วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 11 . ณ เพชรเทรนนิ่ง

วันนี้ผมมีนัดตอน 9 โมงเช้า หลังจากอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวอย่างเอื่อยเฉื่อย และนั่งสลัดความเหนื่อยเหน็ดจากงานประจำที่ตามกัดกินแรงกาย แรงใจมาร่วม 5 ปี ถึงวันนี้ผมคิดว่าผมควรลืมมันให้หมดสิ้นเพียงเพื่อเจียดพลังชีวิตที่เหลือน้อยนิดของผมมาพยุงกายไปให้ทันตามเวลานัดหมายครั้งนี้ ผมเผื่อเวลาในการเดินทางไว้ 1 ชั่วโมงครึ่ง สำหรับการหลงทางในกรุงเทพ ซึ่งผมไม่ถนัดเส้นทางมากนัก
ก่อนจะออกจากที่พัก ผมยืนมองออกไปนอกระเบียง ส่งสายตาให้กับน้องมะลิที่รัก "วันนี้พี่ขอไปคนเดียวนะ เราไปด้วยกันจะพากัน”หลงทาง” เปล่า ถึงแม้ว่าปกติพี่จะถนัดแต่เรื่อง “หลงเธอ” แต่ไม่รู้ทำไม วันนี้พี่กังวลผิดปกติ เหมือนถนนเส้นนี้มันยากที่จะเดินทางไปให้ถึงอย่างไรไม่รู้"
หลังจากร่ำรากันเสร็จสิ้น ผมออกเดินทางจากที่พักย่านสะพานควายโดยใช้พาหนะที่ทางรัฐบาลเค้าเสียค่าใช้จ่ายให้หรือเรียกอย่างหรูหราว่า “รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน” นานแล้วนะที่ผมไม่ได้ยืนเบียดกับสาวๆออฟฟิศบนสิ่งไม่มีชีวิตร่วมบริการสาย 74 นี้ ซึ่งเหตุผลที่ผมไม่ได้ใช้บริการก็เนื่องจากที่ผมตกลงยอมเป็นหนี้ ด้วยการถอยเจ้ามะลิ unlimited ออกมาโฉบเฉี่ยวหรือที่คนอื่นเค้าเรียกมันว่า Honda รุ่นเมืองใหม่ (new city) สีขาวจั๊วะนั่นเอง
การเดินทางไปกับน้องมะลินั้นแน่นอนว่าสบายกายมากกว่าการที่จะต้องเดินทางโดย ยกแขนเกาะราวรถเมล์ฟรีไปตลอดเส้นทางแน่นอน แต่ผมก็สูญเสียโอกาสที่จะเบียดกายแนบชิดกับสิ่งมีชีวิตต่างเพศที่เจือกลิ่นหอมบนร่างกายต่างกลิ่นกันไป แต่วันนี้โอกาสของผมก็มาถึงและผมก็ไม่ลืมที่จะละเลียดช่วงเวลานั้นราวกับว่ามันไม่มีวันจะผ่านเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้งไม่ว่ากาลเวลาจะเดินทางไปเท่าไรก็ตาม
เข็มวินาทีเดินวนเพียงไม่เกิน 5 รอบของหน้าปัดนาฬิกา ผมก็จำเป็นต้องก้าวลงจากเจ้า 74 ฟรีเพื่อประชาชน เพื่อขึ้นรถเมล์ปรับอากาศสาย 28 ซึ่งตามประสาวัยรุ่นบ้านผม เค้าเรียกกันว่า ปอ.ยี่บ-แปด แต่ผมไม่รู้ว่า วัยรุ่นถิ่นอื่น เอ่ยเรียกมันว่าอะไร
เมื่อหาที่นั่งได้เสร็จสรรพ บอกพี่กระปี๋สาวถึงเส้นทางและจุดหมายที่ผมต้องการไป พี่สาวคนสวยขมิบยิ้มมุมปากพร้อมกระชากเงินจากอุ้งมืออันอ่อนนุ่มของผมไป 17 บาทพลางแลกกระดาษใบเล็กๆ ส่งคืนมาที่ผม ซึ่งวัยรุ่นแถมสะพานซังฮี้น่าจะเรียกมันว่า "ตั๋ว" (ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ) หลังจากนั้นเธอก็สะบัดก้นหนีไป ไม่ได้สนใจใยดีกับผู้โดยสารหนุ่มรูปงามอย่างผมเท่าไรนัก และจากการที่ผมต้องเดินทางมาในโลกที่ผมไม่เคยสัมผัส โลกที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ผมจำเป็นต้องตัดใจจากก้นน้อยๆของพี่กระปี๋สาว พลางหันสายตาไปชำเลืองหาสถานที่ที่ผมจะผละออกจาก ปอ.ยี่บ-แปด ไปใช้บริการของพี่ taxi ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การเมืองของไทยเดินต่อไปได้ในช่วง 2 - 3 ปีมานี้(ไม่ค่อยกล้าเล่น หุหุ) ว่าแล้วผมก็กดกริ่งเมื่อเจ้า 28 ลงมาถึงตีนสะพานซังฮี้ พลางกระเถิบตัวมายืนยิ้มพรายอยุ่ที่ประตูเพื่อแสดงให้ทุกคนบนรถเห็นว่า “กูชัวร์” ไม่มีการหลง ป้ายนี้แน่ๆ “กูรู้ กูคนฝั่งธน” ผมคิด พลางกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ และเพื่อให้ชัวร์ยิ่งกว่าเดิมก่อนจะเรียกใช้บริการพวกพี่ๆ มิเตอร์ ผมเหลือบตาดูนาฬิกา la coste รุ่น copy made in ประตูน้ำ ที่บอกเวลาเที่ยงตรงอย่างชนิดที่คงกลัวใครจะรู้ว่าตัวมันเองไม่ได้มีสกุลรุนชาติฝรั่งเศสแท้ๆอย่างที่ใครคิด ก็แน่ล่ะ ราคาค่างวดไม่ถึง 400 บาทบ้านเกิดคงไม่ได้มาจากปารีสแน่นอน เต็มที่ก็คงไม่ไกลจากถนนอังรีดูนังต์เท่าไร
เข็มยาวชี้เลข 6 เข็มสั้นชี้เลข 8 “โอ้แม่เจ้า” ผมอุทานในใจ ผมมัวแต่กังวลเส้นทางจนไม่ได้สังเกตเวลา เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ที่ผมต้องพาร่างกายไปให้ถึงสถานที่นัดหมาย ตามเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ หลังจากรู้ว่าเวลาชีวิตเหลือน้อยนิดขนาดนั้น ฉับพลันผมรีบมองหาคำว่า "ว่าง" สีแดงๆ ตามท้องถนนทันที ชั่วขณะนั้นผมร้อนรนเหมือนเข็มยาวของเจ้า la coste ทิ่มทะลวงปลายทวาร ทะลุสายธารลำไส้ใหญ่ ความคิดชั่วร้ายต่างๆนาๆโผล่ขึ้นมาราวกับว่า ถ้าผมไปไม่ทัน ชาวโลกคงจะต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปเป็นแน่แท้
“จรัญซอย 13 ครับ” คำแรกที่ผมออกเสียงหลังจากปิดประตู Altis สีแดงคันนั้น ว่าแต่ว่า พวกคุณเคยสงสัยกันหรือเปล่าว่าจริงๆแล้ว พวกโชเฟอร์แท็กซี่ที่เราใช้บริการกันนั้น เค้ากำลังปฏิบัติหน้าที่กันอยู่หรือเปล่า หรือว่าเค้าพักผ่อน ไม่รู้สิ ก็เห็นทุกคันเค้าพยายามบอกเราเสมอว่าเค้า "ว่าง" ก็แล้วถ้าพี่ "ว่าง" พี่จะมาขับรถทำไมให้มันเหนื่อย พี่ก็นอนพักผ่อนอยู่บ้านไม่ดีหรือครับ จะได้ไม่ยุ่ง จะได้ว่างงงงงงงงงงง ไปตลอด คริคริ
อีก 5 นาทีสุดท้ายจะถึงเวลานัดผมเริ่มอึดอัดราวกับว่าเจ้า la coste อังรีดูนังต์ มันขยายตัวใหญ่ขึ้นจนเบียดบังมวลอากาศอันน้อยนิดในเจ้าสี่ล้อคันนี้ ห้านาที ห้านาที ห้านาที ผมสบถอยู่อย่างนั้นในใจ พลางบอกออกไปว่า "หมู่บ้านนิศาชลครับ" พี่แท็กซี่โอดโอยราวกับว่าผมเอาค้อนปอนด์ทุบหัวเค้าอย่างไม่ปราณีพลางพ่นลมออกจากรูปาก “ถ้าน้องบอกพี่ก่อน พี่จะเข้าทางด้านหลัง และเราจะมาถึงกันเร็วกว่านี้” “อ้าวไอ้ห่า กูก็ไม่รู้นี่หว่า”ผมตอบกลับไปอย่างฉุนเฉียว แต่ไม่มีสัญญาณใดตอบกลับมา นั่นเพราะผมเพียงกระซิบในใจ ไม่ได้พ่นลมใดๆออกไป เกรงว่าจะโดนฆ่าหมกเบาะ อยู่ในรถ ก่อนที่จะไปถึงที่นัดหมาย
และแล้วผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าสถานที่นัดหมาย บ้านหลังสีขาววางตระหง่านขวางหน้าราวกับขุนเขาที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเคยพิชิตผ่าน มันกว้างใหญ่แต่ไม่อ้างว้าง กลับฉายความอบอุ่นเล็ดรอดจนแทบจะล้นทะลักออกมานอกรั้วบ้าน มันเกือบทำให้ผมแทบสำลักความอบอุ่นตั้งแต่ยังไม่ได้ก้าวเข้าตัวบ้าน ยังมันยังไม่พอ นอกจากตัวบ้านที่ทำให้ผมอบอุ่น มันยังมีอีกอย่างที่กระแทกมโนสำนึกของผมมากไปกว่านั้น ผมเรียกมันว่า “รอยยิ้ม”
มันทำให้ผมคลายความวิตกกังวล ทั้งเรื่องของเวลาและเส้นทาง ที่ทำให้สมองขมวดเกร็งมาตลอด 1 ชั่วโมง 30 นาที ที่เดินทางมา เพียงแค่รอยยิ้มน้อยๆ ที่ไม่ได้มีต้นทุนมากมายที่เหล่าเจ้าของบ้านโปรยมาให้ผม ผมตอบมันกลับไปด้วยกิริยาชนิดเดียวกัน และเมื่อรอยยิ้มของเราสองฝ่ายชนกันกลางอากาศ มันทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่แม้แต่นักเคมีระดับชาติท่านไหนก็ไม่สามารถเขียนสมการมันออกมาได้ แต่ผมเขียนได้ มันอาจจะไม่ถูกเต็มที่สักทีเดียว แต่ผมแน่ใจว่ามันไม่ผิด
(คนแปลกหน้าคนที่ 1 x รอยยิ้ม) + (คนแปลกหน้าคนที่ 2 x รอยยิ้ม) = คนกันเอง 2 คน
หรือพวกคุณว่ามันผิด ?
หลังจากผมยืนทำปฏิกิริยาเคมีที่หน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงได้เข้าไปรับประทานอาหารว่าง “ว่าง” อีกแล้ว ก็ถ้าว่างทำไมไม่ไปหาอะไรทำนะ อิอิ เล่นอีกสักรอบคงไม่ว่ากัน จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการเติมเชื้อไฟ เติมความใฝ่ ให้กับความฝัน และนั่นคือสาเหตุที่ผมดั้นด้นข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา มาถึงที่นี่
ทฤษฏี คำสอน คำบอก เรื่องเล่า หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ท่านผู้บรรยาย ถ่ายทอดออกมา มันผ่านโสตประสาท เข้าสู่กระบวนการประมวลผล แยกส่วนที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ และส่วนที่ฟังเพื่อความเพลิดเพลินออกจากกัน อีกทั้งกักเก็บส่วนที่เอาไว้เติมเชื้อฝัน เก็บเอาไว้ให้ลึกที่สุด เผื่อวันใด สติมันหลง มันลืมไป ไม่ใส่ใจดูแลความฝัน เมื่อถึงวันนั้นจะได้ล้วง จะได้ควัก ส่วนนี้มาใช้ มาโรยลงไปบนกองฝัน เพื่อให้เชื้อฝัน มันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง และไม่มอดดับลงไปง่ายๆ เหมือนเช่นไฟปลายบุหรี่แค่นั้น
เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ ร่างกายผมต้องไป แต่หัวใจผมยังอาวรณ์ ความรู้สึกขณะนั้นผมรู้สึกราวกับต้องจากคนรักที่พลัดพรากกันไปนานและเพิ่งจะกลับมาพบกันอีกครั้ง รสรักที่เราต่างมอบให้แก่กันอย่างบ้าคลั่ง ยังคงหอมหวานเสียวซ่านในหัวใจไม่จางหาย แต่ผมก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าถึงอย่างไรผมรู้ว่า เราคงจะได้พบกันอีก ตราบใดที่ไฟฝันของผมยังไม่มอดดับ และในคราวหน้า ถ้าผมต้องมาที่นี่อีกครั้ง ผมคงไม่หลงทาง เพราะผมรู้แล้วว่า ถนนหนทางมันเป็นเช่นใด แม้จะคดเคี้ยวเลี้ยวลด แต่ถ้าจำทางได้ ก็ไม่ใช่ปัญหา แม้ระยะทางจะแสนไกล ก็แก้ไขได้ด้วยการเผื่อเวลา แต่เส้นทางอีกเส้นทางที่ผมกำลังจะไปนี่สิ มีใครพอจะบอกวิธีหรือเส้นทางให้ผมได้หรือเปล่านะ
ถ้าในขณะนี้ผมกำลังเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อจะออกเดินทางไปตามฝัน มีใครพอจะบอกผมได้หรือเปล่านะ ว่าผมจะต้องเดินไปทางไหน และที่สำคัญ ผมจะต้องเผื่อเวลาเท่าไร หรือว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อไปให้ถึงตรงนั้น แต่ว่าก็ว่าเถอะ เส้นทางไปสู่ฝันนี่ มันต้องผ่านสะพานซังฮี้ หรือเปล่านะ ผมล่ะสงสัยจริงๆ ทำไมผมถึงถามอย่างนั้นหรือ ก็เพราะถ้าจะข้ามไปให้ถึงฝันได้ คุณก็น่าจะต้องเป็น “คนฝั่งทน” นะสิ หรือคุณว่าไม่จริง...

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 10.อวตาร

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาผมกับคนรักมีโอกาสได้เข้าไปชมภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ยักษ์ที่โฆษณาว่ามีดีที่ Computer graphic ในแบบที่ไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องไหนในโลกจะเทียบเท่า ผมเลือกที่จะชมภาพยนตร์ในแบบ 3 มิติ เพื่อให้เหมาะสมกับความอลังการของภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความรุดหน้าในด้านเทคโนโลยีของ computer graphic บนดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งระบบ 3 มิติที่ผมเลือกที่จะชมนั้นเป็นที่เข้าใจกันว่าภาพในจอจะกระโดดออกมานอกจอราวกับมันมีชีวิตเป็นของตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยเห็นในรูปแบบที่แบนราบไปกับหน้าจอกลับแสดงความเนินนูนออกมาเพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมอย่างหาที่สุดมิได้ และนั่นคือมิติที่ 3 ที่เหล่าพ่อมดในวงการภาพยนตร์ได้สรรค์สร้างมันขึ้นมาเพื่อความรื่นเริงบันเทิงใจของมวลมนุษยชาติ

หลังจากที่ภาพยนตร์จบลง ผมกับคนรักนำความเป็นไปในฟิล์มมาถกเถียงกันเพื่อยืดเวลาในการซึมซับไม่ให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจหลังการชมภาพยนตร์จางหายเร็วจนเกินไป หัวข้อหลักที่ทุกคนมักจะถกเถียงกันอย่างออกรสออกชาติหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือความมหัศจรรย์ของ Computer graphic ที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับประสาทการมองเห็นเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับเราสองคนแล้ว สิ่งที่นูนออกมาจากจอและกระทบกับความรู้สึกของเราสองคนมากไปกว่าสิ่งที่ระบบ 3 มิติจะให้ได้ก็คือบทของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ถูกขีดเขียนขึ้นมาด้วยความจงใจที่จะตีแผ่ความเป็นมนุษย์ออกมาให้พวกเราได้รับรู้อีกครั้งเผื่อว่ามนุษย์คนใดจะหลงลืมตัวตนของตัวเองไปบ้างอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“เราว่าบทมันสะท้อนตัวตนของมนุษย์เราดีนะ ต้องการของที่มีเจ้าของอยู่แล้วก็หาทางไล่เจ้าของเค้าออกไปเพื่อครอบครองของสิ่งนั้น ในขั้นแรกอาจจะใช้วิธีเจรจาแต่เมื่อไม่ได้ผลก็พร้อมจะใช้สงครามเข้าทำลายทุกสิ่ง แม้กระทั่งธรรมชาติ นี่คือลักษณะที่แท้จริงของมนุษย์เลยทีเดียวล่ะ” ผมเปิดบทสนทนาด้วยความรู้สึกเข้าใจเผ่าพันธุ์ที่รุกรานและเต็มไปด้วยความเห็นใจเผ่าพันธุ์ที่ถูกรุกราน “มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ล่ะ สิ่งที่เห็นในหนังมันก็คือสิ่งที่เราทำกับโลกใบนี้มาตั้งแต่แรกและยังคงทำจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่พอมาถึงวันนี้เรากลับต้องหาวิธีป้องกันความแปรปรวนผิดปกติต่างๆของธรรมชาติทั้งๆที่คนที่ทำให้มันเกิดขึ้นก็คือพวกเราเอง” เธอถอนหายใจพร้อมกลับแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา “เธอว่าสิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้มันคือแนวทางที่ถูกต้องหรือเปล่านะ ถ้ามนุษย์คนแรกเลือกที่จะทำแค่จุดไฟเพื่อให้ความสว่างในถ้ำและออกมาหาอาหารเพื่อประทังความหิวบ้างเป็นครั้งคราว เราคงไม่ต้องมาช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนกัน” ผมลองถามความเห็นของคนรักว่าเธอคิดเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้ “ไม่หรอก ธรรมชาติทุกวันนี้ไม่ได้ถูกทำลายจากมนุษย์แค่เพียงคนเดียว ชั่วชีวิตหนึ่งของมนุษย์มันสั้นเกินไปที่จะทำลายธรรมชาติได้มากมายขนาดนี้และแค่สองมือของมนุษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่งโค่นต้นไม้ต้นใหญ่ก็ลำบากมากมายแล้ว ” “แล้วถ้าไม่ใช่สองมือของมนุษย์แล้วอะไรล่ะที่มันเฝ้าทำลายธรรมชาติบนโลกของเรากันอยู่” ผมอยากฟังความเห็นจากเธอต่อเนื่องจากประเด็นเดิมอีกครั้ง เพราะดูท่าทางเธอจะสนใจในประเด็นนี้ไม่น้อย “สมองไง สมองของเรานี่ล่ะที่เป็นตัวกำหนดความรู้สึกต่างๆที่เป็นต้นเหตุในการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ตัวเองลองคิดดูสิว่าถ้ามนุษย์เราไม่ต้องการความสะดวกสบายเกินความจำเป็น เราก็คงใช้ทรัพยากรบนโลกนี้ไปได้อีกนาน” “ถ้าเราไม่ต้องการเคลื่อนที่ให้เร็วไปกว่าที่เป็นอยู่ เราก็คงไม่ต้องใช้น้ำมันกันสินะ” ผมเสริมเหตุผลตามความเข้าใจพลางชี้แจงความเห็นของผมเพิ่มเข้าไปอีกในประเด็นเดิม “แต่อย่างว่าล่ะ คนเราต่างคนต่างคิด ต่างพัฒนาในสิ่งที่ตัวเองต้องการแต่แล้ววันหนึ่งพอโลกมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ เรากลับเฝ้าถามคนอื่นว่าใครล่ะจะเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ ทั้งๆที่ตอนเราทำ เราต่างคนต่างรุมทำร้ายโลกโดยไม่ได้คิดว่าจะหาใครเป็นผู้นำ” เธอแสดงความเห็นปรักปรำมนุษย์ทั้งโลกอย่างที่ผมไม่สามารถจะเถียงอะไรได้เลยหลังจากนั้นเธอยื่นคำถามแรกในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของเราขึ้นมาว่า “แล้วตัวเองว่าในโลกแห่งความจริง ใครเป็นชนพื้นเมืองแบบพวกนาวีล่ะ” เธอถามพลางทอดสายตาสงสัยส่งผ่านมาที่ผมในระหว่างรอคำตอบ “ก็สิ่งมีชีวิตทุกชนิดนอกเหนือจากมนุษย์ไงล่ะโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งมีชีวิตที่เราสามารถกินมันได้ นั่นยิ่งเป็นชนพื้นเมืองอย่างแท้จริง ลองคิดดูสิว่าทุกวันนี้จะมีสักกี่คนเคยเห็นปลาทูและปลาแซลมอนตอนว่ายน้ำบ้าง ร้อยทั้งร้อยก็เห็นก่อนที่มันจะเข้าปากเราทั้งนั้น” ผมพูดเปรียบเทียบถึงปลาสองชนิดที่ผมคิดว่ามันเกิดมาเพื่อถูกกินอย่างแท้จริง “แล้วถ้าเลือกได้ ตัวเองว่าเราควรจะพัฒนาร่างอวตารไปเป็นอะไรดีล่ะ จะได้ศึกษาชีวิตของสัตว์เหล่านั้นได้ เผื่อความสัมพันธ์ระหว่างเรากับมันจะมากกว่าผู้ล่ากับผู้ถูกล่า” เธอยื่นอาหารให้กับสมองของผมอีกครั้งอย่างที่ผมหลีกเลี่ยงไมได้ “หลายอย่างเลยนะ อย่างแรกก็จำพวกหมู ไก่ ปลาทู ปลากราย อยากรู้ว่าการเกิดมาเพื่อจะให้อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งกินอย่างเดียวโดยไม่ได้มีหน้าที่อื่นๆ จะเป็นอย่างไร” “ตัวเองรู้ได้ยังไงว่าเค้าเกิดมาเพื่อให้เรากิน ถ้าเราอวตารไปเป็นเค้า เราอาจจะรู้เหตุผลในการมีชีวิตของเค้าก็ได้นะ ว่าแต่ว่าทำไมต้องเป็นปลากรายด้วยล่ะ” สายตาแห่งความสงสัยถูกส่งมาให้ผมอีกเป็นครั้งที่สองนับจากเราเริ่มแลกเปลี่ยนเหตุผลกัน ผมยิ้มที่มุมปากพลางชี้แจงแถลงไข “ก็เราเชื่อว่ามีคนมากมายที่ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆของปลากราย แต่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่เคยกินทอดมันปลากราย 555 และถ้าเราอวตารไปในร่างปลากราย เราคงจะได้รู้ว่า มันมีจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตของมันยังไงบ้างไงล่ะ” “แล้วเธอคิดว่าถ้าสิ่งมีชีวิตอื่นๆอวตารมาเป็นมนุษย์ได้ล่ะ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง” ผมเริ่มประเด็นใหม่ที่น่าจะทำให้บทสนทนาเข้มข้นมากขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหนก็คงจะตื่นเต้นกับร่างใหม่แน่ๆ เพราะเค้าจะได้ทำอะไรมากมายที่มากไปกว่ากิจกรรมพื้นฐานของชีวิต กิน ถ่าย นอนหลับ แค่นั้น” “แถมเค้าจะตื่นเต้นกับการที่ไม่ต้องมีฤดูสืบพันธ์ แถมยังสามารถป้องกันไม่ให้ท้องได้ด้วยอีกต่างหาก” ผมคิดทะลึ่งเล็กน้อยเกี่ยวกับความเป็นธรรมชาติของมนุษย์เรา แต่ทั้งหมดมันก็เป็นเรื่องจริงที่ใครๆก็รู้กัน “คิดได้แต่เรื่องแบบนี้ล่ะนะ ว่าแต่ถ้าหมู ไก่ ปลาหมึก กุ้ง พวกนี้เค้าอวตารมาเป็นเรา เค้าคงเศร้าใจที่เห็นพวกเราตั้งหน้าตั้งกินเค้าอยู่อย่างสบายอารมณ์เป็นที่สุด” “โลกมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ ผู้แข็งแรงก็ย่อมได้รับชัยชนะ แต่มาคิดดูอีกที ถ้าพระเจ้ามีจริง ท่านคงพลาดน่าดูที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาบนโลกใบนี้นะ” ผมเปลี่ยนประเด็นไปถึงเรื่องของสิ่งที่มองไม่เห็น “หมายถึงเราทำลายโลกที่ท่านสร้างมานะเหรอ” “อันนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ลองคิดดูนะว่าปัจจุบันมนุษย์เราพยายามล้วงลึกความลับของพระเจ้าเข้าไปเรื่อยๆแล้วนะ จนต่อไปท่านจะไม่เหลืออะไรที่เป็นความลับแล้ว” “อะไรคือความลับของพระเจ้าล่ะ น้ำสามารถดับไฟได้ นี่ใช่หรือเปล่า” เธอเสนอหนึ่งในความลับของพระเจ้าพร้อมกับหัวเราะเล็กๆให้กับความคิดอันรวดเร็วของตัวเอง “จะว่าไปก็มีส่วน มนุษย์คนแรกที่รู้ว่าน้ำดับไฟได้นี่คงตื่นเต้นน่าดู แต่ไม่รู้จะตื่นเต้นกว่าตอนที่จุดไฟได้ครั้งแรกหรือเปล่านะ” “ว่าแต่ความลับของพระเจ้าคืออะไรล่ะ” “เอาง่ายๆนะเริ่มตั้งแต่ตอนเกิดมา นี่ไม่ได้ทะลึ่งนะ พระเจ้าสร้างอวัยวะเพศมาสองแบบเพื่อที่จะสามารถทำให้ทารกเกิดขึ้นมาได้ และคนสองคนที่จะสร้างทารกน้อยขึ้นมาด้วยอวัยวะสองสิ่งนี้ก็จำเป็นต้องมีความรู้จักกันมากพอที่จะปล่อยให้กิจกรรมการสร้างทารกเกิดขึ้นได้ และความรู้จักกันมากพอในยุคแรกๆก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นความรักล่ะ”ผมอธิบายพลางยิ้มภูมิใจกับความเห็นในเชิงสัปดนของตัวเอง “ทีเรื่องนี้รู้เรื่องดีเชียวนะ” เธอยังคงปักใจสงสัยเกี่ยวกับความรู้ใต้สะดือของผม “แล้วลองคิดต่อนะ พอมนุษย์คนแรกที่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องรักกันก็สามารถใช้อวัยวะสองอย่างร่วมกันได้ ตั้งแต่นั้นโลกก็บังเกิดสุดยอดกิจกรรมแห่งความสุข 555 ถือเป็นการล้วงความลับของพระเจ้ามาตีแผ่เลยทีเดียว แล้วยิ่งเราไปต่อต้านท่านด้วยการคิดวิธีคุมกำเนิดขึ้นมาอีกคราวนี้ยิ่งสบายไปกันใหญ่” “จะว่าไปมันก็จริงนะ แถมสมัยนี้ยังมี ultrasound ทำให้รู้เพศของทารกตั้งแต่อยู่ในท้องอีก นี่มันล้วงความลับของพระเจ้าชัดๆ”เธอเริ่มเห็นด้วยในประเด็นนี้เพราะมันคือความจริงที่มนุษย์ทุกคนก็ทราบกันดี “แล้วสมัยนี้การเพาะเลี้ยงจระเข้ก็สามารถกำหนดเพศของจระเข้ได้ด้วยการปรับอุณหภูมิที่ฝักไข่ ลองคิดดูว่ามนุษย์เข้าใกล้ความเป็นพระเจ้าขนาดไหน”ผมเริ่มติดใจในประเด็นนี้จึงแสดงความจริงอีกเรื่องให้เธอได้รู้ “ยิ่งคุยชักจะน่ากลัวไปใหญ่ นอกจากเรื่องเกิด พอมาคิดถึงเรื่องแก่ เจ็บ ตาย ยิ่งแล้วใหญ่ พระเจ้าคิดโรคร้ายอะไรมา เราก็สามารถรักษาได้หมด จนท่านไม่รู้จะเอาอะไรมาฆ่าเราแล้ว” เธอพูดจนดูเหมือนกับว่าเผ่าพันธุ์ของเรามันน่าขยะแยงยิ่งนัก “ตอนนี้ท่านยังเหลือมะเร็งเป็นไม้ตายสุดท้ายอยู่นะ แล้วก็โรคประหลาดต่างๆ ไอ้แบบที่หมื่นคนจะมีสักคนนั่นล่ะ”ผมยังพยายามเข้าข้างพระเจ้าท่านอยู่เพราะกลัวว่าท่านจะหมดทางไปจริงๆ “จะว่าไปถ้ามะเร็งมันเกิดขึ้นกับมนุษย์เยอะมากขึ้น หรือสัก 30% – 40% ของมนุษย์ คราวนี้เราคงกลายเป็นชนเผ่าพื้นเมืองสินะ” เธอถอยประเด็นกลับมาสู่เรื่องเดิมๆอีกครั้งหนึ่ง “ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะ ถึงคราวนี้เราคงจะได้ลิ้มรสชาติของการถูกล่าอย่างเต็มความรู้สึกล่ะ” “ตั้งแต่ที่คุยมานี่ มนุษย์เรามีข้อดีบ้างหรือเปล่านะ”เธอเริ่มหมดกำลังใจกับความเป็นมนุษย์ลงทุกทีๆ “ถ้าดูจากหนังทุกเรื่องที่สร้างเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกหรือสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นที่มาช่วยมนุษย์แล้วล่ะก็ ความรักน่าจะเป็นข้อดีข้อเดียวของเราที่พวกเค้ามองเห็นนะ” ผมพยายามทำให้เธอมีกำลังใจในความเป็นมนุษย์มากขึ้นและก็ปลอบใจตัวเองไปในที “แล้วตัวเองคิดว่ามันใช่หรือเปล่าล่ะ”เธอขอความแน่นอนจากผมอีกครั้งในเรื่องของความรักที่ผมได้พูดไป “ถ้าเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์จริงก็ใช่ล่ะ แต่ส่วนใหญ่ความรักมันไมได้บริสุทธิ์นะสิ พ่อแม่บางคนที่อยากให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ไอ้อย่างนี้ก็ไม่ใช่ความรัก เค้าเรียกความเห็นแก่ตัว” ความเห็นแก่ตัวคือเหตุผลแรกที่ผมพอจะนึกออกเกี่ยวกับเรื่องของความรัก “แล้วอย่างชายหญิงที่รักกันและหวังจะให้ดูแลกันไปตลอดชีวิตล่ะ เห็นแก่ตัวหรือเปล่า” เธอพยายามโยงเรื่องเข้ามาใกล้ความสัมพันธ์ของเราสองคนและนั่นทำให้ผมต้องระวังคำตอบมากขึ้นแต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะพูดความจริงออกไป “มันก็ชัดๆอยู่แล้ว กลัวตัวเองไม่มีใครดูแลไง ไม่ได้หวังให้คนที่เรารักมีความสุขอย่างไม่มีเงื่อนไขนี่ ถ้าอย่างนั้นถึงจะเรียกว่าความรักอย่างแท้จริง” “แล้วตัวเองคิดว่าความรักเพียงอย่างเดียว มันจะช่วยให้เรารอดพ้นไปจากวิกฤตต่างๆ ที่จะทำให้เราเป็นชนพื้นเมืองได้หรือเปล่าล่ะ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจากมะเร็งหรือภัยธรรมชาติต่างๆ ” เธอถามผมอีกครั้งด้วยความหวังว่าความรักจะช่วยให้อะไรมันดีขึ้นได้ “ความรักมันมีพลังมากมายอย่างที่เรารู้กันนั่นล่ะและมนุษย์ส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าพลังของมันจะช่วยปกป้องเผ่าพันธุ์ของเรา รวมทั้งปกป้องทุกชีวิตที่เรารักได้ด้วย แต่สำหรับเรามันไม่สำคัญหรอกว่ามันจะมีพลังพอหรือเปล่า” ผมจบประโยคทิ้งไว้ให้คิดพร้อมกับส่งยิ้มอันแยบยลไปให้เธอ “แล้วมันสำคัญยังไงล่ะ” เธอยังคงต้องการคำตอบของผมต่อไป “ไม่ว่าอะไรจะทำให้มนุษย์อย่างเราๆกลายเป็นผู้ถูกรุกราน มันก็เหมาะสมแล้วกับสิ่งที่พวกเราทำกับสิ่งมีชีวิตอื่นตลอดมา และถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ผู้ถูกรุกรานที่มีความรักทั้งที่เป็นคนรักและคนถูกรัก เค้าคนนั้นก็น่าจะต่อสู้อย่างมีพลังมากกว่าคนอื่นๆ และถึงแม้เค้าจะตาย เค้าก็คงจะตายอย่างมีความสุข เพราะเค้าได้รู้จักความรักที่บริสุทธิ์แล้ว” ผมไม่กล้าสบตาเธอเพราะรู้ว่าคำตอบมันออกจะดู romanticไปนิด “ตัวเองนี่น่าจะเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่พูดจาเลี่ยนที่สุดแล้วนะนี่” แต่แล้วเธอก็หยิกแกมหยอกผมจนได้ “เอาเถอะน่า ว่าแต่ว่าตัวเองรู้หรือเปล่าว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนที่เค้าอยากจะอวตารไปศึกษามากที่สุด” ผมย้อนกลับไปเล่นประเด็นเดิมจากภาพยนตร์ที่เราชมกัน “ปลากรายลิท่า” “ไม่ใช่หรอกตัวใหญ่กว่านั้น” “หมูละกัน ถูกหรือเปล่าล่ะ” “ไม่ใช่หรอก เค้าอยากอวตารไปเป็นตัวเองต่างหาก” ผมตอบไปอย่างที่ใจคิดพร้อมทั้งเตรียมเหตุผลไว้อธิบาย “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ” “เค้าอยากรู้ว่าชนเผ่าพื้นเมืองที่ถูกรุกรานด้วยความรักมันรู้สึกยังไง และมีพลังอะไรหรือเปล่าที่ยิ่งใหญ่พอที่จะต่อสู้กับความรัก”ผมเริ่มทำตัวเลี่ยนๆอีกครั้งเพื่อให้บรรยากาศไม่จริงจังจนเกินไป “ทำมาเป็นพูดดี อย่างน้อยๆ ถึงจะไม่ได้มีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าแต่ก็มีพลังที่ไม่แพ้กันล่ะ” “พลังอะไรเหรอ” “ไม่บอกหรอกแล้ววันหนึ่งตัวเองก็จะรู้เอง” เธอทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้ผมคิดอีกตามเคย
ผมเดินจับมือกับสิ่งมีชีวิตข้างๆพร้อมทั้งส่งความรักเข้ารุกรานกันและกันอย่างไม่กลัวว่าชนพื้นเมืองฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะไม่สามารถต้านทานพลังที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ ด้วยจุดเริ่มต้นจากภาพยนตร์ดีๆเรื่องหนึ่งทำให้เราแลกเปลี่ยนเหตุผลกันตั้งแต่เรื่องของการอวตารมาจนกระทั่งเรื่องของความรัก ผมเองได้ข้อสรุปกับตัวเองในบางประเด็นว่าเผ่าพันธุ์ของผมเริ่มต้นทำร้ายธรรมชาติมาอย่างยาวนานโดยไม่ได้ยี่หระต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ผมเรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกว่าเรากำลังพยายามทำตัวเป็นพระเจ้าของโลกนี้มากขึ้นในทุกๆทางด้วยการล้วงความลับของพระเจ้าในทุกๆเรื่องอีกทั้งทำตัวเป็นผู้ล่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่อย่างไรก็ตาม จากทุกเรื่องเหล่านี้ทำให้ดูเหมือนกับว่ามนุษย์อย่างเราๆไม่ได้มีข้อดีอะไรอยู่เลยสักนิดเดียว แม้กระทั่งความรักที่ดูจะเป็นข้อดีข้อเดียวของมนุษย์ที่มีให้แก่กันมันก็มีต้นเหตุมาจากความเห็นแก่ตัวเป็นส่วนใหญ่ แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกท้อถอยและเสื่อมศรัทธาในตัวมนุษย์ไปเสียทั้งหมดหรอก ผมขอลองสู้สักตั้งด้วยการทำอะไรให้กับโลกของผมบ้าง โลกที่เผ่าพันธุ์ของผมร่วมมือกันทำร้ายมาอย่างยาวนาน ผมเองไม่หวังจะหาใครเป็นคนเริ่มทำอะไรให้โลกแต่ผมหวังที่จะทำโดยไม่พึ่งใครไม่ว่ามันจะทำได้มากหรือน้อยอย่างไรก็ตาม เพราะอย่างน้อยๆ ถ้ามันถึงวันที่มนุษย์จะต้องถูกล่า ผมเองก็คงจะหลับตาลงได้อย่างมีความสุข เหตุผลแรกเพราะผมได้ทำอะไรตอบแทนโลกใบนี้บ้างแล้ว และเหตุผลที่สองที่สำคัญเช่นกันคือผมได้รู้จักกับความรักที่บริสุทธิ์ที่ผมมอบให้กับดาวเคราะห์ดวงนี้รวมถึงมอบให้กับสิ่งมีชีวิตที่จะต้องถูกล่าเคียงข้างกับผมนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

คุณว่าคนเราเลือกเกิดได้หรือเปล่า ?

คุณว่าคนเราเลือกเกิดได้หรือเปล่า ? แล้วเลือกที่จะมีชีวิตดีๆได้หรือเปล่านะ แล้วถ้าคนบางคนเค้าไม่สามารถเลือกชีวิตดีๆด้วยตัวเองได้ แต่คุณสามารถเลือกที่จะมอบให้เค้าได้ล่ะ คุณจะทิ้งโอกาสนี้ไหม
จะว่าไปแล้วในสังคมปัจจุบัน ความเหลื่อมล้ำทางโอกาสยังคงมีให้เห็นอยู่มากมาย เพียงแต่ถ้าไม่ได้ลงไปสัมผัสก็คงยากที่จะตระหนักถึงมัน แต่เนื่องจากตัวผมเองได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองมาจึงอยากนำมาเล่าความรู้สึกของการได้เป็น "คนสร้างโอกาสให้กับคนอื่น" นำมาเล่าให้ทุกคนฟัง

ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี โรงเรียนเล็กๆแห่งนี้มีนักเรียนจำนวน 113 คน แบ่งเป็น 8 ห้องเรียน ทุกท่านอาจจะแปลกใจว่าทำไมจำนวนนักเรียนถึงได้มีน้อยกว่าโรงเรียนปกติ นั่นเป็นเพราะผู้ปกครองที่มีฐานะดี เค้าไม่คิดที่จะส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่ เพราะไม่มั่นใจในศักยภาพของโรงเรียน ทั้งในเรื่องสื่อการสอน ครูอาจารย์ และอาหารกลางวัน ในส่วนของผู้ปกครองของเด็กๆ ที่ส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่นั้น ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม รับจ้างทำไร่ รับจ้างโรงงานอุตสาหกรรม นั่นทำให้เค้าไม่ได้มีฐานะทางการเงินที่ดีพอที่จะส่งลูกหลานไปศึกษาในโรงเรียนเอกชนที่พรั่งพร้อมกว่าที่นี่ได้ ในอีกหนึ่งความหมายก็คือ ทั้งผู้ปกครองและเด็กๆเหล่านี้มี 2 ทางเลือกนั่นเอง หนึ่งคือให้น้องๆเรียนที่นี่ กับสองคือ น้องๆจะไม่ได้เรียนหนังสือ นั่นทำให้เด็กๆเหล่านี้หมดโอกาสในการดำเนินชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ในขณะที่ตอนนี้นักเรียนทั้งโรงเรียนมีอยู่ 113 คน แต่อย่างที่กล่าวมาข้างต้น เราไม่สามารถปล่อยให้โรงเรียนถูกยุบ หรือต้องปิดตัวลงไปได้ เพราะถึงแม้ปัจจุบันทางโรงเรียนจะมีนักเรียนแค่จำนวน 113 คน แต่ถ้าโรงเรียนถูกปิด และน้องๆ 113คน จะไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะผู้ปกครองไม่มีกำลังพอที่จะส่งน้องๆไปเรียนโรงเรียนอื่นๆได้ ทั้งปัญหาในเรื่องระยะทาง และ ค่าใช้จ่าย นั่นทำให้การปิดโรงเรียนเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอย่างที่สุด จากโรงเรียนที่มีเด็ก “แค่” 113 คน เปลี่ยนไปเป็นเด็ก “ตั้ง” 113 คน ไม่มีที่เรียน ไม่มีอนาคต มันแตกต่างกันเยอะนะ ผมคิดว่าอย่างนั้น และเพื่อนๆ คิดว่าอย่างไรกันบ้างครับ

ลองแยกปัญหาในแต่ละส่วนของโรงเรียนออกมา ก็จะมีดังนี้ครับ 1 . การขาดแคลนบุคลากรทางการศึกษา ในส่วนของครูอาจารย์ ตอนนี้ในโรงเรียนมีครูทั้งหมด 7 ท่าน เป็นครูประถม 4 ท่าน ครูอนุบาล 2 ท่าน และผู้อำนวยการ 1 ท่าน ทีนี้เรามาดูหน้าที่ของคุณครูประถมและอนุบาลกันครับ เริ่มจากครูประถม 4 ท่าน ทำหน้าที่สอนน้องๆ 76 คน โดยแบ่งดังนี้

คุณครู... สอนชั้น ป.1 และ ป.2
คุณครู.... สอนชั้น ป.3 และ ป.4 และยังเหมารวมการสอนวิชาเกษตรและพละให้กับนักเรียนทุกๆชั้นในโรงเรียน เพราะเป็นครูผู้ชายคนเดียวในโรงเรียนครับ
คุณครู... สอนชั้น ป.5
คุณครู... สอนชั้น ป.6
ซึ่งคุณครูทั้ง 4 คนนี้เป็นข้าราชการซึ่งรับเงินเดือนตรงจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งทั้ง 4 ท่านนี้สามารถขอย้ายไปสอนในโรงเรียนที่พร้อมกว่านี้ และไม่ต้องเหนื่อยเท่านี้ได้ แต่ทั้ง 4 ท่านนี้ก็ยังมิได้ย้ายไปไหน แต่จะเห็นได้ว่า ในส่วนของครูที่เป็นข้าราชการประจำ ทางโรงเรียนมีอยู่แค่ 4 ท่านนี้ ซึ่งแน่นอนว่านอกจากการสอนหนังสือแล้ว คุณครูแต่ละ
ท่านยังมีหน้าที่อย่างอื่นด้วย และเมื่อบวกกับความแตกต่างกันของความสามารถในการรับรู้และสติปัญหาของน้องๆแต่ละคน จึงเป็นการยากยิ่งที่คุณครูแต่ละท่านจะดูแลน้องๆได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และในส่วนของคุณครูที่จะสอนเด็กๆอนุบาลจำนวน 39 คน ซึ่งทางโรงเรียนต้องจ้างคุณครูมาช่วยสอนนั้น ขณะนี้มีอยู่ 2 ท่าน ซึ่งรับเงินเดือน 5,500 บาท และ 4,500 บาท ใช่ครับ เพื่อนๆอ่านไม่ผิด 4,500 บาท ซึ่งในส่วนนี้ทางโรงเรียนต้องเป็นคนรับภาระ ซึ่งในบางครั้งต้องขอบริจาคจากผู้ปกครองน้องๆในชั้นอนุบาล ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันว่าแค่ลำพังให้เงินน้องๆมาทานที่โรงเรียน วันละ 5 - 10 บาท ก็สุดความสามารถของผู้ปกครองน้องๆแล้ว นั่นทำให้บางครั้งผู้อำนวยการต้องแบกรับภาระตรงนี้ไว้ด้วยตนเอง ซึ่งสำหรับเราๆท่านๆที่อยู่ในสังคมที่ถึงพร้อมกว่านั้น เงินจำนวน 10,000 บาท ไม่ได้มากพอที่จะสร้างสรรค์อะไรได้มากมาย แต่มันก็พอที่จะสร้างพื้นฐานให้น้องๆ 39 คนให้เติบโตขึ้นมาอย่างถึงพร้อมทั้งร่างกายและสมอง และสามารถที่จะเลือกมีโอกาสดีๆในสังคมได้
2. ในเรื่องของอาหารกลางวัน ปัจจุบันโรงเรียนได้งบอาหารกลางวัน 1000 บาทต่อวัน รวมค่าใช่จ่ายทุกอย่างในครัวไม่ว่าจะเป็น น้ำส้ม น้ำปลา หม้อ กะละมัง ต่างๆ ถ้าขาดเหลือหรือผุพัง ก็อยู่ในงบนี้ด้วย รวมทั้งค่าจ้างแม่ครัว ซึ่งในขณะนี้แม่ครัวของทางโรงเรียน ไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ แต่มาทำให้น้องๆด้วยใจเมตตา และเมื่อตัดค่าจ้างแม่ครัวออกไป น้องๆเหล่านี้จะมีค่าอาหารเฉลี่ยต่อคน ต่อมื้อ ประมาณ 8 บาท 85 สตางค์ เรามาดูกันว่า เงินจำนวนนี้ น้องๆจะได้กินอะไรในแต่ละมื้อ วันจันทร์ ต้มจืดกะหล่ำปีใส่หมูสับกับข้าวสวยวันอังคาร ไข่น้ำกับข้าวสวยวันพุธ ผัดผักบุ้งไม่ใส่หมูกับข้าวต้มวันพฤหัส ต้มยำไก่กับข้าวสวยวันศุกร์ ผัดกะหล่ำปีใส่หมูสับกับข้าวสวย
นี่คือเมนูใน 1 สัปดาห์ที่ยกมาแสดงให้ดู ซึ่งถึงแม้น้องๆจะอยู่ที่ชลบุรี แต่กลับไม่มีโอกาสได้กิน ปลา ปลาหมึก กุ้ง ใดๆทั้งสิ้น เพราะงบที่ทางโรงเรียนได้มาไม่เพียงพอ อีกทั้งกับข้าวแต่ละชนิดที่ใส่หมูนั้น หมูจะมีปริมาณ 2-3 กิโลกรัม สำหรับน้องๆทั้งโรงเรียน รวมทั้งอาจารย์ทั้ง 7 ท่าน ก็ทานข้าวที่โรงอาหารนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าวันดีคืนดีมีผู้ใจบุญบริจาคเงินเล็กๆน้อยๆมาเป็นค่าอาหาร น้องๆก็อาจจะได้กินแกงเขียวหวาน ที่มีหมูมากขึ้น มีมะเขือ แต่ก็จะไม่มีลูกชิ้นเพราะว่างบประมาณก็คงจะไม่เพียงพอ
ทุกวันนี้ค่าอาหารเฉลี่ยของน้องๆต่อคน ต่อมื้อ ประมาณ 8 บาท 85 สตางค์ แต่ทุกวันนี้ผมเองกินไข่ดาว 7 บาทและน้ำเปล่าก็ยัง 2 บาท เกินแล้วครับ 9 บาทแล้ว ถ้าให้ผมไปกิน 8 บาท 70 สตางค์ ผมคงยอมตาย
แต่น้องๆเหล่านี้ ไม่ตายครับ และก็กินอย่างนี้มาหลายปีแล้ว ซึ่งน้องๆก็ไม่มีโอกาสเลือกที่จะกินอะไรที่ดีกว่านี้ เพราะที่นั่นไม่ได้มีร้านอาหารตามสั่งแบบเราๆ มีแต่ร้านอาหารตามมีตามเกิด
ทีนี้พออ่านมาถึงย่อหน้านี้ ผมถามตัวเองว่า แล้วผมทำอะไรได้บ้าง ผมลองมาสังเกตชีวิตผมเองแล้วถ้าวันว่างๆที่ผมกินอาหารญี่ปุ่น ต่อด้วยไอศกรีม และดูหนังสักหนึ่งเรื่อง ก่อนนั่งแท็กซี่กลับบ้าน ลองเปลี่ยนง่ายๆ แค่กินอาหารญี่ปุ่น แล้วไม่ต้องกินไอศกรีมต่อ ดูหนังโดยไม่กิน Popcorn ซึ่งนั่นจะทำให้ได้ใกล้ชิดกับหนังและคนที่เราไปดูหนังด้วย มากกว่าเวลาซื้อpopcorn เข้าไปกินอีกนะ แค่สองอย่างนี้ โดยที่ยังกลับแท็กซี่เหมือนเดิม เราจะประหยัดได้ประมาณ 300 บาท
ซึ่งเงินจำนวนนี้ทำอะไรได้บ้างครับ ถ้าจ้างคุณครูเดือนละ 4,500 ก็จะสามารถจ้างคุณครูได้เพิ่ม 2 วัน ถ้าเลี้ยงอาหารเด็กๆด้วยอาหารแบบเดิมก็จะได้ประมาณ 34 คน ใช่ครับ 34 คน เงิน 300 ให้อะไรได้มากกว่าที่เราคิดนะครับ อาจจะทำให้น้องๆเค้าได้กินปลาหมึกเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ได้นะครับ

และล่าสุดทางโรงเรียนแจ้งว่า งบที่จะจ้างครูได้หมดลงแล้ว ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่เร่งด่วนกว่าเรื่องอาหารของน้องๆอีกนะ ในช่วงเวลานี้เพราะนี่เป็นหลักประกันในอนาคตของน้องๆอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
และที่กล่าวมาทั้งหมดในนี้ ความต้องการของผมที่อยากจะบอกทุกๆท่านก็คงต้องย้อนไปอ่านที่ย่อหน้าแรก “แล้วถ้าคนบางคนเค้าไม่สามารถเลือกชีวิตดีๆด้วยตัวเองได้ แต่คุณสามารถเลือกที่จะมอบให้เค้าได้ล่ะ คุณจะทิ้งโอกาสนี้ไหม? ”

สรุปสิ่งที่ทางโรงเรียนต้องการการสนับสนุน
1. สนับสนุนงบประมาณสำหรับค่าจ้างครูจ้างสอน
2. สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีฐานะยากจน และมีความยากลำบากต่อการศึกษา
3. การสนับสนุนสื่ออุปกรณ์การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
4. การปรับปรุงห้องเรียนอนุบาล
5. การสนับสนุนโครงการปลูกผักในน้ำเพื่อโครงการอาหารกลางวัน

ร่วมสร้างโอกาสให้น้องๆได้โดยการร่วมบริจาคกับ “โครงการสร้างโอกาสเพื่อน้องที่ท้องหิว”ครับ

รวมเล่ม 9 .รัก เลิก เหงา รอ

ในวันนี้ ฉันรู้ เธออยู่ห่าง
ฉันอ้างว้าง ยามนี้ เธออยู่ไหน
ทำได้เพียง แค่คิดถึง เธอในใจ
หวังเอาไว้ สักวันหนึ่ง คงพบกัน
ในวันนั้น เราสนิท ชิดเพียงเพื่อน
ต่างคอยเตือน เวลาเผลอ ทั้งเธอฉัน
เวลาผ่าน ขยับชิด คิดคบกัน
ข้ามฝั่งฝัน คำว่าเพื่อน เลื่อนเป็นแฟน
ไม่เคยห่าง แม้สักนิด ยามเราคบ
เฝ้าคอยพบ คอยเจอ คอยหวงแหน
ลิ้นไม่ไต่ ไรไม่ตอม ทุกดินแดน
ประคองแขน จับมือ คือรักเธอ
แม้บางวัน มีบ้าง อาจทะเลาะ
ฉันยิ้มเยาะ เธอยิ้มหยัน กันเสมอ
แต่สุดท้าย ที่เราพบ ที่เราเจอ
มันก็คือ ฉันและเธอ เผลออารมณ์
ยิ่งนานวัน เราสอง ยิ่งใกล้ชิด
ห่างเพียงนิด เหมือนรอยแผล เป็นสะสม
เปรียบดังโดน มีดโกนน้อย ที่แสนคม
บาดลึกจม ที่ตรงกลาง หว่างหัวใจ
เมื่อแรกรู้ ว่าคนรัก ต้องไกลห่าง
ใครรู้บ้าง ทั้งสองข้าง น้ำตาไหล
หยดน้อยน้อย ปล่อยรินท่วม ทั้งดวงใจ
หวังจะให้ ช่วยชะล้าง ความทรงจำ
เวลาผ่าน เนิ่นนาน ไม่เห็นหน้า
อยากจะรู้ เพียงแค่ว่า เธออยู่ไหน
จะรอคอย อย่างเดียวดาย ตลอดไป
แต่ต้องรอ ถึงเมื่อไร ไม่รู้เลย
ถึงวันนี้ น้ำตาแห้ง จนเหือดหาย
ความเหงาคลาย เปลี่ยนเป็นเรียบ และเงียบเฉย
ไม่รู้ร้อน ไม่รู้หนาว ไม่เหมือนเคย
รอความรัก เจ้าเอย คืนกลับมา