วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

“รักเธอด้วยหัวใจ”

"รักเธอด้วยหัวใจ"

ผมเป็นคนที่ไม่มีทรัพย์สินใดๆติดตัว
ผู้คนที่รู้จักและพบเห็นต่างเรียกผมว่า “คนจน” อย่างสะดวกปาก
ต้นตระกูลผมเองก็ไม่ได้มีมรดกตกทอดแต่อย่างใด
แต่ถึงอย่างไรผมก็มีความรัก
คนรักของผมให้โอกาสคนจนเช่นผม เพราะผม
“รักเธอด้วยหัวใจ”

เมื่อวันที่ความรักของเราสองสุกงอม
ผมขอเธอแต่งงานอย่างสุดแสนจะโรแมนติก
เท่าที่คนจนอย่างผมจะทำได้

และไม่รู้ว่าเทวดาท่านใดที่ดลใจเธอ
เธอตัดสินใจยอมลำบากกับผม
เธอบอกผมว่า
ความต้องการของเธอมีเพียงแค่ขอให้ผม
“รักเธอด้วยหัวใจ”

เราแต่งงานกันและตัดสินใจย้ายมาอยู่ร่วมกัน
ผมรักเธอ กอดเธอ จูบเธอ
และส่วนใหญ่เราลงเอยด้วยการร่วมรักกัน

ผมไม่ได้ไปทำงานในบางวันเพราะฝืนร่างกายไม่ไหว
ผมเพลียกับการร่วมรักตลอดทั้งค่ำคืน
จะอย่างไรเธอยังอยู่กับผมเพราะผมรักเธอ
“รักเธอด้วยหัวใจ”

วันหนึ่งเงินเก็บของเราทั้งสองเริ่มร่อยหรอ
เหตุผลก็เป็นเพราะผมแทบจะไม่ได้ไปทำงาน
เธอถามว่าชีวิตคู่ของเราจะไปกันรอดไหม
ผมบอกว่ารอดเพราะผมรักเธอ
“รักเธอด้วยหัวใจ”

หลังจากนั้นผมกอดเธอ จูบเธอและสุดท้าย
เรายังคงร่วมรักกันเหมือนเคย

ผมโดนไล่ออกจากงานเพราะไม่ค่อยได้ไปทำงาน
ผมถามเธอว่าผมยังคงรักเธอด้วยหัวใจ
เธอจะลำบากกับผมไหม

เธอสบตาผม สายตาเธอตะโกนปฏิเสธผม
ผมวิงวอนเธอด้วยแววตา เพียรถามเธอว่าทำไม
เพราะในวินาทีนี้ผมยังคง
“รักเธอด้วยหัวใจ”
“……”

รวมเล่ม 19.6 เรื่องสั้นขยันซอยเรื่องที่ "เพื่อน"

เราเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก
บ้านของเราสองคนก็อยู่ข้างกัน
เราเคยชอบผู้หญิงคนเดียวกัน
แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะเรารักกัน
เราเชียร์ฟุตบอลคนละทีม
แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะเรารักกัน
เราเคยไปสัมภาษณ์งานด้วยกัน
บริษัทรับเพื่อนผมเข้าทำงานแค่เพียงคนเดียว
แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะเราคือเพื่อนกัน
วันนี้เราเจอกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานับตั้งแต่เริ่มทำงาน
"นายเสื้อสีอะไร" เพื่อนผมถามคำถามแรกเมื่อเราเจอกัน
เราใส่เสื้อคนละสี
แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเราสองคนรักกัน (หรือเปล่า?)

รวมเล่ม 19.5 เรื่องสั้นขยันซอยเรื่องที่ "ครอบครัว"

เขาและเธอรักกันและตัดสินใจแต่งงานกัน
เวลาผ่านไปสองปีเธอและเขาตัดสินใจมีลูกเพราะไม่อยากอยู่กันแค่สองคน
เขาเลี้ยงลูกชายเป็นอย่างดีและส่งร่ำเรียน
ลูกของเขาและเธอโตขึ้นทุกวันจนกระทั่งต้องเข้าเรียนโรงเรียนมัธยม
เขาและเธอส่งลูกไปเรียนโรงเรียนประจำ
พอเรียนจบจึงส่งไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพและต้องเช่าหอพักอยู่
สุดท้ายลูกชายเขาจบมหาวิทยาลัยและไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ
หลังจากเรียนจบกลับมาจึงได้งานดีๆที่กรุงเทพและเช่าหอพักอยู่
สุดท้ายเขาพบรักจึงแต่งงานและซื้อบ้านอยู่กับแฟนสาว
เขาและแฟนสาวตัดสินใจมีลูกเพราะไม่อยากอยู่กันแค่สองคน

“เลิกกันเลยดีไหม”

เราตัดสินใจคบกันเมื่อไม่นานมานี้
ตลอดเวลาเรามักจะมีเรื่องไม่ลงรอยกันตลอด
ผมมักจะเถียงกับเธอด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เธอมักจะท้าผมด้วยความอารมณ์ร้อน
“เลิกกันเลยดีไหม”
หลังจากนั้น ผมมักจะใช้เวลาง้อเธอสักพัก
สุดท้ายแล้วเราก็รักกันเหมือนเดิม
แต่ส่วนใหญ่ อีกไม่กี่วันถัดมา
เราก็มักจะทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆเรื่องใหม่
เธอท้าผมด้วยความอารมณ์ร้อน
“เลิกกันเลยดีไหม”
ผมยังคงพยายามง้อเธอเสมอ
ถึงแม้จะยากกว่าเดิมสักนิด
แต่เมื่อเธอหายโกรธ เราก็รักกันเหมือนเดิม
มาวันนี้เราก็ทะเลาะกันอีกครั้ง ด้วยเรื่องเดิม
เธอยังคงท้าผม
“เลิกกันเลยดีไหม”

ผมครุ่นคิด ไตร่ตรองหาหนทาง
นานมาแล้วที่ผมเป็นฝ่ายยอมรับผิด
นานมาแล้วที่ผมเป็นฝ่ายง้อเธอเสมอ
และผมคิดว่าวันนี้มันน่าจะถึงเวลาเปลี่ยนแปลง
ผมตัดสินใจไม่ง้อเธอ
ผมบอกกับเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
“ดี เราเลิกกันเถอะ”
เธอเงียบ ไม่ตอบโต้ และเลือกที่จะเดินจากไป
ผมนั่งอยู่คนเดียวในห้องกว้างเฝ้าคิดว่าผมทำถูกหรือไม่
อีกไม่กี่วันเธอกลับมาหาผม
เธอบอกว่าเธออยากจะขอคืนดี
เธอพยายามง้อผม
ผมถามว่าทำไมเธอชอบท้าผม
ทำไมเธอไม่เคยง้อผม
ทำไมเธอเลือกที่จะเดินจากผมไป
เธอร้องไห้ น้ำตานองหน้า
เธอบอกว่าเธอ “ไม่ได้ตั้งใจ”

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 19.3 เรื่องสั้นขยันซอยเรื่องที่ "เปลือง"

ผมเดินซื้อของอยู่ในห้าง
หนังสือเล่มนี้น่าอ่าน แต่ราคาตั้ง 200 เอาไว้ก่อนละกัน "เปลือง"
อัลบั้มนี้น่าฟังจัง แต่ราคาตั้ง 200 เอาไว้ก่อนละกัน "เปลือง"
หนังเรื่องนี้น่าดูจัง แต่ค่าตั๋วตั้ง 140 เอาไว้ก่อนละกัน "เปลือง"
กลับบ้านไปเปิดเน็ตอ่านฟรีดีกว่า
กลับไปจะโหลดเพลงฟังด้วย สบายดีไม่เสียเงิน
โหลดหนังดูด้วยดีกว่าไหนๆก็จะโหลดแล้ว
ว่าแต่สิ้นเดือนนี้จะทำอย่างไรดีนะ เงินไม่พอใช้แล้ว
ไหนจะ notebook ตัวใหม่ที่ถอยมา
ไหนจะ iPhone ยังผ่อนไม่หมด
ไหนจะ BB ที่เพิ่งจะซื้อมา
ไหนจะแต่งรถอีก
แล้ว iPAD จะเอาดีไหมนะ? "เปลือง"

รวมเล่ม 19.2 เรื่องสั้นขยันซอยเรื่องที่ "ครุ่นคิด"


ผมกำลังแปรงฟัน
ผมมองไปที่กระจกและครุ่นคิดว่าจะทำอะไรต่อไปเพื่อให้ชีวิตของผมดีขึ้น
ย้ายงานไปในที่ที่ดีกว่า
ประหยัดลดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยและเก็บเงินให้มากขึ้น
ทำตามความฝันที่อยากจะทำมาตั้งแต่เด็กๆ
ทุกอย่างที่ผมเคยคิดอยากจะทำวนเวียนอยู่ในหัว
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น
ผมรีบบ้วนปากและออกไปรับโทรศัพท์
"ไปกินเหล้ากันโว้ย ที่เดิมนะ อย่าให้พวกกูรอนานล่ะ"
ผมครุ่นคิดสักครู่ก่อนที่จะตอบตกลง
ส่วนสิ่งที่จะทำน่ะหรือ
ไว้วันหลังก็แล้วกัน

“รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”

ช่วงเวลา “เช้าตรู่” ที่แสนสดชื่นมาเยือนผมเหมือนในทุกวัน
แน่นอนว่ามันไม่เคยสนใจว่าผมจะต้องการมันหรือไม่
จะอย่างไรมันก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างนั้น
“ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”
วันนี้ผมใส่ชุดนอนชุดเดิมเหมือนเช่นทุกวัน
ชุดนอนผมกับเช้าวันใหม่มีอะไรที่คล้ายกัน
เพราะมันทั้งคู่ไม่เคยเปลี่ยน
และบนโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่สองสิ่งนั้นที่ไม่เปลี่ยน
อีกสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมตลอดเวลาคือตัวผม
ผมยังคงชะเง้อมองหาเธอผู้เป็นที่รักเฉกเช่นทุกวัน
“ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”
แต่วันนี้อะไรบางอย่างแตกต่างจากเมื่อวาน
วันนี้เธอมาหาผมอย่างที่ผมไม่เคยคาดคิด
ผมยืนมองตรงไปที่เธอด้วยสายตาที่ยากจะบอกความรู้สึก
เมื่อวานทำไมเธอไม่มาหาผม
ผมเฝ้าถามตัวเองอยู่อย่างนั้นและยังไม่คิดจะให้อภัยเธอ
แต่แล้วเธอก็เดินเข้ามาหาผม
แววตาของเธอไม่ได้แสดงว่ารู้สึกผิดแต่อย่างใด
ผมครุ่นคิดในใจว่าวันนี้จะเริ่มต้นทักทายเธอด้วยคำพูดไหน
แต่ระหว่างที่ผมมองเธอมันเหมือนมีอะไรบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่มันกั้นขวางระหว่างเราไว้
สุดท้ายคำพูดของเธอก็ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์
“เมื่อวานติดธุระเลยมาเยี่ยมพี่ไม่ได้”
“แต่วันนี้ซื้อข้าวผัดกับชาดำเย็นมาฝากเหมือนเดิม”
“วางไว้บนโต๊ะจ่าโน่นนะ”
ผมเผลอยิ้ม เผลอยิ้มและลืมว่ายังโกรธเธออยู่
ผมเอามือสองข้างยื่นทะลุบางอย่างที่กั้นขวางระหว่างเราไว้
ผมอยากสัมผัสเธอ แต่ก็ทำได้แค่ยื่นมือออกมา
แต่แค่นั้นก็เพียงพอ
ผมมองตาเธออีกครั้ง แววตาเธอพยายามบอกผม
ไม่ว่าอะไรที่กั้นขวางระหว่างเราไว้ มันจะขวางได้แค่กาย
ถ้าใจของเราสองคน
“ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง”
ระหว่างกำลังอ่านแววตา ท้องผมร้องออกมา ผมยิ้มอีกครั้ง
ยิ้มโดยไม่รู้ว่ายิ้มให้กับ “ข้าวผัด” หรือยิ้มให้กับ “เธอ”

DREAM บทที่ 4 โอกาสสุดท้าย




“พรุ่งนี้เจอกันที่สนามนะโว้ย อย่าไปสายล่ะ” เทพ ย้ำกับโยและนัทอีกครั้งเพื่อไม่ให้เพื่อนผิดเวลา เพราะเวลาของพวกเขากำลังใกล้เข้ามาทุกที บีอีซี เทโรศาสน คือสโมสรที่พวกเค้าตัดสินใจที่จะไปคัดตัวกันในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากมองเห็นแล้วว่าถึงแม้ฤดูกาลที่แล้วพวกเขาจะได้แค่อันดับสาม แต่จากการที่มีนายทุนหนุนหลังอยู่น่าจะทำให้ปีนี้เป็นปีที่สวยงามของบีอีซีเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าทั้งสามคนจะนับได้ว่าเป็นผู้เล่นที่มีระดับฝีเท้าหาตัวจับยากในแวดวงฟุตบอลนักเรียน แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ระดับไทยแลนด์ลีกแล้วทั้งสามคนก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสามารถยึดตัวจริงของทีมระดับนี้ได้หรือไม่ แต่การมาคัดตัวครั้งนี้เป็นเพียงการคัดเพื่อเข้าสู่การเป็นเยาวชนฝึกหัดของสโมสร แต่รางวัลสำหรับผู้เล่นที่ฝีเท้าถึงขั้นจริงๆก็คือจะถูกดันขึ้นชุดใหญ่ได้เลยโดยที่อายุไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด และด้วยข้อแม้ข้อนี้นี่เอง เทพ โย และนัท ก็เลยไม่ได้หวังแค่คัดตัวติดเป็นเยาวชนของสโมสรแค่นั้น แต่ยังหมายตาไปถึงการเป็นกลุ่มผู้เล่นในทีมชุดใหญ่อีกด้วย และเป้าหมายต่อไปของพวกมันคือการโชว์ฝีเท้าในไทยแลนด์ลีกให้เต็มที่เผื่อที่ว่าจะมีแมวมองในยุโรปคนใดชายตามองลงมาที่ลีกเล็กๆแห่งนี้บ้างก็เท่านั้น

“เอ็งเล่นตำแหน่งอะไร” โค้ชพูด “กองหน้าตัวต่ำหรือกองกลางตัวรุกครับ” เทพพูด “งั้นไปอยู่ทีมสีแดงเพราะสีน้ำเงินชาคริตมันยืนหน้าอยู่แล้ว” โค้ชพูดถึงชาคริต อีกหนึ่งดาวรุ่งร่วมรุ่นเราที่ฝีเท้าพอตัวเลยทีเดียว “แล้วเอ็งล่ะ”โค้ชถาม “กองหลังตัวกลางครับ” โยตอบ “นั้นไปอยู่ทีมสีแดง เพราะสีน้ำเงินมีทั้ง ปรัชญ์ ทั้งธฤติ แล้ว” สองคนที่โค้ชพูดถึงนั้นเป็นสองคนในรุ่นเดียวกับเราที่เล่นตำแหน่งเดียวกับโยและมีฝีเท้าที่พอจะวัดกันได้อย่างสูสี “คนสุดท้ายเห็นกรอกมาว่าเล่นปีกซ้ายใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ไปทีมสีแดง เล่นกับเพื่อนเอ็ง” โค้ชบอกนัท “ดีว่ะเราได้อยู่ทีมเดียวกัน แต่ทีมน้ำเงินก็ไม่ธรรมดาเลยนะนั่น พวกที่เรารู้จักมันก็มาคัดตัวกันด้วย” นัทเอ่ยบอกเพื่อน “กูล่ะดีใจ มีทั้งปรัชญ์และธฤติ จะได้วัดกันไปเลยงานนี้” โยยิ้มอย่างสะใจ “กูสิอยู่ทีมตรงข้ามมัน ถ้ายิงหรือจ่ายไม่ได้ เกิดชาคริตมันยิงเข้ากูไม่ติดแน่คราวนี้ ชาคริตมันก็ไว้ใจไม่ได้ซะด้วยกูฝากมึงด้วยล่ะโย”เทพเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “มึงไม่ต้องห่วง กูหยุดมันได้แน่” โยพูด “พวกมึงลืมใครไปหรือเปล่าวะ มึงเห็นนั่นหรือเปล่า ที่ทีมโรงเรียนเราเกือบแพ้มันคราวนั้น” นัทพยักหน้าไปทางทีมสีน้ำเงิน “ดัสกรนี่หว่า” โยกับเทพพูดเกือบจะพร้อมกัน “เอาวะ สนุกแน่วันนี้ เล่นให้เต็มที่วะพวกเรา ยังไงๆเราสามคนก็ไม่เป็นรองใครล่ะวะ เพื่ออนาคตโว้ย สู้” เทพกล่าวอย่างคะนอง พวกมันทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างเพื่อนรักอีกครั้ง หลังจากโค้ชประกาศรายชื่อเพื่อแบ่งผู้เล่นที่มาคัดตัวออกเป็นสองทีมแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ 22 คนสุดท้ายที่ถูกคัดมา จะต้องมาเล่นทีมแข่งขันกันเพื่อหาแค่ 5 คนสุดท้ายที่จะได้เข้าเป็นเยาวชนฝึกหัดของบีอีซี เทโรศาสน กันแล้ว และหลังจากเสร็จสิ้นการอบอุ่นร่างกาย เวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ทีมสีน้ำเงินมีพวกที่เรารู้จักและเคยปะทะฝีเท้ามาแล้วมากมายนำทีมโดย ดัสกร เล่นเป็นตัวทำเกม กองหน้าเป็นคู่ระหว่างชาคริตและจักรพันธ์ คู่กองหลังเป็นธฤติและปรัชญ์ ส่วนทีมสีแดงก็มีทั้งเทพ โยและนัทอยู่ทีมเดียวกัน ทีมสีน้ำเงินเป็นฝ่ายเขี่ยลูกไม่กี่วินาทีที่บอลเคลื่อนไหว เจ้าลูกกลมก็กลิ้งไปเข้าเท้าชั่งทองของดัสกรทันที เทพปราดเข้าไปประชิดหวังตัดบอลอย่างรวดเร็ว แต่นั่นไม่ได้พ้นสายตาของเจ้าดัสกรไปได้ มันถ่ายบอลออกข้างให้กับปีกขวาของทีมได้อย่างทันท่วงทีทำเอาเทพเสียดายเล็กน้อยที่จังหวะจู่โจมนี้พลาดเป้าไป ปีกขวาของทีมสีน้ำเงินกระชากขึ้นมาทางริมเส้นและด่านแรกที่มันต้องเผชิญก็คือนัทซึ่งประจำการทางฝั่งนี้อยู่ นัทไม่รีบร้อนเข้าปะทะแต่ยืนดักทางอยู่โดยบังไม่ให้กระชากออกทางขวาเพราะสังเกตตั้งแต่ตอนจับบอลแล้วว่าเจ้าปีกขวาคนนี้ถนัดเท้าขวาข้างเดียวแน่ๆ แต่ด้วยความที่เจ้านี่ไม่ได้เป็นคนหวงบอลแต่อย่างใด เขาถ่ายบอลคืนให้กับดัสกรอย่างง่ายๆ ทำให้นัทเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้ดวลกันตัวต่อตัวอย่างที่มันชื่นชอบ เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่เกมของทีมสีแดงคลายตัวลง ดัสกรก็อาศัยสายตาและการวางบอลที่ชาญฉลาด วางบอลข้ามหัวกองหลังฝั่งขวาของคู่ต่อสู้ไปสู่พื้นที่สุดท้ายของทีมเรา และที่นั่นจักรพันธ์ฉีกตัวออกมาจากโซนรับเพื่อมารับบอลลูกนี้อย่างรู้ใจกันในทันที และเนื่องจากกองหลังฝั่งขวาของเราหลุดตำแหน่งไปแล้วนั่นทำให้คนที่จักรพันธ์กำลังลากจี้เข้าหาอยู่นั้นคือกองหลังตัวกลางของทีมสีแดงอีกคนที่เล่นคู่กับโยนั่นเอง และด้วยจังหวะการข้ามบอลหลอกเพียงแค่ครั้งเดียว จักรพันธ์ก็สามารถกระชากหลุดกองหลังไปถึงเส้นหลังได้โดยง่ายดายราวกับฉีกกระดาษ โยไม่พรวดเข้ามาเพราะหน้าประตูยังมีชาคริตที่ยืนรอบอลอยู่ อีกทั้งเพื่อนๆยังตามลงมาไม่ทัน จักรพันธ์ตัดสินใจกระชากขนานเส้นหลังเข้าไปบีบให้โยต้องเข้ามาปิดมุมอย่างรวดเร็ว ทำให้เค้าไม่สามารถจะผ่านบอลมาให้ชาคริตทำสกอร์ได้ แต่จักรพันธ์ก็มีทางเลือกที่ดีกว่านั้น เพราะหน้าเขตโทษตอนนี้ ดัสกรเติมขึ้นมาถึงหน้าเขตโทษแล้ว จักรพันธ์จ่ายย้อนมาหน้าเขตโทษให้กับดัสกร เจ้าหนุ่มน้อยแตะบอลเข้าขวาข้างถนัดแล้วตั้งท่าบรรจงยิงเพื่อที่จะส่งบอลเสียบสามเหลี่ยมเสาสองตามที่ตั้งใจไว้ แต่ทันใดนั้นเอง เทพที่ตามลงมาตั้งแต่แดนคู่ต่อสู้ก็ขโมยบอลจากด้านหลังไปในชนิดที่ดัสกรไม่ทันรู้ตัว มันฉุนเฉียวเพื่อนร่วมทีมทันทีที่ไม่มีใครบอกมันว่าข้างหลังมันมีเทพตามมาด้วย แต่เทพไม่รอให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ มันโชว์สเต็ปถนัดไขว้หลอกด้วยเท้าขวาก่อนใช้เท้าซ้ายแตะออกข้างซ้ายของตัวเองเพื่อหลบกองกลางตัวรับของคู่ต่อสู้ที่เข้ามาเพื่อตัดเกม ก่อนจะกระชากบอลผ่านกึ่งกลางของแดนตัวเองขึ้นมา กองหลังของคู่ต่อสู้ยังอยู่ครบทั้ง 4 คน อีกทั้งปีกขวาก็ยังอยู่ในแดนตัวเอง แต่เทพคิดว่าสถานการณ์นี้ทีมของตัวเองน่าจะได้เปรียบเพราะนัทได้เติมขึ้นมาทางปีกซ้ายแล้ว เทพยังคงกระชากผ่านเส้นกลางสนามเข้ามาในแดนของคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว ความเร็วในการไปกับบอลของมันแทบจะไม่เป็นรองใครในหมู่พวกเราหรือจะพูดได้ว่าไม่เป็นรองใครในหมู่นักเตะเยาวชนเลยก็ว่าได้ ระหว่างที่มันกำลังกระชากขึ้นมานั้น เหล่ากองกลางของทีมสีน้ำเงินก็วิ่งควบกลับมาเพื่อไล่ล่าบอลคืนไปอีกครั้ง เทพเห็นแล้วว่าไม่ควรเสี่ยงใดๆจึงขวางบอลออกมาทางซ้ายให้กับนัทเพราะเห็นว่าการเจาะทางริมเส้นน่าจะเป็นงานที่ง่ายกว่าเพราะตรงกลางยังมีสองกองหลังตัวเก่งยืนดักรอสกัดอยู่อย่างหนาแน่น ปีกขวาของคู่ต่อสู้ที่ยืนประกบนัทอยู่โถมเข้าเสียบสกัดใส่นัทแทบจะในจังหวะเดียวกับที่บอลมาถึงเลยทีเดียว นัทตัดสินใจโยกหลอกว่าจะเข้าไปเล่นบอลจากนั้นดึงจังหวะปล่อยให้บอลไหลผ่านการเสียบสกัดมาอย่างง่ายๆก่อนแตะบอลหนีไปราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจการเสียบสกัดนั้นเอาเสียเลย นัทกระชากขึ้นหน้าไปอย่างได้ใจ กลิ่นหญ้า ความเร็วลมและแสงแดดในขณะนี้คือสิ่งที่นัทรู้สึกว่าคุ้นเคยเหลือเกิน และเหงื่อที่ชโลมกายอยู่ในขณะนี้มันเปรียบเสมือนน้ำทิพย์ที่คอยชโลมใจพวกเราอยู่ในทุกขณะจิตเลยทีเดียว แต่นัทมีเวลาชมธรรมชาติอยู่ได้ไม่นาน กองกลางตัวรับของคู่ต่อสู้ก็มาถึง นัทเหลือบมองไปทางเทพที่เข้ามารองบอลก็เห็นว่าดัสกรเองก็มายืนอยู่ใกล้ๆเทพแล้ว เพราะฉะนั้นมันจึงเลือกที่จะใช้ความสามารถเฉพาะตัวแหวกเข้าไป เมื่อมันเริ่มกระชากเจ้ากองกลางตัวรับทีมสีน้ำเงินก็เข้ามาประกบทันที นัทเลือกใช้การตบบอลเข้าในด้วยเท้าซ้าย อ้อมหลังตัวสกัดเข้ามาในแบบที่โรแบร์โต คาร์ลอสชอบใช้อยู่เป็นประจำเวลาที่ควบบอลขึ้นมาริมเส้นอย่างรวดเร็วแล้วมีตัวประกบตามเข้ามาประชิด ด้วยความเร็วของนัทที่ใช้ท่านี้ทำให้เจ้าหนุ่มที่เข้ามาประกบถึงกับลื่นล้มก้นจ้ำเบ้าเพราะตัวเองต้องการจะกลับตัวด้วยความเร็วสูงเพื่อเข้ามาแย่งบอลนั่นเอง นัทกระชากเข้าในเพื่อไปเผชิญหน้ากับสองกองหลังตัวเก่ง พร้อมทั้งมีกองหน้าของทีมสีแดงอีกสองคนคอยวิ่งทำทางให้เป็นอย่างดี นัทเลี้ยงจี้เข้าไปตรงกลางเรื่อยๆอย่างรออะไรบางอย่าง และแล้วเมื่อเจ้าธฤติโดดเข้ามาขวางหน้าเป็นคนแรก นัทเลือกที่จะฝากบอลให้กับกองหน้า ส่วนตัวเองก็วิ่งทำทางเพื่อแสดงให้เพื่อนเห็นว่าต้องการให้ชิ่งหนึ่งสองมาในจังหวะแรกนี้เลย เจ้ากองหน้าตัดสินใจไม่ชิ่งกลับมาแต่เลือกที่จะดึงบอลเข้าเท้าขวาหวังสร้างผลงานให้เข้าตาโค้ชในจังหวะนี้ แต่ไม่ทันจะได้ง้างสับไกเจ้าธฤติก็เข้ามาประชิดเร็วราวกับว่ารู้ถึงการตัดสินใจในจังหวะนี้ของคู่ต่อสู้ แต่แล้วเทพก็ทำให้เพื่อนมีทางเลือกมากขึ้นด้วยการวิ่งอ้อมหลังไปทางฝั่งขวาเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับเพื่อน เจ้าหนุ่มกองหน้าตัดสินใจจ่ายบอลให้เทพในจังหวะที่เหมาะสมเลยทีเดียว แต่ด้วยการจ่ายบอลที่อ่านออกง่ายเกินไปครั้งนี้นี่เอง ทำให้เจ้าปรัชญ์สกัดตัดบอลไปได้ก่อนที่บอลจะเข้าเท้าเทพ ทางบอลของปรัชญ์เองเป็นที่เรื่องลือในหมู่บอลนักเรียนอยู่แล้ว เขาถนัดที่จะเป็นคนรอดักบอลมากกว่าที่จะเข้าปะทะเป็นคนแรกและในคราวนี้เขาก็แสดงให้เราเห็นกันอีกครั้ง ปรัชญ์ฝากบอลให้กับดัสกรที่มารอรับบอลอยู่หน้าเขตโทษอย่างรู้จังหวะ เขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถอันเหนือชั้นอีกครั้งด้วยการพลิกบอลและวางบอลยาวมาให้ชาคริตทางริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนที่เจ้าชาคริตจะเอาบอลลงอย่างนิ่มนวลก่อนเงยหน้ามองสถานการณ์ตรงหน้า ขณะนี้แนวรับทีมสีแดงของโยนั้นดันขึ้นมาสูงเกินไปจนเปิดพื้นที่ด้านหลังว่างจนเกิดไปอย่างเห็นได้ชัด โยเองเลือกที่จะใช้แผนล้ำหน้าเพื่อจัดการกับปัญหานี้ในทันท่วงที แต่การเช็คล้ำหน้านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจซึ่งกันและกันในจังหวะการดันขึ้นเช็คของกองหลังทั้งแผงซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆในการคัดนักฟุตบอลที่มาจากคนละทิศละทางอย่างนี้ โยจึงตัดสินใจถอนตัวเองถอยลงมารอดักบอลหลังจากเห็นการเคลื่อนที่อันไม่สัมพันธ์กันของเพื่อนๆกองหลังที่น่ากลัวจะเสียประตูเป็นอย่างยิ่ง แต่แล้วในจังหวะนั้นเองชาคริตตัดสินใจแทงบอลทะลุช่องให้กับจักรพันธ์ที่วิ่งสอดแนวรับเข้ามาในจังหวะพอเหมาะพอดี และนั่นเองทำให้ผู้กำกับเส้นไม่ได้ยกธงในจังหวะนี้ จักรพันธ์ควบตะบึงเข้าหาเขตโทษอย่างได้ใจ แต่มันเองก็ไม่ได้กระหยิ่มยิ้มย่องมากนักเพราะรู้ฝีเท้าของโยดีอยู่เช่นกัน หน้าเขตโทษตอนนี้มีเพียงโยและนายทวารเท่านั้นที่รอต้อนรับกองหน้าดาวรุ่งผู้นี้อยู่ แต่แล้วชาคริตก็วิ่งเติมขึ้นมาทางขวาอีกครั้งทำให้สถานการณ์ตอนนี้โยเป็นรองเสียแล้ว ความตั้งใจของจักรพันธ์คือการพาบอลเข้าไปเพื่อบีบให้โยเข้ามาแย่งบอลก่อนหาจังหวะที่ดีที่สุดปล่อยบอลไปให้ชาคริตจัดการกับนายทวารคู่ต่อสู้ โยรู้ทางเป็นอย่างดีว่ากองหน้าคู่แข่งกำลังรอจังหวะอะไรอยู่แต่ด้วยสถานการณ์บีบคั้นทำให้มันไม่สามารถที่จะพรวดพราดเข้ามาสกัดคู่ต่อสู้ได้ โยยืนปิดมุมในจุดที่คิดว่าดีที่สุดที่จะรับมือกับคู่ต่อสู้สองคนได้ จักรพันธ์เองก็รอจังหวะนั้นอย่างจดจ่อ ก่อนที่จะเลือกที่จะกระชากไปให้สุดเส้นเพื่อดึงให้โยตามเข้าไปสกัด โยตามเข้าไปหมายจะขย้ำให้อยู่ในการเข้าสกัดเพียงครั้งเดียว แต่เจ้าหนุ่มกองหน้าก็มีทักษะที่ดีพอที่จะหยุดบอลไว้หมายจะดวลตัวต่อตัวกับโยอีกครั้งทั้งๆที่บอลอยู่แทบจะติดกับเส้นหลังแล้วทีเดียว จักรพันธ์สับขาหลอกอย่างคล่องแคล่วเพื่อหลอกโยให้เสียจังหวะการยืน แต่การหลอกแบบนี้นั้นสามารถใช้ได้กับกองหลังคนอื่นเท่านั้น ไม่ใช่โย โยสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วพร้อมดึงบอลกลับมาในครอบครองชนิดที่กองหน้าแทบจะไม่ทันรู้ตัว จากนั้นมันตัดสินใจพาบอลขึ้นมาแหวกทั้งชาคริตและดัสกรที่หมายจะเข้ามาสกัดแต่ว่าทั้งสองคนนั้นก็ช้าจนเกินไปที่จะมาสกัดบอลโยได้ในจังหวะนี้ โยควบตะบึงขึ้นมาราวกับอัดอั้นมานาน มันไม่สนใจการเรียกบอลของใครทั้งสิ้นแม้กระทั่งเทพและนัท สองคนก็แล้วสามคนก็แล้วที่พยายามเข้ามาสกัดแต่ไม่มีใครต่อต้านความแข็งแกร่งในการครองบอลของมันได้เลย และเมื่อมาถึงระยะ 40 หลาก่อนถึงประตูคู่ต่อสู้ มันก็ตัดสินใจยิงอย่างสุดแรง

หน้าร้อนปีนี้มีอุณหภูมิที่สูงพอที่จะทำให้เด็กๆทุกคนที่ยืนรอฟังผลการตัดสินใจของโค้ชอยู่นี้เหงื่อไหลอาบเสื้อกันไม่หยุดทั้งๆที่การแข่งขันจบลงราว 1 ชั่วโมงแล้ว ผมไม่รู้ว่าเหงื่อที่ไหลออกมานั้นมาจากอากาศหรือความตื่นเต้นภายในตัวของพวกเขากันแน่ ผลกันแข่งขันทีมสีแดงเอาชนะไปได้ 2 – 1 โดยทีมสีแดงได้ประตูจากเทพและนัทที่ผลัดกันยิงผลัดกันจ่ายคนละลูก และสีน้ำเงินได้ประตูจากชาคริตที่ได้บอลจากการจ่ายของดัสกรนั่นเอง โยเองเสียดายเป็นอย่างมากที่ลูกยิง 40 หลาของมันชนคานดังสนั่น แต่เพื่อนๆคิดว่านั่นก็เพียงพอแล้วที่จะโชว์ฟอร์มให้เข้าตาโค้ชเพื่อให้ตัวมันได้เป็น 1 ใน 5 ที่จะเข้าเป็นเยาวชนของบีอีซีต่อไป การต่อสู้เมื่อคู่เป็นไปอย่างถึงพริกถึงขิง ทั้งสองทีมต่างกำความหวังและความฝันของตัวเองเข้าห้ำหั่นกันอย่างเต็มที่ ทุกคนทำราวกับว่านี่คือโอกาสครั้งสุดท้ายที่พระเจ้าประทานมาให้พวกเขา และแล้วในขณะนี้ชายผู้ที่กุมชะตาของพวกเขาไว้ก็กำลังจะประกาศรายชื่อ 5 คนสุดท้าย “ฟังให้ดีๆนะ นี่คือรายชื่อของทั้ง 5 คนที่โค้ชคัดเลือกมา ใครไม่ติดไม่ต้องเสียใจปีหน้ามาใหม่ได้ หรือว่าจะไปคัดที่อื่นต่อไปก็ได้ อย่าทิ้งความฝันของตัวเองง่ายๆ จำคำโค้ชไว้ เอาล่ะ ฟังให้ดีนะ ดัสกร ปรัชญ์ ภวัต(โย) พรเทพ(เทพ) จักรพันธุ์ ที่เหลือขอให้โชคดีในคราวหน้านะ” หลังสิ้นเสียงโค้ช ฟ้าของทั้งสามคนแทบจะถล่มลงตรงหน้าเพราะในโผรายชื่อนั้น มันไม่มีชื่อนัท

“มันเกิดอะไรขึ้นวะนี่ ทำไมนัทไม่ติดวะ” โยพูด “มันก็ได้บอลพอๆกับกูนะ แล้วก็กระชากหลบได้แทบจะตลอด” เทพพูด “หรือว่าโค้ชบีอีซีไม่ชอบปีกธรรมชาติวะ” โยพูด “ไม่เป็นไร กูเองดีใจกับพวกมึงด้วย เดี๋ยวกูลองไปคัดที่อื่นก็ได้” นัทพูด “มึงอย่าท้อนะ ถ้าเราพยายามเราต้องทำได้สิวะ” เทพให้กำลังใจเพื่อน “เออกูจะพยายาม” นัทตอบอย่างปลงตก สิ้นเสียงคุยกันของทั้งสามคน โค้ชก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า “เดี๋ยวโค้ชมาสักครู่นะ สต๊าฟโค้ชชุดใหญ่เค้าเรียกไปคุย” “ครับ” เด็กทั้ง 22 คนตอบเป็นเสียงเดียวกัน นัท เทพ โย นั่งก้มหน้าเงียบโดยไม่มีใครปลอบใจใครแต่อย่างใด คนที่ติดเองก็ไม่ได้ดีใจอย่างเต็มที่เพราะรู้ดีว่าขณะนี้เพื่อนมีอารมณ์แบบไหน แต่แล้วเสียงของโค้ชก็ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง “อย่างที่ทุกคนรู้นะ บีอีซีเรามีโครงการเป็นพันธมิตรกับสโมสรต่างประเทศด้วย และตอนนี้ทางอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัมแห่งฮอลแลนด์ก็ได้เปิดโอกาสให้เราส่งนักเตะไปทดสอบฝีเท้ากับเค้าได้ 1 คน และคนที่พวกเราลงความเห็นกันแล้วว่าสมควรได้รับสิทธิ์นี้ นั่นก็คือ” โค้ชเว้นระยะไว้สักครู่ พร้อมทั้งมองมาที่กลุ่มของพวกเรา “ณัฐวุฒิ ปีกธรรมชาติคนเดียวที่ทางเราเห็นว่าเหมาะสมกับความต้องการของอาแจ๊กซ์ในคราวนี้” สิ้นเสียงบอกเล่าของโค้ช โลกทั้งใบของนัทก็แทบจะเปลี่ยนเป็นสีส้มไปในทันที ฮอลแลนด์คือทุกอย่างในชีวิตของมันมาตั้งแต่เด็กๆ โททั่ลฟุตบอลที่เน้นเกมรุกฉูดฉาดคือสไตล์ฟุตบอลที่มันพยายามเดินตามมาตั้งแต่จำความได้ ดินแดนกังหันลมที่มันเคยทำได้เพียงดูภาพในหนังสือหรือดูโทรทัศน์รายการท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ดินแดนแห่งนั้นกำลังร้องเรียกหามันอยู่ และแน่นอนเสียงหัวใจของมันก็ตอบกลับไปแทบจะในวินาทีเดียวกัน

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 17.5 เกาะสมุย น้ำใส ไอทะเล (20/3/2010)



20/3/2010

6.00 น.
การตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเรื่องที่เราทุกคนสมควรที่จะทำเมื่อพาตัวเองไปท่องเที่ยวพักผ่อนริมทะเล ผมบอกตัวเองว่านี่คือเช้าวันสุดท้ายที่ผมจะมีโอกาสได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากท้องทะเลสีคราม ซึ่งผมเองยังไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลยใน 4 วันที่ผ่านมา แต่แล้วทุกสิ่งก็เป็นเพียงอุดมคติของผมเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง กว่าที่ผมจะรู้ตัวและลืมตาขึ้นมา พระอาทิตย์ก็มาเยือนโลกไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงเข้าไปแล้ว แต่ถึงแม้ผมจะพลาดโอกาสครั้งนี้ เธอคนข้างกายของผมไม่ยอมที่จะพลาดไปด้วยกัน แถมเธอยังอุตส่าห์เก็บภาพความทรงจำเหล่านั้นไว้ในกล้องดิจิตอลตัวน้อยที่เราติดมือไป และนั่นคือหนทางเดียวที่ผมจะชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สมุยนี้ได้ พระอาทิตย์ขึ้นในกล้องดิจิตอลช่างน่ารื่นรมย์เสียจริงๆ (หรือคุณไม่คิดแบบผม)

8.00 น.

ถึงแม้ผมจะตื่นไม่เร็วพอที่จะทันพระอาทิตย์ขึ้น แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังตื่นทันที่จะมีเวลาชมทะเลในยามเช้าอย่างไม่ต้องเร่งรีบแต่อย่างใด ผมเตือนตัวเองอีกครั้งว่าวันเวลาที่ผมมีในมือกำลังจะหมดลง ไม่ว่าคุณจะพยายามใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่าเท่าไรแต่เมื่อคุณรู้ตัวอีกครั้ง วันเวลาก็จะเดินหน้าไปอยู่ในจุดที่คุณไม่เคยอยากจะให้มันมาถึง และนั่นคือธรรมชาติของชีวิตที่เราทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งผม
ทะเลยามเช้าให้บรรยากาศที่แปลกไปอีกแบบ สงบแต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เวิ้งว้างว่างเปล่าแต่ก็ไม่เหงาเหมือนทะเลในช่วงเวลาเย็น ผมสูดลมหายใจเข้าในปอดอีกครั้งเพื่อให้ร่างกายได้รู้จักอากาศดีๆที่พรุ่งนี้ผมจะไม่ได้เจอมันอีก ร่างกายเองก็ดูจะตอบสนองผมด้วยความรู้สึกสดชื่นที่ผมเองรู้สึกได้ในทันทีที่ลมหายใจสีครามครั้งสุดท้ายเข้าไปถึง ผมพยายามจดจำมุมมองที่ผมกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ให้ขึ้นใจ ทะเล ดวงอาทิตย์ เส้นขอบฟ้า และทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ผมจะไม่สามารถหาได้ในเช้าวันพรุ่งนี้ที่เมืองหลวงของผม ผมอยากให้ภาพนี้ติดตาตรึงใจกลับไปกับผมด้วยเหลือเกิน อยากให้ทุกวินาทีที่ผมหลับตาเมื่อเวลาที่จากสมุยไป ภาพที่อยู่ตรงหน้าผมขณะนี้จะลอยขึ้นมาอย่างเป็นรูปเป็นร่างในทุกๆครั้งที่ผมต้องการ ผมรักทะเล ผมบอกตัวเองถึงความรู้สึกลึกๆในใจที่ผมเองก็เพิ่งจะรู้ใจตัวเอง ผมหลงรักทะเล ผมไม่ได้หวังว่าทะเลจะรับรักผมแต่ถ้าเธอมีความรู้สึกดีๆให้ผมบ้าง ผมก็พร้อมจะรับมันอย่างเต็มใจ

9.00 น.

อาหารเช้ามื้อสุดท้ายบนเกาะแห่งนี้กำลังดำเนินไป เมนูต่างๆก็เป็นอย่างเช่นเช้าเมื่อวาน
ข้าวต้มปลาหมึก ไส้กรอก แฮม เบคอน ขนมปัง ไข่คน ไข่ดาว ไข่ม้วน ถูกใส่ลงท้องของผมและคนข้างกาย เมนูไม่แตกต่าง สิ่งแวดล้อมรอบกายก็ยังคงไม่แตกต่าง เพื่อนร่วมทางยังคงเป็นทะเลและเส้นขอบฟ้าเส้นเดิม แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือผมแปลกใจในตัวผมเองที่ผมไม่เคยเบื่อ ไม่แม้แต่นิดเดียว คุณเคยถามตัวเองไหมว่าเป็นเวลานานเท่าไรที่คุณจะสามารถนั่งมองทะเลได้โดยไม่รู้สึกเบื่อ สำหรับผม หลังจากถามตัวเอง ผมได้คำตอบออกมาอย่างชัดเจนว่า จนกว่าทะเลจะเบื่อและไม่ต้องการที่จะมองหน้าผม นั่นคือเวลาที่ผมจะจากไป

11.00 น.

ถึงแม้ว่าผมนัดหมายกับเจ้านกเหล็กไว้ว่าจะกระพือปีกในเวลาสองทุ่ม แต่บริษัทรถทัวร์และเรือเฟอร์รี่ที่จะพาผมข้ามฝากไปฝั่งแผ่นดินใหญ่ก็แจ้งว่าให้ผมมาขึ้นรถในเวลาบ่ายโมงครึ่งและนั่นก็ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างมันดูฉุกละหุกมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น สืบเนื่องจากเวลาที่ถูกลดทอนไป เราจึงจำเป็นจะต้องเลือกทำสิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะเราคงไม่สามารถจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการได้ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง และสิ่งสำคัญที่สุดที่เราเลือกก็คือ การร่ำลา
พ่อกับแม่คือคนสองคนบนเกาะแห่งนี้ที่เราไม่สามารถที่จะจากไปโดยไร้การร่ำลาที่อาลัยอาวรณ์ เมื่อวานเราพลาดโอกาสในการไปส่ง “พี่” ที่จะกลับกรุงเทพ เพราะด้วยความจัดเจนในเส้นทางอันน้อยนิดทำให้เราขับรถหลงทางและไม่สามารถไปส่งพี่ได้ทัน โทรศัพท์มือถือจึงเป็นอุปกรณ์ที่เราถูกบังคับให้เลือกที่จะใช้ร่ำลากันในขณะที่ตัวของเราและพี่ไม่ได้อยู่ใกล้กัน เราต่างสัญญากันว่าเมื่อเรากลับไปพบกันที่กรุงเทพ ความสัมพันธ์ของเราจะเป็นแบบเดิม และผมเชื่อเหลือเกินว่าคำสัญญานี้จะไม่แปรเปลี่ยนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เมื่อเราพลาดโอกาสที่จะร่ำลาพี่ เราจึงใช้เวลาทั้งหมดที่มีในวันนี้เพื่อที่จะร่ำลาพ่อกับแม่เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกนานแค่ไหนเราจึงจะสามารถปลีกตัวจากงานที่รัดเราราวกับงูเหลือมและเดินทางกลับไปพบกับพ่อกับแม่ได้อีกครั้ง
การลาจากไม่เคยเป็นเรื่องดี บางครั้งเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมื่อไรเราจะได้พบกับคนที่เรารักอีก แต่การใช้ชีวิตอย่างเต็มไปด้วยความหวังก็เป็นเรื่องที่เราสมควรจะทำไม่ใช่หรือ บางครั้งเราเองก็ไม่รู้ว่าการที่เราบอกกันว่าจะได้พบกันอีกนั้น มันคือความจริงที่เราตั้งใจจะทำหรือเป็นเพียงสิ่งที่เราต้องการให้ความหวังกับตัวเองและคนที่รอฟัง ผมกับคนข้างกายสัญญากับพ่อแม่ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราสองคนจะกลับมา และเมื่อเรากลับมาอีกครั้ง เราสองคนจะไม่ใช่คนจากแดนไกลเหมือนเช่นคราวนี้ “ลูก” คือคำที่พ่อกับแม่พร้อมจะมอบให้กับเราสองคนถ้าเรากลับมา
ไม่ว่าเหตุการณ์ที่คุณพานพบในสถานที่แห่งหนึ่งจะมีเรื่องเลวร้ายหรือเรื่องที่ดีคละเคล้ากันไปอย่างไร แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนความสำคัญของสถานที่แห่งนั้นได้ ยิ่งถ้านั่นเป็นสถานที่ที่พ่อกับแม่ของคุณใช้ชีวิตกันอยู่ แน่นอนว่าสถานที่ที่คุณมีทั้ง พ่อ แม่ และพี่ มันคงจะเป็นอะไรไปไมได้นอกจาก “บ้าน” และมันคงไม่แปลกที่เราจะกลับมาเยี่ยม “บ้าน” อีกครั้ง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร

13:00 น.

เวลาไม่เคยรอใคร เราตระหนักถึงประโยคนี้ได้เป็นอย่างดีอีกครั้ง เมื่อห้าวันของเรากำลังจะหมดลง นาทีนี้เราจำเป็นที่จะต้องออกเดินทางไปที่หน้าทอนเพื่อจองที่นั่งบนรถทัวร์ก่อนที่จะไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ แม่หยิบยื่นน้ำใจให้กับเราในรูปแบบของของฝากที่ถึงแม้จะหนักมากเท่าไรเราก็ยินดีที่จะขนน้ำใจนี้กลับมากรุงเทพด้วย การโอบกอดกันคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะมอบให้กันได้ในช่วงเวลาแบบนี้ คนข้างกายผมมอบมันให้กับแม่และเช่นเดียวกัน แม่ก็ไม่พลาดที่จะมอบมันกลับคืนมา

14:30 น.

เรือยักษ์เคลื่อนที่ออกจากฝั่งอย่างใจเย็น เราสองคนหันหลังกลับไปมองเกาะสมุยอีกครั้ง มุมมองครั้งนี้ไม่ต่างจากครั้งแรกที่เรามาถึงแต่อย่างใด แต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกภายในของผมมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน การเดินหน้าเข้าหากับการหันหลังจากมามันช่างแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ยิ่งเวลาผ่านไป ผมกับสมุยก็ยิ่งไกลกันมากขึ้นทุกที เมื่อไรกันนะที่ผมจะได้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง ผมตอบตัวเองไม่ได้แต่ผมก็รู้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของผมเพียงอย่างเดียว และเมื่อใดที่มันถึงขีดสุด มันจะพาผมมาที่นี่ ที่ที่ผมเรียกว่าบ้าน
ทะเลรอบกายเงียบสนิทไม่ครึกครื้นเหมือนตอนที่ผมมา นี่ผมรู้สึกไปเองหรือทะเลจงใจที่จะบอกผมนะ

16:30 น.

ผมกำลังจะขึ้นฝั่งเพื่อไปต่อรถที่จะนำเราไปยังสนามบิน นี่คือฉากสุดท้ายที่ผมจะได้เห็นทะเลสำหรับการมาพักผ่อนครั้งนี้ ผมหันหลังไปมองทะเลรอบๆอีกครั้ง สูดลมหายใจแห่งท้องทะเลเข้าปอดเป็นครั้งสุดท้าย ผมเฝ้าภาวนาในใจ ทะเลกับผมคงไม่ได้จากกันไปนาน ผมหวังอย่างนั้นนะ

19:30 น.

ผมเช็คอินที่สนามบินเพื่อเตรียมความพร้อมในการเดินทางกลับกรุงเทพ อีกไม่เกิน 2 ชั่วโมงผมจะกลับไปถึงที่พักที่กรุงเทพ และเมื่อนั้น เกาะสมุยก็จะเป็นเพียงความทรงจำไปในไม่ช้า

20:00 น.

นกเหล็กสยายปีกกลับสู่เมืองหลวง

21:30 น.

ล้อแตะพื้นสนามบินนานาชาติประจำประเทศไทย ลาก่อนทะเลสมุยอันแสนรักและขอกล่าวสวัสดีอีกครั้งกับเมืองหลวงที่ไม่มีเส้นขอบฟ้า ไม่มีพระอาทิตย์ตก และที่แน่นอนที่สุด ไม่มีทะเล

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

DREAM บทที่ 3 เดินทางเปลี่ยนชีวิต





ด้วยความที่ฐานะทางครอบครัวของผมไม่ได้ร่ำรวยพอที่จะมีรถยนต์เป็นของตัวเองเหมือนบ้านอื่นๆ พาหนะสาธารณะจึงเป็นทางเลือกเดียวที่ครอบครัวผมจะสามารถเลือกใช้มันได้ในการเดินทางมาหัวหินครั้งนี้ และพาหนะที่พ่อเลือกพาพวกเรามาเที่ยวก็คือรถไฟ ผมเองไม่ได้ขึ้นรถไฟบ่อยนักจึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่เราจะขึ้นรถไฟมากัน วิวทิวทัศน์ข้างทางและชีวิตชีวาของพ่อค้าแม่ขายทั้งที่สถานีและในตัวรถไฟเป็นสิ่งที่ผมใคร่อยากสัมผัสมากที่สุดในการเดินทางด้วยวิธีนี้ และเมื่อได้เดินทางจริงๆ สิ่งต่างๆที่ผมต้องการนั้น ผมได้สัมผัสมันจนหมดสิ้น ผมอิ่มเอมและมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้นแต่ในระหว่างการเดินทางนั้นมันก็มีหลายสิ่งที่ผมไม่ได้ต้องการจากการเดินทางแต่ผมก็ได้รับมันอย่างเต็มที่เช่นกัน มันมาในรูปแบบของความเมื่อยล้าที่เกิดจากความแข็งกระด้างของเบาะที่นั่งรวมทั้งพนักพิงที่ไม่ได้มีส่วนประกอบของความอ่อนนุ่มสักเท่าไร เมื่อบวกกับช่วงเวลาเดินทางที่ยาวนานกว่าการเดินทางด้วยรถยนต์ด้วยแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคของการเดินทางรถไฟอย่างมากทีเดียว นี่ผมยังไม่ได้นับรวมเขม่าสีดำที่เกาะเต็มหน้าผมซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างของตัวรถและทางการรถไฟยังแถมแสงแดดแบบเต็มกำลังจากพระอาทิตย์ ฉายสาดเข้ามาที่ใบหน้าของผมอย่างไม่ปราณี นั่นทำให้เมื่อถึงสถานีหัวหินที่ปลายทางแล้วนั้น ผมจินตนาการได้โดยไม่ต้องส่องกระจกเลยว่า ทั้งแสงแดดและเขม่าจากตัวรถคงร่วมมือกันทำให้หน้าของผมเปลี่ยนสีจากตอนขึ้นรถไฟไปอย่างแทบจำไม่ได้เลยทีเดียว การมาหัวหินครั้งนี้ผมตั้งใจอย่างที่สุดที่จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพักผ่อนกับครอบครัว ผมพยายามลืมทุกอย่างที่ผมได้ยินมาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเส้นทางชีวิตของเพื่อนๆแต่ละคนที่เลือกกำหนดทางเดินชีวิตของตัวเองแตกต่างกันไป แต่พวกคุณเองก็รู้ว่าการพยายามลืมอะไรบางอย่างมันไม่ต่างกับการบรรจงกดปากกาให้หนักขึ้นและย้ำความทรงจำลงไปในพื้นที่สมองอีกครั้งในแบบที่เราทำกับประโยคสำคัญต่างๆที่เราต้องการจะจดจำในหนังสือเรียนนั่นเอง แต่ถึงกระนั้นผมก็พยายามทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องราวต่างๆที่วนเวียนอยู่ในสมองและหัวใจของผมอยู่ในขณะนี้และใช้เวลาให้หมดไปกับทะเลที่หัวหินแห่งนี้
บางครั้งการเลือกอนาคตของตัวเองอาจจะดูเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กมัธยมปลายหลายๆคน แต่ผมเองได้รู้ความจริงข้อหนึ่งว่า ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจเลือกอนาคตของคุณด้วยตัวเองหรือให้ผู้ปกครองของคุณหรือแม้กระทั่งพระเจ้าเป็นคนเลือกให้ สุดท้ายคุณก็ต้องผ่านช่วงเวลานี้ของชีวิตไปจนได้ เพราะเวลาไม่เคยที่จะรอการตัดสินใจของคุณไม่ว่าจะในกรณีไหนๆ แต่ข้อดีข้อเดียวของการเลือกอนาคตด้วยตัวคุณเองก็คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหน้า คนคนเดียวที่จะเสียใจอย่างที่สุดหรือดีใจเป็นที่สุดกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวคุณ ก็คือตัวคุณเอง และนั่นคือสิ่งเดียวที่ผมต้องการ
“เชิญร่วมชมนัดชิงชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงแชมป์ประจวบคีรีขันธ์ ณ สนามโรงเรียนหัวหินวิทยาลัย ในวันที่ 6 เมษายน 2543 เวลา 15.00 น.” ป้ายประกาศเล็กๆที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโรงเรียนทำให้หัวใจของผมเต้นสะดุดเป็นจังหวะแปลกๆอีกครั้ง พ่อกับแม่ของผมสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปหลังจากที่ผมได้อ่านป้ายนี้ในทันที “ลูกจะมาดูก็ได้นะ เดี๋ยวพ่อมาเป็นเพื่อน” พ่อพูดยิ้มๆ “เรายังไม่ได้กลับนี่วันนั้น มานั่งดูเสร็จแล้วก็ไปหาอะไรกินกัน” แม่พูด “จะดีหรือครับ เรามาเที่ยวกันนะ” ผมตอบออกไปอย่างเกรงใจท่านทั้งสอง “เอาน่าพ่อเองก็อยากดู” พ่อพูด “ครับพ่อ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเรามาดูกัน ขอบคุณนะครับ” สิ้นประโยคสนทนาสั้นๆระหว่างผมกับท่านทั้งสอง นั่นทำให้ผมรู้ว่าผมช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาในครอบครัวนี้ พ่อกับแม่ไม่เคยบังคับให้ผมเดินในทางที่ท่านทั้งสองต้องการเลยสักนิดเดียว ชีวิตของผมมันเป็นชีวิตของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และในวันนี้ก็เช่นกัน
หลังจากที่เราใช้เวลาท่องเที่ยวในหัวหินมาสองวันเต็มๆ วัดห้วยมงคล น้ำตกป่าละอู ปางช้างหัสดินทร์ เขาตะเกียบ และอีกหลายสถานที่ของหัวหินต่างผ่านหูผ่านตาของครอบครัวเรามาแล้วทั้งสิ้น ผมอิ่มเอิบและสบายใจมากขึ้นจากวันแรกที่เดินทางมาอย่างไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ และแล้วบ่ายสามวันนี้ก็เป็นเวลาที่ผมจะได้ชมฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศในรุ่นเยาวชน 18 ปี ระหว่างโรงเรียนหัวหินวิทยาลัยเจ้าภาพกับโรงเรียนหัวหิน ซึ่งมีชื่อในด้านฟุตบอลนักเรียนมาอย่างยาวนาน จะว่าไปนักเตะทั้งสองทีมนี้ก็เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับผมเช่นกัน นั่นทำให้ผมเองอดไม่ได้ที่จะจินตนาการไปถึงกลิ่นหญ้าในสนามที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี รวมถึงเพื่อนร่วมทีมของผมที่กำลังแยกย้ายกันตามฝันอยู่ที่กรุงเทพ และด้วยความรู้สึกคิดถึงฟุตบอลที่ผมหอบมาจากกรุงเทพและไม่ได้ทำหล่นหายระหว่างทางแต่อย่างใด นั่นทำให้ผมตัดสินใจที่จะเดินไปเลียบเคียงห้องแต่งตัวของทางเจ้าบ้านด้วยอารมณ์ที่อยากได้กลิ่นอายเก่าๆกลับมา แต่แล้วพระเจ้าก็ยังคงทำหน้าที่ของท่านอย่างเคร่งครัดเช่นเดิม “เอาอย่างไรกันดีครับอาจารย์ เก๋มันดันมอเตอร์ไซต์ล้มกะทันหันระหว่างทางมา แถมกุ๊กที่เล่นกลางตัวรับแทนกันได้ก็ดันเจ็บไปตั้งแต่นัดที่แล้ว สงสัยเราต้องเปลี่ยนแผนกันแล้วล่ะครับอาจารย์” คนที่ดูลักษณะเหมือนจะเป็นกัปตันทีมของหัวหินวิทยาลัยปรึกษากับโค้ชท่ามกลางสีหน้าไม่สู้จะดีของเพื่อนร่วมทีม “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเราปรับมาเล่น 3 – 5 -2 กลางห้าคน จะได้ช่วยแบ่งเบากันได้ เพราะถ้าเล่น 4 – 4 -2 เหมือนเดิม ไม่ว่าเราจะเอาใครมาแทน ก็คงจะแทนสองคนนั้นไม่ได้แน่ “ โค้ชของทีมเลือกที่จะใช้การเปลี่ยนแปลงแผนการเล่นแทนที่จะหาตัวแทนสองตัวหลักที่ไม่สามารถลงแข่งขันได้ หัวใจของผมพองโตเมื่อได้ยินว่าทีมเจ้าบ้านกำลังขาดตำแหน่งที่ผมเองสามารถที่จะลงเล่นได้ แต่ผมลืมไปว่าผมไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนนี้ และกว่าจะมาถึงรอบชิงได้ พวกเขาต้องร่วมแรงร่วมใจต่อสู้กันมาขนาดไหน แต่ก็นะคนเรามันก็มีความเห็นแก่ตัวกันทุกคนนี่นา แล้วผมก็เป็นแค่เด็กเห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้นเอง “ผมเล่นให้ได้นะ” ผมพูดโพล่งออกไปอย่างขาดสติโดยอาศัยความเห็นแก่ตัวเป็นใหญ่ “เราเป็นใคร เป็นนักเรียนหัวหินวิทยาลัยหรือเปล่า ทำไมอาจารย์ไม่เคยเห็นหน้า” “ไม่ใช่ครับ ผมมาจากกรุงเทพ” ผมจำเป็นต้องยอมรับความจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “อย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก เค้าต้องตรวจหลักฐานกัน แล้วเดี๋ยวนั่งดูหรือเปล่า อย่าลืมเป็นกำลังใจให้หัวหินวิทยาลัยด้วยนะ” “ครับอาจารย์ มีอะไรให้ช่วยบอกผมได้นะครับ ผมนั่งอยู่ฝั่งเดียวกับกองเชียร์หัวหินวิทยาลัยนะครับ” ผมทิ้งท้ายไว้อย่างมีหวังเล็กๆ ก็อย่างว่าล่ะ มนุษย์อย่างเราไม่ควรจะทิ้งความหวังอย่างหมดสิ้น เหลือไว้หล่อลื่นหัวใจบ้างก็คงไม่เป็นอะไรใช่ไหม
การแข่งขันเริ่มขึ้นในช่วงเวลาบ่ายสามพอดี แดดที่หัวหินไม่ถึงกับร้อนอย่างที่กรุงเทพ และนั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ทั้งสองทีมจะสามารถสู้กันได้อย่างเต็มกำลังโดยไม่ถูกความร้อนลิดรอนความสามารถไปแต่อย่างใด เกมเริ่มขึ้นโดยเจ้าบ้านเป็นฝ่ายเขี่ยลูกเปิดเกมบุกใส่ก่อนอย่างไม่รีรอ ผมเองไม่รู้ว่าขณะนี้หัวใจของผู้เล่นทั้งสองทีมกับของผม ใครเต้นแรงกว่ากันกันแน่ ผมตื่นเต้นจนแข้งขาไม่อยากจะอยู่กับที่ ผมตระหนักรู้อีกครั้งว่าผมคงไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นกองเชียร์จริงๆ เกมเดินทางไปสักพักทางหัวหินวิทยาลัยก็เริ่มจะหาทางเจาะเกมรับของผู้มาเยือนยากขึ้นทุกที ทางโรงเรียนหัวหินผู้มาเยือนมีเกมรับรวมทั้งเกมกลางสนามที่เป็นระบบมากกว่า อีกทั้งเมื่อขาดคนบัญชาเกมกลางสนามไป ทำให้ทางหัวหินวิทยาลัยมักจะขึ้นเกมฝั่งเดียวอยู่เสมอๆโดยไม่มีการข้ามฝาก หรือเปลี่ยนแกนแต่อย่างใด นั่นทำให้ง่ายต่อการจับทางเป็นอย่างยิ่ง ผมมองเห็นความกระสับกระส่ายของโค้ชหัวหินวิทยาลัยอย่างชัดเจน การส่งมิดฟิลด์ตัวรับแท้ๆลงสนามมากเกินไปก็ย่อมส่งผลต่อเกมรุกของทีมอย่างนี้นั่นเอง เวลาผ่านไป 20 นาทีเกมยังคงเสมอกันศูนย์ – ศูนย์ แต่ทางเจ้าบ้านยังไม่มีโอกาสใกล้เคียงที่จะได้ประตูเลยสักนิดทั้งที่เป็นฝ่ายคุมเกมไม่ต่ำกว่า 60% ในสายตาของผมเองรู้สึกว่าจังหวะโต้กลับของทีมเยือนยังจะหวังผลได้มากกว่า และแล้วในนาทีที่ 35 เสียงกองเชียร์ที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกับผมทั้งหมดก็ต้องเงียบกริบ เมื่อมิดฟิลด์ตัวกลางของหัวหินวิทยาลัยจ่ายบอลออกทางฝั่งซ้ายหวังจะให้กองหลังกึ่งปีกที่ควบตะบึงขึ้นมาเดินเกมบุกต่อไปอย่างอดทน แต่ชั่ววินาทีที่บอลกำลังจะไปถึง ปีกขวาของทีมเยือนก็สบโอกาสตัดบอลได้พร้อมทั้งใช้พื้นที่ว่างด้านข้างอย่างเป็นประโยชน์บวกกับเจ้าตัวเองก็มีความเร็วเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงสามารถจะพาบอลไปถึงเส้นหลังได้โดยง่าย จากนั้นก็หักข้อกลับมาหน้าเขตโทษ และกองกลางตัวเก่งของฝั่งทีมเยือนก็สำเร็จโทษได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเกมครึ่งแรกก็เอวังลงด้วยผลการแข่งขันที่ทำร้ายจิตใจแฟนเจ้าบ้านเป็นอย่างยิ่ง ผมรีบขยับตัวลงไปที่ห้องแต่งตัวของเจ้าบ้านทันทีด้วยความอยากรู้ว่าโค้ชจะแก้เกมอย่างไร อีกทั้งใจก็อยากจะลงไปเล่นเพื่อพลิกเกมให้กับฝั่งเจ้าบ้าน นาทีนี้ความถูกต้องมันพ่ายแพ้ต่อสิ่งยั่วยุอย่างหมดทางสู้ ผมไม่คิดถึงเรื่องหลักฐานอะไรอย่างนั้นสักนิด “อาจารย์ครับ ให้ผมลงไปช่วยนะครับ” ผมพูด “เราเคยเล่นฟุตบอลมาก่อนเหรอไง อย่ามาล้อเล่นนะ อาจารย์กำลังเครียด” “ผมเป็นตัวโรงเรียนที่ได้แชมป์เยาวชนโค้กคัพเมื่อปีที่แล้วครับ” ผมหยิบยกทุกอย่างมาเพื่อเป็นเหตุผลรองรับการได้ลงเล่น “เดี๋ยวอาจารย์ถามเพื่อนๆก่อนว่าจะเอายังไงกัน” หลังจากนั้นอาจารย์ก็เข้าไปประชุมทีมอีกครั้งเพื่อหาข้อสรุปทั้งทางด้านแผนการเล่นและตัวสำรอง เวลาในห้องแต่งตัวช่างเดินช้าเหลือเกิน ตัวผมเต็มไปด้วยเหงื่อแห่งความตื่นเต้นที่ต้องรอผลการตัดสินใจของเพื่อนๆและอาจารย์ ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีแต่ที่เมืองไทยแห่งนี้ ใครๆก็ทำแบบนี้ทั้งนั้นและเมื่อมีคนมากมายที่ทำผิดเหมือนเรา เราก็จะรู้สึกดีกับเรื่องนั้นไปเอง หรือพวกคุณว่าอย่างไร ผมครุ่นคิดอะไรอยู่คนเดียวสักพัก อาจารย์ก็เดินออกมา อาจารย์พูดเพียงคำสั้นๆ แต่ไม่กี่พยางค์ที่อาจารย์เอ่ยออกมานั้น มันทำให้หัวใจผมพองโตคับสนามฟุตบอลเลยทีเดียว “ไปอบอุ่นร่างกาย”
ผมรีบไปเอาสตั๊ด adidas สีฟ้าคู่ใจที่ฝากไว้ที่คุณพ่อคุณแม่ลงมาทันที ผมคิดไม่ผิดที่ติดมันมาหัวหินด้วย ผมกับมันไม่เคยห่างกันตั้งแต่วันแรกที่เก็บตังพอจะไปซื้อมันมาได้ แล้ววันนี้มันก็ไม่น่าจะทำให้ผมผิดหวังเช่นเคย ผมบอกคุณพ่อคุณแม่ให้รอดูผมในสนามให้ดี ท่านทำหน้าตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยิ้มให้กับผมอย่างเข้าใจ ผมขอเสื้อเบอร์ 8 ของเจ้าของเก่ามาสวมใส่อย่างคุ้นเคย ในชีวิตนี้ของผมมีเพียงเบอร์นี้เบอร์เดียวที่เป็นแรงขับเคลื่อนในเกมฟุตบอลของผม อาจารย์บอกว่าจะขอดูเชิงอีกสัก 10 นาที ถ้าเกมไม่ดีขึ้นจึงจะปล่อยผมลงไป พร้อมทั้งเปลี่ยนกับมาเล่น 4 – 4 – 2 โดยมีกองกลางตัวรับแท้ๆคนหนึ่งคอยช่วยตัดเกมและปีกริมเส้นธรรมชาติอีกสองฝั่งคอยช่วยทำเกม ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ผม ผมวิ่งอบอุ่นร่างกายและดูเกมไปด้วยอย่างใจระทึก เกมของหัวหินวิทยาลัยยังดูตีบตันไร้ไอเดียเช่นเดิม แต่ด้วยพื้นฐานฟุตบอลที่เหนือกว่าคู่แข่งก็เลยยังทำให้สามารถครองบอลได้มากกว่าอยู่เช่นเดิม แต่เราก็เห็นกันตั้งแต่ครึ่งแรกแล้วว่ามันไม่สำคัญเลยและด้วยผลการแข่งขันที่ตามหลังอยู่นั้น ถ้าปล่อยให้รูปเกมเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ความกดดันทั้งหมดจะตกลงบนบ่าของทีมที่สกอร์ตามหลังอย่างแน่นอนและจากที่ผมเคยสัมผัสเกมฟุตบอลนักเรียนมาอย่างโชกโชน การพลิกจากโดนนำกลับมาชนะนั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆสำหรับฟุตบอลนักเรียนที่ฝีเท้าไม่ได้หนีกันแต่อย่างใด “หนุ่มเราชื่ออะไรนะ” อาจารย์ถามผม “เอกครับ อาจารย์” ผมตอบ “เตรียมตัวลง แล้วอย่าให้โดนใบเหลืองนะ ถ้าโดนจดชื่อจะลำบาก อาจารย์ส่งชื่อเป็นชื่อเพื่อนคนอื่นไป แล้วอย่าทำให้อาจารย์ผิดหวัง ขอดูหน่อยว่าระดับแชมป์โค้กคัพ มันขนาดไหน” อาจารย์เตือนสติผมครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะให้ผมลงสนาม ผมยิ้มรับ พร้อมทั้งตั้งสติครั้งสุดท้ายก่อนลงสนาม
มุมมองในสนามเช่นนี้คือมุมที่ผมคุ้นเคย บรรยากาศของการนั่งเชียร์ไม่สามารถเรียกอะดรีนาลีนของผมได้เท่ากับบนผืนหญ้าแห่งนี้ ผมใช้เวลาชั่วครู่เคาะบอลไปมาเพื่อดูฝีเท้าของเพื่อนร่วมทีมและคู่แข่งว่าเป็นอย่างไร เกมของทีมเยือนดูมีระบบมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเข้าไปอีกเมื่อลงมาปะทะฝีเท้าด้วยตัวเอง กองกลางตัวรับและคู่กองหลังตัวกลางมีการยืนตำแหน่งที่ดีอย่างน่าทึ่ง อีกทั้งกองกลางตัวรุกก็มีสายตาในการมองเกมที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย ผมเริ่มสงสัยว่าที่เราครองเกมได้มากกว่านั้นเป็นความจงใจของโค้ชทีมเยือนด้วยหรือเปล่าที่ต้องการให้กองหลังของเราดันขึ้นสูงเพื่อเปิดพื้นที่ด้านหลังให้กับศูนย์หน้าของเขาซึ่งมีความเร็วเกือบจะเท่าไอ้ต้นเพื่อนผมเลยทีเดียว แต่ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นอย่างไร ผมต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบแทนอาจารย์ด้วยชัยชนะให้สมกับความไว้วางใจที่ท่านมอบให้ จังหวะของเกมเป็นไปอย่างเหนื่อยหน่าย ผมสังเกตเห็นเพื่อนร่วมทีมเริ่มจะหมดความอดทนจนทำให้การยิงไกลทิ้งขว้างเกิดขึ้นหลายต่อหลายหน แต่แล้วสิ่งที่ผมสังเกตเห็นในแววตาของคู่ต่อสู้ก็คือพวกเค้าเกิดอาการประมาทและเริ่มคลายความเคร่งครัดในตำแหน่งการยืนลงบ้าง และเพียงแค่นั้นก็พอสำหรับสิ่งที่ผมต้องการแล้ว ผมถ่ายบอลออกให้ปีกขวาพร้อมทั้งวิ่งเข้าไปรองบอลเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับเพื่อน คู่ต่อสู้ยืนคุมปีกขวาของเราอยู่ถึงสองคน ทั้งปีกซ้ายและกองหลังฝั่งซ้ายของเค้าปิดพื้นที่ตรงนั้นอยู่อย่างแน่นหนานั่นทำให้ปีกขวาของเราต้องคืนบอลกลับมาให้ผมอย่างหงุดหงิดเนื่องจากไม่สามารถที่จะแหวกผ่านสองคนไปได้เพราะกลัวที่จะเสียบอลและถูกโต้กลับ ผมรับบอลพร้อมทั้งแอบโบกมือให้ปีกซ้ายเติมเกมขึ้นไปด้านหน้าโดยไม่ต้องมารอบอลจากแดนกลางอย่างผม ผมคลึงบอลอยู่กลางสนามเยื้องไปทางขวาอย่างช้าๆเพื่อรอการเข้าโจมตีจากคู่ต่อสู้เพียงเพื่อเปิดพื้นที่ในแดนกลางและหลังของทีมเยือน เพื่อนร่วมทีมผมเข้ามาต่อบอลพร้อมทั้งร้องเรียกเมื่อเห็นว่ามิดฟิลด์ของฝ่ายตรงข้ามตรงเข้าจู่โจมผมรวดเดียวถึงสองคน ผมรอจนถึงวินาทีสุดท้ายจริงๆจึงขยับหลอกว่าจะโยกออกทางขวามือแล้วใช้เท้าซ้ายแตะบอลออกทางซ้ายมือเพื่อหลบคู่ต่อสู้คนแรก จากนั้นเมื่อจวนตัวจากการจู่โจมของคนที่สองที่ดูท่าทางว่าจะต้องเอาผมให้อยู่ให้ได้ในจังหวะนี้เพราะว่าเค้าเป็นกองกลางตัวตัดเกมของทีมเยือน ผมไม่ฝืนต่อจังหวะเสียบนี้เพราะเกรงว่าอาการบาดเจ็บแม้เพียงน้อยนิดจะทำให้ผมไม่สามารถจะสนุกกับเกมนี้ต่อไปได้ ผมดีดไซต์ก้อยเท้าซ้ายเบาๆส่งบอลต่อให้เพื่อนที่เข้ามาช่วยพร้อมทั้งกระโดดข้ามการเสียบสกัดพรางกวักมือเรียกบอลจากเพื่อนร่วมทีมให้ชิ่งหนึ่ง – สอง มาที่ผมเพื่อที่จะพาบอลเข้าแดนคู่ต่อสู้ต่อไปอย่างรวดเร็ว นี่อาจจะเป็นครั้งแรกของเกมที่เราสามารถพาบอลมาอยู่ในแดนของคู่ต่อสู้ได้โดยไม่มีกองกลางของทีมเยือนขวางหน้าอยู่เลย กองหน้าสองคนของเราขยับหาพื้นที่หลอกล่อสองกองหลังตัวกลางของคู่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ปีกซ้ายของทีมก็เติมขึ้นมาพร้อมๆกับที่ผมกวักมือเรียกในคราวแรก อีกทั้งปีกขวาของทีมเราก็ขยับตามผมขึ้นมาหลังจากที่ผมพาบอลผ่านสองกองกลางคู่แข่งมาได้ สถานการณ์ตอนนี้เราเป็นต่ออยู่ 5 – 4 คนถ้าไม่นับนายทวาร ผมส่งสายตาบอกให้เพื่อนกองกลางตัวรับตามมาประคองด้านหลังผมด้วยในขณะที่ผมพาบอลเข้าเขตโทษคู่ต่อสู่ไปเรื่อยๆ กองกลางตัวรับของคู่ต่อสู้เองหลังจากที่เสียบสกัดพลาดไปในจังหวะแรกก็พยายามที่จะกวดไล่ตามมาเพื่อไล่ล่าฟุตบอลคืน ผมพาบอลเข้าสู่พื้นที่ 30 หลาสุดท้ายโดยกองหลังตัวแรกกำลังตัดสินใจที่จะทิ้งตัวประกบเพื่อเข้ามาจู่โจมผมไม่ให้รุกล้ำพื้นที่ไปมากกว่านี้ ผมรอจังหวะนี้อยู่ ผมกะจะดึงจังหวะให้กองหลังทิ้งตัวประกบออกมาไกลที่สุดและเข้าใกล้ผมมากที่สุดจนพอที่จะสามารถยกบอลข้ามแผงหลังให้กับกองหน้าของทีมเราได้ แต่ผมประมาทคู่ต่อสู้เกินไป ผมดึงจังหวะจนเกือบจะถึงวินาทีสุดท้ายผมถึงจะเพิ่งเห็นว่ากองหลังของคู่ต่อสู้ไม่ได้มาแค่คนเดียว เค้าจู่โจมพร้อมกันทั้งสองคนเพื่อเป็นการเช็คล้ำหน้าไปในตัว อีกทั้งกองหลังริมเส้นทั้งสองข้างก็ขยับขึ้นมาพร้อมกันอย่างรู้ใจ ทำให้ขณะนี้กองหน้าสองคนและปีกสองข้างของเรากำลังจะล้ำหน้ากันทั้งแผง และถ้าผมออกบอลผิดพลาดในจังหวะนี้ผมคงจะเสียดายอีกทั้งทำให้เพื่อนร่วมทีมไม่ไว้ใจผมอีกในจังหวะต่อไปเป็นแน่ แต่ผมยังมีอีกหนึ่งทางเลือก กองกลางตัวรับของทีมเรายังคงวิ่งประคองผมอยู่ด้านหลัง ผมบรรจงตอกส้นก่อนที่จะถูกจู่โจมเข้ามาเพื่อคืนบอลให้กับเพื่อนก่อนที่ตัวเองจะวิ่งแทรกตัวผ่านเส้นเช็คล้ำหน้าเข้าไปพร้อมทั้งร้องเรียกให้เพื่อนออกบอลจังหวะแรกข้ามหัวคู่ต่อสู้เข้ามาทันทีเพื่อที่ผมจะได้หลุดเดี่ยวไปดวลกับนายทวารแบบตัวต่อตัว แล้วบอลก็มาดังที่ใจผมคิด เพื่อนกองกลางคนนี้ค่อนข้างจะเป็นคนที่ออกบอลง่ายและออกบอลฉลาดพอตัวทีเดียว ผมหลุดเดี่ยวไปดวลกับนายทวาร ของคู่ต่อสู้โดยตัวผมเองได้บอลอยู่ตรงหัวกะโหลกกรอบเขตโทษ ผมรู้ว่าทีมคงไม่อนุญาตให้ผมพลาดจังหวะนี้ และนั่นทำให้ผมเลือกที่จะทำให้มันง่ายที่สุดและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ ผมเลือกที่จะยิงลอดขา
หัวหินวิทยาลัยเป็นแชมป์ด้วยชัยชนะ 2 – 1 ผมเองยิงประตูแรกและจ่ายให้เพื่อนทำประตูในลูกที่สอง นั่นเป็นอีกหนึ่งวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของผมวันหนึ่งเลยทีเดียว และด้วยฟอร์มในสนามวันนั้น เป็นเหตุทำให้ผมได้รับโทรศัพท์สายที่เปลี่ยนชีวิตผมสายหนึ่งในอีกสามวันต่อมา “ขอสายน้องเอกครับ” ปลายสายพูด “พูดอยู่ครับพี่ จากไหนครับ” “พี่ชื่อตุ๊กนะ พอดีเพื่อนพี่เค้าสนใจน้องน่ะ เลยให้พี่โทรมาหา” “สนใจนี่คือแบบไหนครับพี่” ผมสงสัยในคำพูดกำกวมของเค้า “สนใจฝีเท้าของน้อง” พี่ตุ๊กพูดคำสั้นๆที่สั่นสะเทือนหัวใจของผม “แล้วยังไงต่อครับพี่ ว่ามาเลยอย่าให้ผมต้องคิดมาก” ผมเร่งเร้า “เค้าเป็นแมวมองทีมเยาวชนของมิลาน เราสนใจที่จะไปเรียนที่อิตาลีหรือเปล่า” พี่ตุ๊กยื่นข้อเสนอ “ที่สุดเลยครับพี่” ผมตอบไปด้วยอารมณ์ดีใจ “’งั้นเดี๋ยวเย็นนี้เราเจอกันนะ พาพ่อกับแม่มาด้วย เผื่อให้ท่านช่วยตัดสินใจ” พี่ตุ๊กวางสายลงในขณะที่ตัวผมเองนั้นรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบเข้าที่หัว ช่วงเวลาสั้นๆช่วงเวลานี้ผมอาจจะไม่มีทางลืมชั่วชีวิต ผมไม่อยากจะเชื่อว่าโอกาสจะวิ่งเข้ามาชนผมอย่างไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้ ผมเพิ่งเห็นความดีของการปล่อยให้พระเจ้าบงการชีวิตก็คราวนี้ล่ะ แต่ต่อจากนี้ไปทุกอย่างมันขึ้นกับการตัดสินใจของตัวผมเองแล้วทั้งนั้น และผมเชื่อว่าพ่อกับแม่ก็น่าจะเป็นกำลังใจให้ผมเช่นกัน ผมเองคิดว่าการเดินทางไปคุยกับพี่ตุ๊กและแมวมองคนนั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเรื่องหนึ่งในช่วงชีวิตผม คุณพ่อกับคุณแม่ของผมเองท่านก็คงคิดอย่างนั้นเช่นกัน แต่ช่วงเวลาหลังจากนี้ยังคงจะต้องมีเรื่องราวตื่นเต้นอีกมากมายที่ผมจะต้องเผชิญ แต่ผมก็พร้อมที่จะรับมันตราบใดที่มันยังคงอยู่ในวงเล็บของฟุตบอลที่ผมรักนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

DREAM บทที่ 2 ชีวิตที่แตกต่าง



ทาวน์เฮาส์หลังพอเหมาะซึ่งหน้าบ้านเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำครัวต่างๆ หลังนี้ตั้งอยู่ท้ายซอยลึกประมาณ 300 เมตรซึ่งซอยนี้เป็นซอยของหมู่บ้านที่ห่างจากโรงเรียนของพวกเราไม่ถึง 5 กิโลเมตร บ้านหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชายหนุ่มพี่น้องสองคนภายในบ้าน หนึ่งนั้นคือตั๊กสมาชิกในกลุ่มของพวกเราที่พวกคุณรู้จักกันดีและอีกหนึ่งนั้นคือเตย น้องชายสุดที่รักที่อายุห่างกัน 5 ปีซึ่งขณะนี้กำลังจะขึ้นมัธยมต้นปีที่สอง ด้วยความที่พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดและเพียงแค่มาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งคราวนั่นทำให้ตั๊กเป็นดังพ่อบังเกิดเกล้าของน้องชายก็ไม่ปาน และเนื่องจากเหตุผลที่อยู่กันเพียงแค่สองคนทั้งบ้านแถมตัวบ้านยังตั้งอยู่ท้ายซอยที่อาหารการกินหายากพอๆกับอากาศหนาวในกรุงเทพนั่นทำให้งานอดิเรกของตั๊กคือการขลุกอยู่ในครัวเพื่อทำกับข้าวเลี้ยงปากท้องของตัวเองและน้องชายรวมถึงมันยังคิดเมนูใหม่ๆมานำเสนอให้กับเพื่อนๆเป็นครั้งคราว พวกเราทุกคนเองต่างก็คิดว่ามันเองก็มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่าการเตะฟุตบอลแต่ด้วยความหลงตัวเองเล็กๆของมันทำให้ส่วนใหญ่พวกเราไม่เคยบอกความจริงเวลาที่มันถามถึงรสชาติอาหารของมัน
ในบางครั้งผมเองรู้สึกว่าตั๊กมีความคิดที่แปลกแยกไปบ้างและค่อนข้างจะไม่ก้มหัวให้กับโลกอยู่เสมอๆ ผมคิดว่านั่นอาจจะเป็นเพราะการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กันเพียงสองพี่น้องอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนของผมเรียนรู้วิธีต่อสู้กับโลกใบใหญ่อันโหดร้ายใบนี้ได้อย่างรวดเร็วกว่าใครๆ แต่วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของตั๊กก็กำลังจะเข้าที่เข้าทางกว่าพวกเราทุกคน เหตุผลเดียวที่สำคัญที่สุดคือผู้ชายคนหนึ่งที่สเปนที่แม่ตั๊กรู้จัก ผู้ชายคนนั้นกำลังจะกลายมาเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่สำคัญที่สุดบนชีวิตถนัดซ้ายของตั๊ก ผู้ชายที่ผมเชื่อว่าจะเป็นคนแรกที่จะสามารถไขว่คว้าความฝันของตัวเองมาวางแทบเท้าซ้ายของมันได้

“ลุงนพเค้าพาตั๊กเข้าไปคัดตัวที่บาร์เซโลน่าได้จริงหรือเปล่าแม่” ตั๊กสอบถามเพื่อความแน่นอนอีกครั้งก่อนที่จะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ “ลุงเค้าบอกว่าได้นะ แต่จะผ่านไม่ผ่านอยู่ที่ตัวตั๊กเอง แต่ถ้าตั๊กไม่ผ่านตั๊กต้องสัญญากับแม่นะว่า ลูกจะกลับมาเรียนหรือจะเรียนที่สเปนก็ได้แม่ไม่ว่า แต่ลูกต้องเรียนให้จบปริญญาตรีนะ แล้วจากนั้นถ้าลูกจะเตะฟุตบอลต่อไปแม่ก็ไม่ว่าแต่ขอให้หาเลี้ยงตัวเองได้” “ผมสัญญาครับแม่ ว่าแต่เราจะต้องไปกันเมื่อไร” “แม่คุยกับลุงนพแล้ว ลุงเค้าบอกว่าต้องไปก่อนเดือนสิงหาคมเพราะว่าช่วงนั้นฤดูกาลจะเปิดแล้ว ทางทีมโค้ชเค้าอาจจะยุ่งๆ ลุงอาจจะฝากเข้าไปลำบาก แต่ถ้าไปก่อนหน้านั้นลุงอาจจะช่วยได้” ก่อนสิงหาคม ตั๊กคิดในใจพร้อมกับรู้ในทันทีว่าถ้าตัดสินใจไปในคราวนี้ตัวเค้าอาจจะพลาดชมไทเกอร์คัพช่วงเดือนพฤศจิกายนซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพในรายการนี้และที่สำคัญที่สุดคือมันอาจจะเป็นฟุตบอลรายการสุดท้ายที่พวกเราจะได้ชมร่วมกันในสนามศุภชลาศัย แต่คำว่าคัมป์ นูก็มีเสน่ห์จนตั๊กไม่สามารถจะปฏิเสธโอกาสสำคัญครั้งนี้ได้ ตั๊กจำเป็นต้องตัดสินใจทุกอย่างโดยรักษาไว้ทั้งความฝันและคำว่าเพื่อน สุดท้ายมันส่งยิ้มให้กับแม่ซึ่งเป็นผู้ที่หยิบยื่นทั้งชีวิตและความฝันให้กับมันเสมอมา “ครับแม่ เราเดินทางเดือนกรกฏาคมกันนะครับ”

“กูจะไปสเปนเดือนกรกฏาคมว่ะ สงสัยจะไปดูไทเกอร์คัพกับพวกมึงไม่ได้” ตั๊กโทรรายงานข่าวซึ่งเป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายให้กับเอ็มเป็นคนแรก “เออ ดีๆมึงไปเลยไม่ต้องสนใจพวกกู นี่มันความฝันของพวกเราทุกคน มึงไปก่อนเลยแล้วถ้ามึงได้ดียังไงอย่าลืมเพื่อนนะเว้ย” เอ็มสนับสนุนเพื่อนพร้อมทั้งไม่ลืมทวงบุญคุณแทนพวกเราทุกคน “เออ ถ้ากูไปรอด พวกมึงจะมาเมื่อไรบอกกูได้เลย เราเพื่อนกันเว้ย เออแล้วแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวกูโทรบอกคนอื่นๆก่อน” ตั๊กรับคำสัญญาพร้อมทั้งตัดบทสนทนาเพราะมันคิดว่ายังจะต้องโทรบอกอีกหลายคนแต่แค่คำตอบของเอ็มเพียงคนเดียวก็เพียงพอจะทำให้ตั๊กรู้แล้วว่าความก้าวหน้าของมันในคราวนี้น่าจะตอบโจทย์ความฝันของพวกเราทุกคนได้และมันก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครในหมู่พวกเราจะห้ามไม่ให้มันไปเพราะว่าถ้าเปลี่ยนจากตั๊กเป็นตัวของพวกเราเอง ทุกคนก็คงคิดแบบเดียวกับมัน


ในกลุ่มของพวกเราเอง เพื่อนคนที่พวกเราคิดว่ามันน่าจะไม่สนใจที่จะวิ่งไล่ตามความฝันในขณะนี้แต่กลับคิดอย่างรอบคอบว่าจะร่ำเรียนให้จบปริญญาตรีเสียก่อนจึงค่อยคิดหาลู่ทางกันต่อไป แต่จริงๆแล้วเอ็มเองไม่ได้คิดแค่นั้น การที่มันบอกพวกเราว่ามันจะเรียนให้จบปริญญาตรีก่อน พวกเราคิดกันไปเองว่ามันจะเรียนที่ประเทศไทยแต่จริงๆแล้วมันคิดไปไกลกว่านั้น เอ็มมีใจรักในทางวิศวกรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มันเฝ้าบอกกับพวกเราเสมอว่ามันจะเรียนวิศวะซึ่งในขณะที่มันบอกพวกเรานั้น พวกเรายังเด็กเกินไปที่จะรู้ความหมายที่แท้จริงของการศึกษาแขนงนี้ แต่พวกเราก็ยินดีไปกับมันด้วยที่มันค้นพบตัวเองว่าต้องการที่จะเดินไปทางไหนในขณะที่พวกเราเองยังคงวิ่งไล่เตะลูกบอลไปอย่างไม่รู้อนาคต

เอ็มเกิดมาในตระกูลของคนจีนซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ นั่นทำให้ชีวิตของมันส่วนใหญ่ผูกพันกับครอบครัวในแบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่จะทำอะไรแปลกแยกนั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับครอบครัวของมัน เอ็มทราบดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อกับแม่ตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้นั้น ท่านทำด้วยความหวังดีและอยากเห็นมันประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ในขณะนี้หัวใจของเอ็มร่ำร้องที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง เอ็มมั่นใจว่ามันโตพอที่จะเลือกทางเดินให้กับชีวิตของตัวเองได้แล้ว และการที่มันกำลังเปิดอินเตอร์เน็ตค้นหาหน่วยงานที่ให้ทุนการศึกษาเพื่อไปศึกษาต่อที่เมืองนอกอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเหตุการณ์แรกที่ตัวมันเองได้เริ่มสร้างเส้นทางเดินของชีวิตให้หันหัวแยกออกจากอาคารพาณิชย์ขนาด 5 ชั้นที่วางตัวอยู่ริมถนนใหญ่แห่งนี้


ประเทศเยอรมันเป็นทางเลือกแรกและแทบจะเป็นทางเลือกในฝันของเด็กหนุ่มที่หวังจะเอาดีทางวิศวกรรมทุกคนในภูมิภาคนี้ แต่การสอบชิงทุนไปเยอรมันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆของเด็กนักเรียนโรงเรียนประจำอำเภอย่านปริมณฑลอย่างพวกเรา เพราะการที่จะต้องไปแก่งแย่งชิงดีกับเด็กนักเรียนจากโรงเรียนชื่อดังที่กรุงเทพนั้นเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับพวกเรามากทีเดียว แต่เอ็มก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรที่จะยิ่งใหญ่พอจะขวางกั้นการไหลบ่าของพลังแห่งความฝันของมันได้และหลังจากนี้ช่วงเวลาทุกๆวินาทีของมันจะทุ่มเทให้กับการค้นหาทุนการศึกษาที่เหมาะสมอีกทั้งเตรียมตัวอ่านหนังสือเพื่อให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ทางปัญญาที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า


เมื่อปีที่แล้วที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้เขียนตำนานบทใหม่ในวงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกขึ้นมาด้วยการคว้าแชมป์ครบถ้วนทั้ง 3 ถ้วยหลักๆ นั่นคือ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และ ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ ซึ่งนอกจากจะสร้างความปลาบปลื้มและดีใจให้กับแฟนบอลแมนยูทั่วทั้งอังกฤษแล้ว ความประทับใจเหล่านั้นยังได้กระจัดกระจายข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเด็กหนุ่มในเมืองที่ห่างไกลจากเมืองแมนเชสเตอร์หลายพันไมล์และความยิ่งใหญ่ในปีที่ผ่านมานี้เองได้สร้างสัญลักษณ์แห่งความทรงจำครั้งยิ่งใหญ่ไว้ในใจเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งบอกกับตัวเองนับตั้งแต่วันนั้นว่าเค้าจะต้องพาตัวเองไปค้าแข้งที่โอลด์แทรฟฟอร์ดแห่งนี้ให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม และเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าใจว่าปีกของตัวเองแข็งแรงกล้าแกร่งพอที่จะบินไปหากินเองได้แล้ว เค้าก็ตัดสินใจว่าแมนเชสเตอร์คือเมืองที่เค้าตัดสินใจจะบินไปหากินที่นั่น เมืองที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆระหว่างมันกับเบ็คแฮม รอย คีน หรือจะเป็นไรอัน กิ๊กส์ และอีกไม่นานรายชื่อ 11 ตัวจริงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะต้องมีชื่อของมันอยู่ และพวกเราทุกคนก็รู้กันดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นได้แค่ต้นเพียงคนเดียวเท่านั้น
“กูว่ากูจะไปหางานทำที่อังกฤษว่ะ” ต้นเปลือยความในใจออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “แล้วมึงมีเงินไปเหรอวะ” เทพถามถึงเรื่องสำคัญที่กลัวว่ามันจะเป็นปัญหาสำหรับเพื่อน “กูว่าจะยืมพ่อไปก่อนสักสองแสน แล้วค่อยไปหางานทำที่โน่น” ต้นเล่าความตั้งใจให้เพื่อนรักฟังอย่างหมดเปลือก “เออ ถ้าพ่อมึงไม่ลำบากมันก็น่าจะโอเค แต่อยู่คนเดียวเหงานะโว้ย” “กูรู้น่ะ แต่มันเป็นความเหงาที่กูตามหามาทั้งชีวิตว่ะ” ประกายแววตาของต้นแสดงให้เทพเห็นอย่างชัดเจนว่ามันพูดจริงทุกประการ “กูไม่มีเงินว่ะ ไม่งั้นกูไปกับมึงแล้ว แต่มึงไม่ต้องกลัว ยังไงกูก็ต้องไปค้าแข้งยุโรปให้ได้ มึงรอกูนะ” เทพตัดพ้อให้กับตัวเองแต่ยังคงแสดงให้เห็นถึงหัวใจที่เข้มแข็งและมุ่งมั่นต่อความฝันตลอดมา “จะไปเมื่อไรบอกเพื่อนด้วยนะโว้ย” “คงเป็นปลายๆปีว่ะ เดี๋ยวดูความสะดวกอีกที แล้วเดี๋ยวมีไรเพิ่มเติม กูโทรมาเล่าให้ฟังละกันวะ แล้วเจอกันโว้ย”


หลังจากวางสาย เทพเริ่มตระหนักถึงความจริงที่โหดร้ายสำหรับมัน มันรับรู้ข่าวว่าตั๊กจะได้ไปสเปนเนื่องจากแม่มีคนรู้จัก เอ็มเองก็หาทุนสอบไปเรียนต่อที่เยอรมัน ต้นเองก็พยายามไปหางานทำที่อังกฤษ ส่วนตัวมันเองเล่าได้ทำอะไรให้กับความฝันบ้าง ถ้าพูดกันถึงฝีเท้า มันเองก็ไม่ได้เป็นรองใครในทีมแต่ด้วยฐานะของทางบ้านเองก็ไม่ได้ร่ำรวยพอที่จะส่งมันไปเมืองนอกได้มันพยายามคิดหาลู่ทางที่จะออกนอกกะลาอย่างเพื่อนๆบ้างแต่ด้วยความคิดของเด็กมัธยมปลายอย่างพวกเรา บางครั้งการก้มหน้ายอมรับกับสิ่งที่พระเจ้าขีดไว้ให้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วก็ได้


“มึงรู้เรื่องหรือยังวะว่าต้นมันจะไปอังกฤษน่ะ” เทพบอกในโทรศัพท์ “ยังเลยว่ะ มันจะหาทางไปเล่นกับแมนยูล่ะสิ ทีมในฝันของมันนี่นา” โยพอจะเดาความคิดของเพื่อนออก “ใช่ๆ แต่กูเองเริ่มคิดแล้วว่ะ ว่าแล้วพวกเราที่เหลือจะเอายังไงกันดีวะ สงสัยได้เรียนมหาลัยกันอยู่ที่นี่แน่ ไทยแลนด์ลีกแม่งก็เงินน้อย ไม่พอเลี้ยงตัวเองแน่นอน” เทพพูด “แต่ก็ยังได้เตะบอลละกันวะ ไม่งั้นมึงจะทำอะไรล่ะ ถ้าเล่นดีๆอาจจะมีแมวมองมาดูก็ได้โว้ย มองโลกในแง่ดีสิวะ กูว่าจะชวนมึงไปคัดตัวกันอยู่พอดี เลือกสักทีมในไทยแลนด์ลีกแล้วลองไปดูกัน กูว่าฝีเท้าเราก็พอไหวนะ นัทกับเอกมันจะไปด้วยกันหรือเปล่าวะ”โยเสนอทางเลือกและยังเผื่อแผ่มาให้กับผมและนัท “ก็ต้องลองถามมันดูว่ะ จะทำอะไรก็ต้องรีบๆแล้วล่ะ ไม่งั้นถ้าต้องเรียนจริงๆจะสมัครเรียนไม่ทัน” เทพพูด “เอาๆเดี๋ยวกูลองหาข้อมูลดูก่อนว่าทีมไหนน่าสน เอาใกล้ๆบ้านเรา แล้วเดี๋ยวกูชวนสองคนนั้นเอง แล้วมีอะไรเพิ่มเติมกูโทรไปบอก” “เออ ขอบใจว่ะ เหลือกันแค่สี่คนแล้วเรา แล้วคุยกันโว้ย” เทพกล่าวลากับเพื่อนรักพร้อมทั้งยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตวัยรุ่นของมันเอง แน่ล่ะถ้าสุดท้ายแล้วพวกเราไม่สามารถที่จะไปคัดตัวกับทีมใหญ่ในยุโรปได้ ไทยแลนด์ลีกก็คงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการใช้ชีวิตในช่วงวัยหนุ่มของพวกเราสี่คนที่ไม่มีโอกาสจะทำอย่างเพื่อนๆคนอื่นได้


บ้านพักข้าราชการหลังเก่าที่สร้างขึ้นด้วยไม้ทั้งหลังหลังนี้นั้น มันผ่านการอยู่อาศัยของหลายครอบครัวของกรมชลประทานที่เคยได้รับสวัสดิการจากทางราชการให้เข้ามาใช้เป็นที่พักพิงทั้งร่างกายและจิตใจอยู่ที่นี่ และในขณะนี้มันกำลังเป็นที่พักพิงของสามพ่อแม่ลูกที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีครอบครัวหนึ่งซึ่งกำลังจะเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของลูกชายคนเดียวของครอบครัว “พ่อว่านัทเรียนให้จบปริญญาตรีดีกว่า พ่อกับแม่มีกำลังส่งได้แน่นอน” พ่อบอก “แต่นัทว่านัทจะทำงานก่อนนะ จะได้หาเงินมาช่วยค่าใช้จ่ายที่บ้านได้ หรือถ้ามันพอไหวนัทก็จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย” นัทบอกพ่อถึงความตั้งใจที่มี “แต่พ่อว่ามันจะลำบากนะลูก ลูกเองก็ยังเด็ก ทำงานไปมันจะได้สักกี่บาทเชียว อีกอย่างเดี๋ยวจะไม่มีเวลาไปเตะบอลกับเพื่อนนะลูก” พ่อพูด พ่อยังคงใจดีกับนัทอยู่เสมอๆ ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านจะไม่ได้ดีพอที่จะมีความสุขทางวัตถุในแบบที่ครอบครัวอื่นๆเป็น แต่นัทก็รู้สึกมีความสุขเสมอๆที่ได้เกิดขึ้นมาในครอบครัวธรรมดาๆครอบครัวนี้ พ่อเองไม่เคยห้ามไม่ให้นัทเตะฟุตบอลเพราะพ่อเองก็คงเข้าใจว่าฟุตบอลคือความสุขเดียวที่นัทมี ตั้งแต่เด็กมาของเล่นชิ้นเดียวที่นัทมีก็คือฟุตบอล ฟุตบอลที่เป็นทั้งของเล่นและเพื่อนรักของนัทมาตั้งแต่เพิ่งเริ่มเดินได้ พูดได้ว่ามันเองเตะฟุตบอลกับเดินได้แทบจะพร้อมๆกัน แล้ววันนี้เมื่อมาถึงทางแยกที่มันเองจะต้องเลือกเดินต่อไปนั้น แน่นอนว่าไม่ว่าทิศทางที่มันเลือกเดินจะเป็นทิศทางใด ฟุตบอลจะยังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมันเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม


ผมเองเกิดมาในตระกูลข้าราชการธรรมดา พ่อแม่เองไม่ได้มีสมบัติพัสถานมาจากต้นตระกูลแต่อย่างใด นั่นทำให้ทาวน์เฮาส์สองชั้นย่านชานเมืองแห่งนี้ดูจะมีขนาดพอเหมาะกับฐานะของพวกเราอย่างมิต้องสงสัย ครอบครัวผมมีกันสี่คน นอกจากตัวเองผมเองที่เป็นลูกแล้ว ผมยังมีพี่สาวที่โตกว่าผมร่วมๆ 7 ปีเป็นหนึ่งในครอบครัวของผมอีกคน พี่สาวผมเรียนจบปริญญาตรีและสามารถช่วยหาเงินเข้าบ้านมาได้ 2 – 3 ปีแล้ว นั่นทำให้ครอบครัวของเรามีสภาพคล่องมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากช่วงก่อนที่พ่อกับแม่ยังต้องรับภาระส่งพวกเราเรียนทั้งสองคนอยู่ และสืบเนื่องมาจากสภาพคล่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรานั้นเอง นั่นทำให้พ่อกับแม่เสนอว่าจะพาพวกเราสองพี่น้องไปเที่ยวกับพ่อแม่เป็นครั้งแรกๆนับตั้งแต่พวกเราโตมาเลยทีเดียว และหัวหินก็คือสถานที่ที่พวกเราสี่คนลงมติกันแล้วว่าเหมาะสมที่สุดทั้งไงแง่ของเวลาในการเดินทางและปัจจัยที่จะต้องเสียไปในการเดินทางครั้งนี้ ผมพยายามรบเร้าให้พ่อกับแม่เลือกไปก่อนกลางเดือนพฤษภาคมเพราะว่าช่วงเวลานั้นผมนัดกับเพื่อนๆไว้แล้วว่าเราจะมาดู UCL นัดชิงกันที่บ้านของผม และผมไม่อยากจะพลาดโอกาสนั้นไปเพราะการไปเที่ยวหนนี้ และพ่อกับแม่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจเหตุผลของผมเป็นอย่างดีนั่นทำให้การไปหัวหินครั้งนี้ของผมเป็นเวลาที่พอเหมาะพอเจาะที่สุดเท่าที่ผมจะควบคุมได้ ในขณะที่เพื่อนๆกำลังหาทางเดินให้กับชีวิตของตัวเองอยู่นั้น ผมกลับยังไม่ได้คิดถึงทางเลือกใดเลย ผมคิดแค่ว่าขอให้ผมได้อยู่กับครอบครัวให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้ก่อนแล้วหลังจากนั้นทางเดินที่ผมสมควรจะต้องเดินมันคงจะเผยออกมาเอง บางครั้งผมเองก็ปล่อยหน้าที่นี้ให้กับพระผู้เป็นเจ้ามากเกินไปบ้าง แต่ผมคิดว่าบางครั้งท่านเองก็ชอบที่จะทำหน้าที่นี้เช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ที่หัวหินแห่งนี้ ที่ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาลอย่างที่ไม่ว่าผมและใครๆก็ไม่เคยคาดคิดถึงมัน

รวมเล่ม 18. นาฬิกาเทียงคืน

นาฬิกาแขวนผนังบรรจงบอกเวลาเที่ยงคืนอย่างมีนัยยะ ทุกค่ำคืนในเวลาเดียวกันนี้ บางคนอาจจะกำลังหลับ บางคนอาจจะกำลังตื่น แต่เขาผู้นี้ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการรอ รอเพื่อที่จะพบกับเธอในทุกเที่ยงคืน

"ทำไมต้องเป็นเที่ยงคืนเท่านั้น ที่คุณจะคุยกับฉัน" เธอเปิดบทสนทนาด้วยความสงสัย
"แล้วคุณจะให้ผมคุยกับคุณตอนไหน" เขาถามกลับ
"ก็เราเจอกันอยู่ทั้งวัน" หล่อนบอก
"ชั่วโมงละครั้งน่ะหรือ มันไม่พอสำหรับความคิดถึงของผมหรอก" เขาเผยความในใจ
"แต่ตอนเที่ยงคืน ฉันก็ไม่ได้อยู่กับคุณนานไปกว่าชั่วโมงอื่นๆนี่นา" หล่อนยังคงสงสัย
"แต่มันเป็นช่วงเวลาเดียวที่ผมเจอคุณในขณะที่ฐานะเราเท่าเทียม" เขาเปลือยความในใจอีกครั้ง
"แล้วตอนเที่ยงวันล่ะ" เธอถาม
"ผมหิวข้าว" เขายียวน
"แล้วทีเที่ยงคืนทำไมไม่ง่วง" หล่อนไม่ยอมแพ้
"ผมรอคุณ รอคุณทุกวัน" เขาพูดพร้อมทั้งมองเข้าไปในแววตากลมโตของเธอ

ด้วยงานที่เขาและเธอรับผิดชอบอยู่นั้นไม่เปิดโอกาสให้เขามีเวลาสานสัมพันธ์กับเธอมากเท่าไร เขาได้พบหน้าเธอเพียงชั่วโมงละครั้งในทุกวัน และแต่ละครั้งเขามีเวลาสนทนาปราศรัยเพียงไม่เกิน 1 นาที และเขาก็มักจะต้องจำใจลาไปทำหน้าที่รับผิดชอบของเขา เขารู้ดีว่างานของเขาต่ำต้อยแต่คนไร้ศักดินาอย่างเขาเลือกงานที่ดีกว่านี้ได้ด้วยหรือ เขาทำเพียงเพื่อปากท้องแต่หาได้มีอนาคตใดไม่ สิ่งจรรโลงใจของเขามีเพียงสอง หนึ่งนั้นคือการได้พบหน้าเธอทุกชั่วโมง และสองถ้าเขาทำหน้าที่ที่รับผิดชอบอย่างเที่ยงตรง เธอผู้นั้นจะยิ่งมีคุณค่ามากขึ้นในสายตาคนอื่นๆ

"ผมได้แต่ทำงานไปวันๆ ทำเพียงเพื่อให้คุณมีคุณค่า" เขาพูด
"คุณเองก็มีคุณค่า แต่คุณแสร้งมองไม่เห็นต่างหาก" เธอบอก
"ผมทำงานแทบจะทุกนาที แต่คนกลับสนใจในตัวคุณมากกว่า" เขาตัดพ้อ
"คุณรู้ได้อย่างไร" หล่อนถาม
" รู้ก็แล้วกัน คุณทำงานแค่ชั่วโมงละไม่กี่ครั้งแต่กลับมีคุณค่ามากกว่างานของผม บางครั้งผมเคยคิดอยากเป็นคุณ" เขาเปิดใจ
"บางครั้งเราฝืนความต้องการของพระเจ้าไม่ได้ แต่เราทำให้ดีที่สุดภายใต้กรอบนั้นได้" หล่อนพยายามอธิบาย

หัวข้อการสนทนายังคงเป็นเช่นเดิม เขาดักรอเพื่อพบเธอในทุกเที่ยงคืนแต่ยังคงพูดประโยคเดิมๆ เขาไม่พอใจในงานที่ตัวเองทำ เขาไม่เห็นคุณค่าของมัน เหตุผลที่เขาทนทำอยู่มีเพียงหนึ่งเดียว เพื่อพบเธอ แต่ยิ่งวันเวลาผันผ่านไปเท่าไร ความใกล้ชิดกลับกลายเป็นความเคยชิน เขาและเธอเริ่มต้นและจบบทสนทนากันด้วยคำพูดเดิมๆ แต่ครั้งนี้เป็นเธอที่จะไม่ทนกับอะไรเดิมๆ

"คุณลองคิดดูว่า ถ้าคุณไม่ทำงาน งานของเราจะมีใครสนใจ" เธอเปิดประเด็น
"คุณก็ได้แต่ปลอบผม คุณไม่เป็นผมคุณไม่รู้" เขาบ่น
"แล้วคุณไม่ได้เป็นฉันคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันมีความสุข" เธอถาม
"ทำไมคุณจะไม่มี" เขาถาม
"ฉันทำงานเพียงน้อยนิดในขณะที่คุณทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย แล้วฉันจะมีความสุขได้อย่างไร" เธอมองตาเขา
"คุณรักผม" เขาถาม
"อาจจะใช่" เธอบอก
"ถ้าคุณบอกผมตั้งแต่แรก ผมคงจะไม่รังเกียจงานนี้" เขาเผย
"คุณรักฉัน" เธอถาม
"มากมายมหาศาล ผมยอมทำทุกอย่างเพื่อที่คุณจะได้รับการยอมรับ" เขาตอบอย่างจริงใจ
"คุณไม่อยากเป็นฉันแล้วหรือ ไม่อยากทำงานสบายแล้วหรือ" เธอถามอีกครั้ง
"ผมรักคุณ" เขาตอบ
"ฉันอยากให้คุณเห็นคุณค่าในตัวเองบ้าง งานของเราสองคนขาดใครไปไม่ได้ คุณก็รู้" หล่อนบอก
"ผมจะพยายาม บางครั้งผมอยากได้ไปข้างนอกบ้าง อยากส่งเสียงดังยามเช้าบ้าง แต่ก็ทำได้เพียงทำงานอยู่ในห้องแบบนี้" เขายังคงคร่ำครวญ
"ทุกอย่างมีคุณค่า คุณอย่าโทษตัวเองไป บางคนอาจอิจฉาคุณที่ได้อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ ไม่ต้องตากแดด บางคนอาจอิจฉาคุณที่ไม่ต้องคอยตื่นเช้า" เธอพยายามอธิบาย
"นั่นสินะ" เขาครุ่นคิด

นั่นสินะ เขาอิจฉาคนอื่นและพยายามมองตัวเองในแง่ลบ แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนอื่นๆไม่ได้อิจฉาเขา เขามีโอกาสได้พบเธอทุกชั่วโมงด้วยหน้าที่การงาน และในชั่วโมงนี้เขาได้รู้ว่าเธอรักเขา และอย่างแน่นอนที่สุดเขาก็รักเธอ ก็แล้วเขายังจะต้องกังวลอะไรอีก

"แต่ผมกังวลเหลือเกิน กลัวว่าเมื่อโลกเปลี่ยนไป ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกแทนด้วยตัวเลข ด้วยดิจิตอล แล้วยังจะมีใครต้องการเราสองคนอีกหรือ"
"ตัวเลขไม่มีศิลปะ ดิจิตอลไม่มีประวัติศาสตร์ เราสองคนต่างหากคือสิ่งที่สวยงาม"
"ฉันไม่เชื่อว่าต่อไปเราจะไม่มีใครต้องการ ถ้าคุณยังคงเชื่อในสิ่งที่คุณทำและเต็มที่กับมัน"
"ผมเชื่อที่รัก ผมเชื่อ ผมเชื่อคุณและเชื่อในสิ่งที่ผมทำ ผมจะไม่อยากเป็นอย่างคุณ ไม่อยากทำงานของคุณ แต่ผมจะทำงานของผมให้ดีที่สุดอีกครั้ง เพื่อให้ตัวคุณมีคุณค่าไปด้วย"
"ขอบคุณจริงๆค่ะ"
"ผมคงต้องไปแล้ว ราวตีหนึ่งห้านาทีเราคงได้พบกันอีก หวังว่าคุณคงจะไม่รังเกียจ"

เมื่อช่วงเวลาแห่งการลาจากมาถึง เขาจำเป็นต้องสลัดความรู้สึกเบื้องลึกแห่งอารมณ์ทิ้งไป เหลือไว้เพียงความมั่นคงต่อหน้าที่เฉกเช่นผู้ชายทุกคนควรจะมี

"ฉันรักคุณค่ะ ฉันจะรอ รอทุกชั่วโมงที่เราจะได้พบกัน"
"ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้มาพบคุณตรงเวลา ผมเชื่อว่าถ้าเราสองคนทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ดิจิตอลจะไม่สามารถมาแทนที่เราได้ และเมื่อนั้นผมกับคุณจะไม่มีทางแยกจากกัน"
"ฉันก็เชื่อเช่นนั้นค่ะ รีบไปเถอะค่ะเดี๋ยวจะสาย"
"ครับ ผมต้องไปแล้วนะ ผมรักคุณนะ เข็มสั้นของผม" เขาบอกรักให้กับเธอผู้เป็นที่รัก
"ฉันก็รักคุณค่ะ คุณเข็มยาว" เธอตอบแทนเขาด้วยคำรักเช่นกัน

เมื่อเวลาเที่ยงคืนผ่านเลยไป ชายหนุ่มยังคงต้องทำหน้าที่ของเขาเฉกเช่นทุกวัน การลาจากเป็นดังญาติสนิทที่เขาต้องพานพบอยู่เสมอ แต่วันนี้เขาไม่โศกเศร้าเช่นเดิม เขารู้แล้วว่าเธอรักเขา เขารู้แล้วว่างานของเขามีคุณค่าและเขารู้แล้วว่า ตัวเลขดิจิตอลไม่มีทางแทนที่เธอและเขาได้ จุดจบสุดท้ายของชายหนุ่มเข็มยาวผู้ทำหน้าที่อยู่ภายในนาฬิกาแขวนผนังจะเป็นเช่นไรใครเล่าจะรู้ ตัวเขาเองก็ไม่อยากรู้ เขาอยากจะรู้แค่เพียงว่าในหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าเธอจะรอเขาอยู่ที่นั่น ที่ที่เขาและเธอพบกันในทุกค่ำคืน

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 17.4 เกาะสมุย น้ำใส ไอทะเล (19/3/2010)






19/3/2010


8.30 น.

การกลับคืนสู่ความมีสติในเช้าของวันใหม่ที่พวกคุณใฝ่ฝันถึงคืออะไร ผมเฝ้าใฝ่ฝันถึงการสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยการปลุกของระลอกคลื่นริมทะเลที่โหมกระหน่ำเข้ากระแทกชายหาดอย่างบ้าคลั่ง แล้วเช้าวันนี้ผมก็ได้สัมผัส ผมไม่รู้ว่าความสุขของพวกคุณคืออะไรและคุณมีวิธีหามันได้จากที่ไหน แต่ผมโชคดีที่ผมรู้และมักจะทำมันอยู่เสมอทุกช่วงเวลาที่โอกาสเดินทางมา มีคนมากมายเฝ้าไถ่ถามเมื่อรู้ว่าผมและเพื่อนร่วมทางกำลังจะไปทะเล ไปทำอะไรเหรอ ทะเลที่นั่นมีอะไร เล่นน้ำ ดำน้ำ เล่นกีฬาทางน้ำ หรือว่าอะไร ผมไม่รู้และไม่อยากรู้ว่าคำตอบของคนอื่นคืออะไร แต่สำหรับผม หน้าที่ของผมคือพาตัวเองไปให้ถึงอ้อมกอดของทะเลโดยไม่ต้องคิดว่าจะทำอะไร ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทะเลว่าจะให้ความสุขกับผมแบบไหน จำคำพูดผมไว้ เมื่อไรที่ทุกข์ พาตัวเองไปให้ถึงทะเลแล้วที่เหลือปล่อยให้ทะเลจัดการไป ไม่ต้องกังวล
คนใกล้ตัวเดินเข้ามาเตือนผมถึงข้อเขียนที่ผมสัญญาไว้ว่าจะจัดการให้ในเช้าวันนี้ น้ำใจที่ผมต้องการคืนกลับไปให้ “พี่” จำเป็นที่จะต้องถูกบรรจุพร้อมกับจดหมายฉบับที่ผมกำลังจะเขียนขึ้นเพื่อเป็นเสมือนเครื่องรางของขลังกันไม่ให้พี่ผลักน้ำใจกลับมาโดยไม่ยินยอมที่จะรับมัน เสียงและกลิ่นของทะเลตรงหน้าเป็นดังแรงที่มองไม่เห็นที่ช่วยผลักดันให้ปากกาของผมร่ายตัวหนังสือได้เร็วกว่ายามที่วางนิ้วบนแป้นพิมพ์ท่ามกลางป่าคอนกรีตยิ่งนัก และเมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ ผมปล่อยหน้าที่ให้กับคนใกล้ตัวในการลอกตัวหนังสือลงบนกระดาษอีกครั้งด้วยลายมือที่อ่านง่าย(กว่าลายมือไก่เขี่ยของผม) แต่เมื่อกระเพาะของเราทั้งสองส่งเสียงเรียกร้องขอทำหน้าที่ย่อยอาหารในช่วงเช้า เราจึงต้องจำยอมแต่โดยดี และการเขียนจดหมายด้วยตัวบรรจงจึงย้ายสถานที่ไปเกิดขึ้นที่ร้านอาหารของรีสอร์ทซึ่งแน่นอนว่ายังคงโอบล้อมไปด้วยอ้อมกอดของทะเลเช่นเดิม

10.15 น.

ข้าวต้มปลาหมึก ไส้กรอก แฮม เบคอน ขนมปัง ไข่คน ไข่ดาว ไข่ม้วน ถูกส่งผ่านเข้าสู่ร่างกายของเราสองคนในระหว่างบรรจงเขียนจดหมายตัวจริงขึ้นด้วยลายมือที่พี่น่าจะอ่านรู้เรื่อง ในระหว่างที่เราละเลียดอาหารอย่างสำราญปลายลิ้นอยู่นั้น เราไม่ลืมที่จะละเลียดบรรยากาศของทะเลรอบกายอย่างไม่เคยจะรู้สึกเบื่อเพราะเรารู้อยู่เสมอว่าเมื่อพรุ่งนี้เดินทางมาถึง การเดินทางโดยหันหลังให้กับทะเลก็จะเริ่มขึ้น และเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง การโอบล้อมของตึกสูงระฟ้าก็คงจะทำหน้าที่ของมันเช่นเคยเหมือนเช่นทุกวันก่อนหน้าที่ผมจะมาถึงเกาะสมุยแห่งนี้
ข้อความด้านล่างคือส่วนหนึ่งของข้อความในจดหมายที่ถูกส่งมอบถึงพี่ และความรู้สึกที่คุณได้รับเมื่ออ่านข้อความจบก็อาจจะเป็นความรู้สึกของ “พี่” เช่นเดียวกัน

พี่รู้หรือเปล่าว่าคนเราทุกคนเติบโตขึ้นได้อย่างไร ด้วยเวลาที่ผ่านไปในทุกวินาทีไม่ได้ทำให้เราโตขึ้น เราแค่แก่ลงต่างหาก ด้วยอาหารทุกมื้อที่เรากินเข้าไปมันก็ไม่ได้ทำให้เราโตขึ้น เราแค่ตัวใหญ่ขึ้นต่างหาก แล้วอะไรกันแน่นะที่ทำให้เราโตขึ้น สำหรับเราสองคน เรื่องราวทุกๆเรื่องราวที่เราก้าวผ่านในทุกวินาทีต่างหากที่ทำให้เราสองคนเติบโตขึ้น เราสองคนตระเวนท่องเที่ยวมาทุกภาคของประเทศ มุ่งมั่นเดินทางแสวงหาความหมายของชีวิตและประสบการณ์ร้อยพันที่จะทำให้เราเติบโตอย่างเข้มแข็ง และทุกที่ที่เราไปเยือนเรามักจะได้สิ่งนั้นไม่เว้นแม้กระทั่งการมาเยือนเกาะที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าวแห่งนี้ พี่รู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตัวมนุษย์คืออะไร สิ่งที่พวกเราทุกคนหวงแหนที่สุดคืออะไร สำหรับเราสองคนคำตอบคือหัวใจ แต่ก็แปลกที่ถึงแม้ของสิ่งนี้จะสำคัญที่สุดจนบางคนไม่กล้าแม้แต่จะ "เปิดใจ" แต่เราสองคนกลับพร้อมที่จะ "ให้ใจ" ไปกับทุกคนที่เราคิดว่าเค้า "จริงใจ" แน่นอนบางคนอาจจะดูแลเราสองคนไม่ดีทำให้เราสองคนต้อง "เจ็บใจ" แต่เราสองคนก็ไม่เคยระวังไปมากกว่าเดิมเพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนที่ให้ใจใครง่ายๆ เราเลือกแล้วที่จะ "วางใจ" กับคนที่เรามองแล้วว่า "ไว้ใจ" ได้เท่านั้น แต่ก็อย่างที่พี่รู้ มนุษย์กับทะเล ชาวเลอย่างพี่คงรู้ดีอยู่แล้วว่าเรา "เชื่อใจ" อะไรได้มากกว่า พี่รู้หรือเปล่าว่าเราสองคนไว้ใจพี่ตั้งแต่ที่เราคุยกันก่อนที่เราจะมาถึงเกาะแห่งนี้แล้ว เราไว้ใจพี่ผ่านเทคโนโลยีโดยไม่เคยเห็นหน้ากันสักนิด และเมื่อวินาทีแห่งการพานพบมาถึง เราสองคนรู้ตัวทันทีว่าเราไม่ได้ไว้ใจคนผิดแต่อย่างใด ทุกสิ่งที่พี่และครอบครัวแสดงออกต่อเราสองคนเราสัมผัสได้เสมอว่ามีความจริงใจฉาบมาด้วยตลอดเวลา กับข้าวของแม่ทุกอย่างเราสัมผัสได้ด้วยปลายลิ้นแต่รับรู้ได้ด้วยใจว่าแม่ทำทุกจานอย่างใส่ใจ วินาทีที่พี่พูดว่าให้เป็นกันเอง ใช้ชีวิตให้เหมือนบ้าน เหมือนพี่เหมือนน้อง เราสองคนตัดสินใจทันทีที่จะเชื่อ แต่ด้วยการที่เรายังคงต้องกินข้าวสองคนและไม่ได้ช่วยเก็บจาน เราสองคนจึงยังคงรู้สึกว่าพี่ไม่ได้ให้ใจเรามากกว่าลูกค้าทั่วไปในขณะที่เราสองคนให้ไปมากกว่านั้น และแล้วเราสามคนก็มีโอกาสได้กินข้าวร่วมกัน พี่รู้หรือเปล่าว่าคนเราไม่ได้เติบโตขึ้นเพียงเพราะประสบการณ์ดีๆเท่านั้น ประสบการณ์ร้ายๆกลับยิ่งทำให้เราโตเร็วกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด เหตุการณ์ทุกอย่างสร้างความผิดหวังให้กับเราทุกคนว่าสุดท้ายแล้วมนุษย์ยังคงน่ากลัวกว่าทะเล สึนามิยังมีลางบอกเหตุแต่มนุษย์ใจทรามไม่เคยเตือนเราเช่นนั้นเลย แต่หลังจากสึนามิผ่านไป นักท่องเที่ยวยังคงกลับมาหาทะเลเช่นเดิม มันเพราะอะไรกันนะ ทำไมพวกเราทุกคนจึงเลือกจดจำแต่สิ่งที่สวยงาม พี่คิดว่าเพราะอะไรกันนะ เราสองคนเองก็เลือกจดจำแต่สิ่งที่สวยงาม พี่รู้ไหมว่าทำไม ชีวิตคนมันสั้นเหลือเกินพี่เอ๋ย ถ้าเราต้องตกอยู่ในวังวนของความไม่เชื่อใจสิ่งต่างๆรอบกาย เราคงไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแน่นอน แล้วพี่ล่ะเลือกมองที่ส่วนไหน เมื่อพี่อ่านจบพี่คงรู้แล้ว่วาจะวางเราสองคนไว้ตรงไหน ลูกค้าหรือว่าพี่น้อง แต่สำหรับเราสองคน เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่และครอบครัวอยู่ตรงไหน สำหรับเราสองคนถ้าลองเรียกใครว่าพี่ ว่าพ่อ หรือว่าแม่แล้ว ความหมายไม่เคยผิดเพี้ยน เรียกอย่างไรเราสองคนรักอย่างนั้น และด้วยความที่เราเป็นอย่างนั้น เราไม่เคยสบายใจที่พี่ต้องชดใช้กับสิ่งที่พี่ไม่ได้เป็นคนทำ เราสองคนไม่มีอะไรจะมอบให้ แต่ขอส่งน้ำใจดีๆที่พี่มอบให้ ส่งกลับคืนมาภายในจดหมายนี้ เราขอร้องให้พี่รับน้ำใจของเรากลับไปโดยไม่อิดออดแม้เพียงนิด เพราะนี่เป็นสิ่งง่ายๆเพียงสิ่งเดียวที่มนุษย์ยังคงให้กันได้บนโลกที่สวยงามใบนี้ สุดท้ายอยากให้พี่และครอบครัวรู้ไว้เสมอว่า อย่าสิ้นหวังในความดีของมนุษย์ ไม่ว่าเหตุการณ์ร้ายๆจะผ่านเข้ามามากเท่าไรก็ตามเพราะวันหนึ่งมันก็จะต้องผ่านไป เหลือทิ้งไว้เพียงประสบการณ์ที่ทำให้พวกเราทุกคนเติบโต ขอเพียงพี่เชื่อในความสวยงามของทะเลมากกว่าที่จะจำติดตากับภาพสึนามิ ทะเลจะยังคงสวยงามเฉกเช่นนี้ต่อไป มนุษย์เองก็คงเช่นกัน พี่ว่าอย่างนั้นไหม** ถ้ามีใครถามเราสองคนว่า ไปสมุยมาเป็นอย่างไรบ้าง เราคงจะบอกแต่เพียงว่า "ไอทะเล" ที่นั่นมัน "ชื่นใจ" มากจริงๆ

12.30 น.

ผมยืม DVD หนังมาจากพนักงานรับรองหนึ่งเรื่อง และขณะนี้มันกำลังฉายตัวมันเองผ่านการรับชมของผมอยู่และอย่างที่ผมพยายามพร่ำบอก ข้างๆผมยังคงเป็นทะเล ใครหลายคนถามผมว่าอุตส่าห์มาเที่ยว ทำไมยังมาหมกตัวดูหนังอยู่ในห้องพัก ผมดูหนังแล้วมีความสุข ผมอยู่ในห้องพักแล้วมีความสุข ผมนอนฟังเสียงทะเลแล้วมีความสุข อะไรคือเหตุผลของการอยู่ข้างนอก ไร้สาระสิ้นดี
Life is beautiful คือชื่อหนังที่ผมกำลังชมอยู่ขณะนี้ บางคนอาจจะแปลความหมายของชื่อหนังว่า ชีวิตเป็นสิ่งสวยงาม แต่เมื่อผมสัมผัสเนื้อหาของหนังไปได้สักระยะ ผมรู้แล้วว่าคำแปลนี้คงไม่ตรงเสียทีเดียว ชีวิตไม่ได้สวยงามแต่การมีชีวิตอยู่ต่างหากที่สวยงาม หนังแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เพื่อนมนุษย์จะทำต่อกันได้ แต่ตัวเอกของเรื่องก็ยังคงแสดงให้เราเห็นเช่นกันว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องที่สวยงามเสมอ หรือพวกคุณคิดว่าอย่างไร
นอกจากความหมายและแง่คิดที่ผมจดจำมาจาก Life is beautiful แล้ว มีอีกสองอย่างที่ผมจดจำมาด้วย นั่นคือปัญหาเชาว์ที่ตัวเอกในเรื่องถาม – ตอบกัน อะไรเอ่ยแค่เอ่ยชื่อมันก็จะไม่อยู่ที่นั่นแล้ว และ อะไรเอ่ยยิ่งมีเยอะ ยิ่งมองไม่เห็น ผมชอบปัญหาทั้งสองข้อนี้มากนะ ผมไม่รู้ว่ามันมีปรัชญาอะไรแฝงอยู่หรือเปล่า หรือเพียงแค่ถามกันเล่นๆ แต่เมื่อมันทำให้ผมมีความสุข ผมก็ลืมทุกอย่าง

15.00 น.

ผมเดินทางออกจากที่พักเพื่อนำจดหมายที่เพียบไปด้วยน้ำใจไปให้กับ “พี่” ที่บ้าน แต่เมื่อไปถึงเรากลับพบแต่แม่กับพ่อโดยไม่พบพี่แต่อย่างใด เราฝากจดหมายไว้กับพ่อและแม่ และเอ่ยปากชวนพ่อกับแม่ไปกินข้าวเย็นกับเราที่ร้านอาหารบริเวณหาดละไมซึ่งพ่อกับแม่เองน่าจะไม่ได้ไปมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน และด้วยธุระของพี่ที่มีในช่วงเย็นพอดีนั่นทำให้แม่จึงเป็นเพียงแขกคนเดียวของเราในมื้อเย็นมื้อสุดท้ายของเราบนเกาะกลางทะเลแห่งนี้

17.30 น.

เราใช้เวลาเดินหาของที่ระลึกบริเวณหน้าทอนเป็นเวลาร่วมสองชั่วโมงแต่ก็ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมา แต่การชมเมืองด้วยเท้าเสียบ้างก็ดูจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศได้ดีอยู่ทีเดียว ก่อนที่จะไปรับแม่เพื่อที่จะไปสร้างมื้อเย็นเชื่อมความสัมพันธ์กันนั้น พระอาทิตย์ที่หน้าทอนก็มีโอกาสอวดโฉมให้พวกเราได้เห็นและเป็นการอวดโฉมที่เรียกได้ว่าติดตราตรึงใจครั้งหนึ่งทีเดียวสำหรับพระอาทิตย์ดวงเดิมที่ตกลงบนทะเลแห่งเดิมเพียงแต่เรากำลังยืนจดจ้องอยู่ในมุมที่แตกต่างจากวันอื่นๆที่ผ่านมา
ในทุกครั้งที่เราเข้าใกล้ธรรมชาติ แค่เพียงสิ่งเล็กๆง่ายๆเช่นพระอาทิตย์ตกดินในยามเย็น พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าหรือว่าหมู่ดาวในยามค่ำคืนเองก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความสุขให้กับเราอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลงทุนแต่อาจจะต้องลงแรงบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวย แต่เมื่อเราอยู่ในเมืองกรุง ทำไมเราไม่เคยตักตวงความสุขจากสิ่งเหล่านี้ได้เลยนะ พระอาทิตย์ขึ้นนั้นมีความหมายแค่เพียงช่วงเวลาที่เราจะต้องเดินทางไปต่อสู้กับงานกำลังจะเริ่มขึ้น และเช่นเดียวกันพระอาทิตย์ตกดินก็เป็นสัญลักษณ์ของการนั่งหลังขดอยู่กลางถนนเพื่อเดินทางรอนแรมกลับที่พักในยามเลิกงานนั่นเอง แล้วหมู่ดาวบนท้องฟ้าล่ะ ขอเอาเวลาไปนอนเพื่อที่จะตื่นมาสู้กับงานในเช้าวันรุ่งขึ้นดีกว่า อย่าว่ากันเลยนะ

18.00 น.

มีผู้คนมากมายที่บอกว่าชอบบรรยากาศในการร่ำสุรามากกว่าที่จะชอบรสชาติในตัวของสุราเอง ผมอยากจะให้ความเห็นคล้ายๆกันนี้เช่นกันในการร่วมวงอาหารกันระหว่างพวกเรากับแม่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่สั่งสมมาในรูปของประสบการณ์ถูกถ่ายทอดผ่านมาถึงพวกเราอย่างเป็นกันเองในลักษณะของแม่สอนลูกที่พวกเราคุ้นเคยกันดี มนุษย์เรามีวิธีที่จะเรียนรู้เรื่องราวต่างๆได้อยู่สองทาง หนึ่งคือประสบพบด้วยตัวเองและสองคือใช้ประสบการณ์สำเร็จรูปจากคนอื่นๆที่เค้าเหล่านั้นเคยประสบพบมา บ่อยครั้งผมพาตัวเองเข้าไปสู่วิธีหลังและครั้งนี้ก็เช่นกัน หน้ากระดาษนี้คงไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าอะไรบ้างคือสิ่งที่ผมได้มาจากอาหารเย็นมื้อสุดท้ายบนเกาะสมุยแห่งนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกพวกคุณก็คือ ประสบการณ์ของคนในวัยชรานั้นมีค่าต่อชีวิตที่กำลังก้าวเดินของพวกคุณมากกว่าที่พวกคุณคิดมากมายทีเดียว

21:00 น.

ผมเคารพมนุษย์ผู้ออกแบบอ่างจากุซซี่มากมายทีเดียว สิ่งประดิษฐ์หรูหราที่เป็นตัวแทนของความผ่อนคลายมักจะถูกผมใช้ประโยชน์เสมอในเวลาที่ไปพักผ่อนในห้องพักที่มีราคาแพงพอที่จะมีมันติดตั้งอยู่ ผมบรรจงใช้เวลาในค่ำคืนสุดท้ายของเกาะสมุยอย่างมีค่ามากที่สุด สายน้ำในจากุซซี่ไหลวนเอื่อยเลาะรอบขอบตัวของผมไปราวกับตั้งใจจะล้อเลียน ผมปล่อยตัวปล่อยใจให้สายน้ำเล้าโลมราวกับไม่ยี่หระต่อความหนาวเย็นใดๆ ระหว่างที่ปล่อยกายให้ถูกสัมผัสด้วยสายน้ำในจากุซซี่นั้น เหล่าคณะดวงดาวนอกบานหน้าต่างยังคงรวมตัวมาพบผมกันพร้อมหน้าดังต้องการจะร่ำลากับผมอย่างอาลัยอาวรณ์ ท้องฟ้าในยามค่ำคืนของเกาะแห่งนี้ช่างสวยเหลือเกิน สวยราวกับเป็นท้องฟ้าคนละผืนกับที่ผมเคยเห็นในเมืองหลวงที่ห่างไกล ดาวแต่ละดวงแข่งขันกันเปล่งแสงระยิบระยับแวววาวดังอัญมณีที่ฝังตัวอยู่บนผืนฟ้า ผมปิดไฟทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงและปล่อยให้แสงเทียนเพียงหนึ่งเล่มส่องแสงสว่างต่อสู้กับดาวทุกดวงบนท้องฟ้า บรรยากาศที่ทุกคนถวิลหาเกิดขึ้นกับผมอยู่ในขณะนี้ ผมพยายามเตือนตัวเองอีกครั้งว่าขณะนี้หมู่ดาวทั่วทั้งเกาะสมุยกำลังทอดอาลัยให้กับผม และเมื่อผมหลับตา เสียงคลื่นกระทบฝั่งยามค่ำคืนยังคงทักทายผมในแบบทุกค่ำคืนที่ผ่านมา แต่สำหรับผมคืนนี้ไม่เหมือนคืนไหน เพราะว่าจากวันนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรผมจะมีคืนต่อไปบนเกาะสมุย เมื่อคนเรารู้ว่าอาจจะไม่มีวันต่อไป เราควรจะใช้ชีวิตในวันนี้อย่างไร ผมไม่รู้คำตอบของคนอื่นและไม่อยากรู้ วินาทีนี้ผมใช้ทุกสัมผัสพื้นฐานแนบกายเข้ากับสมุยราวกับร่วมรักกับหล่อนก็ไม่ปาน ถ้าหมู่ดาวบนท้องฟ้าเป็นดังดวงตาของเธอ เสียงคลื่นแสนไพเราะและผ่อนคลายเปรียบได้ดังคำรักจากลมปากของเจ้าหล่อน สายน้ำในจากุซซี่คงไม่ต่างกับสัมผัสอบอุ่นจากมือน้อยๆที่บรรจงแตะต้องราวกับจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในตัวของผม ผมบรรจงจูบเธอ จูบให้สมกับที่เธอให้ความสุขกับผม ผมสมมุติดวงจันทร์อร่ามดวงนั้นเป็นริมฝีปากเธอ และทุกสิ่งที่ผมทำในคืนนี้ ผมหวังเพียงว่าหลังจากวันนี้ ผมกับความงามในยามค่ำคืนของเกาะสมุยจะไม่อาจแยกจากกันได้ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปเท่าไร

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 17.3 เกาะสมุย น้ำใส ไอทะเล (18/3/2010)


08.00 น.

พระอาทิตย์ยามเช้าของเกาะสมุยพยายามส่งเส้นแสงรอดช่องว่างของผ้าม่านสีขาวสวยเพื่อทะลุมาปลุกเราสองคนให้ตื่นจากภวังค์ เราน้อมรับความต้องการเหล่านั้นและตั้งสติตื่นมารับกับความจริงอีกครั้ง ผมพยายามทบทวนและอยากจะเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงความฝันและเมื่อเราตื่นขึ้นมาเหตุการณ์ทุกอย่างยังคงสวยงามเหมือนเดิมแต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริงอย่างไม่เคยที่จะต้องเคลือบแคลงสงสัย และพวกเราคงทำได้เพียงแค่ยอมรับเท่านั้นไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
เช้านี้ตำรวจนัดพวกเราไว้ว่าจะเข้ามาตรวจสอบสถานที่รวมทั้งซักถามรายละเอียดอีกครั้งและเช้านี้ก็เป็นเช้าที่เราตั้งใจว่าจะ Check out ออกจากที่นี่เพื่อเตรียมเข้าพักรีสอร์ทอีกที่หนึ่งที่เราวางแผนกันไว้ และเมื่อเวลาแห่งการลาจากคลืบคลานเข้ามา ก้อนอะไรบางอย่างในตัวพวกเราก็มาจุกอยู่ตรงอกราวกับว่ามันไม่อยากให้พวกเราจากที่นี่ไปแม้ว่าเราจะเจอเหตุการณ์เลวร้ายเท่าใดก็ตาม

09.00 น.

ข้าวเช้ามื้อนี้เราไม่ได้กินอย่างลูกค้าที่มาพักอีกแล้ว เราเปลี่ยนสถานะด้วยความเต็มใจจากทุกฝ่ายให้เข้ามานั่งกินข้าวที่บ้านของพี่ และวันนี้เรากำลังจะมี พ่อ แม่ พี่ เพิ่มขึ้น ติดตัวกลับกรุงเทพไปด้วยอย่างไม่ตั้งใจ บรรยากาศการกินเต็มไปด้วยการปลอบประโลมซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างพยายามต่อสู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสามารถของจิตใจในแต่ละคน แต่แล้วความรักความเอาใจใส่ที่เรามอบให้แก่กันก็เป็นอาวุธสำคัญที่เราใช้ต่อสู้กับเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านเข้ามาได้อย่างดีทีเดียว กับข้าวมื้อเช้ามื้อนี้อร่อยอย่างที่สุดเท่าที่เราได้ทานบนเกาะสมุยแห่งนี้

10.30 น.

จนเลยเวลานัดหมาย เสียงโทรศัพท์จากตำรวจก็ไม่เคยดังขึ้นแต่อย่างใด เราตัดสินใจที่จะทำตามแผนที่เราวางไว้เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะรอโดยไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเสร็จสิ้น และเมื่อเราตัดสินใจอย่างนั้น พี่ก็จึงรับอาสาที่จะขับเจ้านิสสันน้อยพาเรามาส่งในที่พักแห่งใหม่ที่เราได้จับจองไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่
เราใช้เวลาร่ำลา พ่อกับแม่อยู่สักพัก แม้ว่านาฬิกาจะเดินไปเพียงไม่กี่นาทีแต่เราสองคนรู้สึกได้ว่าช่วงเวลาแห่งการร่ำลามันช่างยาวนานและอ้อยอิ่งเรากับว่าไม่มีใครอยากให้มันจบลง ทั้งคำพูด อ้อมกอดและการสัมผัสมือถูกนำมาใช้ในช่วงเวลาแห่งความทรงจำนี้อย่างครบครัน เราแลกเบอร์กับพ่อและแม่ไว้ และสัญญากันอย่างเป็นมั่นเหมาะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นครั้งเดียวในความทรงจำและ “เราจะได้ไม่ลืมกัน” ไปตลอดกาล

11.30 น.

เราเดินทางมาถึงรีสอร์ทหรูอีกที่หนึ่งที่เราได้ทำการจับจองไว้ และเมื่อเราลงจากรถและก้าวเดินเข้าไปในโถงรับแขก ภาพของน้ำทะเลตรงหน้าที่ทำหน้าที่สะท้อนแสงจากพระอาทิตย์เปลี่ยนให้มันเป็นดังเพชรนิลจินดาที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่พร่างพราวเต็มท้องทะเลนั่นก็ทำให้เราแทบจะลืมทุกอย่างในค่ำคืนที่แล้วไปอย่างสนิทใจ เราชวนพี่เข้าไปชมห้องพักกันด้วยเพราะว่าเราค่อนข้างมั่นใจว่ามันน่าจะสวยถูกใจอย่างมากทีเดียวและเมื่อเราได้เห็นห้องพักจริงๆ สิ่งที่เราคิดไว้ก็ไม่ผิดเพี้ยนไปแต่อย่างใด แต่แล้วเมื่อเวลาแห่งการร่ำลามาถึงอีกครั้ง พี่ก็ยื่นซองมาให้กับพวกเราพร้อมทั้งบอกว่าขอคืนค่าที่พักทั้งหมดให้กับเราเพื่อจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย เรามองหน้ากันอย่างคนที่เข้าใจ ช่วงเวลานี้ไม่ว่าเราจะเถียงสักเท่าไรก็คงไม่สามารถจะยัดเยียดซองนี้คืนไปสู่มือพี่ได้เป็นแน่แท้ เราบอกความรู้สึกของเราเช่นกันว่าไม่ได้รู้สึกดีแต่อย่างใดที่ได้รับค่าที่พักคืนเช่นนี้แต่เราก็น้อมรับน้ำใจของพี่ไว้ด้วยความเต็มใจ และวางแผนอย่างแยบยลที่จะคืนน้ำใจนี้กลับไปให้สมกับที่พี่หยิบยื่นมันมาให้เรา

14.30 น.

สามชั่วโมงผ่านไปที่เราใช้เวลาพักผ่อนชมวิวทะเลในห้องพักอย่างเต็มอารมณ์ เราไม่ได้พักห้องเดิมที่จองไว้ตั้งแต่แรกเพราะไม่ชอบใจอะไรบางอย่างในห้องพัก และด้วยการตกลงกันอย่างเต็มใจนั่นทำให้เราย้ายมาพักในห้องที่ดีที่สุดของรีสอร์ทด้วยราคาที่เป็นกันเองอย่างที่หาที่ไหนไม่ได้ เราแปลกใจเหมือนกันที่เรามักจะพบเรื่องราวดีๆจากเพื่อนมนุษย์อยู่เสมอในการเดินทางแต่ละครั้ง และในครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นแต่อย่างใด

14.45 น.

เราเริ่มออกมาใช้ชีวิตเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปด้วยการออกเดินทางด้วยรถที่เราเช่าไว้ ขับตระเวนไปเที่ยวตามสถานที่ที่คนท้องถิ่นแนะนำให้เราไปเยือนเพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกเสียเที่ยวที่ได้มาเกาะสมุย และสถานที่แรกที่เราตัดสินใจว่าจะไปก็คือก้อนหินธรรมดาสองก้อนที่ว่ากันว่าดังที่สุดในเกาะสมุยแห่งนี้ หินตา หินยายนั่นเอง
ไม่ว่าคนที่เคยมาหรือไม่เคยมาเกาะสมุย ต่างก็น่าจะเคยเห็นภาพของหินสองก้อนนี้มาบ้าง ตามโปสการ์ดหรือหนังสือรวมทั้งเว็บไซต์นำเที่ยวต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ภาพที่เห็นก็จะเป็นภาพของหินตาเสียเป็นส่วนมากเพราะหินยายนั้นมีลักษณะทางกายภาพที่ยากต่อการที่จะจับภาพมาให้สวยงามในลักษณะเดียวกันกับหินตา และเมื่อพวกเรามาถึงสถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของหินทั้งสองก้อนแล้ว เราเองก็ยังสังเกตเห็นเพียงแค่หินตาเพียงก้อนเดียว ส่วนหินที่ลักษณะคล้ายหินยายนั้นกลับมีอยู่เต็มชายหาดบริเวณนั้นไปเสียทั้งหมด เราตัดสินใจใช้ความสามารถส่วนตัวก่อนในขั้นแรกด้วยการเดินตามหาหินยายด้วยตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไม่สามารถที่จะมั่นใจได้สักทีว่าหินก้อนไหนคือหินยายที่แท้จริงกันแน่ ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามเด็กหนุ่มสาวที่กำลังนั่งคุยกันอยู่บริเวณนั้น เด็กหนุ่มสาวที่ผมคิดว่าเค้าน่าจะเป็นคนเกาะสมุยแห่งนี้ แต่แล้วคำตอบของเค้าก็คือการส่ายหน้า แสดงให้เห็นว่าไม่ทราบเหมือนกันว่าหินยายนั้นวางตัวอยู่ตรงไหน ผมยิ้มให้กับเขาพร้อมทั้งภาวนาขอให้เด็กทั้งสองไม่ใช่คนที่นี่ ไม่ใช่คนที่เกาะสมุยแห่งนี้ มิฉะนั้นแล้วตำนานแห่งหินตาหินยายคงสูญสลายไปไม่วันใดก็วันหนึ่งเป็นแน่แท้
สุดท้ายผมจึงตัดสินใจพึ่งเจ้าหน้าที่ที่นั่งสังเกตการณ์อยู่บริเวณนั้น เมื่อเราบอกความจำนงให้เขาทราบว่าต้องการที่จะมาพบกับหินยายก้อนที่เป็นตำนานที่แท้จริง เขาพาเราไปดูถึงที่พร้อมทั้งเล่าตำนานที่มาของหินทั้งสองก้อนให้ฟัง ผมจับใจความได้ถึงพ่อแก่แม่เฒ่าคู่หนึ่งซึ่งก็คือตาเครงกับยายเรียม ตายายทั้งสองล่องเรือมาตามเส้นทางนี้เพื่อมาขอลูกสะใภ้ให้กับลูกชายของตัวเอง แต่แล้วลมทะเลซึ่งไม่เคยไว้ใจได้ก็ก่อเหตุให้เรือที่ใช้โดยสารมานั้นต้องจมลงอยู่ใต้ทะเลไปตลอดกาล และหินสองก้อนนี้ก็เป็นดังคำอธิษฐานครั้งสุดท้ายของสองตายายที่อยากจะให้ครอบครัวของหญิงสาวได้รู้ว่าครอบครัวของเขาทั้งสองไม่ได้ผิดนัดในการที่จะยกขันหมากไปในวันนั้น แต่ด้วยเหตุสุดวิสัยจริงๆจึงทำให้เขาทั้งสองทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ และนั่นจึงเป็นที่มาของสองอวัยวะที่ตั้งตระหง่านโชว์ฝรั่งมังค่ามานานนับร้อยปี
กาละแมร์ 5.5 กิโลกรัมคือสิ่งที่เราติดไม้ติดมือมาจากร้านขายของบริเวณหินตาหินยายด้วย มันเป็นของฝากชิ้นเดียวที่พอจะทำให้คนอื่นรู้ว่าเราเดินทางกลับมาจากเกาะสมุย และหลังจากหินตา หินยายแล้ว สถานที่ต่อไปที่เราจะไปก็คือวัดคุณาราม สถานที่ซึ่งเป็นที่เก็บร่างไร้วิญญาณซึ่งไม่เน่าไม่เปื่อยของหลวงพ่อแดงเอาไว้ หลวงพ่อแดง ปิยะสีโล (ท่านพระครูสมฤกิตติคุณ) ท่านมรณภาพในท่านั่งขัดสมาธิอย่างที่ตั้งใจไว้ ท่านเองทราบวันมรณภาพของท่านอยู่ก่อนแล้วและแจ้งแก่ศิษย์ไว้ว่าถ้าท่านมรณภาพก็ให้นำร่างของท่านใส่โลงในท่านั่งขัดสมาธิอย่างนี้ นั่นจึงเป็นที่มาของความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้ยินกันมา
จากนั้นเราตัดสินใจกันว่าจะขับรถเที่ยวให้รอบเกาะเพื่อความเป็นไปในยามเย็นของเกาะสมุยอย่างเป็นกันเอง และเมื่อวนมาถึงบ้านของ “พี่” อีกครั้ง เราจึงตัดสินใจเข้าไปเยี่ยมพี่กันอีกที พ่อและแม่บอกเราว่าตำรวจมาถึงแล้วแต่ก็ไม่ได้มีการเก็บลายนิ้วมือแต่อย่างใด เราสองคนยิ้มให้กับพ่อและแม่อย่างเข้าใจ อย่างไรก็ตามเราสองคนทำใจได้และแทบจะไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้วนอกจากความผิดหวังที่เพื่อนมนุษย์สามารถทำกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ขนาดนี้

18.00 น.

หลังจากคุยกับพี่และพ่อกับแม่จนเต็มอิ่ม เราตัดสินใจขับรถไปที่หาดเฉวง ชายหาดที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในเกาะแห่งต้นมะพร้าวแห่งนี้ ระหว่างทางเราจินตนาการถึงเฉวงอย่างที่เราเคยได้ยินมา และเมื่อเฉวงมาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว เรารู้สึกว่ามันก็เป็นดังน้องเล็กของสองพี่น้องร่วมตระกูลอย่างพัทยาและหัวหินนั่นเอง ทุกวันนี้เฉวงไม่มีชายหาดสำหรับชาวสมุยอีกแล้ว เฉวงเป็นเพียงสถานที่พักผ่อนของฝรั่งตาน้ำข้าวและชาวไทยจากเมืองกรุงที่หนีความวุ่นวายมาหาความวุ่นวายอีกรูปแบบหนึ่งที่นี่ ชายหาดทั้งหมดถูกจับจองโดยโรงแรมหรูจนเราไม่สามารถจะหาทางลงไปที่ชายหาดได้แต่อย่างใด และด้วยความพยายามที่มีน้อยนิดเราจึงตัดสินใจที่จะออกจากเฉวงโดยไม่มีความอาลัยอาวรณ์ให้กับชายหาดแสนสวยแต่อย่างใด เรามุ่งหน้าสู่มื้อเย็นริมชายหาดในร้านอาหารเลื่องชื่อที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่ที่กรุงเทพแล้วว่าจะต้องนำลิ้นมาสัมผัสเมนูต่างๆ ณ ร้านแห่งนี้ให้จงได้ และเราก็ได้ข้อสรุปว่าร้านอาหารเลื่องชื่อบนหาดละไมแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงราคาคุยแต่อย่างใด

20.30 น.

เบียร์ไฮเนเก้นและ starsoccer ถุกถือติดไม้ติดมือมาจากห้างสะดวกซื้อบริเวณก่อนถึงที่พัก ช่วงเวลาหัวค่ำลากยาวไปจนถึงเที่ยงคืนสำหรับเราสองคนในคืนนี้เกิดขึ้นราวกับความฝัน หมู่ดาวระยิบเต็มท้องฟ้าอวดแสงสวยระรานตาในชนิดที่คุณจะไม่อาจเห็นได้ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า อีกทั้งหมู่ดาวทั้งหลายยังพยายามทำหน้าที่เป็นดังภาพเขียนแสนสวยที่แอบซ่อนตัวอยู่บริเวณระเบียงหน้าห้องราวกับว่าจะเตือนให้พวกเรารู้ถึงคุณค่าของการเงยหน้ามองฟ้าในยามค่ำคืนที่เราไม่เคยคิดจะทำในเมืองหลวงที่ห่างไกล เสียงคลื่นที่ซัดสาดเข้าใส่ริมฝั่งช่างเป็นสำเนียงที่ไพเราะยิ่งนักในคืนนี้ เงียบเหงา ซ่อนเร้นแต่ก็สงบและเย็นยะเยือกจนหัวใจของเราสั่นไหว ค่ำคืนที่สามของเรากำลังจะไหลผ่านเราไปอย่างเนิบช้า หมู่ดาวน้อยใหญ่ยังคงยืนตากลมทะเลอยู่ข้างนอกอย่างไม่เกรงกลัว ผมคิดว่าเหล่าหมู่ดาวทั้งหลายคงจะรู้ รู้ว่าทะเลไม่เคยทำร้ายใครและจะไม่มีวันทำร้ายดาวดวงไหนบนท้องฟ้าสมุยแห่งนี้

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 17.2 เกาะสมุย น้ำใส ไอทะเล (17/3/2010)


17/3/2010

07.30 น.

ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้งจากการปลุกของผู้ร่วมเดินทางที่ตื่นมาอาบน้ำอาบท่ารออยู่ก่อนแล้ว เจ้าของที่พักเตรียมข้าวต้มร้อนๆต้อนรับแสงแรกแห่งความสุขภายใต้เกาะสมุยแห่งนี้ให้กับพวกเราอย่างเต็มใจ ผมรับประทานอย่างทำเวลาเพราะวันนี้เรามีนัดขึ้นเรือไปหมู่เกาะอ่างทองซึ่งไม่ได้มีเพียงแต่เราเท่านั้น ผู้ร่วมเดินทางอีกเกือบ 50 คนอาจจะกำลังรอผมอยู่และผมคงไม่สามารถจะทนสายตาที่จะส่งมาเตือนเรื่องมารยาทอย่างดุดันถ้าผมเป็นผู้ร่วมเดินทางคนสุดท้ายที่เดินทางไปถึงเรือ แต่จนกระทั่งตอนนี้ผมยังคิดว่าผมทำเวลาได้ดีอยู่ทีเดียวนะ

08.30 น.

ผมกำลังอยู่ในเรือที่จะนำพวกเรามุ่งหน้าไปที่หมู่เกาะอ่างทอง ในคราแรกเรานั่งกันอยู่ด้านล่างของเรือที่ค่อนข้างจะอึดอัด แต่ความเมาเรือที่คืบคลานเข้ามาหาเราพร้อมกับคลื่นลมในท้องทะเลที่เรากำลังเผชิญนั่นทำให้เราจำเป็นต้องหาที่นั่งที่ผ่อนคลายกว่านี้เพื่อที่จะไปให้ถึงปลายทางโดยที่ไม่ต้องนำข้าวต้มที่กินเมื่อเช้าสำรอกออกมาสู่ท้องทะเลอีกครั้ง และแล้วการแสวงหาก็มักจะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับเราเสมอ ผมได้รับการเชิญชวนจากกัปตันเรือผู้ใจดีให้นั่งอยู่ตรงด้านหน้าเรือใกล้ๆกับเขา และสายลมแห่งท้องทะเลใต้ก็ช่วยผมไว้จากการเมาเรือได้มากทีเดียว ขณะนี้เบื้องหน้าของผมมีเพียงแต่ทะเล และท้องฟ้าเท่านั้น สิ่งมีชีวิตจำพวกนกและปลาก็เสนอตัวออกมาให้ผมชื่นชมบ้างตามความเหมาะสม ผมหลับตาและใช้เพียงหูสัมผัสกับเสียงคลื่นพร้อมทั้งเตือนตัวเองให้จดจำช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ เผื่อว่ากลับเมืองหลวงไปแล้วพบเจอกับปัญหาที่คอยทำร้าย พลังจากเส้นขอบฟ้านี้จะได้คอยช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้กับผมเพื่อที่จะลุกขึ้นไปสู้กับปัญหาอีกครั้ง คุณเคยได้ยินกันหรือเปล่าว่าเราจะรู้ถึงสภาวะของการเดินทางบนเรือด้วยการมองจากอะไร อารมณ์ของกัปตันนั่นเป็นคำตอบ และด้วยการขับเรือไปยิ้มไปอย่างที่เราเห็น นั่นเป็นสัญญาณดีอย่างที่ไม่มีอะไรมาเทียบเท่า ผมไม่เสียโอกาสในการนั่งใกล้กัปตันด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเขาอย่างเต็มที่ตลอดหนึ่งชั่วโมงเต็มที่นั่งเรือ นอกจากกัปตันที่ใช้สำเนียงทองแดงคุยกับเราอย่างออกรสแล้ว ไกด์หนุ่มพื้นเมืองยังโชว์ภาษาอังกฤษในชนิดที่ฝรั่งยังชมว่าคล้ายกับคนนิวยอร์กที่พวกเค้าเคยสนทนากันมา ผมมองหน้ากับเพื่อนร่วมทางอีกครั้ง เราสองคนคิดคล้ายกันว่า แม้แต่นักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยเลื่องชื่อในกรุงเทพ ยังไม่น่าจะมีสำเนียงที่ดีเท่านี้เลย หรือว่าการศึกษาบ้านเรายังคงมาไม่ถูกทางกันนะ

10.40 น.

กัปตันพาพวกเรามาถึงเป้าหมายแรกของการเดินทางในวันนี้ “ทะเลใน” คือชื่อที่คนพื้นบ้านใช้เรียกสถานที่ที่ผมกำลังเหยียบย่ำ สถานที่ที่ธรรมชาติแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่อยากจะทำและทุกสิ่งที่พวกเขาทำอาจจะทำให้มนุษย์ตัวน้อยอย่างเราๆต้องก้มหน้ามาถามตัวเองอีกครั้งว่าอะไรกันแน่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกแสนกลมใบนี้ ธรรมชาติบรรจงซ่อนทะเลไว้ภายในหุบเขาที่ปิดตัวเองอย่างแนบเนียนจนกระทั่งพวกเราไม่สามารถมองเห็น “ทะเลใน” แห่งนี้จากภายนอกได้ ทางเดียวที่พวกเราจะได้ชมก็คือจะต้องเดินข้ามเขาด้วยระยะทาง 150 เมตร และด้วยบันไดที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางรอนแรมมาเพื่อที่จะสัมผัสความงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นแห่งนี้ นั่นทำให้เพียงแค่ชั่วอึดใจเราก็พาตัวเองขึ้นมาสู่จุดสูงสุดของภูเขาซึ่งจะทำให้เราสามารถมองเห็นทะเลที่ซุกตัวอยู่ภายใต้อ้อมกอดของขุนเขาได้อย่างถนัดตา และภาพที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้ผมคงไม่บังอาจจะใช้ตัวหนังสือใดๆบรรยายถึงความสวยงามที่พวกเราไปพบเห็นมาได้อย่างชัดเจน การเดินทางไปชมด้วยสายตาของตัวท่านเองเท่านั้นคือสิ่งที่ผมควรจะแนะนำในหน้ากระดาษนี้

11.40 น.

หนึ่งชั่วโมงที่ผู้นำทางมอบให้กับพวกเราในการชมธรรมชาติแห่งนี้กำลังสิ้นสุดลง เราเดินทางด้วยเรือหางยาวอีกครั้งเพื่อกลับไปสู่เรือใหญ่ที่พาเรามาจากเกาะสมุย และ ณ เรือใหญ่ลำนี้ อาหารกลางวันมื้อแรกของเกาะสมุยกำลังรอเราอยู่ ไก่ทอด แกงมัสมั่น ผัดเปรี้ยวหวาน แตงโม สับปะรด คือสิ่งที่พวกเราใช้สำหรับบำบัดความหิวในมื้อแรกกลางท้องทะเลสมุย แต่ด้วยความที่เราต้องรับประทานข้าวไปพร้อมๆกับคลื่น นั่นทำให้ทั้งความอิ่มและความเมามาสัมผัสเราสองคนพร้อมๆกัน ที่นั่งด้านหน้าเรือใกล้ๆกับกัปตันคือสิ่งที่พวกเราสองคนต้องการที่สุดในขณะนี้ และนอกจากเหตุผลเบื้องต้นนี้แล้ว เส้นขอบฟ้ายังเป็นอีกสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในที่นั่งตรงจุดนี้ด้วย

12.30 น.

เรือเดินทางมาถึงเป้าหมายที่สองของวันนี้ เกาะวัวตาหลับคือชื่อของสถานที่แห่งนั้น เราสอบถามความเป็นมาของชื่อเกาะจากกัปตันที่เราผูกสัมพันธ์มาตั้งแต่ช่วงเช้า เขาบอกเราด้วยรอยยิ้มว่ามันมีอยู่มุมมองหนึ่งที่จะเห็นภูเขาทั้งลูกคล้ายกับวัวที่กำลังหลับใหล เราหันไปมองที่ภูเขาทันทีที่ได้ยินข้อมูล และแล้วภาพของเจ้าวัวที่เอาคางเกยพื้นนอนหลับใหลก็ลอยอยู่ตรงหน้าของเราในทันที ผมสอบถามกัปตันอีกครั้งว่าด้านบนเขามีอะไรให้เราสัมผัสบ้าง เขาบอกเราว่าบนนี้มีจุดชมวิวที่สูงและสวยที่สุดในหมู่เกาะอ่างทอง และมีเพียงจุดนี้จุดเดียวเท่านั้นที่จะเห็นหมู่เกาะอ่างทองอย่างทั่วถึงในทุกๆเกาะ แต่สิ่งที่ต้องแลกกับมุมมองที่ว่าก็คือระยะทาง 500 เมตรในการเดินขึ้นเขาในแบบเส้นทางธรรมชาติ ผมถามเขาอีกครั้งว่าแล้วมันแตกต่างกับภูเขาอื่นอย่างไร เพราะเราก็พอจะเดาออกอยู่แล้วว่าวิวข้างบนจะเป็นอย่างไร และสิ่งที่ผมได้ยินจากกัปตันก็ยังคงติดตรึงอยู่ในใจผมจนกระทั่งวินาทีที่เดินทางกลับ เขาบอกผมว่ามีเพียงจุดนี้เท่านั้นที่จะเห็นทั่วทั้งหมู่เกาะอ่างทอง ถ้าเราไปขึ้นเขาที่หมู่เกาะสุรินทร์ เราก็จะไม่เห็นหมู่เกาะอ่างทอง หรือไม่ว่าเราจะขึ้นภูเขาไหนในประเทศนี้ เราก็จะไม่เห็นหมู่เกาะอ่างทอง ผมยิ้มให้กับคำตอบของเขาอีกครั้ง พร้อมกับลำพึงในใจ “แม่งกวนตีน”
สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ขึ้นไปชมวิวที่ยอดเขาวัวตาหลับ ไม่ใช่เหตุผลในเรื่องระยะทางการเดินแต่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่สร้างความผิดหวังให้กับเราเล็กน้อย คลื่นลมในทะเลวันนี้ดูจะไม่อยากผูกสัมพันธ์กับเราเท่าไร นั่นทำให้เราไม่สามารถจะเอาเรือเล็กเทียบเข้าไปที่เจ้าวัวตาหลับตัวนี้ได้อย่างที่ทำกันทุกๆวัน ทีมงานผู้ดูแลเรือต่างลงความเห็นกันว่าจะเข้าไปที่ชายหาดอีกด้านของภูเขาซึ่งมีน้ำที่ใสและสามารถจะดำน้ำ เล่นน้ำกันได้ตามอัธยาศัย แต่จะไม่มีกิจกรรมอื่นๆให้ทำแต่อย่างใด ผมและเพื่อนร่วมทางไม่ได้ปรารถนาจะเล่นน้ำแต่การได้ไปนอนกินลม ชมทะเล แถมได้ดูบิกินี่ตระการตาที่ริมชายหาดมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่ควรจะต้องเสียใจแต่อย่างใด และแล้วการระดมถ่ายรูปและละเลียดความสุขริมทะเลของพวกเราจึงเริ่มขึ้น เริ่มขึ้นโดยที่ไม่เคยอยากจะให้มันจบลง

15.00 น.

ไกด์หนุ่มเรียกเราเป็นภาษาไทยให้เตรียมตัวเดินทางกลับเพื่อที่จะไม่ให้ถึงฝั่งเย็นเกินไป เราบอกลาเจ้าวัวตาหลับพร้อมทั้งรีบขึ้นเรือเล็กเพื่อไปยึดที่นั่งเคียงข้างกัปตันอีกครั้งบนเรือใหญ่ และเราก็ทำสำเร็จอีกเช่นเคย ท้องทะเลและฟ้าสีครามยังคงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเราในการเดินทางกลับเกาะสมุยครั้งนี้ ผมเตือนสติตัวเองอีกครั้งให้รู้ว่าผมกำลังอยู่กับทะเล ทะเลที่ร่างกายของผมต้องการมาตลอดเวลา และวันนี้ผมกำลังอยู่ที่นี่ ที่ทะเล ที่เกาะสมุย

17.30 น.

เราเดินทางกลับมาถึงเกาะสมุยอย่างปลอดภัยแต่ก็พ่วงความเมาคลื่นมาด้วยเล็กน้อยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ชายหนุ่มเจ้าของรถนิสสันคันเดิมจอดรอเราอยู่อย่างเด่นชัดเมื่อเราลงจากเรือ จากเจ้าของที่พักมาจนกระทั่งเป็นเจ้าของรถนิสสัน หลังจากที่เรารู้ว่าเขามารอรับเราไปแล้วเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา แต่เมื่อเรือยังกลับมาไม่ถึงเขาจึงหาอะไรทำไปพลางกลับมารับเราอีกทีในหนึ่งชั่วโมงถัดมา ด้วยเรื่องราวเหล่านี้ทำให้เราตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสรรพนามให้กับเขาโดยใช้คำสั้นๆเรียกขานกัน “พี่” คือคำๆนั้น เราสนทนากันในรถเพื่อเพิ่มความสนิทสนมพร้อมทั้งตกลงกันว่าเย็นนี้เราจะได้รับเกียรติให้ชิมฝีมือการทำอาหารของ “แม่” ที่ใครก็ตามที่มาพักที่นี่ต่างเคยได้ชิมและไม่เคยมีใครผิดหวัง แต่ก่อนที่เราจะรับประทานมื้อเย็นกันนั้น ชายหาดหน้าที่พักยังคงรอให้เราไปทักทายอยู่อย่างใจจดใจจ่อ
ภาพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้ามันเป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเราจะมาพบมันอย่างง่ายๆที่ชายหาดหน้าที่พักแห่งนี้ พระอาทิตย์ดวงกลมสลัดเสื้อสีแดงที่ใส่ในช่วงกลางวันผลัดมาเป็นเสื้อสีชมพูตัวสบายดูผ่อนคลายกว่าช่วงกลางวันยิ่งนัก แม้ขนาดจะไม่ใหญ่โตแต่พระอาทิตย์ดวงเล็กๆสีชมพูก็อวดแสงสวยไปทั่วท้องฟ้าจนเราไม่สามารถจะละสายตาจากผืนฟ้าตรงหน้านี้ได้แม้สักวินาที แสงอาทิตย์เล็ดรอดออกมาตามไรเมฆส่งให้เกิดสีส้ม ม่วง ฟ้า ละเลงไปทั่วแผ่นฟ้าตรงหน้าผมราวกับจิตรกรเอกของโลกมาแอบซ่อนผลงานชิ้น Masterpiece ของเขาไว้ที่นี่ การตวัดพู่กันแต่ละครั้งของจิตรกรเอกที่ชื่อว่าธรรมชาติ ส่งให้เกิดลายเส้นสีมหัศจรรย์ทั่วท้องฟ้าต่อหน้าผมในขณะนี้ ผมไม่ลืมที่จะเก็บภาพนี้ไว้ทั้งในความทรงจำและในเจ้ากล้องตัวจิ๋วที่เตรียมมา พวกเรายืนนิ่งชมบรรยากาศรวมทั้งส่งพระอาทิตย์สีชมพูดวงน้อยดำดิ่งลงแตะเส้นขอบฟ้าจากนั้นจึงดำมุดลงในท้องทะเลเรากับว่าจะให้สายน้ำช่วยดับความร้อนในตัวมันที่ส่องประกายมาอย่างยาวนานนับล้านปี

18.45 น.

หลังจากล่ำลากับพระอาทิตย์ดวงน้อยสีชมพู เราตัดสินใจเดินทางกลับที่พักเพื่ออาบน้ำชำระไอทะเลที่ลอยตามลมมาจับตัวเราสองคนจนเหนียวเหนอะไปตามๆกัน และเมื่อเราจัดการกับร่างกายของเราเสร็จเมื่อไร อาหารมื้อเย็นแห่งความอบอุ่นก็พร้อมที่จะเปิดเผยตัวเองออกมา ทันทีที่เราพร้อมจะไปพบกับมัน

19.30 น.

ต้มปลาหมึกสมุนไพร ใบเหลียงผัดไข่ คั่วกลิ้ง แกงไตปลา คือสี่สหายที่เราได้พบเจอในเย็นวันที่สองบนเกาะสมุยแห่งนี้ อาหารมื้อนี้เป็นฝีมือของผู้หญิงที่ “พี่” เรียกเขาว่า “แม่” และพวกเราจึงขอถือวิสาสะเรียก “แม่” ด้วยเช่นกัน และความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งหมดก็ดำเนินไปผ่านเหล่าบรรดาอาหารที่เป็นดังสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ของเราสองคนกับอีกครอบครัวหนึ่ง พี่เล่าให้เราฟังว่าเขากำลังมีความสุขกับการเป็นพ่อคนที่เพิ่งเริ่มต้นมาได้ 3 เดือนเศษๆ เด็กน้อยที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนแรกของเขาลืมตาดูโลกมาได้สักระยะและในขณะนี้ความห่วงหาทั้งหมดของชีวิตของเขามีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว เราสามคนคุยกับสัพเพเหระและใช้เวลาแนบความสัมพันธ์ให้แน่นขึ้นราวเกือบ 3 ชั่วโมง จนกระทั่งเมื่อเห็นว่าเวลาสมควรแล้วจึงตัดสินใจแยกย้ายกันไปพักผ่อนหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยในการโต้คลื่นมาทั้งวัน เราสองคนส่งยิ้มให้กับ “พี่” พร้อมทั้งขอตัวไปนอนโดยที่ไม่คิดว่าจะได้พบกับเหตุการณ์ที่เป็นบททดสอบสำคัญสำหรับการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเราสองคน

22.30 น.

เราสองคนช่วยกันหากระเป๋าสะพายเล็กๆที่นำมาด้วยกันอยู่สักพักก็พบว่ามันไม่ได้อยู่ในห้องพักของเราอีกแล้ว หลังจากเราเริ่มสงสัยในอะไรบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเราจึงมองหากระเป๋าเงินและโทรศัพท์บนโต๊ะที่เราวางไว้ในห้องพัก ก่อนที่เราจะได้ทราบความจริงที่หนักหน่วงอีกครั้งว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้อยู่ในที่ที่มันเคยอยู่อีกแล้ว เราเปิดม่านที่บังหน้าต่างริมกำแพงฝั่งที่โต๊ะซึ่งเราวางของทุกอย่างไว้ตั้งอยู่ และเมื่อนั้นภาพที่เป็นดังสัญญาณแห่งความจริงที่เราจำเป็นต้องยอมรับก็เผยออกมาให้เราได้เห็นกับตา เราชะงักไปสักครู่พร้อมกับตั้งสติเพื่อยอมรับกับความจริงที่เราไม่เคยพบเจอและเมื่อสติเรากลับคืนมาอีกครั้ง เราจึงได้รู้ว่าขณะนี้ห้องเราถูกงัด และมันก็เป็นความจริงที่เราไม่อาจจะหนีพ้น บริเวณหน้าต่างมีหินก้อนเหมาะมือก้อนหนึ่งวางขัดไว้เพื่อให้หน้าต่างเปิดกว้างพอที่จะเอามือสอดเข้ามาทำเรื่องเลวร้ายได้พอดิบพอดี และตรงนั้นเราเห็นกระเป๋าเงิน กระเป๋าสะพายเล็กๆสองใบ กองรวมกันอยู่ และอย่างที่เราเตรียมใจไว้ ข้างในนั้นไม่มีอะไรอยู่อีกแล้ว เงินจำนวนหนึ่งกับโทรศัพท์มือถือสองเครื่องอันตรธารหายไปตรงหน้าและเหมือนทุกอย่างรอบกายกำลังจะบอกเราว่าบรรยากาศรอบกายของเราไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นปกติได้อีกแล้ว เราตัดสินใจบอก “พี่” และแจ้งตำรวจเพื่อให้มาตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น พี่ทำหน้าราวกับว่าโลกแห่งความสวยงามของเขากำลังจะถล่มลงไปตรงหน้า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ถึงแม้เค้าจะไม่ได้เป็นฝ่ายที่เสียทรัพย์สินไป แต่ในด้านของความรู้สึกแล้ว ผมรับรู้จากการแสดงออกทางใบหน้าของเขาได้ว่า เขาน่าจะเสียมันไปเท่าๆกับเราหรือไม่ก็มากกว่าเราอย่างที่ประเมินไม่ได้ เราทราบจากพี่ว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเมื่อหลายปีมาแล้วและไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยจนกระทั่งพวกเรามาพานพบ เรายืนคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นและไม่เพียงแค่เราสามคนเท่านั้น พ่อและแม่ ของพี่ ก็ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และตำรวจที่เดินทางมาตรวจสอบก็ทำได้เพียงตั้งข้อสันนิษฐานไปถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้แต่พวกเรารู้สึกได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังส่งสัญญาณบอกกับเราว่า ให้ทำใจเสียกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะหนทางที่จะจับตัวคนผิดมันช่างยากเย็นยิ่งนัก ส่วนเรื่องที่จะได้ของกลับคืนมามันน่าจะยากเย็นยิ่งกว่า

00.30 น.

หลังจากกลับมาจากการแจ้งความ เราย้ายมาพักในห้องพักใหม่ข้างๆห้องเดิม “แม่” พยายามบอกกับเราให้เราไปนอนที่บ้าน แต่เราก็ปฏิเสธไปด้วยเกรงว่าจะสร้างความลำบากให้กับแม่ไปเสียเปล่าๆ “พี่”ตัดสินใจนอนในห้องที่ถูกงัดเองราวกับว่าอยากจะคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และพวกเราก็ไม่มีใครจะไปทักท้วงตรงจุดนั้น
ค่ำคืนที่สองได้เปลี่ยนความรู้สึกของเราไปอย่างที่เราไม่เคยต้องการ และการพักผ่อนในคืนนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเลยสักครั้งสำหรับผม พวกเราพยายามอ้อนวอนต่อสิ่งที่มองไม่เห็นให้ช่วยทำให้เหตุการณ์นี้จบลงด้วยดี แต่ลึกๆแล้วเราก็รู้ว่าท่านไม่เคยลงมาช่วยจัดการเหตุการณ์จำพวกนี้อยู่แล้วและไม่มีใครที่จะจัดการกับเหตุการณ์นี้ได้ดีกว่าพวกเราเอง

รวมเล่ม 17.1 เกาะสมุย น้ำใส ไอทะเล (16/3/2010)


10.40 น.

ผมและเพื่อนร่วมทางกับเป้คนละใบเรียกแท็กซี่จากหน้าที่พักพร้อมทั้งบอกจุดหมายปลายทางให้กับพี่โชเฟอร์ด้วยน้ำเสียงสบายๆ สุวรรณภูมิคือปลายทางที่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางหนีความจำเจในช่วงกลางเดือนมีนาคมของพวกเราในครั้งนี้ เกาะสมุยนั่นต่างหากคือสถานที่ที่แท้จริงที่ผมกำลังจะมุ่งหน้าไป เรื่องราวมากมายคงกำลังเตรียมที่จะเผยตัวตนผ่านการรับรู้ของผมในอีกไม่ช้า การเดินทางเท่านั้นที่จะทำให้เราเติบโตและแกร่งกล้าขึ้น พวกคุณคิดเหมือนผมไหม?

11.13 น.

211 บาทคือราคาที่ผมต้องจ่ายให้กับการเคลื่อนย้ายสถานที่ในครั้งนี้ การเดินทางจากที่พักมาถึงสนามบินที่มีเรื่องราวเล่าขานกันดังมหากาพย์ใช้เวลาเพียงไม่เกิน 35 นาทีโดยไม่ต้องทะยานขึ้นทางด่วนแต่ประการใด ภารกิจต่อไปที่ผมและเพื่อนร่วมทางต้องทำก็คือหาอะไรเติมเต็มกระเพาะของเราสองคนเพื่อไม่ให้ความหิวเป็นปัญหาในการเดินทางอันยาวนานของวันแห่งความสุขนี้ แต่ทว่าร้านอาหารร้านเดียวภายในที่พักของลูกค้าที่เดินทางในประเทศกับมีสนนราคาไม่ต่างกับการปล้นกระเป๋าเงินกันอย่างไรก็อย่างนั้น เมนูที่เห็นบรรจงบอกราคาอย่างชัดเจนราวกับเกรงว่าพวกเราจะอ่านมันผิดพลาดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 250 บาทคือราคาของผัดไทยจานธรรมดาที่ไม่ได้มีสีสันอะไรมากไปกว่าสีของกุ้งแห้ง แค่เพียงราคาของเมนูง่ายๆเมนูเดียวก็ทำให้เรารู้แล้วว่ามื้อนี้เรากำลังจะต้องเผชิญกับอะไร สุดท้ายเราตัดใจเลือกใช้บริการข้าวราดแกงเขียวหวานในสนนราคา 150 บาทกับอีกหนึ่งเมนู bk fish burger king ราคา 230 บาท และเพียงแค่ไม่ถึงสองชั่วโมงนับจากที่ผมเดินทางออกมาจากที่พัก ทรัพย์สินมูลค่าไม่ต่ำกว่า 600 บาทได้ถูกโจรกรรมจากพวกเราไปแล้วด้วยความเต็มใจ นี่หรือสุวรรณภูมิ ดินแดนแห่งขุมทองที่พวกเราทุกคนใฝ่ฝันถึง

14.10 น.

นกเหล็กราคาถูกหรือที่ผมเต็มใจจะเรียกว่าพาหนะของคนชั้นกลางที่อยากจะบินก็พร้อมที่จะพาผู้โดยสารทุกท่านเดินทางไปสู่สนามบินสุราษฏร์ธานี กัปตันเสียงหล่อยังคงส่งสำเนียงของเขาออกมาอยู่อย่างสม่ำเสมอในทุกๆเที่ยวบินราวกับเขาคิดว่าเราจะได้ยินเสียงของเขาชัดเจนและเขาคงจะคิดว่าฝรั่งมังค่าตาสีเขียวจะเข้าใจภาษาอังกฤษในสำเนียงของเขา

15.20 น.

ผมสาบานกับตัวเองว่าผมเคยเดินทางจากสะพานควายไปแจ้งวัฒนะด้วยเวลาที่มากกว่านี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผมกำลังอยู่สุราษฏร์ธานี ดินแดนร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ และเมื่อสละจากนกเหล็กได้เพียงชั่วครู่ รถทัวร์ก็พร้อมจะรับหน้าที่พาพวกเราเดินทางต่อไปยังจุดที่เรือเฟอร์รี่กำลังจอดรอที่จะพาไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนครั้งนี้
ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถทัวร์ สำเนียงใต้อันคุ้นเคยก็ปะทะเข้ามาที่ประสาทการได้ยินของผมอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยง แต่เมื่อสมองสังเคราะห์เสียงที่ได้ยินนั่นอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างอัตโนมัติจนผมเองยังไม่ทันตั้งตัวทีเดียว “นั่งข้างหน้านะ ข้างหลังแอร์ไม่เย็น” สำเนียงใต้ของคุณลุงใจดีพยายามบอกสิ่งนี้กับผมตั้งแต่แรกที่เราพบกันบนรถทัวร์ที่ลุงดูแลราวกับว่าเราสองคนเป็นรักแรกพบของกันและกันก็ไม่ปาน


15.30 น.

ล้อทั้งสี่เริ่มทำหน้าที่ของมันอีกครั้งหลังจากจอดนิ่งที่สนามบินมานาน ผมเตือนตัวเองอีกครั้งว่ากำลังจะได้สัมผัสกับไอทะเลของเกาะสมุยเป็นครั้งแรก เวลาคุณได้สัมผัสกับอะไรครั้งแรก พวกคุณตื่นเต้นกันหรือเปล่านะ และเมื่อคุณได้ทำอะไรเป็นครั้งแรก คุณจำมันได้ดีหรือเปล่า Sex ครั้งแรกทำให้คุณดูเป็นผู้ชายเต็มตัวขึ้นหรือเปล่า หรือคุณจำความรู้สึกนั้นไม่ได้เสียแล้วในตอนนี้ การขึ้นเครื่องบินครั้งแรกทำให้คุณดูเป็นนักเดินทางมากขึ้นหรือเปล่า หรือคุณไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าไปให้ถึงปลายทาง แฟนคนแรกทำให้คุณรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่งหรือเปล่า หรือว่าคุณก็แค่คบกันไปอย่างนั้น ตอนได้งานครั้งแรกคุณรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในชีวิตหรือเปล่า หรือว่าคุณก็แค่มีเกรดดีกว่าคนอื่นเท่านั้น แล้วการไปเกาะสมุยครั้งแรกจะให้อะไรกับผมหรือเปล่า พระเจ้าจะตอบได้หรือไม่ผมเองยังไม่กล้ายืนยัน

17.30 น.

การเดินทางบนท้องถนนใกล้จะสิ้นสุดเต็มที ป้ายข้างทางบอกอยู่เสมอว่าอย่าขับรถด้วยความประมาท อย่าขับรถด้วยความใจร้อน อย่าขับรถด้วยความเร็วสูง แต่ไม่เห็นมีใครบอกว่าเราควรจะขับรถด้วยอะไร ขับด้วยสติ ขับด้วยความตั้งใจหรือว่าขับด้วยมือกันนะ ใครรู้ช่วยบอกผมที

18.06 น.

วัตถุรอยน้ำขนาดใหญ่เริ่มออกตัวจากตลิ่งสุราษฏร์ธานีก้าวเข้าสู่การเดินทางสู่เกาะสมุยซึ่งเป็นรอบสุดท้ายของวันนี้ที่จะส่งนักท่องเที่ยวข้ามน้ำข้ามทะเลไปที่นั่น

19.30 น.

เรือเฟอร์รี่เทียบท่าที่เกาะสมุย การเดินทางผ่านท้องทะเลแรกของวันนี้สิ้นสุดลง พระอาทิตย์กำลังจะจากลาทิ้งให้ผมและเพื่อนร่วมทางอยู่ที่เกาะสมุยกันอย่างเดียวดายทั้งๆที่อุตส่าห์มาด้วยกันตั้งแต่กรุงเทพจนถึงที่นี่ แล้วใครจะยืนยันกับผมได้ว่าเช้าวันพรุ่งนี้พระอาทิตย์ของที่เกาะสมุยจะดีกับผมเหมือนพระอาทิตย์ที่กรุงเทพ หรือคุณจะกล้ายืนยัน
นิสสันเก่าๆคันหนึ่งมารับผมพร้อมกับทักทายกันอย่างพอเหมาะ ผมและเพื่อนร่วมทางแวะกินข้าวกันตรงจุดที่ผมเพิ่งรู้จากชายผู้มาพร้อมรถนิสสันว่าคนที่นี่เค้าเรียกสถานที่ตรงจุดนี้ว่า “หน้าทอน” เปาะเปี๊ยะทอด ไข่ปลาหมึกห่อใบตองย่าง กะเพราหมูไข่ดาว ผัดผักรวมไข่ดาว คือทั้งหมดที่เราดั้นด้นมาจากกรุงเทพเพื่อมากินที่นี่ และหลังจากแวะซื้อของจำเป็นที่ร้านสะดวกซื้อหน้าตาเหมือนที่กรุงเทพ เราและผู้ชายหลังพวงมาลัยนิสสันก็มุ่งหน้าสู่ที่พักที่พวกเราตั้งใจจะเอนกายในค่ำคืนแรกบนเกาะสมุยแห่งนี้

21.00 น.

เราเดินทางมาถึงที่พักในเวลาที่เลยหัวค่ำมาพอดู บรรยากาศของที่พักเงียบจนพวกเราแทบจะได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน เสียงจิ้งหรีดร้องกันระงมเพิ่มบรรยากาศของธรรมชาติให้เรารู้สึกถึงความแตกต่างจากกรุงเทพที่เราจากมา สิ่งที่เรามองเห็นรอบๆที่พักในขณะที่มีเพียงแสงจันทร์คอยให้ความสว่างนั้น พวกเรามองเห็นเพียงต้นมะพร้าว สระว่ายน้ำ และหมู่ดาวบนท้องฟ้าที่รอต้อนรับเราจนถึงวินาทีปัจจุบัน และถึงแม้ว่าเราจะเหนื่อยหนักจากการเดินทางขนาดไหน แต่เมื่อเจ้าของสถานที่แนะนำให้เราลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำพร้อมทั้งให้สายน้ำนวดผ่อนคลายพวกเราด้วยระบบของอ่างจากุซซี่ที่พวกเราคุ้นเคยกันดีนั่นก็ทำให้พวกเรารีบเก็บกระเป๋าเข้าที่พักพร้อมทั้งเปลี่ยนชุดแต่งกายที่เหมาะสมออกมาต้อนรับค่ำคืนแรกที่เกาะสมุยด้วยการนอนให้สายธารผสมคลอรีนนวดประคบร่างกายของพวกเราอย่างแสนสบาย และด้วยความที่ท้องฟ้าในวันนี้เป็นใจให้กับพวกเราเป็นอย่างยิ่ง เราจึงมีหมู่ดาวและกระต่ายน้อยบนดวงจันทร์อยู่เป็นเพื่อนราวกับกลัวว่าราตรีแห่งลิปะน้อยจะทำให้เราสองคนเหงากันจนเกินไป

22.30 น.

เมื่อได้เวลาพอเหมาะ งานเลี้ยงกับหมู่ดาว ณ สระว่ายน้ำที่วางตัวอยู่ท่ามกลางต้นมะพร้าวก็สิ้นสุดลง ผมชำระล้างร่างกายอีกครั้งพร้อมทั้งเตรียมตัวที่จะใช้เวลาพักผ่อนเพียงเล็กน้อยให้คุ้มค่าที่สุด เพราะในเวลา 02.45 น. ผมมีนัดกับคาร์โล อันเชลอตติ และ โจเซ่ มูริญโญ่ ที่ลอนดอน ผมบอกกับตัวเองอีกครั้งว่า ถึงแม้พรุ่งนี้จะมีอะไรให้ทำอีกมากในช่วงเช้า และนี่ก็เป็นการมาเที่ยวเพื่อผ่อนคลาย แต่ผมไม่สามารถจะผิดนัดครั้งนี้ได้จริงๆ

04.45 น.

ผลการแข่งขันที่ค่อนข้างจะทำให้ผิดหวัง เกือบจะทำให้ผมไม่สามารถจะหลับตาลงไปได้ แต่ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางสุดท้ายผมก็ต้านความต้องการของร่างกายไม่ไหวพร้อมทั้งปล่อยให้ตัวเองด่ำดิ่งเข้าสู่ราตรีแห่งการหลับใหลอีกครั้ง