วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

DREAM บทที่ 1 ฤดูร้อนครั้งสุดท้าย




"หลังเข้าแล้วเทพ" ผมตะโกนบอกอย่างสุดเสียงด้วยกลัวว่าเพื่อนจะมองไม่เห็นการเข้าแย่งบอลจากทางด้านหลังของกองกลางตัวรับฝั่งตรงข้ามแต่แล้ว “เทพ” เจ้าของเสื้อหมายเลข 10 ของทีมเราก็ทำสิ่งที่พวกเราทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนั่นคือโชว์การดึงบอลหลอกคู่ต่อสู้ที่เข้ามาแย่งจากทางด้านหลังจนหัวแทบคะมำจากนั้นแตะหนีออกทางขวาพร้อมทั้งเงยหน้ามองการเคลื่อนที่หาที่ว่างของเพื่อนๆในเกมรุก เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่เทพเห็นช่อง เทพตัดสินใจดีดไซด์ก้อยด้วยเท้าขวาจ่ายบอลตัดหลังกองหลังตัวริมเส้นฝั่งซ้ายของคู่ต่อสู้ไปตรงพื้นที่ว่างบริเวณริมเส้น เมื่อบอลออกจากเท้าของเทพ ทั้งคู่ต่อสู้และกองเชียร์ที่นั่งดูกันอยู่ข้างสนามต่างเสียดายที่เทพออกบอลแรงจนเกินไปทำให้บอลลูกนี้เสียในแบบที่ไม่น่าเสีย แต่ในกลุ่มของพวกเราเองไม่มีใครคิดเช่นนั้น เรารู้กันอยู่ว่าที่เทพจ่ายแรงขนาดนั้นเป็นเพราะเทพเองก็รู้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของสัมปทานพื้นที่ฝั่งขวาของทีมเรานั้นเป็นของใคร เพียงชั่วพริบตาที่กองหลังตัวริมเส้นฝั่งซ้ายของทีมตรงข้ามกำลังจะกลับตัวนั้นเอง “เอ็ม”เจ้าของเสื้อเบอร์ 6 ของทีมเราก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่าลูกจ่ายที่ทุกคนคิดว่ายาวไปแล้วนั้นมันไม่ได้เผื่อมากเกินไปแต่อย่างใด หลังจากทิ้งกองหลังตัวริมเส้นฝั่งซ้ายของคู่แข่งให้เห็นเพียงแค่เบอร์เสื้อจากทางด้านหลังแล้ว เอ็มเหลือบมองไปในเขตโทษก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรต่อไป แต่แล้วกลับพบว่าพื้นที่สุดท้ายไม่มีกองหน้าของทีมเราอยู่เลยแม้แต่คนเดียวแต่เอ็มก็ยังเลือกที่จะเปิดขนานเส้นหลังไปตรงจุดเกรงใจระหว่างคู่กองหลังตัวกลางกับนายทวารของคู่แข่งด้วยลูกจ่ายที่สูงระดับหัวเข่าและเต็มไปด้วยความรุนแรง เราทุกคนรู้ทันทีว่าลูกนี้เอ็มจ่ายให้กับใคร คนที่จะจัดการกับลูกจ่ายลูกนี้ได้นั้นถ้านับคนในวงการฟุตบอลนักเรียนในวัยเดียวกันกับพวกเราแล้วล่ะก็มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่จะทำอะไรแบบนี้ได้ หนึ่งก็คือเจ้าตัวคนจ่ายเองและสองก็คือคนที่กำลังวิ่งสอดมาจากนอกเขตโทษพร้อมทั้งกระโดดแปบอลลูกนี้เข้าไปโดยที่ทั้งกองหลังและนายทวารคู่แข่งยังไม่ทันได้ขยับขาแต่อย่างใด เจ้าของประตูนี้คือ”ต้น”ศูนย์หน้าเบอร์ 7 ผู้ซึ่งเป็นอีกคนในทีมที่มีความเร็วพอที่จะตามลูกจ่ายลักษณะนี้ได้ทัน และหลังจากประสานงานกันจนเกิดเป็นประตูนี้ขึ้นมา ทั้งสองคนขยิบตาให้กันอย่างรู้ใจและดูเหมือนทั้งคู่ต่างพอใจในความเร็วของกันและกันเป็นอย่างมากทีเดียว
เวลาในสนามเดินผ่านเข้าสู่นาทีที่ 5 เท่านั้นต้นก็เบิกร่องประตูแรกให้กับทีมได้อย่างง่ายดายนั่นทำให้เราพอจะรู้แล้วว่าผลลัพธ์ของเกมนี้จะออกมาในลักษณะไหน พวกเราไม่ได้ประมาทคู่ต่อสู้แต่อย่างใด แต่จากการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนที่ผ่านมา ทีมของพวกเราไม่เคยเสียประตูให้กับใคร และเจ้าของผลงานสวยหรูนี้ก็คือเจ้าของส่วนสูง 185 ซม.ภายใต้เสื้อเบอร์ 5 ซึ่งเป็นเสมือนยันต์ชั้นดีที่คอยปกป้องรักษาหน้าประตูของพวกเรา ทุกครั้งที่พวกเราเห็น”โย”สกัดบอลจากกองหน้าคู่แข่งได้อย่างง่ายดายนั้น ไม่ว่าพวกเราจะเรียกบอลจากโยสักเท่าไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บอลมาในจังหวะแรกเพราะนั่นคือช่วงเวลาที่พวกเราจะต้องรอชมการหลอกกองหน้าของโยก่อนสักหนึ่งหรือสองจังหวะก่อนที่จะค่อยๆลำเลียงบอลขึ้นมาทำเกมบุกกันและนั่นคือหนึ่งสิ่งที่เราได้เห็นเป็นประจำจากกองหลังตัวกลางตัวหลักของทีมเรา และถึงแม้หน้าที่ของกองหลังทั่วไปจะมีเพียงการป้องกันเท่านั้นแต่สำหรับโยแล้วทั้งการเติมขึ้นไปโขกลูกเตะมุมและลูกยิงไกลจากแดนกลางก็เป็นงานที่ถนัดของโยเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าวันนี้โยจะไม่สนใจการทำประตูสักเท่าไรเพราะแค่ยืนดูพวกเราทำเกมรุกเข้าใส่คู่แข่งโยก็ดูจะมีความสุขมากพอแล้ว
ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้รวมตัวกันมานานพอดูแต่การประสานงานในสนามยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างคุ้นเคย เนื่องด้วยความอ่อนชั้นกว่าของคู่ต่อสู้ทำให้วันนี้ผมถูกทิ้งให้คุมเกมแดนกลางอยู่เพียงผู้เดียว ส่วนเพื่อนๆทั้งหลายต่างดาหน้ากันทำเกมบุกอย่างสนุกสนานโดยไม่ต้องพะวงเกมรับแต่อย่างใด ผมเองไม่ได้คิดจะเติมเกมไปทำประตูเลยสักนิดเพราะเพียงแค่การกลับมารวมตัวกันของพวกเรามันก็ทำให้ผมกลับมาพบกับความสนุกของฟุตบอลอย่างง่ายดายอีกครั้งหนึ่งและสำหรับเกมนี้ผมต้องการทำหน้าที่เป็นแค่ศูนย์กลางแจกจ่ายบอลไปมาคุมจังหวะเกมตามหน้าที่ของกองกลางเบอร์ 8 ทั่วไป เพียงเพื่อให้เพื่อนๆเข้าทำประตูตามความถนัดกันอย่างเพลิดเพลินแค่นั้นผมก็มีความสุขมากเพียงพอ แต่กระนั้นเมื่อไรที่คู่แข่งเปิดโอกาสให้กับเราผมก็ไม่พลาดที่จะหยิบยื่นมันให้กับทีมทันที
หลังจากที่ผมกำลังถ่ายบอลไปมาซ้ายขวาอยู่นั้นพลันผมชำเลืองเห็นว่าทางกองหลังตัวริมเส้นฝั่งขวาของคู่ต่อสู้นั้นยืนต่ำผิดตำแหน่งอย่างชัดเจนนั่นทำให้เกิดพื้นที่ว่างบริเวณริมเส้นฝั่งซ้ายของเราอย่างมากพอดู เมื่อเห็นเช่นนั้นผมจึงจ่ายบอลขึ้นไปตามกราบซ้าย บอลยังอยู่ระยะไกลจากเขตโทษมากแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของปีกซ้ายของทีมเราแต่อย่างใด “นัท” เจ้าของข้อเท้าซ้ายมหัศจรรย์ซึ่งเป็น 1 ในสองคนของกลุ่มเราที่ถนัดการเริงระบำในสนามด้วยเท้าซ้ายมากกว่าเท้าขวา เจ้าของเสื้อเบอร์ 11 รับบอลจากผมแล้วใช้ความสามารถเฉพาะตัวที่พวกเราเห็นจนชินตากระชากออกทางซ้ายเพื่อหลบกองหลังคนแรกภายในการแตะลูกบอลแค่สองครั้ง จังหวะเดียวกันนั้นกองหลังคนที่สองของคู่แข่งก็กระโดดเสียบหมายจะขโมยบอลไปให้ได้ในการจู่โจมครั้งนี้ แต่นั่นอยู่ในการคาดเดาของนัทอยู่แล้ว ผมพยายามวิ่งเข้าไปรองบอลเพื่อให้เพื่อนมีทางเลือกมากขึ้น แต่พวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่ามันไม่จำเป็น นัทใช้จังหวะที่กองหลังพรวดเข้ามาหานั้นเปลี่ยนมันให้เป็นโอกาสทองด้วยการแตะบอลอ้อมตัวกองหลังแล้ววิ่งตามไปรับบอลด้วยความเชี่ยวชาญ และในจังหวะที่ทั้งสนามกำลังเพลิดเพลินกับจังหวะการเลี้ยงอันทรงประสิทธิภาพเหล่านั้น นัทฉวยโอกาสจ่ายบอลไปที่หน้าเขตโทษทันทีและมันก็ไปสัมผัสกับเท้าซ้ายของกองหน้าอีกคนของทีมเราอย่างถนัดถนี่ เจ้าของเท้าซ้ายมหัศจรรย์อีกคนของทีมเราเค้าชื่อ”ตั๊ก” ตั๊กซึ่งไม่ได้มีความเร็วเป็นจุดเด่นเหมือนคนอื่นแต่สิ่งที่ตั๊กมีไม่เหมือนคนอื่นนั่นคือพรสวรรค์ของกองหน้าที่พระเจ้าประทานมาให้มันนั่นเอง ตั๊กบรรจงพลิกบอลพร้อมทั้งหมุนตัวและบังกองหลังที่เข้ามาหมายจะสกัดมันให้กองอยู่ตรงนั้นและทันใดนั้นเองเราก็ได้เห็นท่าไม้ตายของตั๊กที่พวกเราเคยเห็นกันมานักต่อนักแต่พวกเราก็ยังยินดีที่จะชมมันอีกครั้งอย่างไม่มีเบื่อ ตั๊กโยกตัวหลอกทำท่าว่าจะไปทางขวาและในขณะที่กองหลังทิ้งน้ำหนักลงไปที่ข้อเท้าซ้ายของตัวเองทันใดนั้นตั๊กบรรจงเขี่ยบอลเบาๆเพียงเพื่อให้ลอดขากองหลังพร้อมทั้งโยกตัวหลบพาตัวเองผ่านกองหลังไปได้อย่างง่ายดายราวกับกองหลังเป็นเพียงหุ่นไล่กาตัวหนึ่งในสนามเท่านั้นและผลของการหลอกจังหวะนี้ทำให้กองหลังที่โดนลอดขานั้นล้มไม่เป็นท่าพลางหงุดหงิดให้กับการเข้าสกัดพรวดพราดของตัวเองอย่างหัวเสียและในตอนนี้ก็เหลือเพียงนายทวารเท่านั้นที่จะหยุดยั้งประตูที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แต่พวกเราก็รู้อยู่เสมอว่าเมื่อตั๊กหลุดเดี่ยวไป เท้าซ้ายของมันไม่เคยทำให้ใครผิดหวังและในวันนี้ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ฤดูร้อนปีนี้มาถึงพวกเราอย่างเชื่องช้ากว่าทุกปี นั่นเป็นเพราะพวกเราต้องตัดสินใจที่จะไม่ลงแข่งขันฟุตบอลโค้กคัพที่โรงเรียนของพวกเราเป็นแชมป์เก่าอยู่ เพียงเพื่อทุ่มเทให้กับการสอบปลายภาคครั้งสุดท้ายของชีวิตการเรียนมัธยมปลายของพวกเรา บรรยากาศของการอ่านหนังสือและการสอบเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ากว่าทุกปี การเตรียมตัวสอบไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคุ้นเคยสักนิดเดียว กลิ่นอายของน้ำหมึกไม่ได้หอมหวนมากไปกว่ากลิ่นอายของสนามหญ้าเลยสักครั้งแม้กระทั่งในวันนี้ แต่พวกเราเองก็รู้ว่าการทำหน้าที่ของลูกและนักเรียนให้ดีที่สุดน่าจะเป็นสิ่งที่พวกเราก็ต้องทำควบคู่ไปกับการเดินตามฝันของพวกเราด้วยเช่นกัน และเมื่อวันสุดท้ายของการทำหน้าที่นักเรียนมัธยมของพวกเรากำลังจะจบสิ้นลง ตึกเรียนต่างๆที่รายล้อมรอบเราอยู่นั่นต่างดูเงียบเหงาลงไปไม่เหมือนที่เคยเป็น สนามโรงเรียนที่เคยพลุกพล่านไปด้วยเหล่านักเรียนที่มีใจรักฟุตบอลทั้งหลายบัดนี้มีเพียงต้นหญ้านับร้อยนับพันที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม พวกเรายังคงนั่งอยู่ที่โรงเรียนหลังจากเสร็จสิ้นการสอบวันสุดท้ายเพราะพวกเรารู้ว่าการจากลาในครั้งนี้นั่นหมายถึงพวกเราอาจจะมีโอกาสได้เตะฟุตบอลด้วยกันน้อยลงหรือมันอาจจะไม่มีอีกเลย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เราต่างก็รู้ว่าพวกเรา 7 คน ไม่มีใครจะทิ้งฟุตบอลไปอย่างแน่นอน และไม่ว่าพวกเราจะอยู่ไกลกันสักเท่าไรฟุตบอลคงจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะเชื่อมให้พวกเราได้พบกันไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง
“พวกมึงจะเรียนต่อมหาลัยกันหรือเปล่าวะ” ผมเปิดประเด็นขึ้นเพราะต้องการความคิดเห็นของเพื่อนๆมาประกอบการตัดสินใจ “แล้วมึงอยากเรียนหรือเปล่าล่ะ มึงก็รู้นี่ว่าพวกเรารักอะไรมากกว่า” เทพแสดงความเห็นเหมือนกับจะรู้ว่าผมกำลังสับสนระหว่างอะไรกับอะไรอยู่ “กูว่ากูจะเรียนนะ กูอยากเรียนจบวิศวะให้พ่อแม่ดีใจก่อนจากนั้นค่อยไปตามฝันว่ะ เผื่อว่ากูทำตามฝันไม่สำเร็จ กูก็ยังหางานทำได้” เอ็มเผยความในใจออกมาและผมก็เชื่อว่ามันมีสิทธิ์จะทำเช่นนั้นได้เพราะมันก็เป็นคนที่เรียนเก่งคนหนึ่งในกลุ่มพวกเรา “เอ็มพูดก็ถูกแต่กูกลัวว่าถึงเวลานั้นพวกเราจะแก่เกินไปหรือเปล่าวะ เด็กฝรั่งแม่งอายุเท่าเราก็เข้าสโมสรแล้วนะโว้ย” ต้นพูดอย่างคนรู้จริงเกี่ยวกับเรื่องฟุตบอลของเมืองนอก “กูว่าแก่ไปว่ะ กว่าจะเรียนจบก็ 22 แล้วมั้ง จะเอาอะไรไปทันแดกกับเค้า” ตั๊กแสดงความเห็นในชนิดที่เห็นด้วยกับต้นอย่างเต็มตัวแต่ก็ไม่ลืมที่จะติดคำพูดสไตล์หยาบคายของมันออกมา “กูไม่มีทางเลือกว่ะ พ่อแม่ก็ไม่ได้ร่ำรวย กูอาจจะต้องทั้งเรียนและทำงานไปด้วย แต่ถ้าฟุตบอลช่วยให้กูมีเงิน กูก็จะเล่นต่อไปว่ะ” นัทพูดอย่างปลงตกให้กับความโหดร้ายของชีวิตที่ตัวเองเผชิญมาตั้งแต่เด็กๆ “นัทพูดซะกูเศร้าไปเลย ต่อไปเราต้องเล่นฟุตบอลแค่เพียงเพราะเงินแล้วเหรอวะ กูไม่อยากโตเลยว่ะ หยุดเวลาไว้แค่นี้ได้หรือเปล่าวะ” ความเห็นของโยคราวนี้เล่นเอาพวกเราเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนที่สุดท้ายตั๊กจะเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบนั้นลง “กูว่ากูจะเป็นสเปนว่ะ แม่กูมีคนรู้จักอยู่ที่สเปนเค้าบอกว่าสามารถส่งกูเข้าไปคัดตัวกับสโมสรได้ แต่ว่ากูจะติดหรือเปล่าไม่รู้นะเพราะเค้าจะพากูไปคัดที่บาร์เซโลน่าเด็กที่นั่นคงเก่งๆเยอะ แต่ถ้ากูไปรอดนะ พวกมึงไปอยู่กับกูได้เลย” ตั๊กแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเราทุกคนไม่สามารถเทียบกับมันได้เลยนั่นก็คือฐานะ ในหมู่พวกเราแล้วมันดูจะเป็นคนที่น่าจะมีโอกาสที่จะสามารถทำตามความฝันได้ดีที่สุดนั่นเพราะมันไม่ต้องแบกรับภาระในการช่วยหาเงินเลี้ยงครอบครัวแต่อย่างใด แต่แล้วเพียงคำพูดประโยคเดียวของมันก็ทำให้หัวใจของพวกเราพองโตเลยทีเดียว “กูก็อยากไปว่ะ ไปลองสักปีสองปี ถ้าไม่ไหวก็ค่อยกลับมาเรียน จบช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกอย่างน้อยก็ได้ทำตามฝัน” เทพเริ่มเห็นด้วยกับความคิดของตั๊กและผมเองก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “จบช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก” เพราะถึงอย่างไรการที่จะทิ้งความฝันไปเลยมันดูจะเป็นสิ่งที่โหดร้ายเกินไปและเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับเด็กๆในวัยอย่างพวกเรา “แล้วมึงจะไปไหนวะเทพ” โยถามขึ้นอย่างสงสัยแต่ดูเหมือนมันเองก็จะมีเป้าหมายอยู่ในใจแล้วเช่นเดียวกัน “ฟุตบอลก็ต้องบราซิลสิวะ ถึงแม้จะไม่เจริญหูเจริญตามากแต่กูว่าค่าใช้จ่ายน่าจะถูกกว่านะ” “เออดีๆ กูไปด้วย ไปกันสองคนจะได้ไม่เหงาเว้ย” โยรีบรับลูกทันที ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้โยตั้งใจจะไปบราซิลจริงๆหรือเปล่า แต่การมีเพื่อนไปด้วยกันก็น่าจะเป็นการดีกว่าไปคนเดียวจริงๆอย่างที่มันพูด “แล้วพวกมึงจะเอาเงินที่ไหนไปวะ” ต้นรับหน้าที่พาพวกเราตื่นจากความฝันพลางหันหน้ากลับมาเพื่อให้ความจริงยิ้มเยาะอีกครั้ง “นั่นสิ กูว่าเรียนๆกันก่อนดีกว่านะ ทำงานเก็บเงินแล้วค่อยไปกัน” เอ็มยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะเรียนก่อนราวกับมันไม่กลัวว่าอายุจะเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด “เอาเว้ยยังมีเวลาคิดอีกเยอะ อย่าไปเครียดสิวะ ว่าแต่ว่าทำไมปีนี้บอลลีกยุโรปมันเตะกันเร่งๆยังไงไม่รู้วะ เหมือนจะดูรีบๆ” นัทพาพวกเราเปลี่ยนเรื่องไปจากเรื่องเครียดๆได้ทันท่วงทีราวกับจะรู้ว่าบรรยากาศของการคุยกำลังจะแย่ลง “ก็มันจะมียูโร 2000 ไง มึงเคยดูบอลหรือเปล่านี่ ว่าแต่มึงยังเชียร์ฮอลแลนด์เหมือนเดิมหรือเปล่า” ตั๊กทำปากคอเราะร้ายใส่เพื่อนตามนิสัยแต่ยังคงรู้ใจเพื่อนไม่เคยเปลี่ยน “เออดิวะ กูมันคนไอนด์โฮเฟ่นโว้ย” “เหรอวะ ถ้ามึงเป็นคนไอนด์โฮเฟ่น กูก็คนลิสบอนล่ะวะ 555” ต้นพูดพรางหัวเราะร่วนให้กับการตบมุกของมันที่มันคิดว่าช่างแพรวพราวยิ่งนัก “เออนี่ พวกมึงได้ดูลาซิโอเล่นกันบ้างหรือเปล่าวะ กูว่าปีนี้ได้แชมป์แน่ๆ เล่นดีฉิบหาย กูนะโคตรชอบมิไฮโลวิช ถ้ากูปั่นได้ขนาดนั้นป่านนี้กูดังไปแล้ว” โยพูดถึงนักเตะในตำแหน่งเดียวกับมันเอง แต่พูดก็พูดเถอะผมว่าถ้าพูดกันที่เกมรับอย่างเดียว มันน่าจะเล่นได้ดีกว่ามิไฮโลวิชอีกนะผมว่า “กูชอบเวรอนว่ะ จ่ายบอลไซต์ก้อยนี่ได้ใจกูไปเลย” ผมพูดถึงนักเตะในดวงใจบ้างพลางจินตนาการถึงรูปเกมที่เคยได้ชมมา “แล้วพวกมึงไม่ชอบลา คอรุนญ่าบ้างเหรอวะ กูว่าบาเลรอนนี่สุดยอดเลยนะ” เทพว่าถึงกองกลางตัวทำเกมร่างอรชรอีกหนึ่งสุดยอดนักเตะในยุคสมัยของพวกเรา “แต่กูว่ามันช้าไปหน่อยนะ เอาแต่เลี้ยงวนๆ” เอ็มออกความเห็นเหมือนจะเข้าข้างตัวเองอย่างเต็มที่ในเรื่องของความเร็ว “เก่งจริงๆเค้าต้องช้าๆ เล่นโชว์ลีลาเว้ย ไม่ใช่เอาแต่วิ่งเร็วๆอย่างเดียว แก่ตัวไปจะเล่นยังไงไหว” ตั๊กยกตนข่มในเรื่องของเทคนิคที่มันดูจะมีเหนือกว่าเอ็ม ทำเอาพวกเราอมยิ้มในความขี้คุยของมัน “เดี๋ยวนัดชิง UCLไปดูบอลบ้านกูนะ อยากดูบอลกับพวกมึงก่อนจากกันเดี๋ยวกูให้แม่ทำกับข้าวเลี้ยงพวกมึง” ผมตัดบทหลังจากเหลือบมองนาฬิกาว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน พระอาทิตย์กำลังจะตกดินเหมือนเป็นสัญญาณบอกพวกเราทุกคนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมัธยมของพวกเรากำลังจะจบสิ้นลง แสงอาทิตย์สีเข้มละเลงตัวเองลงบนขอบฟ้าเพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าเมื่อวัยมัธยมจากพวกเราไป ชีวิตของพวกเรายังคงจะมีสีสันอยู่ในโลกของฟุตบอลต่อไปอย่างยาวนาน ผมหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นนะ “อย่าลืมนะโว้ย ใครไม่ว่างกูเลิกคบ” ผมจบประโยคสุดท้ายเพื่อบอกพวกมันล่วงหน้า 1 เดือนให้ทุกๆคนเตรียมตัวให้ว่างเอาไว้ และหวังว่าวันนั้นจะเป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราได้มีความสุขร่วมกันอีกครั้ง

รวมเล่ม 16.2 (บุคคลสำคัญ) บังขายโรตี ชาลี มาเหม็ด

บังขายโรตี ชาลี มาเหม็ด ตระเวนขายโรตีย่านสุทธิสาร “เราผ่านมาแล้ว เงินนี่เราไม่ค่อยสนใจแล้ว บางคนเค้ารวยแต่เงินมันดีหรือเปล่า เราขายของได้น้อยแต่เงินเราสะอาด สมมุติเรามี 50 บาท เราใช้ 20 บาทก็อิ่มท้องได้เพราะเงินสะอาด”

ยืนตีแป้ง เปิดไฟอ่อน ก่อนใส่กล้วย
เพิ่มไข่ด้วย หยอดนมหวาน น้ำตาลเสริม
ม้วนกระดาษ พับหัวท้าย อย่างคุ้นเคย
ทานได้เลย หวานคุ้นลิ้น กลิ่นโรตี

โรตี ขนมราดนมและน้ำตาลสัญชาติ ”แขก” ที่พวกคุณรู้จักกันดีนั้น ถ้าสนใจเฉพาะตัวคนขายไม่ใช่ตัวขนม คุณคงจะพอสังเกตเห็นได้บ้างว่าเกือบ 80% ของคนขายโรตีต้องเป็น ”แขก” แต่ว่าคำจำกัดความของคำว่า ”แขก” ของพวกคุณคืออะไร “แขก” คือคนอิสลาม “แขก” คือคนที่หน้าตาเหมือนมาจากอาหรับหรือว่า “แขก” คือคนทุกคนที่มาเยี่ยมบ้านคุณ ไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่ว่า ”แขก” หมายถึงอะไร และทำไม “แขก” ต้องขายโรตีแต่วันนี้ผมมี “แขก” คนหนึ่งมาแนะนำให้คุณรู้จัก ก่อนหน้านี้เขาอาจจะเป็นแค่ ”แขก” ขายโรตี แต่วันนี้เขามาในฐานะของ “แขก”รับเชิญ หวังว่าคุณคงยินดีที่จะรู้จักกับ “แขก” คนนี้มากไปกว่าที่พวกคุณเคยรู้มา

ชื่อ นามสกุล
ชาลี มาเหม็ด
เกิดที่ไทยเลยหรือเปล่า
เกิดชายแดนระหว่างไทยกับพม่า อยู่ฝั่งโน้นบ้างนี้บ้าง โตมาก็ทำงานก่อสร้างที่ฝั่งไทย 14 - 15 เราอยู่ฝั่งโน้นบ้างนี้บ้างได้ เราเป็นเด็ก และมันไม่มีกั้น
ได้เรียนหรือเปล่า
เรียนในวัด
เรียนภาษาอะไร
ภาษาบาลีบ้าง ไทยบ้าง
พูดได้กี่ภาษา
ภาษาพม่าผมไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ค่อยได้ใช้ เราไม่ได้อยู่ในเมือง ส่วนมากเราก็พูดไทย เพราะเราเข้าโรงเรียนไม่ได้ เราไม่มีใบเกิด
ถนัดไทยมากกว่า
ใช่ แล้วเราก็อยู่ๆไป แล้วได้เมียคนไทย
ชายแดนที่ว่าจังหวัดอะไร
ประจวบ
พ่อกับแม่เป็นคนที่ไหน
พ่อกับแม่เป็นอิสลาม แต่เชื้อชาติมันอาจจะเป็นพวกคนใต้ คล้ายๆพูดภาษามาเลย์ อยู่ชายแดนเหมือนกัน พวกเราคนจนก็จะอยู่ขอบชายแดนตลอด ไปไหนไม่รอด
ตอนอยู่ประจวบทำอะไร
ก่อสร้างตั้งแต่ 15 – 17
ทำมานานหรือเปล่า
ทำมา 30 ปี ทุกวันนี้ยังทำอยู่
ก่อสร้างนี่ทำอะไรเป็นบ้าง
ทุกอย่าง ทำเป็นทุกอย่าง
เงินดีหรือเปล่า
ก็ดี
แล้วทำไมมาอยู่กรุงเทพ
ก็มาอยู่กับครอบครัว
แฟนคนประจวบ แล้วทำไมพากันมาอยู่กรุงเทพ
ไม่ได้พากันมา เรามาคนเดียว นี่เราก็กลับไปเยี่ยมเขาเรื่อยๆ เราได้แฟนที่นี่
แล้วอยู่ประจวบ มามีแฟนที่นี่ได้อย่างไร
ก็คุยโทรศัพท์ติดต่อ คุยไปคุยมา เราก็ลองเข้ามาดู
เข้ามาตอนแรกทำอะไร
ก็ไม่ได้ทำไร มาก็กลับ 3 – 4 เที่ยว
แล้วคนทางโน้นเค้าไม่รู้เหรอ
ตอนแรกไม่รู้ ตอนนี้รู้ เราแต่งงานกับคนนี้ เราก็บอกคนโน้น
เราแต่งกับคนนี้ แล้วเลิกกับคนโน้นเหรอ
ไม่ได้เลิก เราก็บอกเค้า ว่าเรามาได้แฟนกรุงเทพ เค้าก็ไม่ได้ว่าไร ปัจจุบันเราก็อยู่ทางนี้บ้างโน้นบ้าง
มันเกี่ยวกับที่ว่าอิสลามบอกว่าสามารถมีแฟนได้ 4 คนหรือเปล่า
มันไม่เกี่ยว มันขึ้นกับครอบครัว ถ้าครอบครัวยอม 10 คนก็ได้
แล้วนี่เค้ายอม เราเลยมีสองคน
ใช่
เราตัดสินใจอยู่กรุงเทพ แล้วเราทำมาหากินอะไร
ก่อสร้างเหมือนเดิม เราขายของไม่ค่อยถนัดหรอก พอเรามีงานเราก็ไม่ขายของ ถ้าเราไม่มีค่อยมาขาย
ทำไมตอนแรกคิดขายของ
นี่มันเป็นงานพิเศษ หารายได้เพิ่ม ถ้าเราทำงานอย่างเดียวเราก็ได้เงินหน่อยเดียว ถ้าเราแก่ไปก็เก็บได้น้อย ตอนนี้เรามีแรงเราก็ทำงานไป
ทำไมต้องเป็นโรตี
เราไม่เคยคิดจะขายเลย แต่พอดีแฟนเรามีรถขายโรตีอยู่ เราก็เลยไม่ต้องไปซื้ออะไรมากมาย แฟนขายโรตีอยู่ก่อน
ตอนแรกทำเป็นหรือเปล่า
ไม่เป็น ให้แฟนสอน แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เป็น คนเป็นนี่เค้าเก่งนะ พลิ้วเลย แต่เราไม่เก่ง
แฟนเป็นอิสลาม เค้าขายโรตีมาก่อน แล้วคนอิสลามเอาวิชาโรตีมาจากไหน
เราก็ไม่รู้ ไม่ได้ถามเหมือนกัน
คนไทยไม่ค่อยขาย เห็นมีแต่อิสลามขาย
มีนะ ที่ขายใกล้ๆกันก็มี แต่น้อยมาก โรตีนี่ตอนแรกก็มาจากคนอิสลามนี่ล่ะที่เอามาในไทย
ถ้าแฟนไม่ขาย เราก็ไม่คิดจะขายโรตีใช่หรือเปล่า
ถ้าแฟนไม่มีรถ เราก็ไม่ขายหรอก
แล้วถ้าไม่มีรถโรตีจะทำไร
ก็จะหางานก่อสร้างเพิ่มหน่อย ทำงานกลางคืนด้วย
ทุกวันนี้รับงานก่อสร้างรับเองหรือเปล่า
ใช่ แต่ถ้าเราทำคนเดียวไม่ได้ก็เรียกเพื่อนมาช่วย
ขายโรตีกับก่อสร้างอะไรรายได้ดีกว่า
ก่อสร้างอยู่แล้ว ขายของนี่มันแค่เหงาเราก็เลยออกมาขาย
รายได้วันละ
200 – 300 ถ้าดีก็ 300 กว่า
แสดงว่าสู้ก่อสร้างไม่ได้
ไม่ได้ คิดดูเช้ามาก็ต้องนวดแป้งทำเป็นก้อนๆไว้ เย็นก็ออกมาขาย ทั้งวันได้แค่สามร้อย ถ้าเราทำก่อสร้าง สามชั่วโมงก็ได้แล้ว
พูดภาษาอิสลามได้หรือเปล่า
พูดไม่ได้
แสดงว่าที่เราเห็นแขกๆ ทุกคนนี่อาจจะไม่ใช่แขกจริงๆ หรือพูดอิสลามไม่ได้ทุกคน
ใช่ๆ เราแค่นับถืออิสลาม อ่านหนังสืออิสลามได้ แต่พูดไม่ได้ พูดอะไรก็ไม่เป็น ท่องหนังสือกับพูดไม่เหมือนกัน เราอ่านได้เขียนได้
ไทยล่ะ
พออยู่ได้ พูดได้ อ่านป้ายบอกทางออกบ้างเวลาขับรถ แต่เขียนไม่ได้
เวลาขับรถตำรวจเค้าเจอเราเค้าเรียกตรวจหรือเปล่า
เค้าก็ทำตามหน้าที่เค้า ขอดูใบขับขี่ เราไม่มีก็เสียค่าปรับไป
เราทำได้หรือเปล่า ใบขับขี่
เราทำได้ แต่ต้องไปทำที่โน่น เพราะตอนนี้รุ่นหลังเรามีบัตรประชาชนแล้ว เรามีสิทธิ์แล้ว แต่เรามันไม่มีเงินที่จะเดินทางไปทำ
แสดงว่ารุ่นหลังมีบัตรประชาชนแล้ว สัญชาติไทยหรือเปล่า
สัญชาติไทย ทำได้ ลูกสาวผมก็ได้แล้ว หลานชายก็ได้แล้ว
ตอนนี้มีลูกกี่คน
ลูกสาวคนเดียว 22 ปีแล้ว
ขายโรตีมากี่ปีแล้ว
ประมาณ 2 ปี แต่ไม่ถึงหรอก เราขายบ้างหยุดบ้าง
ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว
43 ตอน 17 ก็ได้ลูกแล้ว แต่คนโตกับคนกลางเสีย ตอนนี้เลยเหลือคนเดียว ลูกชายทั้งคู่ มาเสียตอนโต
ลูกสาวยังเรียนอยู่
ไม่ เค้ามีครอบครัวแล้ว อยู่ที่ประจวบ
แล้วกับคนปัจจุบัน
ไม่มี เราอายุเยอะแล้ว
แล้วส่งเงินให้ทางบ้านบ้างหรือเปล่า
ไม่ได้เลี้ยง เค้าก็ทำงานเค้าหากินของเค้า เวลาเรากลับไปก็ให้เงินเค้า แต่ไม่ได้ส่งไปทุกเดือน
แสดงว่าตอนนี้เราก็เก็บเงินอยู่สองคน
ใช่ เวลาไปเราก็ค่อยให้เงินลูกหลาน เรามันคนจนไม่มีปัญหาให้เขา
ทุกวันนี้ก็ขายโรตีได้เกือบหมื่น
ไม่ถึง 3000 – 4000 เพราะเราไม่ได้ขายทุกวัน สมมุตินะว่าเราได้วันละ 300 แต่เราก็ต้องซื้อน้ำกิน ซื้อโน้นนี่กิน อย่างวันนี้ก็ซื้อไป 25 บาทแล้ว ที่เหลือเราก็เก็บ คิดดูขายอย่างเดียวไม่พอหรอก ไปคิดดูค่าเช่าบ้าน ค่ากับข้าว ค่ารถ คิดดูแต่ละวันขายโรตีไม่พอหรอก ต้องก่อสร้าง
ถ้ามีใครมาถามบังว่าบังทำอาชีพอะไร บังจะตอบว่า
ช่างเชื่อม เราถนัดที่สุด ไวด้วยพอเวลาทำงาน แบบไหนเราทำได้หมด
แล้วเราเก็บเงินกะว่าจะซื้อหรือปลูกบ้านที่นี่หรือเปล่า
ไม่มีปัญญาหรอกมีที่ไหนมาเก็บ เราไม่ได้มีงานทุกวัน แค่พอเพียง หาเช้ากินค่ำอย่างนี้ล่ะ ค่าใช้จ่ายมันเยอะ
เราไม่ได้คิดจะสมัครเป็นช่างเชื่อมบริษัทเหรอ รับเป็นเงินเดือนเหรอ
เราไม่มีการศึกษามันไม่ได้อยู่แล้ว
ทุกวันนี้แฟนทำอะไร ขายโรตีด้วยหรือเปล่า
ไม่ได้ทำอะไร นี่ล่ะรถเขามันเบากว่า เราก็เอามาขาย เพราะเขาไม่ได้ออกแล้ว
แล้วแฟนเป็นอะไรถึงไม่ได้ทำงาน
เขาขาเจ็บ น้ำหนักเยอะ อ้วน รับน้ำหนักไม่ไหว เลยไม่ค่อยได้ทำไร ทุกวันนี้ทำคนเดียว อยากรวยเราก็ซื้อล็อตเตอรี่ไว้ ถูกจะได้รวย แต่ไม่ได้ซื้อทุกวันนะ แค่แก้เหงา
อนาคตเราจะทำไร เก็บเงินไปทำไร
ก็ทำไปเรื่อยๆอย่างนี้ แก่เฒ่าก็กลับไปทำไร่นาที่บ้าน
ที่บ้านมีที่นาอยู่
มี
แล้วแก่เฒ่าแล้วจะพาแฟนคนนี้กลับไปด้วยหรือเปล่า
ก็แล้วแต่ ทางใครทางมัน เค้าไปเราก็พาไป เค้าไม่ไปก็แล้วแต่ ชีวิตเค้าเขาก็ตัดสินใจเอง แต่เค้าไปได้ ปีใหม่ก็พาไป อยู่บ้านเดียวกันได้ ขึ้นอยู่กับว่าเค้าจะไปหรือเปล่า เค้าก็มีลุกหลานทางนี้ เค้าอาจจะไม่ไปก็ได้
แล้วอายุเท่าไรคือแก่ จะกลับเมื่อไร
เราทำงานได้ก็ยังไม่กลับ
แต่ไม่ได้คิดจะทำอย่างอื่นที่นี่
ไม่แน่นอน เราทำที่เดียวไม่รวยหรอก อาจจะไม่แน่ เราก็เดินทาง ปีนี้อยู่นี่ ปีหน้าอาจจะกลับบ้านก็ได้
ที่ประจวบน่าจะมีงานให้ทำนะ
ก็มี ที่นั่นก็มีงานให้ทำ แต่อยู่สองครอบครัวเดี๋ยวจะลำบาก
บังไม่ชอบขายโรตี ชอบเชื่อม แล้วหัดทำโรตีนานหรือเปล่า
6 เดือน คนอื่นเค้าหัดอาทิตย์สองอาทิตย์
แล้วใครบอกว่าผ่าน ขายได้แล้ว
เราออกมาเอง เบื่อหัดอยู่บ้าน ก็เอาออกมาขายเลย มีคนซื้อก็ซื้อไม่ซื้อก็ช่าง อยู่บ้านเบื่อแล้ว จริงๆอยู่บ้านมันเบื่อ ออกมาพอตีแป้งก็ตีไม่ค่อยดีหรอก
ทุกวันนี้ลงทุนเท่าไร
วันละประมาณ 480 ก็ขายได้ประมาณ 700 กว่า
ขายได้มากสุดเท่าไร
จำไมได้ แต่วันนี้เหลือ 620 ซื้อของกินไปเยอะ คนอื่นเค้าขายดีนะ แต่เราขายช้า ไม่ค่อยมีคนซื้อ มีแต่คนรู้จักที่เค้ารอได้มาซื้อ
เห็นคนอื่นเค้าทำอาชีพดีๆเราอิจฉา หรือเคยอยากทำอย่างเค้าหรือเปล่า
จริงๆก็ไม่อยากทำ เพราะเราผ่านมาแล้ว เราเป็นผู้รับเหมามาแล้ว สมมุติเรารับช่วงต่อจากที่คนรับไว้ บางทีเราก็โดนโกงบ้าง เราผ่านมาแล้ว เงินนี่เราไม่ค่อยสนใจแล้ว บางคนเค้ารวยแต่เงินมันดีหรือเปล่า เราขายของได้น้อยแต่เงินเราสะอาด สมมุติเรามี 50 บาท เราใช้ 20 บาทก็อิ่มท้องได้เพราะเงินสะอาด บางทีได้ 500 กิน 200 แต่เงินไม่สะอาดเราก็ไม่อิ่ม
เมื่อก่อนรับเหมามีลูกน้องหรือเปล่า
มี 17 คนตอนอยู่ที่โน่น วัดห้วยมงคลเราก็เป็นคนทำนะ หกเหลี่ยมที่ศาลา เราทำหลายส่วนนะที่วัด
แสดงว่าเมื่อก่อนก็รายได้ดี แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
ไม่ได้เกิดอะไรหรอก ปีนี้มันอาจจะดวงดีเราก็มีรายได้ดี
แล้วเรามีลูกน้องตั้งเยอะ ทำไมหนีมากรุงเทพ
เราโดนโกงเยอะจนไม่มีปัญญาจ่าย ก็เลยต้องแยกย้ายกัน
เรารับเป็นงวดก็ป้องกันการโกงได้ส่วนหนึ่งแล้วสิ
ลูกค้าเค้าจ่ายมาแล้ว แต่นายหน้าเค้าไม่จ่าย เราก็ต้องมาจ่ายลูกน้องเอง แถมเราซื้อของมาแล้ว ซื้อสดมา แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรนะ เค้าโกงไป พอเค้าตายไปเค้าก็ต้องไปใช้หนี้ตรงนี้
ตอนนั้นเรียกว่ารวย
ไม่หรอก พอดีๆ แต่ก็อยู่สบาย
แล้วถ้าไม่ถูกโกง จะทำต่อไปหรือเปล่า
ตอนนี้ก็ทำ รับงานคนเดียว แต่ถ้าไม่ไหวเราก็หาคนช่วย ให้เงินเขาไป
ปกติคนมาติดต่องานบัง ติดต่อยังไง
ก็สมมุติเราทำบ้านนี้ ข้างๆบ้านเค้ามีอะไรเค้าก็ติดต่อมา เราทิ้งเบอร์ไว้ให้
ขายโรตี ถ้าเจอคนขายเหมือนกัน เราทักกันหรือเปล่า
ก็มีบ้าง ขายดีหรือเปล่าวันนี้ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่ไม่ได้เจอบ่อยนะ เพราะแถวนี้มีแค่ไม่กี่คน อีกอย่างเราก็ไม่ค่อยสนิทกับพวกแขกนะ ไม่ค่อยได้คุยกัน
แถวบ้านเป็นอิสลามหมดหรือเปล่า
พุทธก็มี ไม่ได้เป็นหมดหรอก
ตอนนี้ทำงานอยู่ที่นี่ก็เก็บเงิน รอจนทำไม่ไหวก็กลับบ้าน
ปัจจุบันก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ทำไปเรื่อยๆ
บังมีความฝันอะไรที่อยากทำหรือเปล่า เคยคิดอยากทำอะไรไหม
ไม่ได้คิดหรอก
หรือว่าถ้าตอนเด็กๆได้เรียน อยากเรียนมาเป็นอะไร หมอ ทหารอะไรอย่างนี้
อันนี้มันไม่นึกเลย ถึงตอนเช้าเราก็ไปทำไร่แล้ว ไมได้ทำไร่หรอกวิ่งเล่นในไร่น่ะ กินโน่นกินนี่
ไม่เคยคุยกับตัวเองเลยเหรอ
บ้านแต่ละบ้านมันอยู่ไกลกันหมด เราแทบไม่เจอใครเลย ไม่เคยคุยกับใคร วิ่งเล่นอย่างเดียว เลยไม่รู้ว่าจะอยากเป็นอะไร
อะไรที่บังคิดว่าประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิต
ช่างเชื่อมนี่ล่ะ เราทำได้ดี ทำนิ่มๆใช้สมอง ใจร้อนไม่ได้
แล้วเคยเจอลูกค้างี่เง่าหรือเปล่า
ไม่หรอก เราพูดจาดี ลูกค้าก็ไม่งี่เง่า ไม่เคยเจอ
เจอแต่คนโกง
คนโกงยิ่งพูดจาดีใหญ่ สนิทกันด้วยนะ
ตอนเค้าโกง โกรธไหม สาปแช่งไหม
ไม่หรอก เค้าโกงไป เค้าตายก็ชดใช้เรา เราโกรธแค้นเค้า เราก็บาป
แสดงว่าเรื่องศาสนาก็ช่วยได้เยอะ เวลาที่เราเจอเรื่องแบบนี้
จริงๆก็ไม่เกี่ยวหรอก ทุกศาสนาก็บอกว่าถ้าแบบนี้บาป ก็บาปเหมือนกัน ทำตรงนี้ถูกก็ถูกเหมือนกัน เช่นเราให้เงินขอทานเราก็ได้บุญ ทุกศาสนาก็ว่าอย่างนั้น บางคนเค้ารู้หมดทุกอย่างแต่ก็ยังทำบาป
แล้วอย่างพิธีกรรมกับแนวคิดของศาสนาอันไหนสำคัญกว่ากัน อย่างเช่นการละหมาดและการไหว้พระ กับการคิดดีทำดี
คิดดีทำดีสำคัญกว่า แต่ถ้าเป็นอย่างการละหมาด เราไม่ทำก็บาปอยู่แล้ว ถ้าเราทำก็ได้บุญเหมือนกัน ก็เหมือนเราให้เงินขอทานก็ได้บุญเหมือนกัน
ตอนที่เราเกิดมาพ่อแม่เป็นอิสลาม เราไม่ได้เลือก เคยคิดว่าโตมาจะเลือกหรือเปลี่ยนแปลงศาสนาหรือไม่
ไม่นะ เราได้เรียนในวัดด้วย เรารู้หมดว่าพุทธ อิสลาม คริสต์สอนอย่างไร ทุกศาสนาสอนหมดว่าทำดีได้ดี เราก็ไม่จำเป็นต้องย้ายไปไหนและไม่จำเป็นต้องไปว่าศาสนาอื่นๆเค้า
ศาสนาอิสลามมีนักบวชหรือเปล่า
ไม่มี มีแต่อาจารย์เหมือนพวกอิหม่าม
บังอยู่ที่นี่รู้จักคนแขกคนอื่นๆบ้างหรือเปล่า
ไม่เลย เราไมได้ไปไหน อยู่แต่บ้าน อีกอย่างเราคนพูดน้อย
บังมีความหวังอะไรต่อไปในชีวิตหรือเปล่า ต่อจากนี้
ไม่ได้หวังอะไร เรามีความสุขในทุกวัน คิดไปก็ปวดหัว
จริงๆอายุ 43 ยังไม่เยอะนะ
คนเรานะ ถ้าหวังแล้วมันได้ ถ้ารู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้แล้วยังหวัง ไม่ต้องหวังดีกว่า อยู่อย่างนี้ดีแล้ว
แสดงว่าเงิน ลาภยศ ไม่มีความหมายกับบัง
ไม่มี เวลาเราตายเราก็ไม่ได้หิ้วไป
มันเข้ามานานหรือยังความคิดที่ว่าตายก็เอาไปไม่ได้หรือว่าไม่ต้องหวังอะไร
มันนานแล้วนะ เราเป็นคนใจเย็น ใจเย็นก็คิดเยอะ เรานิ่งๆใจเย็นๆ คิดเยอะ
ถ้าบังไม่อยากรวย แล้วอยากได้อะไร
ไม่ใช่ไม่อยากรวยนะ คนทุกคนอยากรวย ถูกล็อตเตอรี่เราก็รวย แต่เราทำงานแบบนี้มันไม่รวยอยู่แล้ว
แล้วทำไมเราไม่ไปทำงานที่จะทำให้รวยได้ล่ะ
ถ้าเราทำแบบไม่ถูกต้องน่ะ เราก็รวยอยู่แล้ว แต่เราไม่อยากรวยแบบนั้น
ถ้าเราไม่อยากรวย ลาภยศไม่เอา แล้วความหมายของการใช้ชีวิตของบังคืออะไร บังเกิดมาเพื่ออะไร
เราคิดอย่างเดียวว่าตายแล้วให้ขึ้นสวรรค์ คิดอย่างเดียวว่าทำแต่ความดี ความชั่วไม่เอา สมมุติว่ามีคนซื้อโรตี เค้าจ่ายพรุ่งนี้เราก็ให้เค้าไป เค้าไม่จ่ายเลยเราก็ได้บุญ บางคนบอกใส่นมให้เยอะหน่อยเราก็ใส่ให้ ใส่เยอะหน่อยเราก็ไม่ได้เสียสักบาท เต็มที่ก็ห้าสิบสตางค์
เวลามีคนบอกว่าใส่นมเยอะๆ เราเคยคิดหรือเปล่าว่า ราคาเท่าเดิมจะใส่ได้ไง
ไม่เคย เราเองน้ำใจแจ่มใสอยู่แล้ว ใครอยากได้จากเรา เราให้ได้เท่าไร เราให้หมด ถ้าเราให้ไม่ได้เราก็พูดกับเค้า
ถ้าไม่มีเงินแล้วหิวโรตีล่ะ
ก็ให้ วันนี้ก็ให้เด็กๆไปแล้วสองอัน
ถึงแม้ว่าวันนั้นจะขายไม่ได้
ให้ เค้าไม่ขอ ถ้าเราอยากให้เราก็ยังให้
นี่เหมือนคนบรรลุทางธรรมแล้วนะ
หลายคนนะ เค้าบอกว่าดูหน้าผม ดูการพูดจา เค้าคิดว่าผมเป็นคนดุ ไม่ใจดี นักเลง แต่จริงๆแล้วผมไม่ได้เป็น คนเราดูที่หน้าตาไม่ได้ คนอื่นคิดว่าผมใจร้อน แต่เราใจเย็น เค้ามองคนอื่นถูก มองผมไม่ถูก หลายคนแล้วนะ
เราเป็นแบบนี้เพราะอยู่ใกล้วัดหรือเปล่า
วัดพุทธด้วย และก็วัดของอิสลามด้วย พวกสุเหร่า มัสยิดด้วย อีกอย่างเรามีของนะได้มาจากวัด ยาโบราณที่ได้ความรู้มา ถ้าทำสักสองสามอย่างก็รวยแล้ว แต่มันต้องใช้คนเยอะ ปวดหัว ก็เลยไม่ทำ เพราะเราไว้ใจคนอื่นไม่ได้ ไม่ทำดีกว่า
คนอื่นเค้าเห็นบังขายโรตี เคยมีคนดูถูกหรือเปล่า
ไม่มีนะ เราขายอยู่ที่เดิมๆมีแต่คนรู้จัก มีแต่คนรอกิน
ทุกวันนี้เคยโกรธใครบ้างไหม
ไม่โกรธจริงๆ แฟนด่าเราก็ไม่เคยโกรธ ไม่เคยตี เค้าเป็นลุกคนอื่น ลูกเราเรายังไม่ตี ลูกคนอื่นเราจะตีทำไม ถ้าเราตีเมียเรา เราก็นึกถึงน้องสาว พี่สาวเรา ว่าอาจจะถูกผัวเขาตีได้
บังคิดว่าบังเป็นคนไทยเต็มตัวหรือเปล่า บังก็เกิดในไทยนะ
อยากเป็นนะ มีโอกาสไหม ไม่มีใบเกิด ทำอะไรไม่ได้

ช่วงเวลาค่ำที่ผมใช้ไปในการคุยกับแขกรับเชิญคนนี้ ผมได้รู้ว่าบางครั้งคนบางคนก็มองความรวยอย่างเพิกเฉย ไม่อินังขังขอบใดๆ แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่อยากรวย แต่เขาพอใจที่จะจนด้วยเงินที่ได้มาอย่างสะอาดดีกว่าที่จะรวยด้วยเงินสกปรก อีกอย่างที่ผมได้รู้ก็คือคนบางคนตั้งใจที่จะเกิดมาเพื่อทำความดีเท่านั้น เท่านั้นจริงๆสำหรับผู้ชายขายโรตีคนนี้ ชาลี มาเหม็ด

รวมเล่ม 16.1 (บุคคลสำคัญ) ยาม เมืองใจ ใจตุ้ย

1. ยาม เมืองใจ ใจตุ้ย รักษาความปลอดภัยในอาคารของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งริมถนนพหลโยธิน “ผมไม่อายนะ ผมไม่ได้ขอใครกิน ผมบอกอย่างนี้ ชีวิตคือชีวิต ความจริงคือความจริง ผมโกหกใครไม่เป็น”


นั่งคนเดียวเปล่าเปลี่ยวในป้อมน้อย
เฝ้ารอคอยคนต่อกะจะมาถึง
ออกเวรเช้ากลับที่พักสักครู่นึง
พอเย็นจึงออกมารับกลับเข้าเวร
ใช้ชีวิตยามค่ำคืนอยู่เสมอ
ไม่ได้เจองานง่ายอย่างใครเห็น
ต้องต่อสู้กับความเหงาหนึ่งประเด็น
อีกความง่วงไม่เคยเว้นโถมโจมตี

ในช่วงเวลาค่ำคืนของมหานครซึ่งอาจจะเคยหลับใหลแต่มิได้เคยหลับลึกอย่างกรุงเทพมหานครนั้น มีผู้คนมากมายที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่บนเตียงนอนอันแสนนุ่มและเช่นกันยังมีผู้คนอีกมากมายที่ออกแสวงหาความสุขในยามค่ำคืนเปรียบราวกับว่าวันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่โลกนี้จะมีท้องฟ้าในยามค่ำคืน
แต่ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังพักผ่อนและหาความสุขอยู่ ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังทำในสิ่งที่ห่างไกลจากทั้งสองอย่างนั้นอยู่อย่างไม่อาจเปรียบเทียบได้ ชายผู้สวมบทบาทหน้าที่ของสุภาพบุรุษผู้เป็นดังเครื่องการันตีความปลอดภัยให้กับผู้คนในทุกสถานที่ไล่ตั้งแต่คอนโดมิเนียมหรู หมู่บ้านไฮโซหรือแม้กระทั่งแฟลตแออัด โดยที่พวกเขาไม่เคยได้รับลาภยศหรือศักดินาใดๆมีเพียงชุดเครื่องแบบกับกระบองคู่ใจที่ไว้ต่อสู้กับความเหงาและความง่วงในยามค่ำคืนเช่นนี้
ไม่ว่าพวกคุณจะเรียกเขาว่าอะไร แต่เชื่อเถอะว่าในชีวิตหนึ่งของคุณ ต้องเคยมีสักครั้งที่ได้มอบความไว้วางใจให้พวกเขาดูแลความปลอดภัยในช่วงค่ำคืนให้กับคุณแน่นอน

แนะนำตัวหน่อยครับ
เมืองใจ ใจตุ้ย
ปีนี้ลุงอายุเท่าไรแล้วครับ
55 แล้วปีนี้
ลุงคนที่ไหนครับ
คนลำปางครับ
และเข้ามากรุงเทพตั้งแต่เมื่อไร
เข้ามาตั้งแต่อายุ 15 แล้ว
ลุงทำงานเป็นยามมาตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่าครับ หรือตอนเข้ามากรุงเทพครั้งแรกทำงานอะไรครับ เล่าให้ฟังหน่อย
สมัยก่อนเป็นช่างปะยาง ทำจนตั้งร้านเองล่ะ เป็นลูกน้องเค้าก่อน พอเก่งก็ทำจนมาตั้งร้านเอง
ทำอยู่แถวไหนครับ
แถวราชวัตร หลังสถานีสามเสน เช่าปั๊มเค้าอยู่ ทำไปทำมาก็ย้ายจากทำเลดีๆไปอยู่ข้างใน ทีนี้คนมองไม่เห็น ลูกค้าก็หายหมด
ทำไมย้ายล่ะครับ
สมัยนั้นผมเช่าปั๊มแพงนะ เค้าเช่ากัน 300 – 400 ผมเช่า 1000 กว่า สมัยนั้นข้าวแกงจานละ 2 บาทนะ แพง แพงมากอยู่ไม่ไหว งานก็น้อย ไม่มีเงินจ่ายลูกน้อง
ตอนนั้นอายุเท่าไรครับ
18 เอง พอเลิกไปก็กลับลำปาง ไปช่วยพ่อแม่ค้าขาย อยู่ไม่ถึงปี ก็กลับมากรุงเทพ มาขับแท็กซี่
โทษครับ ลุงเรียนจบชั้นไหนครับผม
ป.4 สมัยนั้น พ่อแม่ไม่มีเงินส่ง ส่วนใหญ่ก็ออกมาช่วยทำไร่ ทำสวน ค้าขาย
ลุงคิดจะเข้ากรุงเทพตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่าครับ ไม่คิดจะทำงานที่ลำปางเลย
ลุงเข้ามาแต่เด็กเลย แทบไม่ได้อยู่เหนือ ลุงมีญาติอยู่กรุงเทพ แต่ตอนนี้ก็แยกย้ายกันไปหมด ตอนนั้นลุงมากับเพื่อน 2 คน มาก็มาหางานทำในปั๊ม เป็นเด็กล้างรถ ถ้าตอนนั้นทำเลดี ป่านนี้ลุงรวย ถ้าตั้งร้านขายยาง มีเงินเป็นพันล้านแล้ว แต่สมัยก่อนเที่ยวผู้หญิง เที่ยวจนติด ที่ไหนเค้าว่าดีเราก็ไป
สมัยนั้นไม่มีแฟนเหรอครับ
มีก็ทิ้ง ได้ก็ทิ้ง
ขับแท็กซี่เป็นไงครับ
สมัยนั้นก็ยังไม่มีมิเตอร์ เหมาๆกันอยู่ คนเรียก 2 – 3 ชั่วโมง ไม่ได้ไป ไกลๆแท็กซี่ก็ไม่ไป เรียกถูกก็ไม่ไป ขับมาได้ 2 – 3 ปี ก็เลิก ค่าเช่าตอนนั้น 150 – 200 กะเดียว สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว 2 บาทนะ
ขับไม่ไหวแล้วทำไรต่อครับ
ไปหาขับรถตามบริษัท รถเจ้านาย แต่ไม่รุ่ง เจ้านายไม่ดีก็ออก เปลี่ยนงานบ่อย ไปหลายบริษัท พอขับรถไม่ดีก็ออกมาขายลาบ น้ำตก กลางวันขับรถ กลางคืนขายลาบ เห็นเค้าทำก็ดูๆเค้าทำ เป็นเจ้าของเองดีกว่าเป็นลูกน้องเค้า
ขายอยู่คลองเตย พอเค้าเลิกสลัมสร้างคอนโด เค้าก็ไล่ที่เราก็ต้องเลิก พอไม่ดีก็หาที่ใหม่ไปขายแถวพระโขนง ขายไปขายมาก็ไม่ดีก็เลิก พอดีมีญาติเมียขายบะหมี่เกี๊ยวแถวอ้อมน้อย เราก็ไปดูมาขายที่พระโขนงบ้าง ตอนแรกทำไม่เป็นโดนลูกค้าด่า ลวกเส้นไม่เป็นบ้างอะไรบ้าง พอทำไปเรื่อยๆมันก็ดี พอเก่งก็ขายพอได้
ขายกับเมียหรือเปล่าครับ
ตอนนั้นได้เมียคนที่อยู่ปัจจุบันนี้แล้ว ลุงขายคนเดียว เมียเลี้ยงลูก เมียผมก็เลี้ยงลูกอย่างเดียว เมียผมผมไม่ให้ทำงาน ทุกวันนี้เมียผมก็ไม่ได้ทำงาน ให้ผมลำบากคนเดียวดีกว่า
ส่วนใหญ่ลุงจะเป็นเจ้าของร้านนะ ไม่ค่อยเป็นลูกน้องใคร
ผมไม่ค่อยเป็นลูกจ้าง ใช้ชีวิตให้ฉลาด ตอนนั้นขายที่พระโขนงได้กำไรวันละ 1000-2000 เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เช่าแฟลตอยู่แถวนั้นมีลูกแล้วด้วย ผมอยู่สลัมไม่เป็นมันสกปรก ตอนนั้นผมก็ประมาณ 30 ปีแล้ว ขาย 11 โมงถึงบ่ายสองก็หมดแล้ว ตอนนั้นที่เช่าแฟลตเดือนละ 3000 บาท ขายวันสองวันก็ได้ค่าแฟลตแล้วตอนนั้น ช่วงนั้นเก็บเงินได้ 2 – 3 แสน ปลูกบ้านที่ศรีสะเกษได้หลังนึง ใช้ที่ที่บ้านพ่อแม่เมีย สุดท้ายขายบะหมี่ก็เริ่มตก ได้กำไรวันละ 100 – 200 ก็เลิก ไม่ไหว กลับไปอยู่ศรีสะเกษ ไปขายก๋วยเตี๋ยว ขายขนมจีนหน้าบ้านเรา บ้านไม่เช่า ข้าวไม่ซื้อ พอลูกโต เราไม่มีเงินส่งลูกเรียน เราก็หนีเข้ามากรุงเทพอีก มาเป็นยามนี่ล่ะ ก็ส่งลูกเรียนได้นะ เรามาทำที่นี่มันประหยัดในตัว ส่งลูกเรียนจนจบปริญญาได้ เมียก็อยู่บ้านนอกเลี้ยงลูกอีกสองคน เข้ากรุงเทพมาเป็นยามตอน 48 ลูกคนโตตอนนี้ก็ 25 แล้ว คนกลาง 19
แล้วเมียคนนี้ลุงเจอที่ไหนครับ
เจอที่พระโขนงนี่ล่ะ ลุงขับแท็กซี่อยู่แถวนี้ สาวๆมาติดเยอะ ผมก็ไม่ค่อยได้สนใจผู้หญิงคนนี้เท่าไร ผมก็เที่ยวตามประสาผม ตอนนั้นผมก็คิดว่าใครดีใครได้ละกัน เพราะผมมีเมียเยอะ เอาทิ้งๆ ไม่ใช่เนื้อคู่
กลับบ้านบ่อยหรือเปล่าครับ
ปีหนึ่งกลับที บางปีก็ไมได้กลับ นี่ก็ปีกว่าแล้วไม่ได้กลับ ลูกชายมาทำงานอยู่งามวงศ์วานนี่
แล้วไม่คิดถึงบ้านเหรอ
ก็เราก็ต้องทำใจ และทางบ้านก็ต้องเข้าใจด้วย เราทำเพื่อลูก เราอายุมากแล้ว ไม่ได้ดิ้นรนไปไหน ทำอย่างนี้งานก็สบายดี
ลูกคนกลางเป็นอย่างไรบ้างครับ
ขึ้น ม.6 คนนี้ลูกผู้หญิง เรียนเก่งกว่าคนพี่ ได้เกรดสี่ตลอด แต่ดีอย่างเสียอย่าง มันไม่ค่อยพูดกับใคร อยู่บ้านอ่านหนังสือไม่ค่อยสุงสิงใคร มันติดหนังสือ ใครชวนไปไหนไม่ไป
คนเล็กล่ะครับ
คนเล็กนี่ยังอนุบาลอยู่เลย คนเล็กนี่ผมมากรุงเทพ มันกลัวผมนอกใจ เลยปล่อยท้องลูกคนเล็ก มันไม่ไว้ใจผม ประวัติผมไม่ค่อยดี มีเมียเยอะ ผมบอกคิดอย่างนี้ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ไว้ใจกัน ให้เลิกรากันไป ให้มันไปมีผัวใหม่ มันก็ไม่เอา
เมียอายุเท่าไรแล้วครับ
ไม่ถึง 40 เลย ผมได้เค้าตั้งแต่ 18 ตอนนั้นผม 30 กว่าแล้ว
ลุงน่าจะกลัวเค้ามีคนใหม่มากกว่านะ
ผมไม่ค่อยง้อผู้หญิงนะนิสัยผม และไม่ขอเงินผู้หญิงด้วย ทุกวันนี้ก็ไม่ให้เค้าทำงาน เราส่งเงินไปให้
ตอนแรกที่เข้ากรุงเทพ จะหาเงินส่งลูกเรียน ลุงตั้งใจมาเป็นยามเลยหรือเปล่า
ใช่ ตั้งใจเพราะเราไม่มีทุน ตั้งใจมาเป็นยามเก็บเงินสักพัก เพื่อเป็นทุนไปค้าขายต่อ ตอนแรกเข้ามาผมขายก๋วยเตี๋ยวก่อนนะ แถวบางโพ แต่มันไม่ดี ผมเดินหางานมาเรื่อยๆมาเจอบริษัท รปภ ก็เลยมาทำ แต่ตอนนี้คิดว่าถ้าเก็บเงินได้ 2 – 3 แสน จะขายข้าวขาหมูหรือบะหมี่เกี๊ยว ที่ห้าง ถ้าเกียกกายสร้างห้างขึ้นมาผมจะขาย เพราะเกียกกายเค้าจะทำรัฐสภา และทำสะพานข้ามแม่น้ำ ผมก็ดูว่าน่าจะมีทำเล น่าจะขายได้ กำลังเก็บเงินอยู่
ตอนแรกเค้าให้เลือกหรือเปล่าว่าเป็นยามกะดึก
ก็ให้เลือก เราอายุมากแล้วก็อยู่กลางคืนดีกว่า กลางวันเค้าก็โชว์เด็กๆไปจะได้ดูแข็งแรง แต่เราก็ชอบกลางคืนมากกว่ากลางวันเรื่องมาก เจ้านายก็เยอะ มีแต่คนกวนใจ
แล้วไม่ง่วงเหรอครับ
ก็มีบ้าง ก็งีบๆไป ลุงเข้าดึกตลอดก็ชิน กลางวันก็ไปนอน ลุงอยู่ตั้งแต่ทุ่มถึงเจ็ดโมง กลับไปก็นอนตื่นสักบ่ายสาม
สุขภาพมีปัญหาบ้างหรือเปล่าครับ
ไม่ค่อยมีปัญหานะ ผมกินข้าวสามเวลา กลัวโรคกระเพาะ เช้ากลับไปถึงก็กินเลย ดึกๆก็กินโอวัลตินอะไรบ้าง ขนมก็มีกิน พนักงานให้บ้างอะไรบ้าง นายเค้าให้มาบ้าง อากาศเย็นด้วย สบายใจด้วย สุขภาพมันอยู่ที่จิตใจไมได้อยู่ที่ร่างกายถ้าใจเราเข้มแข็งไม่คิดอะไรมาก ร่างกายก็แข็งแรง
ทำดึกมากี่ปีแล้วครับ
สิงหานี้ก็จะ 7 ปีแล้ว ดึกมาตลอด
ได้เจอลูกชายที่งามวงศ์วานบ่อยหรือเปล่าครับ
ก็ไม่บ่อยนะ เค้ายังไม่มีครอบครัว ตอนนี้จะเรียน ป.โทต่อ ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
แล้วคนกลางเรียนจบอยากให้มาทำงานกรุงเทพหรือเปล่าครับ
แล้วแต่ ไม่ได้บังคับ เลี้ยงได้แต่กาย ใจเลี้ยงไม่ได้ อยากมาก็ให้มา สมองมันดีกว่าพ่อ ทุกวันนี้ลูกสอนพ่อ ลูกมันด่าโง่บ้างอะไรบ้าง จริงๆความคิดความอ่านผมก็ใช้ได้นะ แต่แค่ไม่มีโอกาส
ถ้าลุงได้เรียนแล้วอยากทำอาชีพอะไร
ผมไม่เคยคิดเรื่องอำนาจอะไรนะ ไม่เคยคิดเลยว่าถ้าได้เรียนจะทำอะไร ชอบแต่ทางค้าขายมากกว่า ขนาดอายุยัง
ไม่ทำบัตร ผมเริ่มปะยางได้ สักพักเจ้านายส่งไปทำโรงกลั่นน้ำมัน ทำงานรถบรรทุกบ้าง เลยรู้ว่างานหนัก ขายของดีกว่า ขายของนี่อย่าอยู่ไกลตลาดสดนะ มันจะหนักเกินไป และถ้าอยู่ใกล้ ให้เค้ามาส่งของที่ห้องเราได้ พ่อค้าเอาขึ้นมาส่งเราเลย ผมนอนอยู่นั่นเช้ามาเค้าก็มาวางหน้าห้องเราขาประจำ
รายได้ยามที่นี่เป็นไงบ้างครับ
วันละ 310 บาท ถ้าหยุดไม่ได้ จ้างรายวันเซ็นสัญญา ปีต่อปี
แล้วมีแบบไม่ต่อสัญญาหรือเปล่าครับ
ไม่รู้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ เรามีหน้าที่ทำก็ทำไป ถ้าทำไม่ดีเค้าก็ย้ายเราไปตึกอื่น แต่อยู่ที่นี่ก็ดี พวกพนักงานใจดี ผู้จัดการเค้าก็ให้เงินเราเวลาปีใหม่ ทุกวันนี้ผมอยู่ก็ไม่ได้เช่าบ้านนะ อยู่วัด เจ้าอาวาสเป็นญาติเมีย ผมก็อยู่ฟรีกินฟรี
ของกินเลือกกินได้เลย ถ้าไม่ได้อยู่วัดก็แย่ เพราะรายได้น้อย 300 สมัยนี้ ถ้าบ้านเช่าข้าวซื้อก็ไม่ไหว
ลุงมีวันหยุดหรือเปล่าครับ
มีแต่ผมไม่หยุด อาทิตย์หนึ่งให้หยุดได้หนึ่งวัน แล้วแต่จะเลือก ถ้าเลือกแล้วทุกอาทิตย์ก็ต้องหยุดวันนี้ แต่หยุดก็นอนอยู่วัดไม่ได้ไปไหน เราเลยไม่หยุด ทุกวันนี้ก็เก็บเงินได้บ้าง ส่งบ้านบ้าง ลูกขอเพิ่มก็ต้องให้ ตอนนี้ส่งบ้าน 5000 ถ้าลูกสาวเข้ามหาลัยก็คงต้องส่งเพิ่มสัก 8000 ตอนนี้คนโตเค้าก็ให้เงินเรา แต่เราไม่อยากรบกวน ให้เค้าเก็บไว้ เรียนโทให้จบค่อยว่ากันใหม่ เลี้ยงตัวเองให้ได้ ตอนนี้เราก็เก็บเงินได้บ้างเดือนละ 5000 บ้าง 3000 บ้าง
ตอนนี้อยู่ไปเรื่อยๆก่อน
มีเกษียรหรือเปล่าครับ
ก็ไม่นะ คนเก่าๆก็อยู่ไปเรื่อยๆ บริษัทเค้าช่วยๆกัน แต่สวัสดิการไม่มีนะ วันลาอะไรไม่มี ถ้าหยุดก็ไม่ได้เงิน
ลูกชายอยู่บริษัทใหญ่หรือเปล่าครับ เงินเดือนดีไหม
ก็เยอะกว่าลุง กินรายเดือนไม่ได้กินรายวัน เสาร์อาทิตย์ก็ได้หยุด
ลุงอายหรือเปล่าครับถ้าจะบอกใครว่า ลุงเป็นยามและอาศัยอยู่ที่วัด
ผมไม่อายนะ ผมไม่ได้ขอใครกิน ผมบอกอย่างนี้ ชีวิตคือชีวิต ความจริงคือความจริง ผมโกหกใครไม่เป็น
แล้วลูกชายล่ะครับ อายไหม
ก็ไม่อายนะ เค้าก็พาเพื่อนๆมาหาพ่อ ผมก็เอาข้าวให้มันกิน ลูกชายผมนี่ไม่เคยรังเกียจพ่อ มันสำนึกบุญคุณ ไอ้ที่ส่งมันเรียนก็เงินยามทั้งนั้นล่ะ
ลูกจบปริญญาภูมิใจหรือเปล่าครับ
ภูมิใจ ใครก็ภูมิใจ ใครอยากเรียนผมก็ส่ง แต่ถ้าเรียนไม่ไหวก็ไม่ส่ง เปลืองเงินเปล่าๆ
ลุงมีพี่น้องกี่คน
เยอะแต่ตายไปหมดแล้ว คนโตเค้าก็ได้ผัวอยู่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ผัวไม่รวยนะกลางๆ ลุงคนที่สอง ลุงเคยขอกู้เค้าห้าล้าน จะมาเปิดขายยางรถ แต่เค้าไม่ให้ เงินห้าล้านสำหรับคนสวิตเซอร์แลนด์ไม่เยอะนะ เค้าคงไม่ไว้ใจผม
และสมัยนั้นผมเกเรด้วย
ยามนี่กู้เงินธนาคารลำบากหรือเปล่าครับ
เรากู้ได้แต่ต้องมีหลักทรัพย์ ต้องมีที่นาทุกวันนี้ที่นาก็ยังอยู่ธนาคารอยู่เลย แต่เมียเค้ากู้ ไม่เกี่ยวกับผม
ลุงมีคติประจำใจ หรือว่าวิธีที่จะทำให้เป็นยามที่ดีหรือเปล่าครับ
ต้องพูดจาดี อ่อนน้อมถ่อมตน อย่าไปก้าวก่าย ต้องรู้ฐานะของเราว่าเราเป็นใคร เค้าระดับไหนเราระดับไหน อย่าไปล่วงเกินใคร สิ่งที่พูดก็พูด ไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด ใครคุยกับเราก็คุย ใครเล่นก็เล่น คนไหนไม่เล่นเราก็ไม่เล่น ใครๆก็บอกว่าผมดุ แต่ผมไม่มีอะไร บางคนผมเตือนก็หาว่าผมดุ ผมไม่ได้ดุ แต่บางอย่างผมก็กลัวมันเสียหาย
ลุงเคยเจอพนักงานไม่ดี ดูถูกเราหรือเปล่าครับ
ไม่เคยเจอ เต็มที่ก็ไม่พูด ไม่พูดเราก็ไม่พูด เราทำงานหน้าที่เรา เค้าก็ทำหน้าที่เค้า ถึงเราจะต่ำต้อยกว่าเค้า แต่เราก็ไม่ได้ไปขอยืมเงินหรือขอของเค้ากิน บางทีเค้าก็มองเราความรู้ต่ำบ้าง มองข้ามเราบ้าง แต่ผมมาได้แค่นี้ผมก็ภูมิใจแล้ว บางทีเค้าก็มองเหยียดหยามเราบ้าง ต่ำบ้าง แต่ผมก็เฉยๆ
เกี่ยวกับอนาคต
ลูกผมจะไม่ให้ทำอะไรแล้ว ถ้าเค้าจบโท จะไม่ให้ผมทำงานแล้ว ให้ไปอยู่บ้าน เดี๋ยวส่งเงินให้กิน แต่ผมคงจะอยู่ไม่ได้ หงุดหงิด คงต้องมีค้าขายของผม เค้าไม่อยากให้ผมไปที่ไหน อยากให้อยู่กับแม่ เค้ากลัวผมจะมีเมียใหม่บ้างอะไรบ้าง คิดไปใหญ่ บอกพ่อนี่ผู้หญิงรุมเยอะไปหมด ผมมันเสน่ห์ยังไงไม่รู้ อยู่ที่ไหนผู้หญิงก็มารุมจีบ ผมอยู่ในวัดผู้หญิงก็มาติด แต่ผมไม่เอา ผมวางแผนไว้ผมยังไงต้องส่งลูกเรียนให้จบ ผู้หญิงมาทีหลัง คงจะไม่เอา แต่สวยด้วยนะ มาตื้อผมที่วัด อายุประมาณ 30 กว่า
ลุงยังดูไม่แก่
ผมก็ทำงานหนักนะ ทำทุกอย่าง แต่ผมไม่ค่อยเครียด ไม่คิดมาก พอโมโห ผมสำนึกแพลบเดียวหายเลย ไม่ให้เครียด โมโหง่ายหายไว
เวลาเข้าเวรอยู่ว่างๆกว่าจะเช้าลุงทำอะไร
หากินไรบ้าง ลงไปคุยกับเด็กๆบ้าง คุยกับพวกยามบ้าง
เวลาผมเรียกยามกับรปภ. ลุงรู้สึกอะไรหรือเปล่า
ผมเฉยๆ มันก็เหมือนกัน ส่วนมากผมเองก็เรียกยาม คนไทยมันต้องเรียกยาม
แต่เด็กสมัยใหม่มีใช่หรือเปล่าที่ไม่ชอบให้เรียก
เยอะแยะ เด็กสมัยใหม่ไม่ค่อยชอบนะให้เรียกยาม ผมก็เรียกยามนะ ฉิบหายมันก็ยามทั้งนั้นล่ะ เผลอๆด่ามันด้วยไอ้พวกยามยาก
เด็กสมัยใหม่เป็นนะ
เค้ากลัวเสียศักดิ์ศรี ต้องให้เกียรติเค้าหน่อย ไปลดเกียรติเค้าไม่ได้ แต่ผมไปไหนผมก็เรียกยาม ไม่เคยเรียก รปภ. หรอก
เวลาลุงจะหยุดต้องลาล่วงหน้าหรือเปล่าครับ
ก็เขียนใบลาล่วงหน้า 3 – 4 วัน แต่ถ้ากะทันหันก็โทรบอกได้ เค้าหาคนมาแทนเอง
วันหยุดมีโอทีหรือเปล่า
ได้แปดชั่วโมง ก็ตกสองร้อยกว่าบาท พอทนได้ เพราะเราไมได้ไปไหน งานก็เบา แต่ตอนแรกผมก็ไม่ชอบนะงานยาม งานมันว่างมันหงุดหงิด รอเวลา เวลามันเดินช้า กลางวันนี่นานนะ แต่กลางคืนเดี๋ยวก็สว่าง เราคุยบ้างอะไรบ้าง ทำใจสบายๆ หาหนังสืออ่านบ้าง เมื่อวานผมก็ไปควงกะมา ทำดึกแล้วไปเช้า แล้วมาดึก ได้มาหกร้อยกว่าบาท
ลุงเคยคิดหาไรทำอีกหรือเปล่า
เคยคิดว่าเช้าจะไปขายล็อตเตอรี่ พอวันหวยออกผมจะไม่เข้าเวรเลย วันนั้นขายดี เค้าบอกว่าเดือนหนึ่งได้กำไรกัน 1 – 2 หมื่นเลยนะ แต่เค้าก็ลงทุนกันหลายหมื่นนะ
ส่วนใหญ่ รปภ. เป็นคนที่ไหนครับ
คนอีสานเยอะนะ เห็นพูดอีสานกัน แทบทั้งตึกนี้ก็อีสานหมด คนเหนือน้อยนะที่มาเป็นยาม คนใต้ก็น้อย ที่นี่ไม่ค่อยมีนะ คนใต้ดุไม่ต่อยเหมือนคนเหนือ เล่นปืนเอาตายอย่างเดียว คนโตขึ้นมาไม่ได้ใช้ชีวิตแค่วันสองวัน มันเล่นซัดกันตาย ไม่สั่งสอนเลย คนอีสานกับเหนือแค่ต่อยกัน ผมไม่ชอบนักเลง วงเหล้าในนักเลงผมเดินหนี
แล้วลุงกลับศรีสะเกษยังไง
นั่งรถไฟแอร์ สปริ้นเตอร์ หลับสบาย อ่านหนังสือไรบ้าง 407 บาท ขากลับกรุงเทพนั่งรถทัวร์กลับมา
ปีใหม่ได้กลับบ้านหรือเปล่า
เทศกาลเค้าไม่ให้ลานะ เราไปตอนอื่นได้ มากสุดก็ไป 8 วัน
ที่ทำๆมาลุงชอบทำอะไรมากที่สุด
ขายของนะ มันเห็นเงินเร็ว ไม่มีอะไรดีเท่า ของกินขายดี คนมันต้องกินวันยันค่ำ มันหนีกินไม่พ้น ขายอย่างอื่น ขายยังไงก็ไม่หมด ต้องเก็บเข้ากล่อง
แต่ของกินมันเหลือไม่ได้นะครับ
เก็บได้บ้างอย่างนะ แต่เราต้องรู้จักซื้อของ ซื้อ 500 ถ้าเราขายดีหมดเร็วพรุ่งนี้ก็เพิ่มเป็น 1000 บะหมี่นี่ลง 1000 ขายได้ 3000 นะ แต่ไอ้พวกรถเข็นบะหมี่ชายสี่นี่ของบริษัทนะ เค้าจะให้รถให้เครื่องมือ เราต้องไปซื้อบะหมี่มัน มันเอากำไรเราอย่างเดียวเลย ผมถามมาแล้วแต่ไม่เคยทำนะ เพราะตอนขายผมขายเองใช้ฝีมือไม่มียี่ห้อ เพราะถ้าไม่ถูกปากเค้าก็ไม่กิน ผมขายมาสิบกว่าปีทุกอย่าง แสดงว่าฝีมือก็ใช้ได้ ขายก๋วยเตี๋ยวมาสิบกว่าปีแสดงว่าฝีมือไม่ธรรมดา แต่ถ้าทำเลไม่ดีก็ลำบาก เอาเรื่องเหมือนกัน
ที่ศรีสะเกษ หน้าบ้านทำเลดีหรือเปล่า
มันขายถูก ชามละไม่กี่บาท กำไรก็น้อย
ถ้าให้เลือกทำอะไรก็ได้ ลุงจะทำอาชีพอะไร
ขายของอย่างเดียว ชอบขายของสบายดี ขายของกินนี่ แต่ถ้ามีเยอะผมว่าตั้งร้านขายยางรถยนต์ดีกว่า กำไรเยอะกว่าวันหนึ่งสองสามเส้นก็สบายแล้ว อะไหล่รถพวกนี้ผมก็รู้หมด และของไม่เสียเก็บได้นานดีกว่าอาหารหน่อย ผมเองดูเนื้อยาง ดูผ้าใบอะไรเป็นทุกอย่าง ผมมีความรู้นะ แต่ไม่มีทุน ถ้ามีทุนผมรวย รวยมากเลย ถ้าตอนนั้นผมทำจนถึงตอนนี้ผมคิดในใจว่าคงมีเงินหลายพันล้าน
แล้วตอนนั้นย้ายทำไมนะ
เจ้าของปั๊มเค้าจะทำเอง เค้าบอกเราอยู่อย่างนี้มันรก พอย้ายไปมันไม่มีลูกค้า ค่าเช่าก็ขึ้นก็ต้องเลิก
ขายยางไม่มีขาดทุนนะ เจ๊งยาก ดูแถวรังสิตสิขายกันเต็ม พวกผมทั้งนั้น

ที่ลำปางมีญาติหรือเปล่า
พ่อลุงเสียตั้งแต่ 8 ขวบ แม่เพิ่งเสีย แกอยู่คนเดียวไม่เอาลูกหลาน เราก็ช่วยกันส่งเงินให้แก บ้านหลังใหญ่แกก็อยู่คนเดียว แกด่าเก่งลูกหลานอยู่ไม่ได้
ผมฟังแล้วลุงไม่ชอบเป็นยาม ชอบค้าขายมากกว่า
ผมว่าจะออก แต่ลูกเมียไม่ให้ออก เค้าเห็นผมลำบากมาเยอะ ที่นี่งานสบาย
สบายแต่ก็เบื่อหรือเปล่า
ก็เบื่อเหมือนกัน เวลาเจอเจ้านายด่าก็หงุดหงิด ไม่ค่อยชอบเป็นลูกจ้าง ชีวิตไม่ค่อยเป็นอิสระ เคยเป็นลูกจ้างขับรถบริษัท เจ้านายด่ามากๆผมก็ออก ด่ามากไปผมเอาตายห่า เคยจอดรถทิ้งที่พัทยา ด่าผมผมเอากุญแจโยนทิ้งทะเล นั่งรถทัวร์กลับบ้านเลย ผมขับมาหลายนายไม่ค่อยมีดี เอาแต่ใจตัวเอง รถติดก็ด่าเรา พ่อแม่เราไม่ได้สร้างถนนสักหน่อย ผมด่ากลับเลยนะ กูไม่อยู่กับมึงกูก็ไม่อดตาย ตอนนี้ให้เดือนละแสนผมยังไม่เอาเลยขับรถเจ้านาย คนชวนเยอะ ผมกลัวไปฆ่าเค้าติดคุก
(ขณะคุยกันอยู่หัวหน้ายามเดินมาตรวจ)
ถ้าเค้าเจอเราหลับเป็นไรเปล่า
อย่าหลับเอาเป็นเอาตายละกัน ลิฟท์เปิดก็ตื่น ก็ไม่ว่าไร อีกอย่างเรารู้ใจกันแล้ว ผมทำมานาน เค้าก็ทำมาเป็นสิบๆปีแล้ว ตอนนี้รุ่นเดียวกับผมไม่มีแล้ว มีแต่เด็กใหม่ๆ มีแต่ผมคนเดียว ไม่มีทุน คิดได้ทำไม่ได้ พยายามเก็บอยู่แต่อยากจะทำยางมันลงทุนหนักตรงเซ้งตึกนี่ล่ะ เรื่องยางไม่มีปัญหา มีทางเดียวถ้ามีเงินก็ซื้อตึกแม่งเลย ติดถนนนะ รถที่ไหนก็ต้องมาซื้อเรา รถมันต้องใช้ยาง ทั้งมอเตอร์ไซต์และรถยนต์ ผมไม่ใช่คนขี้เกียจ ผมต้องเก็บเงินได้ ผมอยู่วัดไม่ได้อยู่เฉยๆ มีอะไรผมทำหมด ผมเอาทุกอย่าง ยกโต๊ะเก้าอี้ก็ทำ จ้างผมเอาไม้ไปส่งจากวัดไปบางกรวย ขึ้นรถ ลงเรือ ขึ้นรถ กว่าจะไปถึง ลูกน้องสองคนช่วยกัน ผมขอสามพัน เค้าก็ให้ ผมให้ลูกน้องคนละห้าร้อย ผมหากินหลายอย่างนะ ไม่ได้เป็นยามอย่างเดียว นี่ว่าจะขี่มอเตอร์ไซต์รับจ้าง แต่ลูกไม่ให้ทำกลัวอันตรายไม่คุ้ม
ลุงเคยอิจฉาคนรุ่นเดียวกับลุงที่รวยๆ ทำงานดีๆหรือเปล่า
เพื่อนๆผมไม่มีใครดีกว่าผมนะที่ลำปาง เพื่อนๆมีแต่แย่กว่าผม วันนั้นผมเอารถลูกชายกลับบ้านไป เค้าหาว่าผมรวยกัน
ตอนนี้ความหวังฝากไว้ที่ลูก
ลูกอย่างเดียว ถ้าเค้าประสบความสำเร็จเราก็ดีใจ
คิดจะออกจากยามเมื่อไร
ถ้าลูกสาวจบม.6ก็ว่าจะออก ว่าจะกลับบ้านเก็บเงินได้แสนสองแสน ซื้อปั๊มลมสักตัว ขายยางมอเตอร์ไซต์ด้วย
ลุงมองภาพตัวเองบั้นปลายว่าอย่างไร
ปะยาง ขายยาง ให้เมียขายก๋วยเตี๋ยว อยู่ที่บ้าน บ้านไม่ต้องเช่า กินไม่หมดแล้วแค่นี้ นาก็มีตั้ง 20 ไร่
ลุงกลัวตายหรือเปล่า
ไม่กลัว คนอยู่วัดไม่กลัวตาย ตายอย่าให้ทรมาน หลับตาได้ยิ่งดี
เมื่อไรพร้อมจะตาย
ผมอยากจะให้ 80 – 90 กำลังดี ตอนนี้ 55 ผมยังแข็งแรง 90 ผมคงจะไม่แก่งักหรอก ผมรู้ตัวผม ผมไม่เครียด ใครชวนไปกินเหล้ากินยาผมไปหมด คุยสนุกเฮฮา กินเหล้าร้องเพลง ผมชอบทางนี้ ตีต่อยผมไม่เอา
ร้องเพลงเก่งเหรอ
เก่งสารพัด เพลงไหนดังๆสมัยนั้นผมร้องเป็นหมด สายันต์ ไวพจน์ สมัยนั้นปะยาง สายันต์ดัง
ผมให้ลุงตบท้ายด้วยร้องเพลงสักนิดเดียว
คงจะไม่เอา ผมร้องเพลงต้องกินเหล้า ถ้าไม่กินเหล้าผมร้องไม่ได้หน้าบาง ร้องเพลงต้องมีวงเหล้า เคาะดนตรีบ้างอะไรบ้างสนุก ร้องคนเดียวคงร้องไม่ได้ ต้องมีย้อมใจให้หน้าชาๆหน่อย เคาะกะละมังอะไรกันบ้าง
ร้องบนเวทีได้หรือเปล่า
ไม่ได้ ไม่เคย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคย มีแต่ทุ่งนา ไม่มีเวที เด็กสมัยนี้มันร้องได้ ซ้อมแต่เด็ก
คำถามสุดท้ายถ้าย้อนเวลาได้ ลุงจะแก้ไขตรงไหน
จะเปิดร้านขายยาง ตอนนั้นใช้ชีวิตเป็นลูกจ้างอย่างเดียวไม่ได้คิด เอาแต่เที่ยว มีเงินก็ไปซื้อมอเตอร์ไซต์หมด ขับแพลบเดียวรถหาย ตอนนี้เลยไม่อยากซื้อรถ แต่ก็ซื้อให้ลูกๆนะ มอเตอร์ไซต์ ที่บ้านมีสองคัน แต่ผมกลับไปก็ไม่ขี่แล้วนะ ซ้อนอย่างเดียว แม่ลูกไม่อยากให้ขี่ ผมขี่รถเร็ว บิดร้อยกว่า เห็นแก่ๆอย่างนี้ ใครนั่งซ้อนท้ายผมหนาวแน่ เห็นผมแก่ๆอย่างนี้ เมื่อก่อนผมขับรถจากกรุงเทพไปพัทยาทุกวัน ส่งฝรั่งรายได้ดี ทิปเยอะ
แล้วทำไมไม่ทำต่อ
จะอยู่ได้ยังไง อาบอบนวดอยู่ข้างๆ เข้าทุกวัน ติดหมอนวด เงินก็หมด ก็เท่านั้น

หนึ่งชั่วโมงกว่าๆในช่วงเวลาราวๆตีสองที่ผมได้คุยกับยามกะดึกคนนี้ ผมได้รู้ว่าบางครั้งคนเราก็ยอมทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อที่จะสร้างอนาคตให้คนอีกหนึ่งคนที่เราเรียกว่าลูก และเมื่อเรายอมทำสิ่งนั้นเพื่อคนที่เรารัก เราควรจะภูมิใจไม่ใช่อายในอาชีพสุจริตที่เราทำ “ผมไม่อายนะ ผมไม่ได้ขอใครกิน ผมบอกอย่างนี้ ชีวิตคือชีวิต ความจริงคือความจริง ผมโกหกใครไม่เป็น” ประโยคนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวผมราวกับว่ามันคือประโยคที่เป็นตัวแทนของตัวตนที่แท้จริงของยามกะดึกคนนี้ เมืองใจ ใจตุ้ย


รวมเล่ม 16.บุคคลสำคัญ (คำนำ)

พวกคุณคงเคยอ่านประวัติบุคคลสำคัญของโลกมาบ้าง บุคคลผู้เป็นเจ้าของแนวคิดหรือผลงานที่มีส่วนในการขับเคลื่อนโลกใบนี้อย่างเต็มกำลัง บางคนอาจตั้งใจที่จะช่วยขับเคลื่อนโลกจริงๆหรือบางคนอาจจะแค่ผลิตงานเหล่านั้นด้วยความรักและบังเอิญว่างานชิ้นนั้นเผยคุณค่าของมันออกมาจนทำให้ทั่วโลกจับตามอง
ถ้าคุณเป็นคนที่สนใจความเป็นไปของโลกใบนี้หรือพอจะมีเวลาเหลือสำหรับการค้นคว้าบ้าง แน่นอนว่าเจ้าของชื่อนามอุโฆษเช่น นโปเลียน เหมาเจ๋อตุง ไอสไตน์ หรือแม้กระทั่ง บารัค โอบามา คงเคยผ่านหู ผ่านตา หรือแม้กระทั่งผ่านใจพวกคุณมาบ้าง แต่ผมเองอยากให้คุณรู้ความจริงในอีกแง่มุมหนึ่งว่า เจ้าของชื่อสะท้านโลกที่กล่าวมานั้น ยังมีผู้คนอีกมากมายที่เอียงคอสงสัยเมื่อชื่อเหล่านั้นกระทบกระบวนการได้ยินของเขา
เป็นไปได้หรือไม่ บุคคลที่คุณคิดว่าทั่วโลกต้องรู้จักกลับกลายเป็นใครก็ไม่รู้สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ความจริงก็คือบุคคลสำคัญของประเทศหรือแม้แต่ของโลกในแต่ละสาขา ไม่ได้มีคุณค่าอะไรกับคนในอีกสาขาหนึ่ง ไม่ว่าเค้าคนนั้นจะยิ่งใหญ่ในทางของตัวเองแค่ไหนก็ตาม แน่นอนว่ามีบุคคลสำคัญมากมายที่ค่อนข้างจะเป็นที่รู้จักในทุกวงการเช่นไอสไตน์หรือแม้กระทั่งฮิตเลอร์ ที่ไม่ว่าคนมีการศึกษาสูงสุดหรือไม่มีการศึกษาใดๆเลยสักนิด ก็ต้องรู้จักเขาเหล่านี้ แต่เชื่อเหลือเกินว่าเหล่านักฟังเพลงทั้งหลายก็คงไม่ได้บูชาไอสไตน์มากไปกว่าไมเคิล แจ็คสัน เป็นแน่แท้ ก็แล้วเราจะเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐานในการที่จะเลือกบุคคลสำคัญ มาแนะนำให้พวกคุณได้รู้จักกันมากขึ้นล่ะ
จริงๆแล้วผมมั่นใจเหลือเกินว่าคุณแทบทุกคนน่าจะมีบุคคลสำคัญอย่างน้อย 1 คนที่
เป็นต้นแบบ เป็นแบบอย่างหรือแม้แต่มีอิทธิพลต่อความคิดของคุณ หรือบางคนถึงขนาดที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อลอกเลียนแบบบุคคลสำคัญเหล่านั้นเลยก็ตามที แต่อย่าลืมว่าเหรียญย่อมมีสองด้าน เฉกเช่นเดียวกันยังมีบุคคลที่ผมคิดว่าเป็นบุคคลประเภทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักในทุกแวดวง เป็นที่นิยมในทุกๆสาขาอาชีพ แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครยึดถือเขาเหล่านั้นเป็นต้นแบบ ไม่มีใครอยากเลียนแบบแนวทางการใช้ชีวิตเหล่านั้น และเมื่อผมได้รู้จักบุคคลเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ผมจึงเลือกชีวิตเหล่านี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มที่พวกคุณกำลังถืออยู่นี้
หลังจากที่ทุกท่านล่องผ่านสายธารตัวหนังสือนี้ไปจนถึงหน้าสุดท้าย วิธีคิด การใช้ชีวิตหรือการปฏิบัติตัวของบุคคลเหล่านี้ อาจจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของท่านไม่มากก็น้อย และสุดท้ายก่อนจะล่องผ่านตัวหนังสือในหน้านี้ไป ผมอยากจะขอร้องทุกท่านสักนิดว่า ขอจงเชื่อเสมอว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน และอาชีพทุกอาชีพมีส่วนที่จะพัฒนาสังคมและขับเคลื่อนโลกไม่ต่างกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นแพทย์ วิศวกร หรือว่าเป็นประกอบอาชีพเหมือนบุคคลสำคัญ 10 ท่าน ที่คุณกำลังจะได้สัมผัสในหน้าถัดไป เปิดใจให้กว้าง และไปรู้จักกับบุคคลสำคัญที่มีตัวตนในชีวิตจริงของคุณกันครับ

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 15.การแต่งงาน

เมื่อวานผมได้ทราบข่าวดีมาข่าวหนึ่งทาง facebook ผมไม่รู้ว่ามันเป็นข่าวดีสำหรับคนอื่นๆด้วยหรือเปล่า แต่สำหรับเจ้าของข่าวแล้ว ผมว่ามันเป็นข่าวที่ดีมากๆข่าวหนึ่งเลยทีเดียว

เรื่องของเรื่องก็คือเพื่อนในกลุ่มของผมคนหนึ่งตั้งท้องมาได้ราวหนึ่งเดือน พ่อของเด็กเป็นเพื่อนของพวกเรามาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น นับรวมเวลาก็คงไม่น้อยกว่า 15 ปี ที่พวกเรารู้จักกันมา ส่วนแม่ของเด็กก็เรียนในโรงเรียนเดียวกับพวกเรา ถึงแม้จะคนละห้องแต่ด้วยความที่ทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมนั่นทำให้พวกเราก็เห็นเธอเป็นดังเพื่อนในกลุ่มเราคนหนึ่งด้วยเช่นกัน

การประสบความสำเร็จในการสร้างทายาทครั้งนี้เป็นไปอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมทุกอย่างเพราะคนทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันไปเมื่อปลายปีที่แล้ว นั่นจึงทำให้เด็กน้อยคนนี้ก่อเกิดขึ้นพร้อมกับความปลาบปลื้มของพ่อกับแม่ทั้งสองฝ่ายที่กำลังตื่นเต้นกับบทบาทใหม่ที่จะได้รับนั่นคือปู่ ย่า ตา และยาย ด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่งการแต่งงาน การมีลูก เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการประสบความสำเร็จในชีวิตโดยเฉพาะสำหรับคู่หนุ่มสาวที่คบกันด้วยความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะจริงจัง และด้วยความที่เพื่อนผมทั้งคู่ก็คบกันอย่างนั้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นั่นทำให้เรื่องราวเหล่านี้ไม่ค่อยจะเหนือความคาดหมายของพวกเราในกลุ่มสักเท่าไร เพราะพวกเรารู้อยู่แล้วว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งในกลุ่มของเราก็จะมีข่าวดีประเภทนี้เกิดขึ้น และเราทุกคนก็ค่อนข้างจะเชื่อว่า คนทั้งคู่นี้น่าจะเป็นคู่แรกที่แต่งงานกันและก้าวหน้าไปถึงขึ้นมีลูกก่อนเพื่อนๆคนอื่น

แต่อย่างที่เราทุกคนทราบกันดี ความรักไม่ได้มีแค่แบบเดียว ถึงแม้การแต่งงานและตัดสินใจมีลูกจะแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของชีวิตคู่ของคนคู่หนึ่ง แต่ด้วยเป้าหมายปลายทางที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคนและความต้องการในชีวิตที่แตกต่างกันไป นั่นทำให้ผมไม่แน่ใจสักทีเดียวว่าการแต่งงานคือทางเลือกที่มนุษย์ทุกคนต้องการจริงๆหรือไม่ กี่ครั้งกี่หนที่เราเห็นความแตกแยกในครอบครัว ไม่ว่าคุณจะรับรู้จากทางไหน เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีอยู่จริงในสังคมที่บูชาการแต่งงานเฉกเช่นโลกใบนี้ แต่ในเมื่อโลกนี้นั้นมีทั้งขาวและดำ การที่เราจะเลือกมองแต่ความล้มเหลวของชีวิตคู่ก็ดูจะอคติกับการแต่งงานไปสักนิด เพราะว่าคู่ที่ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตคู่ไปจนวันสุดท้ายก็มีอยู่มากมายเช่นเดียวกัน แล้วอะไรคือสิ่งที่จะยืนยันได้ว่าการแต่งงานคือสิ่งที่ดีที่สุดหรือเป็นสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงสิ่งอุปโลกน์ ที่มนุษย์ขี้เหงาร่วมกันสร้างขึ้นมาเพื่อปกปิดความอ่อนไหวในจิตใจอันบอบบางของพวกเขา

นอกจากความรักที่กำลังจะเป็นเรื่องของคนสามคนของเพื่อนผมแล้ว ในกลุ่มพวกเรายังมีความรักอีกหลายแบบมากมาย ทั้งรักเผื่อเลิก รักเก่าที่บ้านเกิด รักแล้วรอหน่อย หรือรักกันก่อนห่ามก็ตาม นั่นทำให้พวกเราในกลุ่มทุกคนค่อนข้างจะมีความแตกต่างในด้านความรักที่ไม่เป็นไปทางเดียวกันแม้สักคู่เดียวและถ้าสังเคราะห์มุมมองของผู้ชายอย่างเราๆในเรื่องของการแต่งงานแล้ว ผมเชื่อว่ามีผู้ชายไม่น่าจะเกิน 50% ที่จะอยากแต่งงานก่อนอายุ 30 ถ้าไม่มีเหตุผลใดที่จำเป็นจริงๆ คนบางคนที่รู้ว่าเพื่อนของผมแต่งงานตั้งแต่ยังไม่ 30 ก็ใช้คำพูดจำพวกว่า "แต่งงานเร็ว" กันอย่างค่อนข้างจะพร่ำเพรื่อในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ ก็แล้วถ้าการแต่งงานในวัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 เรียกได้ว่าแต่งงานเร็ว แล้วมนุษย์ส่วนใหญ่คิดว่าคนเราควรจะแต่งงานตั้งแต่อายุเท่าไรกันนะ สมองของผมตกผลึกออกมาว่าอายุของเจ้าบ่าวมันไม่สำคัญเลยถ้าเทียบกับอายุของความสัมพันธ์ที่สร้างสมกันมาของบ่าวสาวสองคนมากกว่าคนบางคนอายุน้อยแต่คบกับแฟนมาตั้งแต่ในวัยที่ยังเด็กนั่นทำให้ถึงแม้จะอายุยังไม่ถึงเลขสามแต่เค้าทั้งคู่ก็ผ่านเรื่องราวร่วมกันมามากมายพอดู มากพอจนสามารถตัดสินใจที่จะดูแลกันและกันไปตลอดทั้งชีวิตได้โดยไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วเกินไป

เปลี่ยนประเด็นมาพูดถึงการมีทายาทแทนการคุยเรื่องแต่งงานกันดูบ้าง พวกคุณทุกคนคิดว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ควรจะมีลูกนั้นควรจะเป็นเวลาเท่าไรหลังจากคนทั้งคู่ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ในกรณีนี้ไม่นับคู่บ่าวสาวที่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่อให้ทายาทออกมาลืมตาดูโลกได้อย่างที่ปู่ ย่า ตา ยาย ไม่ต้องอับอายมนุษย์ขี้นินทามากมายนัก สำหรับผมเองคิดว่าประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับอายุของคนทั้งสองฝ่าย และโอกาสในการใช้ชีวิตที่ผ่านมาและที่กำลังจะผ่านไปหลังจากสถานะของคนทั้งคู่เปลี่ยน บางคู่แทบจะไม่เคยใช้ชีวิตคู่ที่แท้จริงหรือแทบจะไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกันเลย ในช่วงเวลาก่อนแต่งงาน ถ้าเป็นไปในลักษณะนี้การเรียนรู้กันอย่างจริงจังอีกครั้งหลังจากแต่งงานน่าจะต้องการเวลาพอเหมาะพอควรทีเดียวก่อนที่จะตัดสินใจมีอีกหนึ่งชีวิตในความดูแล เพราะมิฉะนั้นแล้วมันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาสังคมมากกว่าถ้าคนทั้งคู่เรียนรู้และพบว่าลักษณะพื้นฐานของคนทั้งคู่นั้น "เข้ากันไมได้" จากที่กล่าวมาในตอนแรกว่าในกลุ่มของพวกเรามีความรักที่เกิดขึ้นหลายรูปแบบและเราก็ต่างใช้ชีวิตอยู่ในความรักของเราโดยที่ไม่ได้ก้าวก่ายกันและกันแต่อย่างใด แต่วันนี้ผมเองจะขอถือวิสาสะก้าวก่ายและลอกเลียนความคิดของเพื่อนในกลุ่มพวกเราและแน่นอนว่ามันอาจจะคล้ายกับความคิดของคนหลายๆกลุ่มในวัยเดียวกันกับพวกเราซึ่งก็ไม่น่าจะมีความคิดเกี่ยวกับการแต่งงานและมีลูกที่แตกต่างกันมากมายแต่อย่างใด มุมมองแรกที่ผมเดาว่าน่าจะมีคนคิดอยู่บ้างก็คือ ดีใจด้วยกับเพื่อนแต่ถ้าให้เลือกขอคบกันไปอย่างนี้ก่อนดีกว่า เพราะยังอยากที่จะใช้ชีวิตโสดและไม่ชอบที่จะพานพบกับคำทักจากเพื่อนที่ว่า "แต่งงานเร็วเชียวนะ" มุมมองถัดไปที่น่าจะมีไม่น้อยไปกว่ากันคือถ้าคบกันกับคนปัจจุบันไปจนถึงช่วงเวลาหนึ่งก็คงจะแต่ง แต่วันนี้ความสัมพันธ์ยังไม่ฝังรากลึกเช่นนั้น การแต่งงานจึงยังเป็นเรื่องไกลตัว จึงทำหน้าที่เพียงยินดีกับเพื่อนเท่านั้น มุมมองอีกมุมที่น่าสนใจก็คือสำหรับผู้ชายที่ยังมีเรี่ยวแรงและเงินที่เพียงพอที่จะท่องเที่ยวและบริหารเสน่ห์ในยามค่ำคืนได้แล้วล่ะก็ คำเดียวที่จะบอกกับเพื่อนได้ก็คือ เสียใจสำหรับการแต่งงานครั้งนี้ด้วย และทั้งสามมุมมองนี้เป็นมุมมองที่แตกต่างกันไปสำหรับเรื่องราวเรื่องเดียวกันที่ผมพอจะสังเคราะห์ได้ในตอนนี้ แต่มีอีกมุมมองที่ผมอยากจะเป็นกำลังใจให้อย่างที่สุด มุมมองนั้นก็คืออย่าเพิ่งไปพูดถึงการแต่งงานเลย แค่คนที่จะมารักกันยังมองไม่ออกเลยว่าจะหาจากที่ไหนแล้วใยจะต้องพูดถึงการแต่งงานให้ช้ำใจกันอีก

ผมเชื่อเหลือเกินว่าทั้งสี่มุมมองต่างหาได้ทั่วไปในสังคมปัจจุบันนี้และในกลุ่มของพวกเราก็น่าจะมีทุกมุมมองครบถ้วนเช่นเดียวกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมกำลังคิดและไม่แน่ใจว่าเพื่อนๆทุกคนคิดเหมือนกันหรือเปล่านั่นก็คือ พวกเราทุกคนมองการแต่งงานและการมีลูกเป็นเป้าหมายหนึ่งที่จะต้องไปให้ถึงในชีวิตที่เกิดมานี้หรือไม่ ผมไม่เถียงว่าถ้ามันเกิดขึ้นด้วยความพร้อมของทุกฝ่าย เรื่องราวเหล่านี้ก็คงจะสร้างความสุขให้กับคนรอบกายของคู่รักคู่นั้นมากมายเกินกว่าที่จะบรรยายได้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นด้วยความหลงผิดคิดว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของคนทุกคน ความคิดนี้อันตรายอย่างแน่นอน คนเราทุกคนเกิดมามีชีวิตที่แตกต่างกันสิ่งนี้ทุกคนต้องยอมรับ เพราะฉะนั้นถ้าตั้งเป้าหมายไว้ที่การแต่งงาน เส้นทางในการเดินก็ดูจะลำบากทีเดียวสำหรับคนหลายๆคน สำหรับผมแล้ว การแต่งงานและการมีลูกเป็นเพียงหลักไมล์หนึ่งในชีวิตที่จะทำให้ชีวิตของเราก้าวไปอีกขึ้นหนึ่งเท่านั้น เป้าหมายของชีวิตที่แท้จริงนั่นคือการทำอย่างไรก็ตามให้ชีวิตของเรามีความหมายและมีความสุขกับสิ่งที่เรารักได้ในทุกๆวัน และถ้าการแต่งงานและมีลูกจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายและมีความสุข มันก็ไม่ผิดเช่นกันที่คุณจะใช้มันเป็นเป้าหมายสำหรับชีวิตที่สะเปะสะปะของคุณในขณะนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การตั้งคำถามและหาคำตอบก็ดูจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพฤติกรรมของมนุษย์ขี้สงสัยอย่างผมในบางช่วงเวลาเท่านั้น เพราะสิ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องทำในช่วงเวลานี้ก็คือร่วมยินดีกับเพื่อนที่ก้าวไปในอีกขึ้นของชีวิตที่เค้าทั้งคู่เลือกที่จะเดินไป

และเมื่อใดก็ตามที่ปาร์ตี้ฉลองการตั้งท้องเริ่มขึ้นนั่นเปรียบเสมือนระฆังเตือนถึงการเริ่มต้นของเจเนอเรชั่นใหม่ที่กำลังจะเข้ามาแทนที่พวกเราในอนาคตอันใกล้นี้ และถ้าพวกเราคนใดยังมัวจมปลักอยู่กับชีวิตที่ไร้ความหมาย เมื่อทายาทตัวน้อยของกลุ่มเติบโตขึ้นก็คงจะเอียงคอสงสัยไม่น้อย ว่าลุงๆป้าๆแก่ๆเหล่านี้ใยจึงใช้ชีวิตราวกับปลาที่เหลือแต่วิญญาณและกำลังปล่อยให้สายน้ำพาชีวิตที่ไร้การต่อสู้ไปสู่ปลายทางที่แม้แต่เจ้าปลาเองยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว สายน้ำจะพามันไปยังที่แห่งใดในผืนน้ำอันกว้างใหญ่ผืนนี้

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 14.เขียนจดหมาย ส่งถึงพี่ ที่เกาะสมุย

พี่รู้หรือเปล่าว่าคนเราทุกคนเติบโตขึ้นได้อย่างไร ด้วยเวลาที่ผ่านไปในทุกวินาทีไม่ได้ทำให้เราโตขึ้น เราแค่แก่ลงต่างหาก ด้วยอาหารทุกมื้อที่เรากินเข้าไปมันก็ไม่ได้ทำให้เราโตขึ้น เราแค่ตัวใหญ่ขึ้นต่างหาก แล้วอะไรกันแน่นะที่ทำให้เราโตขึ้น สำหรับเราสองคน เรื่องราวทุกๆเรื่องราวที่เราก้าวผ่านในทุกวินาทีต่างหากที่ทำให้เราสองคนเติบโตขึ้น เราสองคนตระเวณท่องเที่ยวมาทุกภาคของประเทศ มุ่งมั่นเดินทางแสวงหาความหมายของชีวิตและประสบการณ์ร้อยพันที่จะทำให้เราเติบโตอย่างเข้มแข็ง และทุกที่ที่เราไปเยือนเรามักจะได้สิ่งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งการมาเยือนเกาะที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าวแห่งนี้

พี่รู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตัวมนุษย์คืออะไร สิ่งที่พวกเราทุกคนหวงแหนที่สุดคืออะไร สำหรับเราสองคนคำตอบคือหัวใจ แต่ก็แปลกที่ถึงแม้ของสิ่งนี้จะสำคัญที่สุดจนบางคนไม่กล้าแม้แต่จะ "เปิดใจ" แต่เราสองคนกลับพร้อมที่จะ "ให้ใจ" ไปกับทุกคนที่เราคิดว่าเค้า "จริงใจ" แน่นอนบางคนอาจจะดูแลเราสองคนไม่ดีทำให้เราสองคนต้อง "เจ็บใจ" แต่เราสองคนก็ไม่เคยระวังไปมากกว่าเดิมเพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนที่ให้ใจใครง่ายๆ เราเลือกแล้วที่จะ "วางใจ" กับคนที่เรามองแล้วว่า "ไว้ใจ" ได้เท่านั้น แต่ก็อย่างที่พี่รู้ มนุษย์กับทะเล ชาวเลอย่างพี่คงรู้ดีอยู่แล้วว่าเรา "เชื่อใจ" อะไรได้มากกว่า

พี่รู้หรือเปล่าว่าเราสองคนไว้ใจพี่ตั้งแต่ที่เราคุยกันก่อนที่เราจะมาถึงเกาะแห่งนี้แล้ว เราไว้ใจพี่ผ่านเทคโนโลยีโดยไม่เคยเห็นหน้ากันสักนิด และเมื่อวินาทีแห่งการพานพบมาถึง เราสองคนรู้ตัวทันทีว่าเราไม่ได้ไว้ใจคนผิดแต่อย่างใด ทุกสิ่งที่พี่และครอบครัวแสดงออกต่อเราสองคนเราสัมผัสได้เสมอว่ามีความจริงใจฉาบมาด้วยตลอดเวลา กับข้าวของแม่ทุกอย่างเราสัมผัสได้ด้วยปลายลิ้นแต่รับรู้ได้ด้วยใจว่าแม่ทำทุกจานอย่างใส่ใจ วินาทีที่พี่พูดว่าให้เป็นกันเอง ใช้ชีวิตให้เหมือนบ้าน เหมือนพี่เหมือนน้อง เราสองคนตัดสินใจทันทีที่จะเชื่อ แต่ด้วยการที่เรายังคงต้องกินข้าวสองคนและไม่ได้ช่วยเก็บจาน เราสองคนจึงยังคงรู้สึกว่าพี่ไม่ได้ให้ใจเรามากกว่าลูกค้าทั่วไปในขณะที่เราสองคนให้ไปมากกว่านั้น

และแล้วเราสามคนก็มีโอกาสได้กินข้าวร่วมกัน พี่รู้หรือเปล่าว่าคนเราไม่ได้เติบโตขึ้นเพียงเพราะประสบการณ์ดีๆเท่านั้น ประสบการณ์ร้ายๆกลับยิ่งทำให้เราโตเร็วกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด เหตุการณ์ทุกอย่างสร้างความผิดหวังให้กับเราทุกคนว่าสุดท้ายแล้วมนุษย์ยังคงน่ากลัวกว่าทะเล สึนามิยังมีลางบอกเหตุแต่มนุษย์ใจทรามไม่เคยเตือนเราเช่นนั้นเลย แต่หลังจากสึนามิผ่านไป นักท่องเที่ยวยังคงกลับมาหาทะเลเช่นเดิม มันเพราะอะไรกันนะ ทำไมพวกเราทุกคนจึงเลือกจดจำแต่สิ่งที่สวยงาม พี่คิดว่าเพราะอะไรกันนะ

เราสองคนเองก็เลือกจดจำแต่สิ่งที่สวยงาม พี่รู้ไหมว่าทำไม ชีวิตคนมันสั้นเหลือเกินพี่เอ๋ย ถ้าเราต้องตกอยู่ในวังวนของความไม่เชื่อใจสิ่งต่างๆรอบกาย เราคงไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแน่นอน แล้วพี่ล่ะเลือกมองที่ส่วนไหน เมื่อพี่อ่านจบพี่คงรู้แล้ว่วาจะวางเราสองคนไว้ตรงไหน ลูกค้าหรือว่าพี่น้อง แต่สำหรับเราสองคน เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่และครอบครัวอยู่ตรงไหน สำหรับเราสองคนถ้าลองเรียกใครว่าพี่ ว่าพ่อ หรือว่าแม่แล้ว ความหมายไม่เคยผิดเพี้ยน เรียกอย่างไรเราสองคนรักอย่างนั้น และด้วยความที่เราเป็นอย่างนั้น เราไม่เคยสบายใจที่พี่ต้องชดใช้กับสิ่งที่พี่ไม่ได้เป็นคนทำ เราสองคนไม่มีอะไรจะมอบให้ แต่ขอส่งน้ำใจดีๆที่พี่มอบให้ ส่งกลับคืนมาภายในจดหมายนี้ เราขอร้องให้พี่รับน้ำใจของเรากลับไปโดยไม่อิดออดแม้เพียงนิด เพราะนี่เป็นสิ่งง่ายๆเพียงสิ่งเดียวที่มนุษย์ยังคงให้กันได้บนโลกที่สวยงามใบนี้

สุดท้ายอยากให้พี่และครอบครัวรู้ไว้เสมอว่า อย่าสิ้นหวังในความดีของมนุษย์ ไม่ว่าเหตุการณ์ร้ายๆจะผ่านเข้ามามากเท่าไรก็ตามเพราะวันนึงมันก็จะต้องผ่านไป เหลือทิ้งไว้เพียงประสบการณ์ที่ทำให้พวกเราทุกคนเติบโต ขอเพียงพี่เชื่อในความสวยงามของทะเลมากกว่าที่จะจำติดตากับภาพสึนามิ ทะเลจะยังคงสวยงามเฉกเช่นนี้ต่อไป มนุษย์เองก็คงเช่นกัน พี่ว่าอย่างนั้นไหม

ถ้ามีใครถามเราสองคนว่า ไปสมุยมาเป็นอย่างไรบ้าง เราคงจะบอกแต่เพียงว่า "ไอทะเล" ที่นั่นมัน "ชื่นใจ" มากจริงๆ