสักพักก็คงได้เวลาที่แฟนผมจะเรียกมาหาผมแล้วล่ะ กินข้าวเย็นแบบเห็นหน้าค่าตากันบ้างคงจะดีไม่น้อยนะ ผมว่า เพราะจะว่าไปผมเองก็กินข้าวคนเดียว (แต่ก็พิมพ์คุยกับเพื่อนไปด้วย) มาหลายวันแล้วเหมือนกันนะ

ผมพยายามหลายครั้งแล้วนะที่จะสอนให้ญาติผู้ใหญ่ของผมรวมทั้งพ่อกับแม่ได้รู้จักกับการออนไลน์เข้ามาทางคอมพิวเตอร์ แต่เขาก็ปฏิเสธผมทุกครั้งและพยายามอธิบายให้ผมรู้คุณค่าของอะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้จัก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงยึดติดกับมันนัก พวกเขาบอกผมว่าถ้าผมไม่พยายามเรียกให้มันกลับมา หรือไม่พยายามทำความรู้จักมัน ผมจะไม่รู้จักคำว่า “ความสัมพันธ์” ผมเองก็งงว่าผมจะไม่รู้จักมันได้อย่างไรในเมื่อทุกวันนี้ผมก็มีคนขอเป็นเพื่อนมากมาย อีกทั้งยังมีคนตามมาอ่านสถานะของผมในอินเตอร์เน็ตตั้งมากมาย และที่สำคัญ ในหนังสือรุ่นผมก็บอกสถานะอยู่ว่าผมกำลังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแฟนผม ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกผู้ใหญ่ไม่พยายามปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยบ้าง แต่ก็เอาเถอะ เขาคงไม่อยากที่จะมีเพื่อนเป็นพันๆหมื่นๆคนอย่างผม เพราะเห็นพ่อกับแม่ผมก็คบเพื่อนอยู่ไม่กี่คน ไม่รู้ว่าท่านทนอยู่อย่างนั้นได้อย่างไร

วันเวลาผ่านไปหลายเดือนนับจากวันที่ผมตามหาเพื่อนเก่าเจอ แต่ชีวิตผมก็ยังไม่เปลี่ยนไปไหน ผมยังสนุกกับการคุยกับแฟนข้ามโลก พิมพ์คุยกับเพื่อนด้วยมือถือของผม หรือเปลี่ยนแปลงสถานะในบัญชีส่วนตัวไปเรื่อยๆ พอว่างจากนั้นก็มานั่งเขียนจดหมายหาแฟนเล่นบ้าง หรือวันดีคืนดีก็ไปเขียนข้อความกวนๆในหน้าของเพื่อนๆบนหนังสือรุ่นออนไลน์ที่ผมชอบที่จะเข้าไปดูมันอย่างมาก สองสามปีหลังมานี้อวัยวะที่ผมใช้มากที่สุดน่าจะเป็นนิ้ว และผมคิดว่าต่อไปจากนี้หลายๆปี นิ้วของผมคงเป็นอวัยวะที่แข็งแรงที่สุดเป็นแน่ถ้ามันยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้

ผมกำลังตกใจกับเสียงที่ดังขึ้น นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆเดือนที่โทรศัพท์ผมดัง ใครนะที่ยอมสละเวลาและยอมเสียเงินโทรมาหาผม ทำไมเขาไม่ทักผมบนโลกออนไลน์ ทำไมไม่ส่งจดหมายออนไลน์มา ทำไมไม่ทักผมบนมือถือ ทำไม ทำไม ทำไมเขาถึงโทรมาหาผม ผมตั้งสติเล็กน้อยก่อนรับโทรศัพท์อย่างช้าๆ

“กลับมาบ้านบ้างสิลูก แม่คิดถึง” ปลายสายส่งเสียงเรียบง่ายเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการได้ แต่เสียงเรียบง่ายนั้นก็ดังกังวานอยู่ในสมองผมอีกไปอีกหลายนาที นานแล้วสินะที่ผมไม่ได้ยินคำคำนี้ คำว่า“คิดถึง” แต่จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี อย่างไรผมก็จะพยายามเชื่อว่ามันมีอยู่จริงเพราะแม่ผมไม่เคยโกหกใคร ผมไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนั้นว่ามันคืออะไร ผมสามารถติดต่อเพื่อน แฟน และคนทุกคนได้ในทุกนาทีที่ผมอยากจะติดต่อ และผมยังมีทางเลือกมากมายที่จะสื่อสารกับคนเหล่านั้น นั่นทำให้ผมไม่เข้าใจว่า “คิดถึง” มันคืออะไร ผมย้อนนึกไปถึงคำที่ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเคยบอกผมว่า ถ้าผมไม่รู้จักคำว่า “คิดถึง” ผมก็จะไม่รู้คุณค่าของคำว่า “ความสัมพันธ์” ก็แล้วผมจะทำอย่างไรให้รู้จักกับมันได้ล่ะ หรือผมจะต้องทำเรื่องเชยๆอย่างเขียนจดหมาย หรือทำอะไรที่หนักหนากว่านั้นนั่นคือ “การกลับบ้าน”

“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ผอมไปเยอะเลยนะลูก” แม่ผมทักผมเหมือนที่ใครหลายๆคนทักเวลาที่ไม่ได้เจอผมนานๆ แม่เองก็แก่ไปมากจากที่ผมเจอแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อนานมาแล้ว พ่อเองก็เปลี่ยนแปลงไม่ต่างจากแม่เท่าไรนัก เมื่อผมเห็นสายตาที่ท่านทั้งสองมองมาหาผม ผมสงสารท่านทั้งสองจับใจ แววตาของท่านทั้งสองบอกผมว่า การที่มีคนมาชอบข้อความที่ผมเขียนลงในอินเตอร์เน็ตหรือการที่ผมมีเพื่อนๆมากมายในโลกออนไลน์ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจอะไรเลยถ้าผมไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของความสัมพันธ์ แววตาของท่านยังบอกผมอีกว่าผมทำอะไรหล่นหายไปบ้างในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่เดินทางไปหาใครถ้าไม่จำเป็นมากจริงๆ ผมไม่โทรไปฟังเสียงใครถ้าไม่อยากได้ยินมากจริงๆ และผมไม่ติดต่อใครถ้าคนเหล่านั้นไม่ออนไลน์ และผมไม่ได้สบตากับมนุษย์จริงๆต่อหน้ามานานแสนนาน และทั้งหมดนั้นมันก็เกิดขึ้นกับคนที่ผมเรียกพวกเขาว่า พ่อกับแม่ ด้วยเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ผมพยายามแล้วที่จะติดต่อกับท่าน สิ่งที่ผมคิดก็คือ ผมพิมพ์คุยกับพ่อและแม่ทางโทรศัพท์ไม่ได้เพราะท่านไม่ได้ใช้โทรศัพท์รุ่นแพงๆเหมือนผม ผมส่งจดหมายออนไลน์หาท่านไม่ได้เพราะท่านไม่มีกล่องจดหมายที่จะรับจดหมายจากผม ผมเขียนข้อความลงไปในหน้ากระดาษของพวกท่านในหนังสือรุ่นออนไลน์ก็ไม่ได้เพราะพวกท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ผมคุยกับท่านผ่านกล้องที่คอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้เพราะพวกท่านไม่มีคอมพิวเตอร์ แต่ทั้งหมดนี้มันจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าผมคิดง่ายๆเพียงแค่เดินทางมาหาพวกท่าน ผมเงยหน้ามองพวกท่านอีกครั้งเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในความคิดของผมสิ้นสุดลงและในวินาทีนี้ผมรู้สึกได้ถึงหยดน้ำอุ่นๆที่ไหลลงอาบแก้มผมอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ผมรู้แล้วว่ามันมีอยู่จริง ผมเชื่อแล้วว่ามันคือพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่แท้จริง ช่วงชีวิตที่ผ่านมาผมเข้าใจว่า 2 – 3 ชั่วโมงก็ถือว่านานมากแล้วสำหรับผมที่ไม่สามารถจะติดต่อใครคนหนึ่งได้ แต่มาวันนี้ผมรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ ในโลกที่ผมอยู่การไม่ได้ติดต่อกันเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ มันไม่มีอยู่จริง แต่พ่อกับแม่ผมท่านได้รับสิ่งนั้นจากผม และในวันนี้ที่ผมกำลังยืนสบตาท่านทั้งสองอยู่นี้ ผมตัดสินใจทำมากกว่านั้น มากกว่าแค่สบตา ผมเดินเข้า

ไปกอดท่านทั้งสอง น้ำตาผมไหลพรากออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นาทีนี้ถ้าผมยังคงอยู่หน้าจอ ผมเชื่อว่าสถานะในทุกๆบัญชีที่ผมมีมันน่าจะเป็นความรู้สึกเดียวกันทั้งหมด “พ่อกับแม่ครับ ผมคิดถึง”

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

15 สุดยอด moment ของการเข้ากะ

15 สุดยอด moment ของการเข้ากะ ที่คนเคยเข้ากะเท่านั้นที่จะเคยสัมผัส (ไม่ได้เรียงลำดับ)

1.การมาต่อกะในตอนเช้าและได้เห็นเพื่อนร่วมงานในช่วงเวลาที่โทรมสุดๆ ผมยุ่ง ตาโหล หน้าง่วง ปากเหม็น แต่พยายามสร้างภาพว่า ทำงานจนถึงเช้าโดยไม่ได้พักงีบ

‎2.การพักกลางวัน 20 นาที เร่งรีบสุดๆ มุ่นมั่นกินข้าวเพื่อประทังชีวิตโดยไม่มีการชมวิวใดๆทั้งสิ้น ที่ไหนมีข้าวที่ใกล้ที่สุดก็ไปที่นั่น
ไม่ต้องคิดถึงรสชาติของอาหารใดๆ คิดแต่ว่างานที่รออยู่กำลังร้องเรียกเพรียกหา นี่มันอะไรกันวะนี่

3.ความง่วงงงงงงงงงงง ในกะดึก จนไม่รู้จะง่วงยังไง เล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเน็ต จนไม่รู้จะทำอะไร (ไม่ทำงาน) สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับการหลับไหลลลลล

‎4.การเดินสวนกับคนหมู่มากที่รอรถเมล์กลับบ้านและรถเป็นร้อยๆคันที่ติดอยู่ในถนนโดยไม่ขยับเขยื้อน เดินอย่างสบายใจเพื่อไปกินข้าวอย่างสวนกระแส เดินอย่างคนที่ใช้ชีวิตเหนือระดับ ในขณะที่ทุกคนกำลังแย่งกันใช้ถนนอย่างกับไม่เคยใช้กัน

‎5.การรวมหมู่กันลงไปอุดหนุนเซเว่นในกะดึก ที่เรียกได้ว่าถ้าผู้บริหารซีพีมาเห็น ต้องโค้งคำนับขอบคุณด้วยใจจริง และเชื่อได้ว่า ของกินทุกชนิดใน 7-11 พวกเราจัดการมาหมดแล้วทั้งสิ้น

‎6.การเดินหน้าง่วง หัวฟู ตัวเหม็น ขึ้นรถเมล์กลับบ้านในช่วงเช้าโดยไม่กล้าเงยหน้าไปสบตาเหล่ามนุษย์เงินเดือนตัวหอมที่ออกมาทำงานตอนเช้า แต่หารู้ไม่ว่ามีสิ่งมีชีวิตเข้ากะบางคนกำลังจะกลับไปล้มตัวลงนอน

7.การเพ่งมองโทรศัพท์ที่โชว์เบอร์ออฟฟิศในขณะที่เราหยุดยาวและตัดสินใจว่าจะรับดีหรือไม่ เพราะรู้ว่าถ้ารับสายเมื่อไร ความสุขของการหยุดยาวอาจจะสิ้นสุดลงด้วยคำพูดง่ายๆ "เฮ้ย มึงสะดวกหรือเปล่าวะ พอดีกูติดธุระ"

8.การต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง กับเพื่อนลูกอีช่างป่วย ป่วยได้ป่วยดี ป่วยตีสี่ตีห้า เข้าเช้าแทนให้หน่อย "กูไม่ไหว" (หุหุ วันดีคืนดีเจอกูป่วยบ้างแน่ๆ)

9."ควบ" คำเดียวสั้น เช้าบ่าย บ่ายดึก แฮตทริก อะไรก็แล้วแต่ เจ็ดกะ แปดกะ ทำกันมาแล้วทั้งนั้น บอกได้เลยว่าต้องลอง เหนื่อยจริงอะไรจริง

10.การเคาต์ดาวน์ ลอยกระทง เลือกตั้ง เล่นน้ำสงกรานต์ ทำทุกประเพณีอยู่หน้าคอมพ์ที่ออฟฟิศ เพราะไอ้เพื่อนตัวดี รู้ตัวก่อน แลกเวรหนีเที่ยวไปแล้ววว

‎11.การโดนคนข้างกาายบ่นเรื่องไม่มีเวลาให้ เวลาไม่ตรงกัน วันหยุดไม่ได้ไปเที่ยว วันสำคัญไม่ได้หยุด เฮ้ออออออ

‎12.ความสุขในการเดินห้าง กินข้าว ดูหนัง ตอนกลางวัน วันธรรมดา ที่นอกจากเจ้าของธุรกิจแล้ว ก็มีเพียงคนเข้ากะเท่านั้น ที่สามารถทำอะไรเทพๆแบบนี้ได้

‎13.การต่อสู้ทำทุกวิถีทาง ยกแม่น้ำทั้งห้า ท้องฟ้าทั้งหก นรกทั้งเจ็ด ทำอะไรก็ได้ ให้เพื่อนยอมที่จะพูดคำว่า "เออ เดี๋ยวกูเข้าเวรให้"

‎14.ปวดหัว ท้องเสีย ท้องอืด โรคกระเพาะ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย โรคร้ายๆที่มาพร้อมกับการทำอะไรไม่เคยเป็นเวลาอย่างใครเขา

ข้อ 15 ข้อสุดท้าย พูดสั้นๆหวังว่าคงเข้าใจ "วน"

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ความคับข้องใจที่มีต่อโลกใบนี้

วินาทีแรกที่ผมได้ยินชื่อหัวข้อที่ผมจะต้องถ่ายทอด ผมอดไม่ได้ที่จะเผลออมยิ้มที่มุมปาก เม็ดเลือดแดงของผมพากันวิ่งพล่านสูบฉีดไปทั่วร่าง ผมอยากจะบอกพวกคุณว่าผมกำลังมีความสุข สุขราวกับว่าผมกำลังอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ไม่มีมนุษย์หน้าไหนเคยขึ้นไปถึง ความสุขที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะว่าผมมีอะไรคับข้องใจมากมายที่รอการถ่ายทอด ซึ่งก็หมายความว่าหัวข้อนี้ไม่ได้ “เข้าทาง” สำหรับผมแต่อย่างใดเลย แต่ความสุขนั้นมันเกิดขึ้นเพราะในขณะนี้หัวสมองผมว่างเปล่า ผมมองโลกในแง่ดีเกินไปจนบางครั้งแทบจะเรียกได้ว่ามองโลกแบบไม่มีแง่ ใครหน้าไหนก็รู้ว่าโลกใบนี้มันกลม ไม่มีแง่ไม่มีมุมใดๆ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อเช่นนั้น ก็แล้วคนมองโลกกลมๆอย่างผมจะไปมีอะไรคับข้องใจกับใครเขาได้ มองไปทางไหนก็มีแต่ความสบายใจทั้งนั้นและนั่นมันทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่ผมตระหนักถึงความเป็นตัวตนของผมแบบนี้ แต่ในขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับความสุขอยู่อย่างอิ่มเอม ทันใดนั้นเอง ขนทั่วทั้งตัวของผมก็ลุกชันขึ้นมา สมองของผมสะดุ้งคิดขึ้นมาอีกครั้ง หรือว่า “โลกใบนี้” ที่ทางบรรณาธิการบอกผม มันจะไม่ใช่โลกใบเดียวกับที่ผมคิด ผมเองก็ลืมถามเสียด้วยว่าเขาหมายถึงโลกใบไหน เอ…หรือว่ามันมีแค่ใบเดียวนะ ไม่สิ ก็ไอ้ที่ผมอยู่มันคือโลกมนุษย์นี่นา เพราะฉะนั้นไอ้โลกที่สุนัขมันอาศัยอยู่มันก็น่าจะเป็นโลกสุนัข ส่วนไอ้โลกที่นกมันบินอยู่ก็น่าจะเรียกว่าโลกนก และผมก็เดาได้เลยว่ายังคงต้องมีอีกหลายโลกรวมอยู่ในจักรวาลนี้เป็นแน่แท้ โลกหมู โลกไก่ โลกเป็ด ก็น่าจะมีอยู่ แล้วบรรณาธิการเขาหมายถึงโลกใบไหน ใครจะไปรู้ได้

แต่ช้าก่อน ไม่ต้องหงุดหงิดกันไป คุณโชคดีแล้วที่ได้มาอ่านข้อเขียนของผมในวันนี้ ถึงแม้ผมเองจะไม่มีความคับข้องใจอะไรต่อโลกมนุษย์ แต่ผมก็จะขอตอบแทนพวกคุณที่เสียเวลามาอ่านบทความของผม ด้วยการนำเสนอความคับข้องใจของเพื่อนๆของผมแทน คุณอาจจะสงสัยกันว่า เพื่อนของผมคือใคร ผมก็ขอตอบว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ทั้งนก ทั้งปลา ทั้งหมู หมา กา ไก่ ก็เป็นเพื่อนของผมทั้งนั้น แต่วันนี้ผมคงจะนำเสนอได้ไม่ครบทุกชีวิต เพราะไอ้ที่ว่างก็เห็นจะมีแค่ นกฮูก ไก่ และปลาวาฬ สามคนเท่านั้นแต่แค่นี้ก็น่าจะพอนะ พวกคุณอาจจะหาว่าผมบ้าที่มีเพื่อนแบบนี้ แต่ผมจะบอกว่าโลกสมัยนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นครับ เด็กมัธยมต้นแถวซอยบ้านผมมันยังเป็นเพื่อนกับท่านนายกรัฐมนตรีได้เลย แถมมันยังเป็นเพื่อนกับศิลปิน ดารา นักร้อง อีกเป็นกระบุง ก็แล้วขนาดเด็กมัธยมต้นยังมีสังคมกว้างขวางขนาดนั้น ผมซึ่งเจนจบบทเรียนชีวิตมาแล้วแทบทุกบท เรียกได้ว่าจบมาแทบทั้งหมดที่มนุษย์เค้าเรียนกัน ทำไมจะมีเพื่อนเป็นสิงสาราสัตว์ไม่ได้ หรือคุณคิดว่าไง ว่าแต่ว่าถ้าย้อนหลังไปสักสิบกว่าปี ผมคงต้องไปนั่งริมตลิ่งมหาสมุทร(มันมีหรือเปล่าไม่รู้ เกิดมายังไม่เคยไปเหมือนกัน) เพื่อที่จะนัดคุยกับเพื่อนๆได้ครบทั้งสามคน (พวกมันไม่ชอบให้ผมเรียกพวกมันว่า “ตัว”) แต่ยุคสมัยนี้มันถึงยุคอวตารกันแล้วล่ะครับ เราก็แค่นัดหมายเวลากันให้ดี จากนั้นก็ใช้วิธีของแต่ละคน (ตัว) ว่าจะ “Access” เข้ามาในโลกอวตารด้วยวิธีไหน มาตามผมมาดีกว่า

######## รอติดตามอ่านในการรวมเล่มเดือนธันวาคม 2553 นี้ครับ ^ ^ ###########

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 24 จดหมายถึงน้องพี่ที่มีปีก



พี่รู้ตั้งแต่วันแรกว่าน้องเป็นคนมีปีก ทุกครั้งที่พี่มองเข้าไปในแววตา พี่เห็นปีกเล็กๆคู่นั้นกระพือน้อยๆอยู่ตลอดเวลา มันแสดงให้เห็นอยู่เสมอว่าหนูพร้อมที่จะบิน

ความกระตือรือร้นอยากบินของหนูมันทำให้คนไม่มีปีกอย่างพี่อยากที่จะบินได้ไปด้วย อยากเห็นเส้นขอบฟ้าอย่างที่น้องอยากเห็น

ตลอดเวลาที่น้องเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าและคิดถึงช่วงเวลาที่ได้บินอยู่บนนั้น แน่นอนว่าบางครั้งอาจจะต้องอดทนกับความอิจฉาของคนไม่มีปีกและบรรดาคนที่ไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเราๆควรจะบินไปบนท้องฟ้า

แต่วันใดที่น้องตัดสินใจที่จะบิน อย่าบินให้ต่ำ เพราะมันจะไม่พ้นหอกแหลมที่คอยทิ่มแทงอยู่ข้างล่าง จากพวกคนไม่มีปีกทั้งหลาย

แต่พี่ก็ไม่ได้อยากให้น้องบินสูงเกินไป เพราะตัวน้องเองอาจจะทนความร้อนของดวงอาทิตย์ไม่ไหว และร่วงหล่นลงมาง่ายๆ

ในทุกช่วงเวลาที่บิน จดจำภาพท้องฟ้าสวยงามข้างตัวน้องไว้ บางครั้งทุกอย่างระหว่างทางมันสำคัญกว่าจุดหมายปลายทาง

ไม่วันใดวันหนึ่งน้องจะต้องไปถึงปลายทาง และถ้ามันไม่ได้สวยงามอย่างที่คาดหวังไว้ จำคำพี่ไว้ อย่าลืมระหว่างทาง อย่าลืมความรู้สึกอยากบินที่เรามีมาตั้งแต่เริ่มมีปีก

ไม่วันใดก็วันหนึ่ง วันเวลาจะขโมยกำลังวังชาจากน้องไป ถึงวันนั้นน้องอาจจะบินไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อย่าให้ความรู้สึกที่อยากบินและมโนภาพท้องฟ้ารอบกายในขณะที่บินมันหายไป

เพราะถึงวันนั้นน้องจะเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้คนมีปีกรุ่นใหม่ๆบินไปพิสูจน์ความงามของเส้นขอบฟ้ากันต่อไป

สุดท้ายพี่อยากจะบอกว่า ถ้าเกิดมามีปีกก็อย่ากลัวที่จะบิน เพราะว่าท้องฟ้าไม่เคยมาหาเรา มีแต่เราเท่านั้นที่ต้องไปหา

*** ระหว่างบิน ถ้ามีเวลาพอที่จะก้มหน้าลงมา พี่จะยืนอยู่ตรงนั้นเสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เพลงของพ่อ 1. พร้อมรบเวียดนามใต้

อยากไปรบเวียดนามใต้ หัวใจมันคึกคะนอง
เรื่องรบหนึ่งไม่มีสอง เรื่องรักก็ไม่เป็นรอง
กลับมาจะหมั้นเนื้อทอง ไม่ต้องแอบมอง...
พี่ พ.ว.ต. รุ่นหนึ่ง ขอรับใช้ชาติก่อน
ตอนนี้มันนี่มันตึง รักชาติรักเธอซาบซึ้ง
นั่งนอนถอนใจรำพึง ครุ่นคิดคำนึง...
ถึงแต่น้องคนงาม เข้าเรียนรุ่น พ.ว.ต.
ตั้งใจจะไปเวียดนาม จะติดเหล่าใดก็ตาม
เหล่าไหนก็ไม่พ้นสงคราม ถ้าได้ไปเวียดนาม
คงสมในแท่น้อ พร้อมรบเวียดนามใต้
กระหยิ่มใจนั่งรอนอนรอ ฝึกมาแทบล้มแทบตาย
อดไปเพราะบุญไม่พอ ต้องแตกกิ่งแตกก้านแตกกอ
คุณแม่บ้าน พ.ว.ต. ได้เป็นคุณนายหลายคน

เพลงของพ่อ 2. กำเนิด พ.ว.ต.

พ.ว.ต. กำเนิดหนึ่งหนึ่งพอดี
ติดสิบตรีต้นปีสองห้าหนึ่งสอง
บั้งขอบดำด้านในเป็นไหมสีทอง
อยู่กันอย่างพี่อย่างน้องแซ่ซ้องไปทั่วเขตคาม
พ.ว.ต. รูปหล่อไม่เป็นรองใคร
แกร่งกล้าเกรียงไกรรบได้กึกก้องสยาม
กองทัพบกยกย่องเป็นสิงห์สงคราม
ต่อต้านติดตามสนามไหนไม่เคยกลัว
สี่สิบปีผ่านไปโถไวยิ่งนัก
แต่เรื่องความรักผูกพันไม่มีหมองมัว
เจอะกันที่ใดทักทายถามไถ่ครอบครัว
หยอกล้อเล่นหัวเหมือนคนครอบครัวเดียวกัน
พ.ว.ต. แตกหน่อแตกกอไปไกล
บ้างได้ดังใจก้าวไกลเกินกว่าใจฝัน
จากนายสิบมาถึงนายร้อยนายพัน
ไม่หยุดแค่นั้นบางท่านไปถึง....นายพล

เพลงของพ่อ 3. พ.ว.ต. แห่งความหลัง

วันเคลื่อนเดือนคล้อยลอยลับไม่กลับคืนหลัง
เย้ยเยาะเกาะกินใจจริงจัง
นั่งนอนนึกยังยากเยียวยา
หลอนหลอกยอกย้อนตามต้อนแตะต้องเต็มตา
ยากยิ่งหลีกเลี่ยงลืมเลือนลา
หนักแน่นหนักหนาพร้อมเพรียงเยี่ยมเยือน....


ถึงแม้จะฝึกกลางแดดกลางฝน หนุ่มน้อยหน้ามลไม่เคยขัดขืน
ลงน้ำลุยโคลนกระดอนกระเด็น ฝนฟ้ากระเซ็นครวญครางครืนครืน
ลำบากลำบนไม่บ่นสักคำ ฝึกเช้ายันค่ำปล้ำอยู่กับปืน
หนึ่งไปผ่านไปได้มาหนึ่งบั้ง จุ๋มจิ๋มไปบ้างแต่ดูยั่งยืน
เงินเดือนนิดน้อยหกร้อยกว่ากว่า แลกกับคุณค่าแผ่นดินทั้งผืน
มาอยู่เหล่าแพทย์งานเบาไม่หนัก มีแค่คนรักป่วยกันทั้งคืน
ได้อยู่เหล่าราบมีลาภลึกลึก เช้าสายบ่ายดึกฝึกนอนยั่งยืน
ใครได้ขนส่งก็ส่งกันไป ส่งหมูส่งไก่ส่งไฟส่งฟืน
ส่วนสรรพาวุธรู้ทุกรูปแบบ รู้กว้างรู้แคบรู้ลึกรู้ตื้น
ได้อยู่เหล่าม้าหน้าตาดูดี ม้าเห็นร้องฮี้ให้ขี่ทุกคืน
การเงิน เงินเดินเพลิดเพลินพร้อมพรัก เพื่อนพ้องทายทักคึกคักดึกดื่น
สื่อสารเสียงแจ๋วเจื้อยแจ้วจับใจ ราบรื่นเรียงรายสดใสกลมกลืน
ส่วนสารบัญอ่านเรียนเขียนเก่ง อ่านเองเออเองคลื้นเคลงคล้ายคลื่น
ปืนใหญ่ปึงปังเปรี้ยงปร้างกึกก้อง คึกคักคนองครวญครางครึกครื้น
ช่างแกะช่างเกลาช่างเก่าช่างแก่ ช่างซ่อมช่างแช่ช่างแหย่ปลายปืน
พลาธิการทำงานขึงขัง เย็บผ้าตัดหนังเป็นแผ่นเป็นผืน
สอหอหุ่นให้ยืนได้เหมือนหุ่น โดนดันโดนดุนก็ยังทนฝืน

ที่กล่าวมานี้ คือ พ.ว.ต............
ที่กล่าวมานี้ คือ พ.ว.ต. ชายไทยรูปหล่อน่ากินน่ากลืน
ถ้ามองกลางวันต้องฝันกลางคืน...
ถ้ามองตอนตื่น.... ก็ตัวใครตัวมัน.....

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

DREAM 2 บทที่ 12 ชิงชนะเลิศ



ผมเพิ่งเคยมาเอเธนส์เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ผมเคยได้ยินคำสรรเสริญเยินยอความสวยงามที่เต็มไปด้วยมนตร์ขลังแห่งประวัติศาสตร์ของดินแดนต้นกำเนิดแห่งเทพเจ้าแห่งนี้มาบ้าง ผมแอบหวังว่าถ้าท่านเหล่านั้นมีจริง ท่านคงไม่ใจร้ายกับผมนักในค่ำคืนแห่งการชิงชนะเลิศค่ำคืนนี้

โอลิมปิกส์ สเตเดี้ยม แห่งกรุงเอเธนส์คือสังเวียนฟาดแข้งนัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ฤดูกาล 2006/2007 ที่กำลังจะลงสนามในไม่กี่อึดใจนี้ ผมกับเทพตื่นเต้นจนแทบจะระงับอารมร์เอาไว้ไม่อยู่ เสียงของอันเชลอตติที่เผยรายชื่อตัวจริงให้พวกเราได้รู้ว่าใครกันบ้างที่จะเป็น 11 คนแรกที่จะลงไปร่วมรบในศึกแห่งเทพเจ้าครั้งนี้ดังก้องอยู่ในห้องแต่งตัว และด้วยความตื่นเต้นที่นัดชิงชนะเลิศครั้งแรกในชีวิตนักฟุตบอลอาชีพของพวกเรามาถึงอย่างรวดเร็วเกิดที่จะคาดคิดนั่นทำให้เราไม่ได้ยินแม้แต่สำเนียงอิตาลีที่พยายามบอกกับเราสองคนว่า เราได้ลงตัวจริงในเกมแห่งเกียรติยศครั้งนี้

ผมกับเทพกำลังยืนคุยกับไอ้นัทอยู่ในช่องทางเดินที่จะออกไปสู่สนาม เราสามคนกุมมือกันพร้อมทั้งยิ้มให้กับความสำเร็จในอาชีพที่พวกเราใฝ่ฝันกันมาตั้งแต่เด็ก และสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่ก็สร้างความแปลกใจให้กับนักเตะคนอื่นๆบ้าง แต่นั่นก็เพราะเค้าคงไม่ได้มีอดีตร่วมกันมาเหมือนที่พวกเรามี

“สู้เต็มที่นะโว้ยไอ้นัท ในสนามไม่มีคำว่าเพื่อน แล้วหลังเกมค่อยว่ากัน” เทพพูด “เออ มึงไม่บอกกู กูก็สู้อยู่แล้ว โอกาสไม่ได้มีกันบ่อยๆโว้ย” นัทพูด “ไปโว้ย ไปลุยกัน สู้แทนไอ้พวกที่ตกรอบไปก่อนเราด้วย ไปโว้ย” ผมจบบทสนทนาพร้อมทั้งเดินตามกัปตันเปาโล มัลดินี่ลงสู่สนาม ผมเองเคยลงสนามในยุโรปมาก็ไม่ใช่เกมแรก แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้บรรยากาศมันกดดันเหลือเกิน กดดันแต่ก็สวยงามอย่างที่แมตซ์อื่นๆไม่อาจเทียบได้ พวกคุณคงรู้ว่าการดูฟุตบอลในสนามจริงนั้นมันตื่นเต้นและยิ่งใหญ่กว่าการดูทีวีมากแค่ไหน แต่ถ้าคุณได้มายืนเข้าแถวกลางสนามอย่างผม คุณจะรู้ว่ามันตื่นเต้นกว่ากันอย่างเทียบไม่ได้

บทเพลงประจำของยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ ถูกบรรเลงด้วยท่วงทำนองที่ทุกคนคุ้นเคย รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีมถูกประกาศให้แฟนบอลได้ทราบกันก่อนที่เกมจะเริ่มขึ้น ฝั่งลิเวอร์พูลวันนี้เริ่มต้นด้วย 11 ตัวจริง นายทวาร โฆเซ่ เรน่า กองหลังประกอบไปด้วย สตีฟ ฟินแน่น, เจมี่ คาร์ราเกอร์, ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์, ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ กองกลางห้าคนไล่จากซ้ายไปขวาก็จะมี ไอ้นัท,ชาบี อลอนโซ่, สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นกัปตันทีม ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ และปีกขวา เจอร์เมน เพนแนนท์ สุดท้ายกองหน้าเป้า เดิร์ค เค้าท์ จากฮอลแลนด์

ฝั่งมิลานเอง อันเชลอตติเริ่มต้นด้วย ดีด้า - มัสซิโม่ อ็อดโด้, อเลสซานโดร เนสต้า, เปาโล มัลดินี่ (กัปตันทีม), มาเร็ค แยนคูลอฟสกี้ - เจนนาโร่ กัตตูโซ่, อันเดรีย ปีร์โล่, ผม, เทพ, กาก้า และ ฟิลิปโป้ อินซากี้ อันเชลอตติย้ำกับพวกเราว่านี่ไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นโอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จครั้งใหม่ แต่ผมเชื่อว่าในใจของเขาก็คงจะมีความแค้นอยู่เช่นกัน

การแข่งขันนัดนี้เป็นนัดที่ เปาโล มัลดินี่ กัปตันทีมของเราลงเล่นนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งที่ 8 ของเขาเทียบเท่ากับ ฟรานซิสโก้ เกนโต้ ของ เรอัล มาดริดที่ทำได้ในปี 1966 และ มัลดินี่ในวันนี้ซึ่งมีอายุ 38 ปี 331 วัน เขายังเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศอีกด้วย ผมกับเทพเห็นความทุ่มเทในการฝึกซ้อมรวมทั้งการดูแลร่างกายเพื่อให้สามารถลงสนามได้อย่างยาวนานนั่นทำให้เขาเป็นต้นแบบคนหนึ่งของเราสองคนในอาชีพที่พวกเรากำลังเดินอยู่นี้และวันนี้ผมก็หวังว่าเขาจะเป็นคนพาพวกเราขึ้นรับถ้วยแรกในชีวิตของพวกเราด้วย

ครึ่งแรกเปิดฉากขึ้น โดยพวกเราใส่ชุดสีขาวทั้งชุด ในขณะที่ทีมของไอ้นัทใส่ชุดเก่งซึ่งก็คือสีแดงทั้งชุดเช่นเดียวกัน เกมเริ่มขึ้นอย่างระมัดระวังและรัดกุม เพราะไม่มีใครอยากจะพลาดง่ายๆในนัดชิงชนะเลิศแห่งความกดดันนี้ แต่ผมเองซึ่งรับคำบัญชามาจากโค้ชให้หาโอกาสโจมตีในช่วงต้นจึงลองจ่ายบอลตัดหลังรีเซ่ให้กับอ็อดโด้โยนบอลจากกราบขวาเข้ามาในกรอบเขตโทษของลิเวอร์พูล แต่ก่อนที่อินซากี้จะเข้าถึง เจมี่ คาร์ราเกอร์ ก็แย่งโหม่งสกัดออกเส้นหลังได้ทันเวลา แต่แค่การลักไก่จังหวะนี้ก็ทำให้กองหลังของลิเวอร์พูลไม่สามารถประมาทเกมรุกของพวกเราได้อีกแล้ว เมื่อเกมผ่านช่วงเวลาแห่งความกดดันไป หงส์แดงก็กลับเป็นฝ่ายบุกกดดันได้ดีกว่า และนาทีที่ 10 เดิร์ค เค้าท์ก็ทำชิ่งฝากบอลไว้กับไอ้นัท ทางฝั่งซ้ายของกรอบเขตโทษ ก่อนที่ไอ้นัทจะดึงบอลไว้ไม่ชิ่งกลับไปและนั่นทำให้อ็อดโด้เองถูกหลอกให้ไปประกบเค้าท์เพราะคิดว่าบอลจะถูกส่งไป เมื่อไอ้นัทสลัดอ็อดโด้ออกไปได้ก็กระชากบอลเข้ากลางมา แต่โชคดีเรามีกัตตูโซ่ยืนอยู่ตรงนั้นจึงบังทางให้ไอ้นัทจำใจกระชากมาเข้าเท้าขวา แต่ไอ้นัทก็ทำในสิ่งที่พวกเราเองก็คาดไม่ถึงนั่นคือมันยิงด้วยเท้าขวาในระยะ 25 หลานอกเขตโทษ ซึ่งเป็นการยิงด้วยเท้าที่ไม่ถนัด แต่ลูกบอลก็ไปตรงตัวดีด้า และด้วยความที่ไม่ได้ระวังตัว ดีด้าจึงทำได้แค่ปัดบอลออกมาแต่โชคของเรายังดีที่เนสต้า ตามมาเตะทิ้งออกได้ทันเวลา

เวลาผ่านไปแค่เพียงสิบห้านาทีทั้งผมและไอ้นัทก็สร้างโอกาสให้ทีมได้คนละครั้ง และด้วยรูปเกมที่เปิด นั่นทำให้โอกาสของทั้งสองทีมมีแทบจะตลอดเวลา และในนาที 14 มิลานของเราโต้กลับเร็วจากที่โดนลิเวอร์พูลกดดันอยู่ อันเดรีย ปีร์โล่ ผ่านบอลแม่นยำอย่างที่พวกเราคุ้นเคยให้กับ อินซากี้ หลุดเดี่ยวเข้าไปยิง ทว่า โฆเซ่ มานูเอล เรน่า นายทวารหงส์แดงเซฟเอาไว้ได้ ไอ้เทพที่วิ่งตามเข้าไปเพื่อที่จะซ้ำถึงกับกุมหัวด้วยความเสียดายที่บอลไม่กระฉอกออกมาแม้แต่นิด และแล้วโอกาสของเทพก็มาอีกครั้งในนาที 17 แยนคูลอฟสกี้ เติมขึ้นมาจากทางฝั่งซ้ายก่อนจ่ายให้ไอ้เทพ ยิงไกล 25 หลา บอลเจ้ากรรมก็ดันไปตรงตัว เรน่า ทำให้ไอ้เทพต้องกุมหัวด้วยความเสียดายอีกครั้ง แต่แล้วไอ้นัทก็สร้างปัญหาให้พวกเราอีกเมื่อมันหาโอกาสโยกหลอกอ็อดโด้แล้วโยนบอลให้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด วอลเล่ย์ในกรอบเขตโทษฝั่งขวา บอลเหินข้ามคานออกไปนิดเดียว และจังหวะนี้ทำให้มัลดินี่ต้องตะโกนกำชับกองหลังกันอีกครั้งเพื่อไม่ให้ประกบตัวพลาดอย่างในจังหวะนี้อีก เกมนี้เล่นกันเร็วมากและเร็วกว่าจังหวะในกัลโช่ที่ผมคุ้นเคยนั่นทำให้ผมเหนื่อยกว่าปกติมากทีเดียว อีกทั้งการที่ทั้งสองทีมมีกองกลางห้าคนทำให้พื้นที่ในแดนกลางถูกแย่งชิ่งกันอย่างถึงพริกถึงขิงซึ่งนี่ก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ทีมได้รับชัยชนะในแมตซ์นี้และผมกับไอ้เทพก็พร้อมจะสร้างสิ่งนั้นให้กับทีมอย่างเต็มที่ทีเดียว แต่แล้วเมื่อมาถึงนาที 27 ลิเวอร์พูลก็เกือบได้ประตูนำ จากจังหวะที่ ชาบี อลอนโซ่ เปิดบอลให้ไอ้นัทยิงจากกรอบเขตโทษอีกครั้งด้วยเท้าซ้ายแต่คราวนี้มันวางเท้าไม่ดีทำให้บอลผ่านหน้าประตูออกไปอย่างน่าเสียดาย ผมเตือนกัตตูโซ่อีกครั้งว่าถ้าเขายังประมาทไอ้นัทแบบนี้ งานของเราจะยากขึ้นอย่างแน่นอน

แมตช์ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ขุนพลทั้งสองทีมต่อสู้แย่งบอลอยู่กลางสนามเป็นส่วนใหญ่ ผมเองทำหน้าที่ช่วยกัตตูโซ่และปิร์โล่ ครองบอลและเข้าปะทะเพื่อเปิดทางให้กาก้าและไอ้เทพเล่นบอลได้ง่ายขึ้น ไอ้เทพเองมีอิสระมากกว่ากาก้าที่ถูกมาสเชราโน่ตามประกบแทบจะเป็นเงา และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นแท็คติกที่ถูกต้องของลิเวอร์พูลเลยทีเดียว และแล้วเมื่อนาที 32 คืบคลานเข้ามา โอกาสก็เป็นของลิเวอร์พูลอีกครั้งเมื่อ เพนแน้นท์ พาบอลขึ้นมาทางกราบขวา ก่อนจ่ายให้ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ ซัดระยะ 20 หลา ผมเองเห็นจังหวะการเติมอย่างชัดเจนจึงวิ่งเข้าไปเสียบสกัดทำให้บอลของรีเซ่เหินข้ามคานออกไปอย่างน่าหวาดเสียวสำหรับกองเชียร์ของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง

และแล้วกัตตูโซ่ ก็พลาดรับใบเหลืองไปเป็นคนแรกของเกมนี้ หลังจากเขาเข้าเสียบ ชาบี อลอนโซ่ กองกลางจอมจ่ายบอลของหงส์แดงในนาทีที่ 40 แต่แล้วอีกไม่นาน ชาบี อลอนโซ่ ก็พลาดเช่นกันด้วยการไปทำฟาวล์ไอ้เทพนอกกรอบเขตโทษ และการพลาดจังหวะนี้ของอลองโซ่ก็ทำให้พวกเราได้ลูกฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลา และแน่นอน คนที่จะจัดการกับโอกาสนี้ได้ดีที่สุดก็คือ อันเดรีย ปิร์โล่ นั่นเอง

กำแพงมนุษย์ของฝั่งลิเวอร์พูลถูกตั้งขึ้นอย่างแน่นหนา แต่ปิร์โล่ก็เลือกที่จะยิงฟรีคิกด้วยเท้าขวาอย่างเต็มแรงไปที่ช่องว่างของกำแพงที่ไอ้เทพกับผมช่วยกันเข้าไปแทรกกองหลังลิเวอร์พูลไว้ และแล้วบอลที่พุ่งมาด้วยความแรงก็ไปแฉลบโดนหน้าอกของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ก่อนพุ่งเข้าประตูไปอย่างที่เรน่าไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ มิลานของพวกเรานำ 1-0 ผมกับไอ้เทพวิ่งไปกระโดดกอดกับปิร์โล่และหลังจากนั้นเพื่อนๆทุกคนก็มารุมพวกเราสามคนและอินซากี้ผู้ที่มีลีลาดีใจอย่างบ้าคลั่งก็กอดกันกลมอยู่ในกลุ่มของพวกเราเช่นเดียวกัน

เกมจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ที่เป็นใจกับพวกเรามากกว่าไอ้นัท ผมกับไอ้เทพแทบจะหายใจไม่ทันในห้องแต่งตัว ด้วยทั้งเกมที่เร็วกว่าปกติอีกทั้งความตื่นเต้นที่ยังคงรังควานเรามาจนเกือบ 20 นาทีแรก นั่นทำให้ผมกับไอ้เทพแทบจะแย่กันทีเดียว ผมไม่รู้ว่าไอ้นัทจะเป็นเหมือนกันหรือไม่ แต่ถึงยังไงเราสามคนก็คงจะไม่ยอมแพ้พวกนักเตะยุโรปอย่างแน่นอน เกมครึ่งหลังกำลังจะเริ่ม มัลดินี่บอกว่าถึงแม้เราจะนำอยู่ก็ห้ามประมาทลิเวอร์พูลเด็ดขาด เพราะว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2005 มันไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกในเกมนี้

มาถึงครึ่งหลัง พวกเราเป็นฝ่ายเขี่ยบอลเปิดเกม โดยทั้งสองทีมยังไม่มีการเปลี่ยนตัวสำรองแต่อย่างใด โอกาสแรกของคู่ต่อสู้ของเรามาถึงอย่างรวดเร็วเมื่อไอ้นัทซึ่งรับหน้าที่เตะมุม เปิดลูกเตะมุมไปที่เสาไกลให้ ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ โหม่งเต็มศีรษะแต่ก็ข้ามคานไปอย่างได้ลุ้นทีเดียว

เกมเดินไปด้วยการต่อสู้ในแดนกลางเช่นเดิมและในนาทีที่ 58 เมื่อบอลจากเท้าปิร์โล่ถูกถ่ายมาที่ผมโดยที่มีมาสเชราโน่วิ่งไล่ตามมาด้วย ผมดึงจังหวะรอการเข้าบอลของเขาพร้อมทั้งโยกหลอกว่าจะกระชากออกทางซ้ายก่อนที่จะกระชากออกทางขวาของตัวเอง แต่โชคร้ายที่มาสเชราโน่รู้ทันและกระโดดเสียบมาในทางที่ผมจะพาบอลไป เมื่อจวนตัวผมจึงยกบอลขึ้นหนีการเสียบสกัดแต่โชคร้ายที่ผมไม่สามารถที่จะกระโดดได้ทันนั่นทำให้เขาปะทะเข้ามาที่หน้าแข้งผมอย่างเต็มที่ โชคดีที่สนับแข้งช่วยผมไว้ได้เยอะ แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้กองกลางลิเวอร์พูลโดนใบเหลืองไปในการเสียบสกัดครั้งนี้

ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลเปลี่ยนตัวสำรองส่ง แฮร์รี่ คีเวลล์ ลงมาเล่นแทน เพนแนนท์ในนาที 58 จากนั้นอีกสองนาทีต่อมา เจมี่ คาร์ราเกอร์ กองหลังหงส์แดงก็โดนใบเหลือง หลังจากทำฟาวล์ใส่ไอ้เทพอย่างเต็มแรง ทำให้มิลานได้ลูกฟรีคิกทางฝั่งซ้าย และไอ้เทพก็ขอเป็นคนรับผิดชอบลูกฟรีคิกลูกนี้เองแต่มันก็ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ส่งบอลข้ามคานออกไปอย่างไม่ได้ลุ้น

ผมเองเกือบทำให้ทีมต้องเสียเปรียบเมื่อครองบอลด้วยความประมาททำให้ถูกสตีเว่น เจอร์ราร์ด แย่งบอลมาได้ ผมเองคิดว่าจังหวะนี้จะสามารถครองบอลไว้ได้แต่แรงปะทะของกัปตันทีมจากอังกฤษก็ทำเอาผมล้มคะมำตรงบริเวญนอกกรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนที่ เจอร์ราร์ดจะพาบอลเข้ามาล็อคหลบ อเลสซานโดร เนสต้า ก่อนที่จะวางเท้ายิงแต่โชคดีที่ดีด้ายังคงยืนตำแหน่งได้ดีและเซฟลูกนี้ได้อยู่หมัดทำให้ผมหายใจทั่วท้องขึ้นมากทีเดียว

หงส์แดงยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ บุกขึ้นมาอีกครั้ง แฮร์รี่ คีเวลล์ ตัวสำรองทำทางให้ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ วิ่งเติมขึ้นมาซัดบอลแต่ก็ทำได้เพียงแค่หวาดเสียว และจังหวะนี้ทำเอาไอ้นัทถึงกับหัวเสียที่รีเซ่ไม่ยอมจ่ายบอลให้มันซึ่งยืนว่างอยู่แต่เลือกที่จะยิงเองมากกว่า

ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือหงส์แดง แก้เกมอีกครั้งส่ง ปีเตอร์ เคร้าช์ ลงมาเล่นแทน ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ ในนาที 78 ผมเองยิ้มให้กับไอ้เทพและกาก้าเพราะรู้ว่าการออกไปของมาสเคราโน่ส่งผลดีกับพวกเรามากแค่ไหน แต่การเติมผู้เล่นในแดนหน้าอย่างปีเตอร์ เคร้าช์ เข้ามาก็น่าจะสร้างความลำบากให้กับกองหลังของเรามากเช่นกัน ไอ้นัทยังคงป่วนอ็อดโด้ได้ตลอดทั้งเกมและหาโอกาสโยนบอลเข้าเขตโทษงามๆได้หลายครั้งแต่ก็ถูกกองหลังของเราเคลียร์ออกมาได้ตลอด และแล้วพวกเราก็ตอกย้ำให้พวกเขาเห็นว่าเราเป็นทีมที่ดีกว่าจริงๆ เมื่อไอ้เทพฉวยจังหวะพาบอลเลี้ยงจี้เข้าหาอลองโซ่ซึ่งเป็นกองกลางตัวรับเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก่อนไขว้หลอกข้ามบอลด้วยเท้าซ้ายก่อนใช้เท้าขวากระชากแตะบอลออกทางขวาของตัวเองฉีกอลองโซ่ให้ทำได้เพียงแค่วิ่งตามหลัง ก่อนที่จะผ่านบอลอย่างแม่นยำให้ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ยิงในเขตโทษ พวกเรายืนลุ้นกันอยู่อย่างใจจดใจจ่อ และแล้วอินซากี้ก็ซัดบอลลอดตัว โฆเซ่ มานูเอล เรน่า นายทวารหงส์แดงเข้าไป และนี่ก็เป็นประตูที่สองของเขาในเกมนี้ และจังหวะนี้ของไอ้เทพเองก็แสดงให้เห็นว่ามันพัฒนาจังหวะปล่อยบอลออกจากเท้าได้ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ

แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิดเมื่อ ลิเวอร์พูล ก็มาได้ประตูตีไข่แตกเป็น 1-2 เมื่ออลองโซ่เปิดลูกเตะมุมเข้ามากรอบเขตโทษก่อนที่ปีเตอร์ เคร้าช์ จะโหม่งชงไปให้ เดิร์ค เค้าท์ โขกซ้ำตุงตาข่ายนั่นทำให้ความหวังอันริบหรี่ของลิเวอร์พูลสว่างเรืองรองขึ้นอีกครั้ง

ไอ้นัทได้บอลในนาทีสุดท้ายก่อนที่จะควบขึ้นมาตั้งแต่กลางสนาม กัตตูโซ่เป็นคนแรกที่เข้าไปหา หมายที่จะขย้ำมันแต่มันก็โยกหลอกว่าจะออกทางซ้ายก่อนที่จะแตะบอลลอดขากัตตูโซ่ตัดเข้ามาบริเวณกลางสนาม ไอ้เทพวิ่งเข้าไปช่วยสกัดไอ้นัทแต่ก็ถูกการทำชิ่งหนึ่งสองกับเจอร์ราร์ดของไอ้นัทหลอกผ่านมาได้อย่างง่ายดายอีกคน ขณะนี้หน้าเขตโทษมีเพียงผม เนสต้า มัลดินี่ ยืนรอรับการบุกครั้งสุดท้ายของไอ้นัทและพรรคพวกอยู่

ไอ้นัทยังคงกระชากเข้ามาหน้าเขตโทษเยื้องไปทางซ้าย ผมเองยืนหน้าเขตโทษพลางประกบไม่ให้ไอ้นัทจ่ายบอลมาให้เจอร์ราร์ดได้ ไอ้นัทเองก็พอจะรู้จึงเลือกที่จะเลี้ยงตะลุยเข้าเขตโทษไปเอง และแม้แต่เนสต้าก็ยังไม่สามารถหยุดความมุ่งมั่นในจังหวะนี้ของมันได้ ไอ้นัทไปจนสุดเส้นหลังก่อนที่จะปาดกลับมาให้กับเดิร์ก เค้าท์ที่ยืนรออยู่ก่อนที่เค้าท์จะตวัดบอลพร้อมๆกับการเสียบสกัดของมัลดินี่ บอลยังคงลอยไปที่ประตูแต่ก็ไม่ดีพอที่จะผ่านมือดิด้าไปได้ และในที่สุดเทพเจ้าแห่งเอเธนส์ก็ใส่ชุดสีขาวแถมยังพันผ้าพันคอสีแดงดำในค่ำคืนนี้อีกต่างหาก

เมื่อนกหวีดดังขึ้น เอซี มิลานเอาชนะลิเวอร์พูล 2-1 ส่งผลให้ความคับแค้นในใจของกองเชียร์มิลานสิ้นสุดลงและพร้อมกับได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 7 ของสโมสรไปครองอีกด้วย แฟนบอลส่งเสียงโห่ร้องกึกก้องไปทั่วสนาม ผมกับไอ้เทพ ยืนปลอบไอ้นัทที่ตอนนี้ร้องไห้ออกมาเหมือนกับเด็ก เรายืนอยู่ด้วยกันอยู่นานก่อนที่เจอร์ราร์ดจะมาดึงไอ้นัทไปปลอบ ทำให้พวกเรามีโอกาสมาฉลองชัยกับเพื่อนๆในทีมมิลานที่ร่วมทุ่มเทกันมา ทุกคนวิ่งไปรอบๆเหมือนกับเด็กๆที่ได้ของขวัญและสำหรับผม สิ่งที่ได้มามันมากยิ่งกว่าของขวัญ มากจนผมไม่สามารถอธิบายได้เลยทีเดียว

นี่คือแชมป์แรกในชีวิตการค้าแข้งของผมกับไอ้เทพ และไม่ว่าผมจะได้อีกสักกี่แชมป์ หรือจะไม่ได้มันอีกเลย ค่ำคืนแห่งเอเธนส์ก็จะอยู่ในใจของพวกผมไปตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตนั่นเลยทีเดียว ลำพังการได้ลงเล่นในลีกอิตาลีก็มากพอที่จะทำให้พวกเรามีความสุขอย่างหาที่ติไม่ได้แล้ว แต่การได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศซึ่งนักฟุตบอลทุกคนต้องการจะให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง นั่นทำให้พวกเราไม่สามารถจะขออะไรจากฟุตบอลที่เรารักได้มากกว่านี้แล้วจริงๆ

จบภาค 2

DREAM 2 บทที่ 11 ก่อนวันสำคัญ



ร้านอาหารไทยบริเวณไม่ไกลจากมหาวิหารดูโอโม่คือสถานที่ที่ผมส่งข้อความนัดกับเพื่อนๆไว้ ผมหาวันที่ทุกคนว่างพร้อมๆกันได้อยากพอตัวทีเดียว แต่สุดท้ายเราก็สามารถมากันได้ครบทุกคนอย่างที่ตั้งใจไว้ อาหารตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสนใจสักเท่าไรในวันนี้ แต่การที่เราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งเจ็ดคนต่างหากคือช่วงเวลาที่เราทุกคนต่างรอคอย ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเคยมีเพื่อนกลุ่มที่รักกันอย่างสนิทใจและชอบในสิ่งเดียวกันอย่างหัวปักหัวปำหรือไม่ แต่ผมมีและไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็จะไม่ยอมเสียมันไปอย่างแน่นอน

“เป็นอย่างไรกันบ้างวะโลกแห่งความจริงที่แม่งเหมือนในฝัน” ผมเปิดบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม “ถ้ากูรู้ว่าเราจะมีวันนี้ ตอนเด็กๆกูจะเตะบอลให้เยอะกว่านี้อีก จะเล่นให้ดีกว่านี้อีก จะได้เก่งๆกว่านี้” ไอ้นัทพูด “พวกเรายังจะเล่นฟุตบอลมากกว่านี้ได้อีกหรือวะ นี่ก็แทบจะไม่ได้เข้าเรียนแล้วนะนี่” ไอ้โยพูดเสียงดังพร้อมกับเสียงหัวเราะของพวกเราที่ตามมา “แล้วนี่พวกมึงเก็บเงินกันบ้างหรือเปล่าวะ หรือว่าซื้อนั่นนี่กันหมด”ไอ้ต้นถาม “กูก็เก็บไว้ตลอดนะ ส่งให้แม่ช่วยเก็บด้วยเพราะอาชีพนักบอลอย่างเรามันทำได้ไม่นาน และเราเองก็ไม่ได้เรียนอะไรกันมาด้วย” ไอ้ตั๊กตอบข้อสงสัย “กูเองก็เรียนต่อไม่ไหว พอเตะบอลจริงจังก็ทิ้งเรื่องเรียนไป เลิกเล่นบอลค่อยว่ากันใหม่”ไอ้เอ็มพูด “อย่างว่ะล่ะ ถ้าเรียนไปด้วยคงไม่ไหว อย่างไรก็คงต้องเลือกสักอย่าง” ผมสนับสนุนความคิดเพื่อน “แล้วพวกมึงคิดจะกลับไปเล่นในไทยบ้างหรือเปล่าวะ” เทพเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง “กูคิดว่าถ้าเลยสามสิบแล้วที่นี่ไม่มีทีมไหนสนใจ กูก็คงจะกลับไปเล่นที่บ้านล่ะ คิดถึงบ้านว่ะ” ไอ้นัทแสดงความในใจออกมาเป็นคนแรก “แล้วคิดว่าแฟนบอลที่ไทยจะคิดว่าพวกเราไม่สนใจบ้านเกิดหรือเปล่าวะ เราแทบไม่ได้กลับไปเล่นทีมชาติเลย” ไอ้ต้นถาม “ก็โปรแกรมทีมชาติเรามันไม่เหมาะกับลีกยุโรปเลยนี่นา อีกทั้งการบินข้ามโลกบ่อยๆก็ไม่ใช่เรื่องสนุก แต่ถ้าเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ กูว่าพวกเราก็อยากเล่นทีมชาติเหมือนกันนะ” ผมพูด “ใครจะไม่อยากเล่นล่ะวะทีมชาติตัวเอง มันก็แล้วแต่โอกาสล่ะนะ”เอ็มพูด “แล้วนี่พวกมึงมีใครที่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ยาว ไม่กลับไทยบ้างวะ” ไอ้โยถาม “ตอนแรกที่เรายังเด็ก การอยู่ที่นี่มันก็ดูน่าหลงใหลดีนะ แต่พอมาอยู่จริงๆมันก็เหงาว่ะ อาหารก็ไม่ถูกปาก ญาติพี่น้องเราก็ไม่มี” ไอ้ตั๊กว่า “แต่กูว่าถ้ามีแฟนก็พอช่วยได้นะ” ไอ้เทพพูด “เตะแม่งแต่บอล จะไปเจอใครวะ จะเป็นแฟนกับลูกฟุตบอลนี่ล่ะมั้ง” ผมพูด “จะว่าไป การที่เราได้ทำงานในสิ่งที่เราชอบนี่ มันทำให้ชีวิตมีความสุขดีเหมือนกันนะ”ไอ้ต้นพูด “มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ว่าแต่ว่าถ้าไม่ได้เป็นนักฟุตบอลจริงๆ กูยังไม่รู้เลยนะว่าจะทำมาหากินอะไร”ไอ้นัทบอก “ก็เราแทบจะไม่เคยสนใจเรื่องอื่นกันเลยนี่นา”ไอ้โยบอก “ในชีวิตก็มีแต่ฟุตบอลนี่ล่ะ”

เวลา 3 ชั่วโมงผ่านไปราวกับ 3 นาที ทั้งเรื่องมีสาระและไม่มีสาระต่างผ่านเข้ามาในวงสนทนาของเราอย่างหมดสิ้น ผมสัมผัสได้ว่าวันเวลาไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเราเติบโตขึ้นในทางร่างกายเท่านั้น ทั้งสมองและหัวใจของเราก็เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน ผมไม่รู้ว่าพวกคุณในวัยเด็กเคยตอบคำถามของผู้ใหญ่บ้างหรือเปล่าว่า โตขึ้นคุณอยากเป็นอะไร ผมเชื่อว่าคำตอบของเด็กๆแต่ละคนคงเปลี่ยนไปในทุกๆครั้งที่ถูกถาม หรืออาจจะมีบ้างที่ตอบด้วยคำตอบเดิมตั้งแต่เล็กจนเริ่มโต แต่พวกคุณลองถามตัวเองในปัจจุบันสิว่า พวกคุณได้เป็นหรือได้ทำในสิ่งที่เคยตอบไว้ตอนเด็กๆบ้างหรือไม่ พวกเราเจ็ดคนกำลังทำในสิ่งที่พวกเราให้คำตอบกับผู้ใหญ่เอาไว้ในตอนเด็กและเพียงแค่นี้ก็ทำให้พวกเรามีความสุขในแบบที่แตกต่างกับคนอื่นๆมากมายที่ยังคงต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่ได้ต้องการหรือยังคงต้องทำอะไรที่คนอื่นเห็นว่าดีต่อคุณ หรือพวกคุณก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ

ในระหว่างบทสนทนา มีหัวข้อหนึ่งที่ผมยังคงนำมาคิดทั้งๆที่ตอนนี้ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของนักกีฬาอย่างเราๆแล้ว เอเชี่ยนคัพ 2007 คือหัวข้อนั้น ไทยเราร่วมกับประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียนเพื่อจัดการแข่งขันครั้งนี้หรือเรียกได้ว่าเป็นเจ้าภาพนั่นเอง และด้วยความที่เราเป็นเจ้าภาพนั่นทำให้ความหวังของแฟนบอลชาวไทยถาโถมเข้ามาสู่นักฟุตบอลทีมชาติไทยจนผมคิดว่ามันน่าจะแปรเปลี่ยนเป็นแรงกดดันที่อาจจะทำให้ผลการแข่งขันไม่เป็นไปตามที่คิดได้ง่ายๆ แต่ประเด็นที่ผมกำลังคิดไม่ใช่ตรงนี้ ผมกำลังคิดถึงโอกาสของการที่พวกเราจะกลับไปช่วยชาติในการแข่งขันครั้งนี้ พวกเราเองมาฝึกฟุตบอลที่ยุโรปนี้ตั้งแต่ยังเด็กและจนบัดนี้พวกเราก็ยังไม่มีโอกาสรับใช้ชาติแต่อย่างใด เนื่องด้วยโอกาสและแมตซ์การแข่งขันที่ไม่สนับสนุนซึ่งกันและกันในช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้เรายังไม่เคยได้กลับไปช่วยชาติ แต่ว่าเอเชี่ยนคัพครั้งนี้ที่จะจัดขึ้นในต้นเดือนกรกฎาคมนั้นเหมาะสมกับพวกเราที่อยู่ในช่วงหยุดพักฤดูกาลเป็นอย่างยิ่ง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของสมาคมว่าจะมองไปที่อะไร แน่นอนว่าการที่พวกเราไม่เคยตอบรับการเรียกตัวอาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นอยู่บ้าง แต่ถ้ามองถึงโอกาสที่จะไปให้ไกลที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ การเรียกตัวพวกเราทั้งเจ็ดคนไปร่วมทีมก็ดูน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีเช่นเดียวกัน พวกเราเองให้น้ำหนักไปในทางเดียวกันว่า ถ้ามีการเรียกตัวเกิดขึ้น พวกเราพร้อมที่จะช่วยสร้างความสำเร็จให้กับฟุตบอลไทยอยู่แล้ว แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าฟุตบอลไทยเอง พร้อมที่จะพบกับความสำเร็จแล้วหรือยัง

ความสำเร็จของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในถ้วยหูใหญ่อาจจะจบลงด้วยความเจนจัดมากกว่าของเอซี มิลาน แต่ความสำเร็จในประเทศเองยังคงมีความหวังทั้งในฟุตบอลลีกและฟุตบอลถ้วยเอฟเอ คัพ ฟุตบอลถ้วยน๊อกเอาท์นั้นมีการแข่งขันกันแทบจะทุกลีกในยุโรปแต่อย่างที่พวกเรารู้กันว่ามันเริ่มต้นมาจากที่ประเทศอังกฤษ และด้วยรูปแบบของการแข่งขันที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้แพ้ได้แก้ตัว นั่นทำให้ทีมเล็กๆที่ไม่มีโอกาสที่จะพบกับความสำเร็จในรูปแบบการแข่งขันแบบลีกที่ต้องการความสม่ำเสมอมากไปกว่าชัยชนะฉาบฉวยในแต่ละนัดแต่ทีมเหล่านั้นมีโอกาสที่จะเอาชนะทีมยักษ์ใหญ่ในลีกได้มากกว่าเพราะฟุตบอลนัดเดียวนั้นแค่เพียงความผิดพลาดเล็กน้อยก็อาจจะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ให้กับทีมยักษ์ใหญ่ระดับประเทศได้เช่นกัน

แต่จากประวัติศาสตร์ของเอฟเอ คัพ ในช่วงหลัง ความแตกต่างทางด้านฝีเท้าที่ถูกแบ่งแยกด้วยเงินทุนที่หมุนเวียนอยู่ในแต่ละสโมสรนั้น ทำให้การที่ทีมเล็กๆจากลีกระดับล่างจะสร้างตำนานล้มยักษ์จากลีกสูงสุดได้นั้นแทบจะมองไม่เห็น และคู่ชิงเอฟเอ คัพของอังกฤษในปีนี้ก็ยังคงตอกย้ำตรรกะนี้อยู่อย่างเหนียวแน่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับเชลซีคือคู่ชิงที่ผมกล่าวถึง ไอ้ต้นเองหลังจากตกรอบในถ้วย ucl แล้ว การได้ดับเบิ้ลแชมป์ก็คือความหวังสูงสุดที่มันหวังว่าจะได้สัมผัสในปีนี้ แต่กับการที่คู่ชิงคือเชลซีและที่หนักไปกว่านั้น ผู้จัดการทีมของเชลซีนั้นมีชื่อว่า โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้ที่มีความสามารถในด้านการวางแผนการเล่นในชนิดที่ใครก็สบประมาทไม่ได้ และไม่เว้นแม้กระทั้ง อเล็ก เฟอร์กูสันด้วยเช่นกัน

วันแห่งการชิงชัยใกล้เข้ามาทุกที ความชอกช้ำในปี 2005 ยังคงตามหลอกหลอนอันเชล็อตติและเหล่าผู้เล่นที่ลงสนามในค่ำคืนวันนั้นอยู่อย่างไม่เคยจะจางหาย 23 พฤษภาคมนี้จึงเป็นวันที่เหมาะสมที่สุดที่พวกเราทุกคนจะร่วมกันทำลายฝันร้ายไม่ให้ตามหลอกหลอนพวกเราไปในฤดูกาลต่อๆไปอีก และเนื่องจากสถานะในลีกที่พวกเราการันตีการได้ไปเตะใน ucl ในฤดูกาลหน้าอีกทั้งหมดลุ้นแชมป์ลีกไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว นั่นทำให้ความสำเร็จในถ้วยยุโรปเป็นสิ่งเดียวที่พวกเรากำลังมุ่งมั่นที่จะไปถึงในฤดูกาลนี้ และผมเองก็คิดว่า ลิเวอร์พูลของไอ้นัทเองซึ่งหมดลุ้นแชมป์และก็การันตีตำแหน่งการได้ไปเตะใน ucl แล้วเช่นเดียวกับเราก็คงจะคิดถึงความสำเร็จในถ้วยนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเช่นเดียวกัน

ในระหว่างการซ้อมทุกครั้งสามคนที่ผมมักจะเฝ้าสังเกตดูการเล่นของพวกเขาก็คือ กาก้า ปิร์โล่ และซีดอร์ฟ กาก้าเองถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปีแต่ทั้งผมและไอ้เทพก็ยอมรับในฝีเท้าของเขาอีกทั้งใช้เขาเป็นแรงบันดาลใจในการไปสู่ความสำเร็จของพวกเราเช่นเดียวกัน ผมสังเกตเห็นในการซ้อมอยู่เสมอว่ากาก้ามีความเร็วในการไปกับลูกบอลแทบจะพอๆกับการวิ่งโดยไม่มีลูกบอลเลยทีเดียว และนอกจากความเร็วขนาดนั้นแล้ว กาก้ายังสามารถเปลี่ยนทิศทางในการวิ่งได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีการเสียหลักเลยแม้แต่นิดเดียว สุดท้ายในจังหวะสังหาร เขาก็ยังเลือดเย็นและเต็มไปด้วยทักษะอย่างที่เรามักจะได้เห็นในนักเตะวัยเก๋าแต่ไม่ใช่ในนักเตะที่ยังหนุ่มแน่นเช่นกาก้าผู้นี้

ด้วยตำแหน่งการเล่นในสนามแล้ว เทพดูจะศึกษาการเล่นของกาก้ามากกว่าผมที่ดูด้วยความทึ่งเสียมากกว่า พวกผมรู้อยู่แล้วว่าเทพมีทักษะในการครองบอลและพาบอลไปกับตัวที่ไม่เป็นรองใคร แต่ในเรื่องของจังหวะปล่อยบอลแล้ว กาก้าทำได้มีประสิทธิภาพมากกว่าและนั่นก็คือสิ่งที่เทพกำลังพัฒนาขึ้นในทุกๆวัน เมื่อฟุตบอลเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีมเพราะฉะนั้นจังหวะปล่อยบอลคือสิ่งที่สำคัญที่จะแยกคุณจากพวกขี้เลี้ยงหรือหวงบอลไปเป็นคนที่เป็นตัวทำเกมของทีมจริงๆ และเทพเองก็ผ่านจุดนั้นมาได้ด้วยการศึกษาการเล่นของกาก้าเป็นหลัก และรวมถึงซีดอร์ฟด้วยเช่นเดียวกัน พวกผมมองซีดอร์ฟด้วยความทึ่งในความแข็งแกร่งและระดับฝีเท้าที่ไม่เคยตกลงเลยตลอดระยะเวลายาวนานที่เป็นนักเตะอาชีพมา ความสามารถในการครองบอลอยู่กับที่ ดึงจังหวะให้เพื่อนขยับทำทางนั้น ผมคิดว่าซีดอร์ฟทำได้ไม่เป็นรองใครในวงการฟุตบอลชั่วโมงนี้ บ่อยครั้งในแต่ละเกมที่ผมเห็นคู่ต่อสู้หนึ่งหรือสองคนพยายามแย่งบอลจากเท้าของกองกลางจอมเทคนิครายนี้แต่สุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยการทำฟาลว์เพราะว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดการเดินเกมหรือแย่งบอลไปจากเท้าของดาวเตะรุ่นพี่ของพวกเราคนนี้ได้ การบังบอลบวกกับทักษะของการเปลี่ยนทางอย่างรวดเร็วรวมทั้งสายตาในการมองเกม นั่นทำให้เมื่อใดก็ตามที่ซีดอร์ฟได้ลงสนามร่วมกับกาก้าแล้ว เกมรุกของเรามักจะไหลลื่นและสมดุลอย่างที่โค้ชทุกๆคนฝันถึง จังหวะพาบอลไปข้างหน้าเข้าจู่โจมของกาก้ากับจังหวะครองบอลประวิงเวลาของซีดอร์ฟทำให้เกมของพวกเรามีความหลากหลายในการเข้าทำเป็นอย่างมาก และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทั้งสองทำ ผมและเทพก็ไม่ลืมที่จะนำมันมาเป็นทักษะของตัวเองให้สมกับโอกาสที่ได้รับในการซ้อมร่วมกับดาวเตะระดับโลกเหล่านี้ และสุดยอดนักเตะคนสุดท้ายที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมมีวันนี้ เขาคนนั้นคือปิร์โล่ ดาวเตะเท้าชั่งทองที่ผมยกให้เป็นไอดอลส่วนตัวของผมเอง ปิร์โล่เป็นนักเตะที่มีสายตาในการมองเกมเข้าขั้นอัจฉริยะ ผมพยายามเลียนแบบการวางบอลยาวของเขาซึ่งมักจะวางลึกข้ามแผงกองหลังไปลงที่เท้าของเพื่อนกองหน้าหรือเหล่าปีกซ้ายขวาได้อย่างพอดีๆเสมอ และไม่ว่าในแผงกองหน้ามีการขยับทำทางหรือตั้งท่าที่จะวิ่งทำทางแม้เพียงนิดเดียว เขามักจะเห็นและสามารถวางบอลไปในที่ว่างเหล่านั้นได้เสมอๆ สิ่งที่ผมทึ่งไม่ได้มีเพียงแค่นั้น การคลองบอลก็เต็มไปด้วยทักษะมากมายเช่นเดียวกัน ผมคิดว่าเป็นเพราะเขาเคยเล่นเป็นกองกลางตัวรุกมาก่อนในวัยเด็ก นั่นเลยทำให้ทักษะของเขามากมายไปกว่ากองกลางทั่วโลกในตำแหน่งเดียวกัน บางครั้งท่าทางของเขาอาจจะดูเชื่องช้าไม่แข็งแรงกระชับฉับไว แต่นั่นก็เป็นเหมือนกลลวงที่มักจะทำให้คู่ต่อสู้ประมาทและถูกเขาหลอกแทบจะทุกครั้งในการเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว และแม้กระทั่งผมกับเทพก็ไม่พ้นที่จะโดนเขาหลอกเป็นประจำในการซ้อม แต่ทุกครั้งผมก็มักจะเก็บเอาทักษะเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับทักษะที่ผมมีอยู่เพื่อที่วันหนึ่ง ผมจะได้เป็นนักเตะที่มีทักษะมากมายอย่างเช่นปิร์โล่บ้าง

สุดสัปดาห์ก่อนที่นัดชิง ucl จะเริ่มขึ้น ไอ้ต้นก็พบข่าวร้ายพร้อมๆกับเพื่อนร่วมทีมนั่นคือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทำได้ดีที่สุดแค่เพียงรองแชมป์เอฟเอ คัพ เท่านั้น พวกเราทุกคนแสดงความเสียใจกับต้นและอวยพรให้ปีหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทำได้ดีกว่านี้ในถ้วยเอฟเอ คัพ แต่ด้วยการคว้าแชมป์ในลีกมาก่อนหน้านี้ก็ทำให้เหล่าปีศาจแดงไม่ได้เศร้ามากเท่าใดนัก เพราะอย่างน้อยก็มีถ้วยใบสำคัญติดมือ และผมก็หวังว่า เอซี มิลานก็คงจะมีถ้วยติดมือเช่นเดียวกันในวันพุธที่ 23 นี้ หวังว่าไอ้นัทคงจะไม่ว่าผมที่คิดอย่างนี้ เสียใจล่วงหน้านะเหล่าพลพรรคหงส์แดง

DREAM 2 บทที่ 10 เกมแห่งมิตรภาพ



ในระหว่างที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์กำลังจะก้าวเข้าสู่โค้งสุดท้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอซี มิลาน ลิเวอร์พูล และเชลซี คือสี่อรหันต์ที่ยังอยู่ในเส้นทางและมีโอกาสจะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันรายการนี้ ไอ้นัท ไอ้ต้น ผมและไอ้เทพ คือกลุ่มของพวกเราที่ยังคงมีลุ้นในรายการนี้กันอยู่ ลิเวอร์พูลของไอ้นัทเองพลาดท่าให้กับเชลซีไป 1 -0 ในการแข่งขันที่ลอนดอนในนัดแรก แต่ด้วยความสูสีของทั้งสองทีมนั่นทำให้ลิเวอร์พูลเองก็ยังมีลุ้นอยู่ในการแข่งขันนัดที่สองในบ้านของตัวเอง ผม ไอ้เทพและไอ้ต้น ต่างร่วมส่งกำลังใจเชียร์ให้ลิเวอร์พูลผ่านเชลซีให้ได้ในนัดที่สองเพราะว่าถ้ามันเป็นอย่างที่พวกเราหวัง นัดชิงชนะเลิศก็จะมีพวกเราอย่างน้อยๆสองคนในการแข่งขันสุดพิเศษของค่ำคืนนั้น มิลานของผมเองก็พลาดท่าให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 – 3 เช่นเดียวกันในการแข่งขันนัดแรกที่อังกฤษ มิลานของเรานำไปก่อน 2 – 1 แต่ก็ดันพลาดท่าให้แมนฯยูฯแซงกลับมาชนะ 3 – 2 ได้อย่างน่าเจ็บใจ แต่อย่างไรก็ดีสองประตูที่เรายิงได้ในการเป็นทีมเยือนก็ทำให้อันเชล็อตติค่อนข้างจะพอใจมากไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว และนอกจากนั้นพวกเราทุกคนก็ยังเชื่อว่าพวกเราสามารถเอาชนะปีศาจแดงแห่งอังกฤษทีมนี้ได้มากกว่าหนึ่งประตูอย่างแน่นอน

ในขณะที่การแข่งขันระดับยุโรปดำเนินไป การแข่งขันลีกในระดับชาติก็งวดเข้ามาทุกขณะ มิลานของเราเองดูจะลำบากในการที่จะลุ้นแชมป์กับอินเตอร์และโรม่าที่ดูจะพร้อมกว่าพวกเรามาก อีกทั้งสองทีมดังกล่าวก็ไม่ต้องมาเหนื่อยในถ้วยยุโรปอย่างมิลานของพวกเรา นั่นทำให้อันเชล็อตติค่อนข้างจะเน้นในถ้วยยุโรปมากกว่าการแข่งขันในประเทศแล้วในขณะนี้ ข้ามไปที่ลาลีกา สเปน ตั๊กเองก็กำลังพาบาร์เซโลน่าเบียดลุ้นแย่งแชมป์กับรีล มาดริดและเซบีญ่าอย่างสูสีคู่คี่และดูว่าจะลุ้นกันไปสามทีมจนกระทั่งนัดสุดท้ายเลยทีเดียว บาร์เซโลน่านั้นเป็นแชมป์เก่าในปีที่แล้วและก็ต้องการอย่างยิ่งที่จะป้องกันแชมป์ในปีนี้ให้ได้แต่รีล มาดริดที่มีฟาน นิสเตยรอยที่กระหน่ำประตูได้แทบจะทุกนัดก็คงจะไม่ยอมให้บาร์ซ่าทำสำเร็จง่ายๆอย่างแน่นอน อีกหนึ่งลีกที่มีการลุ้นแชมป์ที่สนุกและสูสีเป็นอย่างยิ่งก็คือพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ แมนฯยูฯของไอ้ต้นกำลังเบียดลุ้นกับเชลซีได้อย่างสนุกสุดมันเลยทีเดียว แต่เป็นที่น่าเสียดายสำหรับพวกเราอย่างยิ่งก็คือลิเวอร์พูลของนัทไม่สามารถจะทำมาตรฐานให้สูงพอสำหรับการลุ้นแชมป์ปีนี้ได้ แต่ดูแล้วยังไงเบนิเตซก็คงจะไม่ปล่อยให้อันดับแย่กว่าอันดับ 4 อย่างแน่นอน และในส่วนของบุนเดสลีกาก็มีการลุ้นแชมป์ที่สูสีเช่นเดียวกันเสียแต่ว่าการเปลี่ยนโค้ชของบาเยิร์น มิวนิคดูจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไร เพราะว่าอันดับในตารางและคะแนนที่ตามหลังทีมในกลุ่มลุ้นแชมป์อยู่มากพอสมควรนั่นทำให้ปีนี้อาจจะเป็นปีที่แย่ที่สุดปีนึงของเหล่าสาวกเสือใต้ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นถ้ามองกันถึงภาพรวมในลีกแล้ว ไอ้ต้นและไอ้ตั๊กดูจะเป็นสองคนที่มีลุ้นจะได้สัมผัสความสำเร็จครั้งแรกในการค้าแข้งในยุโรปมากกว่าพวกเราทุกคน ผมเองเป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนประสบความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลลีก แต่สำหรับไอ้ต้นแล้ว การชิงชัยเพื่อเป็นเจ้ายุโรปนั้นผมไม่มีทางยอมให้กับมันเป็นแน่ ไอ้เทพเองก็คงจะคิดเหมือนผมเช่นกัน

แฟนบอลในซานซิโร่วันนี้เข้ามาเต็มความจุจนแทบจะล้นทะลัก การเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศใน ucl ภายใต้การคุมทีมของอันเชล็อตติอาจจะไม่ใช่ครั้งแรก แต่แฟนบอลรอสโซเนรี่เองก็ยังคงตื่นเต้นกับมันอยู่ไม่ใช่น้อย ด้วยประตูทีมเยือนสองลูกที่เราได้กลับมาจากโอลด์ แทรฟฟอร์ด นั่นทำให้ทั้งแฟนบอลและนักเตะไม่มีใครคิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของมิลานในถ้วยใบใหญ่ของยุโรปในปีนี้ ผมเองตื่นเต้นมากที่ได้รู้ว่าวันนี้ตัวเองจะได้มีโอกาสเป็นตัวจริงพร้อมกับไอ้เทพในเกมระดับนี้ มิลานลงสนาม 11 คนแรกด้วยดิด้าเป็นนายทวาร กองหลังจากซ้ายไปขวาประกอบไปด้วยแยนคูลอฟสกี้ มัลดินี่ เนสต้า อ็อดโด้ กองกลางยังคงมีห้าคนเหมือนเดิมคือ ปิร์โล่ กัตตูโซ่ กาก้า ผม และไอ้เทพ ส่วนกองหน้าตัวเดียวก็ยังคงเป็นอินซากี้ที่เป็นผู้ยิงประตูเอาชนะเสือใต้จากเยอรมันมาได้ในรอบที่แล้ว ในส่วนของทีมเยือนจากอังกฤษดูจะไม่พร้อมเต็มที่สักทีเดียว นายทวารยังคงเป็นฟานเดอร์ซาร์ แต่กองหลังสี่คนกลับประกอบด้วย โอเชีย บราวน์ วิดิชและไฮน์เซ่ แต่เฟอร์กูสันก็ปกปิดรอยแผลของกองหลังด้วยการส่งกองกลางห้าตัวลงมาปิดการทำเกมของเรา ซึ่งทั้งห้าตัวนั้นประกอบด้วยเฟล็ตเชอร์ คาร์ริค สโคลส์ โรนัลโด้ และไอ้ต้น ต้นเองถูกเปลี่ยนตำแหน่งให้ลงมาเล่นทางริมเส้นเพราะว่ามันเป็นนักเตะที่มีความเร็วมากพอที่จะฉีกกองหลังในยุโรปได้สบายๆ แต่ความแข็งแกร่งยังไม่สามารถจะปะทะกับกองหลังยุโรปได้มากนัก และกองหน้าที่เฟอร์กี้คิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่าไอ้ต้นก็คือรูนี่ย์ที่ลงมาเป็นหน้าเป้าตัวเดียวในวันนี้ของปีศาจแดงนั่นเอง เกมเริ่มต้นด้วยการทำเกมบุกของพวกเราใส่ผู้มาเยือนจากอังกฤษ อันเชล็อตติให้ผมยืนสูงกว่าปิร์โล่เล็กน้อยเพื่อประสานงานกับกาก้าและเทพบริเวณ 40 หลาหน้าเขตโทษ ส่วนงานของกัตตูโซ่ในวันนี้คือคอยปิดการโต้กลับของทั้งโรนัลโด้และต้นในบางโอกาส พวกเราทำเกมบุกกันอย่างมุ่งมั่นแต่ก็ระมัดระวังไม่ให้เสียบอลในจังหวะกำลังทำเกมรุกเพราะว่าความเร็วของปีกสองข้างของยูไนเต็ดนั้นค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว และหลังจากบดอยู่พักใหญ่เพียงนาทีที่ 11 ความหวังของชาวรอสโซเนรี่ก็สว่างเรืองรองขึ้นมาจนได้เมื่อเกมรุกของพวกเราเป็นผลอย่างรวดเร็ว ปิร์โล่รับบอลจากแดนหลังขึ้นมาทำเกมตามสไตล์ถนัดของเขาแต่ไม่ทันได้ครองบอลนานนักเจ้าหนุ่มเฟล็ตเชอร์เพื่อนซี้ของไอ้ต้นก็เข้ามาหมายจะตัดบอลจากปิร์โล่ให้ได้อย่างทันท่วงที เมื่อปิร์โล่กำลังจะถูกกดดันผมจึงขยับตัวเข้าไปเรียกบอลจากมิดฟิลด์เท้าชั่งทองรุ่นพี่เพื่อไม่ให้เราเสียบอลในเกมบุกอย่างที่พวกเราทุกคนกลัวกันอยู่ ผมรับบอลพร้อมทั้งชิ่งหนึ่ง-สองกับเทพผ่านการป้องกันของสโคลส์ไปเผชิญหน้าคาร์ริคที่ยังคงยืนอยู่หน้าแผงหลังเพื่อช่วยป้องกันเกมรับให้กับปีศาจแดง ผมสละหน้าที่การดวลตัวต่อตัวให้กับไอ้เทพโดยปล่อยบอลให้กับมันไปเผชิญหน้ากับคาร์ริคอย่างที่มันถนัดและไอ้เทพก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังด้วยการดึงจังหวะให้คาร์ริคเข้ามาจู่โจมก่อนแตะบอลหนีออกทางขวาของตัวเองพร้อมทั้งกระชากเข้าใกล้เขตโทษมากขึ้นโดยมีกาก้ายืนรออยู่เยื้องไปทางซ้ายของมันเล็กน้อยอีกทั้งอินซากี้เองก็วิ่งหาพื้นที่อยู่ในเขตโทษตามสไตล์ถนัดของตัวเอง เวส บราวน์เห็นท่าไม่ดีจึงขยับตัวเข้ามาปิดทางไม่ให้เทพไปไกลกว่านี้ได้อีกในการบุกครั้งนี้ เทพเองเห็นว่ากาก้ายืนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าตัวเองจึงไม่ดันทุรังเลี้ยงไปเผชิญหน้ากับบราวน์อย่างที่มันมักจะทำในการแข่งขันอยู่เสมอแต่ครั้งนี้มันเลือกผ่านบอลขนานเขตโทษไปหากาก้าที่ยืนรออยู่โดยไม่มีนักเตะแมนฯยูฯคนใดประกบอยู่ราวกับว่าไม่รู้จักพิษสงของกาก้าเสียอย่างนั้น และถึงแม้กองกลางทั้งสามคนของแมนฯยูฯกำลังจะวิ่งกลับมาช่วยเกมรับ แต่นั่นก็ไม่ทันกับสมองของเพลย์เมกเกอร์หนุ่มจากบราซิลผู้นี้เสียแล้ว เขาบรรจงยิงไกลในจังหวะแรกที่บอลมาถึงและส่งบอลเสียบเสาขวามือของฟานเดอซาร์ในชนิดที่นายทวารฮอลแลนด์ไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย สกอร์เพียง 1 – 0 ก็เพียงพอแล้วต่อการเข้ารอบของพวกเรา แต่ใครล่ะจะรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในเกมในอีก 80 นาทีที่เหลือ แต่ถึงอย่างไรการขึ้นนำก็ย่อมดีกว่าการถูกยิงไปก่อนแน่ๆหรือว่าคุณว่าไม่จริง

ถึงแม้ว่าเราจะเป็นฝ่ายได้ประตูนำไปก่อนแต่ปีศาจแดงจากเกาะอังกฤษก็ไม่ได้ท้อถอยแต่อย่างใดเพราะพวกเขารู้ดีว่าเพียงแค่ผลเสมอก็จะเพียงพอที่พวกเขาจะสามารถผ่านเข้าไปในรอบชิงชนะเลิศได้ และด้วยความมุ่งมั่นเหล่านั้นนั่นทำให้แบ็คสองข้างของพวกเราต้องทำงานหนักอยู่แทบจะตลอดเวลา ทั้งในการเติมเกมรุกเพื่อให้เกมริมเส้นสมดุลขึ้น อีกทั้งยังต้องคอยหยุดโรนัลโด้และไอ้ต้น ที่คอยปั่นป่วนสลับฝั่งไปมากันอยู่ราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และในนาที 20 เจ้าหนุ่มโรนัลโด้จากโปรตุเกสก็พาบอลหนีการตามไล่ล่าของกัตตูโซ่มาได้อย่างน่าทึ่ง และในขณะที่ผมกำลังจะเข้าไปปะทะเพื่อหยุดการเคลื่อนที่ที่กำลังคุกคามแผงหลังของเราอยู่นั้น ปีกโปรตุเกสตัดสินใจไขว้ตบบอลด้วยข้างเท้าด้านในเพื่อเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วก่อนที่ผมจะทันได้เข้าประกบ หลังจากโชว์ทักษะเรียบร้อยแล้วเขาจึงปล่อยบอลไปให้กับคาร์ริคที่รอบอลอยู่ตรงกลางสนามเพื่อที่จะเปลี่ยนการขึ้นเกมไปที่อีกฝั่ง คาร์ริคไม่ยอมจ่ายออกไปทางขวาของตัวเองให้กับไอ้ต้นที่ว่างอยู่แต่กลับดึงจังหวะไว้ราวกับจะรออะไรบางอย่าง ปิร์โล่ตัดสินใจเข้าจู่โจมคู่ต่อสู้ทันทีเมื่อเห็นว่าน่าจะเป็นจังหวะที่ได้เปรียบ แต่แล้วเสี้ยววินาทีนั้นผมก็เหลือบไปเห็นไอ้ต้นกำลังออกวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะพุ่งเข้าไปในเขตโทษ แยนคูลอฟสกี้ก็เห็นการเคลื่อนที่นั้นพร้อมๆกับผมแต่กว่าจะกลับตัวไปไล่ตามไอ้ต้น บอลยาวจากคาร์ริคก็ถูกวางเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้ายของเราเรียบร้อยแล้ว ไอ้ต้นฉีกตัวไปรับบอลได้ก่อนแยนคูลอฟสกี้อย่างง่ายดายราวกับฉีกกระดาษก่อนที่จะมองเข้ามาตรงกลางซึ่งที่ตรงนั้นมีรูนีย์รอปิดบัญชีอยู่อย่างเลือดเย็น มัลดินี่รีบวิ่งเข้าไปเพื่อที่บล็อคการเปิดบอลเข้ากลางของไอ้ต้นแต่ด้วยความประมาทของมัลดินี่ที่จะรีบเข้าไปแย่ง นั่นเปิดโอกาสให้ไอ้ต้นล็อคบอลหลบการเข้าพรวจของมัลดินี่อย่างง่ายดายพร้อมทั้งสับไกด้วยเท้าซ้ายข้างไม่ถนัดแต่บอลก็ยังดีพอที่จะวิ่งเข้าไปสู่เสาแรกได้อย่างที่พวกเราไม่ทันจะคาดคิด แต่ทันใดนั้น เงาร่างสีดำทะมึนที่เป็นดังเทพพิทักษ์หน้าประตูของเรามาอย่างช้านานก็ยังทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาประตูให้กับพวกเราได้อย่างน่าทึ่งเช่นเคย ดิด้าบินมาจากกลางประตูพร้อมทั้งชกบอลของไอ้ต้นออกไปได้ท่ามกลางการกลั้นหายใจลุ้นของพวกเราทั้งสนาม และหลังจากจังหวะนี้ผ่านไป พวกเราก็ตระหนักเป็นอย่างดีว่าเราจะประมาทปีศาจแดงแห่งเกาะอังกฤษไม่ได้เลยสักนิด

หลังจากเราถูกคุกคามอยู่สักระยะเราก็กลับสู่เกมของเราได้อีกครั้งอย่างมั่นคง และเพียงนาทีที่ 30 เกมบุกของเราก็ทำงานของมันอีกครั้ง ปิร์โล่กับผมส่งบอลจังหวะเดียวกันอยู่กลางสนามเพื่อรอจังหวะที่จะเข้าจู่โจมแต่ว่ากองกลางและกองหลังของทีมเยือนยังคงป้องกันได้อย่างหนาแน่นทำให้เราไม่สามารถหาช่องว่างเจาะได้แต่อย่างใด กาก้าเองเริ่มอึดอัดจึงถอยตัวเองลงมารับบอลพร้อมกับมีเฟลตเชอร์วิ่งตามมาด้วยอย่างที่เฟอร์กูสันต้องการ กาก้ารับบอลจากผมและกระชากขึ้นผ่านเส้นกลางสนามพร้อมทั้งหนีเฟลตเชอร์ที่ยังคงตามไล่ล่า สักพักสโคลส์ก็มาร่วมวงกินโต๊ะกาก้ากันอย่างสนุกสนานด้วยอีกคน แต่กาก้าเองยังคงมั่นใจในการครองบอลของตัวเองและพาคาร์ริคมาร่วมด้วยอีกคนอย่างที่เขาตั้งใจ กองกลางทั้งสามคนของแมนยูสูญเสียตำแหน่งของตัวเองเพราะคิดว่าจะสามารถหยุดกาก้าได้ในคราวเดียว แต่แล้วเพียงเสี้ยววินาทีกาก้าก็ฉวยโอกาสส่งบอลให้กับเทพซึ่งขณะนี้ยืนโล่งๆอยู่คนเดียวบริเวณ 30 หลาหน้ากรอบเขตโทษ เทพเงยหน้ามองตำแหน่งของฟานเดอซาร์ก่อนที่จะกระชากบอลขึ้นหน้าและเตรียมที่จะสับไก วิดิชทิ้งอินซากี้ที่เป็นตัวประกบพร้อมทั้งวิ่งเข้ามาเพื่อจะเสียบสกัดเทพให้ได้ก่อนที่เทพจะส่งบอลออกไปจากเท้า แต่คราวนี้วิดิชช้าเกินไป เทพยิงบอลสุดแรงเกิดไปสู่สามเหลี่ยมประตูฝั่งขวามือของฟานเดอซาร์ และแม้แต่นายทวารร่างโย่งผู้นี้ก็ไม่สามารถหยุดลูกยิงลูกนี้ลงได้ และ 45 นาทีแรกก็เป็นดัง 45 นาทีในฝันของพวกเราเลยทีเดียว

เมื่อนกหวีดครึ่งหลังเริ่มขึ้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดโหมบุกใส่พวกเราอย่างเต็มกำลัง เพราะลำพังการพ่ายแพ้ 2 – 1 นั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ผลเสมอหรือชนะเท่านั้นที่พวกเขาต้องการ นั่นหมายถึงต้องมีอย่างน้อย 2 ประตูเกิดขึ้นจึงจะพลิกให้โอกาสกลับกลายเป็นของพวกเขาได้ กัตตูโซ่ยังคงทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่ในการช่วยอ็อดโด้หยุดโรนัลโด้ให้ได้ในจังหวะเกมรุกริมเส้น และด้วยความที่อันเชลอตติเทความสนใจมาที่โรนัลโด้มากกว่านั่นทำให้ในเกมนี้ คนที่เหนื่อยที่สุดน่าจะเป็นแยนคูลอฟสกี้ที่ถูกไอ้ต้นเล่นงานอยู่ตลอดเวลานั่นเอง แต่ด้วยความเก๋าเกมของมัลดินี่ที่เข้าไปช่วยประคองอยู่ตลอดก็ทำให้สถานการณ์ของเกมรับฝั่งซ้ายของเราไม่ถูกกดดันมากจนเกินไปนัก เกมครึ่งหลังค่อยๆผ่านไปพร้อมกับความมุ่งมั่นของทีมเยือนที่น้อยลงไปตามเวลาที่เหลือ จนแล้วจนรอดผ่านนาทีที่ 70 ประตูแรกของทีมเยือนที่จะเป็นตัวพลิกสถานการณ์ทั้งหมดก็ยังคงไม่เกิด และแล้วความหวังของทีมเยือนก็หมดไปอย่างสิ้นเชิงเมื่ออินซากี้ทำหน้าที่ของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อรับลูกจ่ายจากผมและควบเข้าไปสังหารฟานเดอซาร์อย่างเลือดเย็น 3 – 0 คือสกอร์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ และจนกระทั่งจบเกมก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรเพิ่มได้อีก นัดชิงชนะเลิศครั้งแรกของผมกับเทพกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า และที่สำคัญที่สุดพรุ่งนี้เราจะได้รู้กันว่า ไอ้นัทจะเป็นอีกหนึ่งคนในกลุ่มของพวกเราหรือเปล่าที่จะได้เข้ามาโชว์ฝีเท้าในนัดชิงประวัติศาสตร์ของพวกเราครั้งนี้ด้วย

“ทีมมึงระบบทีมดีกว่าว่ะปีนี้ ทีมกูยังเล่นคนเดียวกันมากเกินไป” ต้นพูด “ก็เป็นไปได้นะ ขาดโรนัลโด้ไปกูว่าลำบากนะ” ผมพูด “ก็จริงๆ มันแทบจะเล่นอยู่คนเดียว แต่ปีหน้าน่าจะดีขึ้นว่ะ” ต้นพูด “แล้วปีหน้าก็มาเจอกันในถ้วยนี้อีกทีโว้ย ปีนี้เชียร์พวกกูไปก่อน” เทพพูด “เออได้ แลกเสื้อกันมา ใครก็ได้พวกมึงเอามาตัวนึง” เทพชวนพวกผมแลกเสื้ออย่างที่เราเห็นกันในทีวีเป็นประจำ “กูแลกกับมึงเอง” เทพพูดพลางถอดเสื้อให้กับไอ้ต้นอย่างที่มันต้องการ “แล้วเดี๋ยวคุยกันอีกทีว่ะ ว่าจะนัดกินข้าวกันบ้าง ตั้งแต่มาอยู่ยุโรปยังไม่เคยเจอกันครบๆเลย” ต้นพูด “กูจัดการนัดให้เอง แล้วรอโทรศัพท์กูละกัน ดีใจที่ได้เจอกันในสนามนะโว้ย เชียร์กูด้วย” ผมพูด “เออเดี๋ยวกูเชียร์ ปีหน้าทีกูบ้างล่ะคราวนี้ ไปล่ะโว้ย เดี๋ยวเจอกัน” ต้นพูดพร้อมวิ่งตามเพื่อนเข้าสู่อุโมงค์เพื่อไปอาบน้ำในห้องพัก และเราหวังว่าปีหน้าเราคงได้พบกันในถ้วยใบนี้อีกครั้งซึ่งไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรพวกเราก็จะเป็นกำลังใจให้กันอยู่เสมอ

วันรุ่งขึ้นหลังจากทราบผลการแข่งขันของรอบรองชนะเลิศอีกคู่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว ผมส่งข้อความนัดหมายถึงเพื่อนๆทุกคนให้มาพบกันที่มิลานเพื่อกินข้าวและพบปะกันอย่างครบทีมอีกครั้งหลังจากที่ไม่เคยได้ทำแบบนี้เลยตั้งแต่ย้ายมาค้าแข้งที่ยุโรปเป็นต้นมา และหัวข้อสนทนาในวันนั้นคงหนีไม่พ้นการเข้าชิง UCL กันระหว่างผมกับไอ้เทพและไอ้นัท ซึ่งเอาชนะจุดโทษเชลซีมาได้อย่างน่าตื่นเต้นหลังจากรวมผลสองนัดแล้วเสมอกันไปด้วยสกอร์ 1 – 1 ไอ้นัทเองดีใจเป็นอย่างมากและโทรมาหาผมกับไอ้เทพทันทีที่ทำได้ พวกเราดีใจซึ่งกันและกันที่ได้เข้าชิงชนะเลิศโดยไม่ได้คิดเลยว่า เมื่อวันแห่งการชิงชัยมาถึง เสื้อที่เราจะใส่มันจะเป็นคนละสีกันอย่างที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ว่าผลการแข่งขันจะจบลงอย่างไร ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ก็ไม่อาจจะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราลงได้อย่างแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 23.ลูกจุดโทษ



คุณกล้ายิงจุดโทษในนาทีสุดท้ายหรือเปล่า?

ผมตัดสินใจที่จะเลือกฟุตบอลเป็นอาชีพตั้งแต่ยังไม่ได้ทำบัตรประชาชน พ่อผมซึ่งเปรียบได้กับโค้ชคนแรกในชีวิตของผมบอกผมเสมอว่า ขาคู่นี้ของผมสามารถที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตผม จากเด็กธรรมดาคนนึงให้กลายเป็นดาวรุ่งที่คนทั้งโลกจับตามองได้ และตลอดมาผมเลือกที่จะเชื่อเช่นนั้น

ตั้งแต่ฟุตบอลนักเรียนไล่เรียงขึ้นมาจนเป็นระดับเยาวชนทีมชาติ เมื่อใดก็ตามที่ทีมได้จุดโทษ ผมเสนอตัวรับผิดชอบหน้าที่นี้เสมอและมันทำให้ผมรู้เป็นอย่างดีว่า มีคนมากมายที่ไม่กล้าแม้กระทั่งจะรับหน้าที่นี้แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะเหยียบคุณให้จมดินหากคุณทำหน้าที่ผิดพลาด และคนพวกนี้ก็เป็นคนจำพวกเดียวกันกับพวกที่คอยหลบอยู่หลังคุณในเวลาที่คุณยิงจุดโทษและแสร้งดีใจเมื่อคุณทำหน้าที่ไม่พลาดทั้งที่ในจิตใจของเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาในความสำเร็จของคุณ ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเพราะผมรู้ว่ามีคนเหล่านี้อยู่ในทุกวงการ แน่นอนว่าในวงการของพวกคุณก็มี ผมยืนยัน แต่ถ้าผมไม่บอกคุณว่าเพื่อนร่วมทีมที่ดีก็มีเช่นกัน คุณคงคิดว่าผมขี้ระแวงจนเกินไป เอาเป็นว่าผมบอกคุณอีกครั้งละกันว่าเพื่อนร่วมทีมที่ดีก็มีอยู่จริงเช่นกันและแน่นอนในวงการของคุณก็คงมี

แน่นอนว่าเมื่อผมรับผิดชอบลูกจุดโทษมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการมันทำให้หน้าที่นี้ติดตัวผมมาจนกระทั่งผมก้าวเข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพในฐานะดาวรุ่งที่มาแรงที่สุดในขวบปีนั้น ในระดับสโมสรแน่นอนว่าแต่ละสโมสรย่อมมีเจ้าของสัมปทานเดิมรับหน้าที่ตรงนี้อยู่ และเมื่อผมก้าวเข้าไปในฐานะน้องใหม่ ผมเคารพในฝีเท้าของรุ่นพี่และไม่เข้าไปก้าวก่ายหน้าที่ของเขา แต่เมื่อโค้ชได้เห็นฝีเท้าของผมจนกระทั่งรู้แน่ชัดว่าผมน่าจะรับหน้าที่นี้ได้ดีกว่า เขาก็พร้อมที่จะยึดคืนมันมาจากนักเตะรุ่นพี่เพื่อมามอบให้กับผม และแน่นอนผมไม่เคยปฏิเสธ

การที่ผมถูกปลูกฝังให้เชื่อมั่นในตัวเองและกล้าที่จะรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองไม่ว่ามันจะยิ่งใหญ่แค่ไหน บางครั้งมันก็ทำให้ผมถูกมองด้วยสายตาที่ไม่หวังดีในหลายรูปแบบ แต่ผมก็เชื่อคำสอนของพ่อเสมอว่าชีวิตของเรา เราลิขิตได้เองและการยิงจุดโทษให้ทีมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมเลือกที่จะลิขิตอนาคตให้กับตัวผมเองและทีม

วันเวลาผ่านไปพร้อมกับประสบการณ์ที่เพิ่มพูนเข้ามา ผมประสบความสำเร็จในอาชีพอีกครั้งด้วยการถูกเรียกตัวเข้าสู่ทีมชาติเป็นครั้งแรกในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และผมคือนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ถูกเลือกในการแข่งขันในครั้งนี้

การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกครั้งนี้ เราทำหน้าที่ได้ดีจนกระทั่งเข้าใกล้ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากที่สุดตั้งแต่ที่ประเทศเราเล่นฟุตบอลกันมา และด่านสุดท้ายที่เราจะต้องผ่านไปให้ได้ก็คือ ทีมชาติญี่ปุ่น มหาอำนาจฟุตบอลเอเชียในโลกยุคปัจจุบัน
ซึ่งจะเป็นฝ่ายมาเยือนเราที่กรุงเทพมหานคร ผมรู้ข่าวดีตั้งแต่ตอนซ้อมว่าผมจะได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงในนัดประวัติศาสตร์นี้ ความเครียดและความกดดันถาโถมจนทำให้ผมไม่สามารถข่มตานอนลงได้โดยง่าย โดยเฉพาะในคืนนี้ซึ่งเป็นคืนก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มในวันรุ่งขึ้น

คนดูร่วมเจ็ดหมื่นยัดทะนานเข้ามาเต็มความจุของสนามกีฬาแห่งชาติ อีกทั้งยังมีฝูงชนที่ซื้อตั๋วไม่ทันซึ่งรวมตัวกันดูจอใหญ่อยู่ที่หน้าสนาม และแน่นอน ฟรีทีวีทุกช่องทำหน้าที่ถ่ายทอดสดการแข่งขันนัดนี้สู่สายตาผู้ชมทั้งประเทศ เราจำเป็นที่จะต้องชนะเท่านั้น จึงจะได้ไปเล่นฟุตบอลโลก ในขณะที่ญี่ปุ่นขอเพียงแค่ผลเสมอก็เพียงพอ นั่นทำให้เราไม่ต้องคิดอะไรนอกเหนือไปจากบุก บุก บุก และบุก

จนแล้วจนรอดประตูขึ้นนำของเราก็ไม่เกิดขึ้น แต่แล้วพระเจ้าก็เข้าข้างประเทศของผมทั้งๆที่ท่านไม่เคยเข้าข้างประเทศของผมเลยตั้งแต่เราเริ่มเตะฟุตบอลกันมา

ญี่ปุ่นทำฟาล์วเราในกรอบเขตโทษทำให้ทีมเราได้จุดโทษในนาทีสุดท้ายของเกมส์และถ้าเราเปลี่ยนโอกาสสำคัญนี้ให้เป็นประตูได้ ฟุตบอลโลกครั้งแรกจะมาเยือนพวกเราทันทีโดยไม่ต้องสงสัย ในสนามตอนนี้เสียงดังอื้ออึงไปหมด สายตาทุกคู่ทั้งในและนอกสนามจับตาดูว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระอันใหญ่หลวงครั้งนี้ แน่นอนว่าถึงแม้ผมจะยังเด็กและใหม่ต่อทีมชาติ แต่ผมก็พร้อมจะรับหน้าที่โดยไม่มีอิดออด

ความผิดพลาดเพียงอย่างเดียวของโค้ช คือเขาไม่ได้มอบอำนาจลงมาว่า ใครจะเป็นคนรับผิดชอบหน้าที่นี้ ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ผู้เล่นบางคนก้มหน้าไม่สบตาใครราวกับว่ากลัวที่จะต้องรับผิดชอบความหวังของคนทั้งชาติ บางคนหัวเราะราวกับว่าตัวเองมีหน้าที่แค่รอใครซักคนเข้ามาจัดการภาระตรงนี้ และหลังจากนั้นเขาจะซ้ำเติมหรือเสแสร้งใดๆ ก็สุดแล้วแต่ บางคนก็ดูสบายๆเพราะรู้ตัวดีว่าเขาไม่มีความสามารถพอสำหรับหน้าที่ตรงนี้และไม่เคยพยายามที่จะมีมัน

โค้ชชี้มาที่ผม ผมเป่าปากโดยไม่รู้ว่าโล่งใจหรือหนักใจกันแน่ที่มันเป็นผม ผมมองไปที่ผู้เล่นอาวุโส หลายคนดูไม่พอใจที่ทำไมไม่เป็นเขา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เห็นพวกเขาเสนอตัว บางคนส่งสายตาเป็นกำลังใจให้ผมอย่างผู้ใหญ่ที่เข้าใจโลก ซึ่งผมก็ส่งสายตาแห่งไมตรีตอบกลับไป

ผมถือบอลไปวางที่จุดโทษ ขณะนี้ทั้งสนามเงียบกริบราวกับป่าช้า กองเชียร์ทุกคนกลั้นหายใจเพื่อรอลุ้นจุดโทษที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของประเทศ ถ้าผมยิงเข้า ทุกคนคงร่วมยินดีกับผม หนังสือพิมพ์คงพาดหัวว่า ผมเป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติ กลับกันถ้าผมพลาดปฏิกิริยาจากเพื่อนร่วมทีมคงมีหลายแบบ แต่จากมุมมองของคนภายนอกผมคงเป็นแค่เด็กอวดเก่งคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้คุณค่าของจุดโทษประวัติศาสตร์ครั้งนี้ แต่ดันเสนอหน้ามารับผิดชอบและหนังสือพิมพ์ก็คงพาดหัวข่าวไม่ต่างไปจากนี้

ผมรู้ดีถึงความสามารถของผมเองและไม่เคยขอรับผิดชอบอะไรที่มากมายไปกว่านั้น ผมไม่เคยไปจับโจร ไม่เคยไปผ่าตัด ไม่เคยทำอะไรมากกว่าในสิ่งที่ผมถนัด และผมมั่นใจว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่ใหญ่เกินกว่าที่ผมจะรับผิดชอบ

ผมยิงข้ามคาน ผมตั้งใจมากเกินไปจนไม่สามารถที่จะยิงให้เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาได้ แต่ผมก็ยังยืนยันว่าผมทำดีที่สุดแล้ว

"เด็กโง่คนนึงทำให้ไทยอดไปบอลโลก" "หยิ่งยโสจนพลาดโอกาสสำคัญ" "ขี้เก็กจนทำทีมพัง" หนังสือพิมพ์ทุกเล่มในประเทศพาดหัวไม่ต่างไปจากนี้มากนักและมันเป็นไปตามที่ผมคาด เพื่อนร่วมทีมต่างพูดกันว่าทำไมไม่ให้เขายิง ทุกคนพูดเช่นนั้น แม้กระทั่งคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาโค้ชในช่วงเวลาสำคัญนั้น

คนทั้งประเทศโกรธและเกลียดจนถึงขั้นจะเนรเทศให้ผมไปเล่นฟุตบอลที่ประเทศอื่น เหตุผลที่เราไม่ได้ไปฟุตบอลโลก ทุกคนคิดว่าเป็นเพราะผม

ไม่มีแม้ซักวินาทีที่ผมจะคิดว่า ถ้าผมยิงเข้ามันจะเป็นเช่นไร คนทั้งประเทศคงจะแซ่ซ้องสรรเสริญผม ยกย่องผมราวกับพระราชา แต่พูดก็พูดเถอะ มันคงไม่มีวันนั้น

ผมใช้เวลาทำใจอยู่นานเช่นกัน โชคดีที่ผมมีครอบครัวเป็นกำลังใจและเข้าใจในตัวผมอยู่เสมอ นั่นทำให้ความผิดหวังของคนทั้งชาติก็ไม่สามารถที่จะทำให้ผมรู้สึกแย่ไปกว่านี้ได้

วันเวลาผ่านมาจนกระทั้งร่างกายผมไม่สามารถเล่นฟุตบอลต่อไปได้ ผมแก่เกินกว่าที่จะยืนหยัดในสนามได้ถึง 90 นาที และหลังจากผมแขวนสตั๊ด คำถามที่ผมพบบ่อยที่สุดคงหนีไม่พ้นคำถามจำพวก ถ้าย้อนเวลาได้ผมอยากจะย้อนไปแก้ไขจุดโทษลูกนั้นหรือไม่ ผมตอบไปว่า ถ้ากลับไปได้จริงๆ ผมก็จะกลับไปยิงอีกครั้ง และยืนยันที่จะไม่ให้คนอื่นยิง แต่ถึงแม้ วันเวลาจะย้อนกลับไปไม่ได้ ผมก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียใจ

พ่อผมสอนเสมอว่า ให้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดในทุกๆครั้ง และไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร จงเชิดหน้ายอมรับมัน

ผมบอกคุณไปแล้วว่า ผมไม่มีอะไรต้องเสียใจเพราะจุดโทษลูกนั้น ผมยิงดีที่สุดแล้วถึงแม้มันจะไม่เข้าก็ตาม แล้วคุณล่ะ ลูกจุดโทษนาทีสุดท้ายซึ่งทีมได้มันมาพร้อมๆกับที่จะต้องแบกความหวังของคนทั้งประเทศ ถ้าคุณเป็นผู้เล่นคนหนึ่งในสนามคุณกล้าที่จะยืดอกรับผิดชอบจุดโทษลูกนี้หรือไม่ หรือคุณเลือกจะเป็นผู้เล่นธรรมดาที่หลบอยู่หลังผู้เล่นคนอื่นและไม่พยายามสบตาใครๆไปชั่วชีวิต