วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โรคระบาด

เช้าวันนี้ผมได้ยินข่าวร้ายซึ่งผมไม่เคยเตรียมใจรับข่าวแบบนี้ไว้ก่อนเลยสักนิด รัฐบาลประกาศในโทรทัศน์ว่าโรคที่ผมกำลังเป็นอยู่เป็นโรคระบาดที่ขณะนี้กำลังแพร่กระจายอย่างน่าเป็นห่วงไปทั่วทั้งกรุงเทพ ผมไม่ได้ฟังข่าวตั้งแต่แรกแต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าเชื้อร้ายนี้มาพร้อมกับหน้าหนาวในช่วงส่งท้ายปีแทบจะทุกปีและบางปียังลามไปจนถึงช่วงต้นปีเสียด้วยซ้ำ แต่ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อมีจำนวนไม่มากและมักจะรักษาหายได้ไม่ยาก แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน



อาการของผมเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงต้นพฤศจิกายนโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำในช่วงแรก แต่เพื่อนๆและคนใกล้ชิดทุกคนช่วยกันยืนยันว่า “ผมไม่เหมือนเดิม” ซึ่งผมมารู้ในตอนหลังว่าช่วงเวลานั้น ผมมักจะชวนเพื่อนๆไปกินข้าว ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะหรือทำกิจกรรมร่วมกันอยู่หลายครั้ง อีกทั้งเมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็ยังใช้เวลาในการออนไลน์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากกว่าที่เคยทำ จนกระทั่งบางครั้งผมถึงกับหลับคาจอคอมพิวเตอร์ไปเลยก็เคยมี พอเวลาล่วงเข้าสู้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ผมเองเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองแปลกไปอย่างที่คนอื่นว่าไว้จริงๆเมื่อผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องพัก “ผมอยากเจอใครสักคนที่รอผมอยู่”



ลึกๆผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะไม่มีคนๆนั้นเมื่อผมเปิดประตู เพราะว่าผมพักอยู่ที่ห้องนี้คนเดียวอีกทั้งก่อนจะออกไปทำงานผมก็ล็อคประตูไว้อย่างแน่นหนา เอาจริงๆถ้าผมเปิดประตูไปเจอใครผมก็คงจะตกใจและอาจจะวิ่งหนีไปจากห้องในวินาทีนั้นเลยก็เป็นได้ แต่ผมก็ยังหวังลึกๆว่าวันนึงผมจะเจอคนๆนั้น คนที่รอผมอยู่ที่ห้องพัก



บางครั้งมันก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมในช่วงหน้าร้อนหรือหน้าฝน ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้ ในช่วงแรกผมก็ไม่ได้แปลกใจกับอาการเหล่านี้เท่าไรเพราะคิดว่าอากาศหนาวคงจะเป็นต้นเหตุเหมือนทุกครั้ง แต่แล้วผมก็ต้องวิตกกังวลกับอาการของผมมากขึ้น เมื่อบางครั้งผมถึงกับต้องขอร้องให้เพื่อนสนิทคุยโทรศัพท์อยู่กับผมจนกว่าผมจะหลับไปก่อนด้วยเหตุผลง่ายๆว่าผมไม่อยากนอนคนเดียว และอาการมันเริ่มจะร้ายแรงเมื่อผมรู้ตัวอีกที เพื่อนคนนั้นก็มานอนเป็นเพื่อนผมที่คอนโดอยู่เป็นอาทิตย์ๆ



การตัดสินใจมาทำงานที่กรุงเทพคนเดียวทำให้ผมเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับความรู้สึกอ้างว้างบ้างเป็นบางครั้งในช่วงแรกๆ แต่ผมก็คิดว่าเมื่อทำงานได้สักพัก ผมจะเริ่มมีเพื่อนร่วมงาน และเมื่อวันเวลาทำให้เราสนิทกันผมก็จะไม่รู้สึกอ้างว้างแบบนั้นอีก หรือนอกเหนือจากนั้นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่ห่างไกลพ่อแม่หรือเพื่อนเก่าอย่างใดเลย เราสามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะด้วยเทคโนโลยีรูปแบบไหน แต่พูดก็พูดเถอะ พอย่างเข้าต้นเดือนธันวาคม ไม่ว่าอะไรก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก



“ฉันเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก” ฉันคิดอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาถึงที่นี่ ใครต่อใครต่างพูดกันว่าผู้ใดเบื่อลอนดอน ผู้นั้นเบื่อชีวิต แต่ฉันอยากจะถามคนพวกนั้นเหลือเกินว่า ถ้าคุณอยู่ตัวคนเดียวในลอนดอนและไม่สามารถสื่อสารกับทุกคนรอบตัวได้ คุณจะเบื่อลอนดอนไหม



ปลายเดือนตุลาคมฉันได้ฤกษ์บินมาเรียนต่อที่ลอนดอนเสียทีหลังจากตั้งใจมานาน ใครหลายคนบอกว่าที่นี่คนไทยเยอะไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่คนเดียว แต่สาบานว่าผ่านไปอาทิตย์แรกฉันแทบอยากจะกระโดดตบหน้าคนพูดอย่างสุดขีด



ฉันไม่รู้จักใครและไม่พบคนไทยสักคนที่จะมาช่วยทำให้ฉันไม่ต้องรู้สึกว่าอยู่คนเดียวในโลก แต่อย่างที่คุณรู้กันว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่มันทำให้ฉันไม่รู้สึกแย่เท่าที่ควรจะเป็น เพราะว่าอย่างไรฉันก็ติดต่อกับคนอื่นๆที่อยู่ที่ประเทศไทยได้ แต่เมื่อหิมะมาเยือนลอนดอนอย่างรวดเร็วกว่าปกติในกลางเดือนพฤศจิกายน ร่างกายและจิตใจของฉันก็เปลี่ยนไป วันเวลาที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ฉันพอที่จะมีเพื่อนอยู่บ้างในชั้นเรียน แต่เมื่อใดก็ตามที่สมองของฉันมีเสี้ยววินาทีที่ว่างเปล่า บางสิ่งบางอย่างมันมักจะพาฉันดำดิ่งลงไป ลึกลงไป เข้าไปจนถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ และในส่วนลึกที่สุดนั้นมันก็มีเพียงฉันคนเดียวที่อยู่ในโลกใบนั้น



ฉันนั่งมองหิมะนอกหน้าต่างสลับกับมองปฏิทินและเจ้าปฏิทินผู้ซื่อสัตย์ก็บอกฉันว่าอาการที่ฉันเป็นนั้น ฉันเป็นมาหนึ่งเดือนเต็มๆแล้ว และในขณะนี้ซึ่งเพิ่งจะต้นเดือนธันวาคม ฉันแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อคิดว่ากว่าที่ฉันจะได้กลับประเทศไทยครั้งแรกก็อีกเกือบหนึ่งเดือนเต็มซึ่งมันนานพอที่จะทำให้บางสิ่งบางอย่างมันกร่อนหัวใจของฉันจนมันอาจจะไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะกลับประเทศไทย



ฉันไม่คิดเลยว่าโรคที่ระบาดอยู่ที่ประเทศไทยขณะนี้จะติดมาถึงฉันที่อยู่ถึงลอนดอนด้วย อาการที่แพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงนั้นมันคืออาการของฉันชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นการคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวในโลก ไม่ว่าจะเป็นอาการที่จะต้องมีใครก็ได้อยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา หรืออาการเหม่อลอยตลอดเวลาที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ทั้งหมดนั้นเป็นอาการของโรคระบาดดังกล่าวและที่แย่ที่สุด ฉันมีอาการแบบนั้นนับตั้งแต่บินมาจากประเทศไทยจนกระทั่งวันนี้ในต้นเดือนธันวาคม



หมอบอกผมว่าผมควรจะงดฟังเพลงลงบ้างเพราะมันจะยิ่งทำให้อาการของผมหนักขึ้น ทำอย่างไรได้ล่ะเวลาที่ผมอยู่คนเดียวแล้วอาการมันกำเริบผมก็พยายามที่จะหาอะไรมาทำให้มันบรรเทาลง และด้วยความเคยชินผมก็มักจะเปิดวิทยุทิ้งไว้ แต่แล้วไอ้วิทยุเจ้ากรรมมันก็มักจะปล่อยเพลงบางเพลงที่คนฟังชอบขอเหลือเกินในช่วงหนาวๆปลายปีแบบนี้ แล้วไอ้เพลงแบบนั้นมันทำให้อาการของผมกำเริบจนบางครั้งแทบอยากจะกลั้นใจนอนตายหน้าวิทยุ แต่พูดก็พูดเถอะ ผมเริ่มเสพย์ติดอาการเจ็บปวดแบบนั้นเสียแล้ว



หมอที่ผมไปหาท่านบอกว่าขณะนี้หมอทั้งประเทศไทยก็กำลังร่วมกันหาทางแก้ไขและป้องกันโรคระบาดตัวนี้อยู่ แต่ทุกสิ่งที่ทดลองนั้นไม่เกิดผลเลยสักนิด จะยาฉีด ยากิน ก็ไม่สามารถทำให้อาการทุเลาลงได้อีกทั้งล่าสุดมีข่าวว่าคนไข้บางรายที่มีอาการมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนและไม่สามารถหาทางรักษาได้นั้น บางคนตัดสินใจฆ่าตัวตาย



“ฆ่าตัวตาย” ฉันไม่อยากได้ยินคำนี้ในหัวเลยสักนิดแต่มันก็ดังขึ้นตลอดเวลาในช่วงที่อาการของโรคนี้มันกำเริบ บางครั้งฉันคิดว่าการดูหนังหรืออ่านหนังสือจะช่วยทำให้โลกที่ลอนดอนของฉันน่าอยู่ขึ้นมาบ้าง แต่บทสรุปที่ฉันทดลองมาด้วยความอดทนก็เผยออกมาว่า สิ่งเหล่านั้นมันทำให้ฉันแย่ลงไปอีก ความรู้สึกบางอย่างของตัวละครมันส่งตรงมาถึงฉัน และเมื่อฉันเห็นแววตาของตัวละครเหล่านั้นที่รู้สึกเหมือนกับฉัน มันเหมือนจะทำให้อาการของฉันแย่ลงไปอีกแบบทวีคูณ



ฉันตัดสินใจว่าจะกลับไปรักษาตัวที่ประเทศไทยดีกว่าที่จะทนอยู่ที่นี่ เพราะดูแล้วว่าอาการไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยไม่ว่าจะผ่านปาร์ตี้ฉลองไปแล้วกี่รอบ เพราะเมื่องานฉลองเลิกราเมื่อใด อาการดังกล่าวก็เข้าครอบงำหัวใจของฉันจนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร และถ้าฉันไม่ตัดสินใจที่จะกลับไปรักษา ฉายาเจ้าแม่ปาร์ตี้คงจะได้มาประดับบารมีฉันเป็นแน่



ผมตัดสินใจเดินทางกลับต่างจังหวัดมาหาพ่อกับแม่และญาติพี่น้อง ผมแปลกใจที่คนที่นี่ไม่มีอาการของโรคที่ผมเป็นเลยสักนิด ทุกคนดูสดใส ดูมีชีวิตชีวา หรือว่าโรคบ้านี่มันจะคอยกัดกินแต่คนในกรุงเทพกันนะ



ผมแทบจะคิดว่าผมหายจากอาการบ้าบอนี้แล้วเมื่อผมกลับมาหาพ่อกับแม่ แต่แล้วเมื่อช่วงเวลาค่ำคืนมาถึง เมื่อพ่อกับแม่ขอตัวไปนอนพักผ่อน เมื่อผมอยู่ในห้องนอนโดยลำพังและมีเพียงพระจันทร์สีนวลเป็นเพื่อนรู้ใจ อาการดังกล่าวก็กำเริบเสียจนผมแทบจะต้องวิ่งออกจากห้องไปฆ่าตัวตายกลางแสงจันทร์



ฉันคิดว่าการกลับมารักษาตัวที่เมืองไทยน่าจะดีกว่าแต่แล้วหมอที่นี่ก็ทำให้ฉันผิดหวังเมื่อรู้ว่ามันยังไม่มีวิธีรักษา แต่จะว่าไปการได้เจอกับพ่อแม่และญาติพี่น้องมันก็ทำให้อาการของฉันดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แต่มันก็แค่ตอนที่ยังไม่พ้นแสงอาทิตย์เท่านั้นเอง

จากเรื่องของเพลง หนัง หนังสือ ที่ฉันรู้มาว่าต้องหลีกเลี่ยง ความมืดก็เป็นอีกอย่างที่ฉันเพิ่งได้รู้เดี๋ยวนี้ว่า มันมีผลข้างเคียงทำให้คนที่เป็นโรคอย่างฉัน อาจจะตัดสินใจฆ่าตัวตายได้โดยไม่ทันตั้งตัวเลยก็เป็นได้แต่ก็อย่างที่คุณรู้ ถึงแม้จะอยู่ในห้องและเปิดไฟไว้ตลอดเวลา เสี้ยวหนึ่งในใจคุณก็รู้อยู่เสมอว่าด้านนอกมันมืดมิดเพียงใด



ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าสาเหตุของโรคมันไม่น่าจะเกิดจากการที่คนรักของผมตัดสินใจไปเรียนเมืองนอก แต่จนกระทั่งผมลองทุกวิธีแล้วก็ยังไม่สามารถจะรักษาอาการอ้างว้างอย่างเลวร้ายที่ผมเป็นอยู่นี้ได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะบินไปหาเธอที่ต่างประเทศดูสักครั้งเผื่อว่าอาการมันจะดีขึ้นบ้าง



ผู้ชายบ้า กว่าที่เขาจะตัดสินใจบินมาเยี่ยมฉัน ฉันก็บินกลับมาหาพ่อแม่ที่เมืองไทยเสียแล้ว คราแรกฉันก็คิดว่าจะนัดเจอเขาสักหนึ่งวันเผื่อว่าไอ้โรคบ้านี้มันจะดีขึ้นบ้าง แต่พูดก็พูดเถอะ การที่ประเทศไทยไม่มีหิมะมันก็ช่วยให้อาการฉันดีขึ้นบ้างนะ ว่าถึงเรื่องคนรักของฉันอีกครั้งว่าสุดท้ายแล้วฉันก็ไม่สามารถนัดเจอเขาได้เพราะว่าเวลาที่ฉันกลับมาเยี่ยมบ้านได้มันจำกัดจนทำให้โปรแกรมมันแน่นเสียจนฉันไม่มีเวลาให้เขา แต่พอฉันได้รับโทรศัพท์จากเขา ฟังเขาพูดถึงเรื่องของโรคที่เขาเป็น เสี้ยววินาทีนั้น ฉันคิดว่าเราเป็นโรคเดียวกัน



กระทรวงสาธารณสุขประกาศทางโทรทัศน์อีกครั้งว่า โรคดังกล่าวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ทางกระทรวงคิดค้นวิธีป้องกันไม่ให้ติดโรค หรือไม่ให้อาการกำเริบออกมาได้แล้ว โดยประชาชนสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด



สิ้นเดือนธันวาคม คนกรุงเทพมากมายเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง “กอด” กันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่อายสายตาของคนมากมายที่กำลังมองอยู่สักนิดราวกับเขาทั้งคู่กำลัง “กอด” กันเพื่อบำบัดโรคอะไรบางอย่างที่มาพร้อมกับลมหนาวในช่วงปลายปี

ปริมาณความคิดถึง

ปริมาณความคิดถึง = (ระยะห่างระหว่างกัน + ข้อแม้ในการเดินทางมาพบกัน) x ปริมาณความรักที่แท้จริง

อธิบายได้ง่ายๆว่า ถ้าระยะห่างระหว่างคู่รักไม่มากหรือไม่ไกลแต่ว่ามีข้อแม้ที่ทำให้ไม่สามารถมาพบเจอหรือพูดคุยกันได้ก็จะทำให้ปริมาณความคิดถึงมากขึ้นได้เช่นกัน ในแง่เดียวกันถึงแม้จะไม่มีข้อแม้ในการเดินทางมาพบกันแต่ระยะห่างระหว่างกันก็จะกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ปริมาณความคิดถึงเพิ่มมากขึ้นได้เช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วปริมาณของความคิดถึงจะเพิ่มทวีคูณขึ้นอันเนื่องมาจากปริมาณความรักที่แท้จริง โดยปริมาณความรักที่แท้จริงคำนวณได้จาก

ปริมาณความรักที่แท้จริง = ปริมาณความรักที่รู้สึกได้ในปัจจุบัน/ช่วงเวลานับจากที่เริ่มคบกัน

เราไม่สามารถใช้ปริมาณความรักที่รู้สึกได้ในปัจจุบันมาคำนวณเพราะว่าปกติปริมาณความรักที่รู้สึกได้จะแปรผกผันกับช่วงเวลานับจากที่เริ่มคบกันคือยิ่งคบกันนานเท่าไรก็จะยิ่งรู้สึกว่ารักกันน้อยลงเท่านั้น แต่การน้อยลงนั้นมันเป็นธรรมชาติของความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเราจึงต้องนำส่วนนี้มาคิดคำนวณหาปริมาณความรักที่แท้จริง

ช่วงเวลานับจากที่เริ่มคบกัน = นับเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเวลาที่ตกลงว่าจะดูแลซึ่งกันและกัน ไม่นับช่วงเวลาที่ทำความรู้จักกัน

ช่วงเวลาที่เรานำมาคำนวณจะเริ่มนับจากตอนที่ตกลงกันนั่นหมายความว่าถ้าดูตามสมการ ถ้าเราใส่ช่วงเวลาที่คบกันเป็นศูนย์ ไม่ว่าปริมาณความรักที่รู้สึกได้ในปัจจุบันจะมากเท่าไร ปริมาณความรักที่แท้จริงก็จะไม่สามารถคำนวณได้ เพราะว่าตอนที่ชายและหญิงยังไม่ตกลงคบกันทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปริมาณที่ไม่สามารถนำมาคำนวณได้ทั้งนั้น (ไม่ใช่ปริมาณที่แท้จริง)

สมการรัก

(1)“ปริมาณคำพูดที่ออกมาจากปากผู้หญิงจะแปรผันตรงกับระยะเวลาของความสัมพันธ์ (ใช้ได้ตลอดช่วงชีวิต)” ถอดความหมายของสมการนี้ให้เข้าใจง่ายๆได้ว่าในขณะที่ผู้ชายเริ่มไปจีบผู้หญิง ผู้หญิงจะพยายามพูดน้อยถึงน้อยที่สุดเพราะรู้ดีว่า

(2)“ปริมาณของคำพูดที่ทำให้ผู้ชายรู้สึกดีจะแปรผันตรงกับความหวังที่ผู้ชายคนนั้นๆใช้ในการเป็นแรงบันดาลใจในการจีบต่อไป” นั่นหมายความว่าถ้าพูดมากจนเกินไปแล้วไม่รู้ตัวว่าได้ไปให้ความหวังกับผู้ชายเหล่านั้นไว้ วันหนึ่งพอจะสลัดทิ้งผู้ชายเหล่านั้นก็จะเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะผู้ชายเหล่านั้นมีความหวังเรืองรองในการที่จะได้ครอบครองผู้หญิงคนนั้นๆแล้ว

และถ้ามองสมการที่(1) ในแง่ของความสัมพันธ์หลังจากตกลงที่จะดูแลกัน (คบกันเป็นแฟน) เมื่อระยะเวลาของความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้นก็จะส่งผลให้ปริมาณคำพูดที่ออกมาจากปากผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งใดเคยเห็นและเก็บไว้ในใจได้ก็จะเริ่มยากลำบากมากขึ้นในการที่จะเก็บความรู้สึกเอาไว้และนั่นจะเป็นผลให้คำพูดจะออกมาจากปากมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ และนี่จะส่งผลให้เราสามารถเขียนสมการได้อีกอันหนึ่งว่า

(3)“ปริมาณความหงุดหงิดและอารมณ์เสียของผู้ชายแปรผันตรงกับปริมาณคำพูดที่เพิ่มมากขึ้นของผู้หญิงภายหลังจากที่ตกลงเป็นแฟนกันและปริมาณความหงุดหงิดจะเริ่มต้นเมื่อปริมาณคำพูดนั้นมากจนเลยจุดเกรงใจของผู้ชายคนนั้นๆ” (จุดเกรงใจขึ้นอยู่กับผู้ชายแต่ละคน) ทีนี้ถ้าเรามองในส่วนของผู้ชายสมการที่เราได้จะแตกต่างกับผู้หญิงโดยสมการจะว่าด้วย

(4) “ปริมาณคำพูดที่ออกมาจากปากผู้ชายจะแปรผกผันกับระยะเวลาของความสัมพันธ์ (ใช้ได้จนถึงช่วงวัยทองเท่านั้น)” อธิบายได้ว่า ถ้านับตั้งแต่แรกรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งไปจนถึงใช้ชีวิตร่วมกันไปจนแก่เฒ่า ถ้าเราตัดช่วงวัยทองออกไปไม่นำมาคิดรวม เราจะสามารถเข้าใจได้ว่าผู้ชายจะพูดมากที่สุดในช่วงที่เริ่มจีบผู้หญิงคนหนึ่ง โดยคำพูดต่างๆที่ออกจากปากก็จะเป็นไปเพื่อแสดงออกถึงข้อดีของตัวเองและยังหวังผลว่าฝ่ายหญิงจะพูดโต้ตอบออกมาในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ หรือเขียนสมการเฉพาะในส่วนนี้ได้ว่า

(5)“ปริมาณคำพูดที่ออกมาจากปากผู้ชายในขณะจีบจะแปรตามความต้องการที่จะได้ครอบครองผู้หญิงคนนั้นๆ” และเมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายหญิงพูดโต้ตอบออกมามากขึ้นและหลงพูดคำใดๆที่เป็นการให้กำลังใจหรือทำให้รู้สึกดีก็จะสามารถนำไปตีความเข้ากับสมการที่ (2) ได้ทันที

และจากสมการที่ (4) และ (5) ยังอธิบายได้อีกว่า เมื่อผู้ชายได้ครอบครองผู้หญิงคนนั้นๆแล้ว ปริมาณคำพูดที่ออกจากปากจะน้อยลงไปเรื่อยๆตามช่วงเวลาของความสัมพันธ์จนกระทั่งอาจจะเหลืออยู่ไม่กี่คำต่อวันถ้าได้แต่งงานและใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน (ไม่มีความต้องการครอบครองเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย)

เมื่อเราจินตนาการได้แล้วว่าปริมาณคำพูดของผู้ชายจะน้อยลงเรื่อยๆเมื่อระยะเวลาของความสัมพันธ์มากขึ้น เราจึงจะมาว่ากันต่อถึงผู้ชายวัยทองกันบ้างโดยหลังวัยทองของผู้ชาย เราสามารถเขียนสมการได้ว่า (6)“ปริมาณของความฉุนเฉียวและอารมณ์เสียของผู้หญิงจะแปรผันตรงกับปริมาณคำพูดที่ออกมาจากปากผู้ชายวัยทอง”

อธิบายได้ง่ายโดยอ้างอิงจากสมการที่ (4) และ (5) ซึ่งผู้ชายจะพูดมากที่สุดในช่วงเวลาที่ต้องการจะได้ผู้หญิงคนนั้นมาครอบครองและเมื่อผู้หญิงตกลงที่จะมีความสัมพันธ์ร่วมกัน (ยอมให้ผู้ชายครอบครอง) ผู้ชายคนนั้นก็จะลดปริมาณคำพูดลงเรื่อยๆตามระยะเวลาของความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นจนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นๆเริ่มชินและไร้ความรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อถึงวัยทอง ปริมาณคำพูดของชายคนดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้นในแบบก้าวกระโดด (ส่วนมากจะเป็นการดุด่าว่ากล่าว) นั่นทำให้ผู้หญิงจะเสียสมดุลในการฟังเนื่องจากไม่ได้รับฟังคำพูดใดๆจากผู้ชายมาเป็นเวลานานและจะแปลงค่าคำพูดดุด่าเหล่านั้นไปเป็นอารมณ์ฉุนเฉียวในที่สุด

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เมื่อเราสอง มองมุมสูง

มนุษย์ทุกชีวิตต่างเฝ้าไขว่คว้าหาทางพาชีวิตตัวเองขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน เหตุผลเพียงเพราะเชื่อว่าการมองลงมาจากจุดสูงสุดเป็นความสุขที่ประเมินค่าไม่ได้ที่มนุษย์ทุกคนสมควรจะได้สัมผัสสักครั้งในชีวิต แน่นอนว่าการก้มมองและแหงนมองย่อมจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันมากและสำหรับคราวนี้เราสองคนเลือกที่จะก้มมองลงมาจากมุมสูงดูบ้างเผื่อว่ามุมมองที่แตกต่าง จะทำให้ชีวิตของเราหลังจากนี้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง

ถ้าพูดถึงราชบุรี แววตาของคนฟังอาจจะยังราบเรียบไร้ความรู้สึก แต่ถ้าขมวดปมให้แคบยิ่งกว่านั้น “สวนผึ้ง” เราเชื่อว่าหน้าต่างของหัวใจทุกดวงจะเปลี่ยนแปลงไปในทันทีที่ได้ยิน

คำว่าสวนผึ้งไม่ใช่คำใหม่สำหรับพวกเราทั้งสองเพราะจะว่าไป เพื่อนๆและคนรู้จักมากมายต่างก็แวะไปสร้างความสนิทสนมกับสวนผึ้งกันมาแล้วแทบจะทุกคน นั่นทำให้บางห้วงคำนึงเราสองคนเองก็หลงนึกไปว่าเราสนิทสนมกับสวนผึ้งไปด้วย และเมื่อการไปเยือนสวนผึ้งจบสิ้นลงเราไม่เสียใจแม้สักนิดที่เคยหลงสนิทชิดเชื้อ เพราะสุดท้ายแล้ว “สวนผึ้ง” ก็ได้ใจของพวกเราไปจริงๆ

ด้วยความที่เราเป็นนักท่องเที่ยวประเภทที่ไม่นิยมการทำกิจกรรมใดๆทั้งสิ้นและเน้นการพักผ่อนที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวเพราะฉะนั้นห้องพักที่เราเลือกย่อมต้องมีเสน่ห์และน่าค้นหาเพื่อรองรับการใช้เวลาส่วนใหญ่ที่มักจะหมดไปกับการนั่งชมวิวจากตัวห้องโดยไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น

ก่อนหน้านี้ ถ้าจะพูดถึงการมองจากมุมสูงหรือการพักผ่อนท่ามกลางอ้อมกอดอุ่นๆของขุนเขา เราสองคนมักคิดไปไกลถึงการเดินทางขึ้นไปทางภาคเหนือของประเทศแต่แล้วเราก็ได้รู้ว่าสวนผึ้งตอบโจทย์ของเราได้โดยไม่ต้องเดินทางห่างจากเมืองหลวงไปไกลถึงขนาดนั้น

ด้วยทิวทัศน์ที่มีให้ชมความสวยงามในรูปของหมอกในยามเช้า อีกทั้งภาพวาดบนท้องฟ้าที่พระอาทิตย์แสดงให้ชมทั้งในช่วงของการมาและลาจากไปจากท้องฟ้า ไหนจะความงามที่มาในรูปแบบของเสียง เสียงจากธรรมชาติที่ไม่สามารถหาฟังได้ในป่าคอนกรีตที่เราอาศัย ด้วยทุกสิ่งที่พูดถึงนี้ เราสองคนโชคดีที่ได้พบโดยไม่ต้องเดินทางออกจากห้องพักแต่อย่างใด

การนอนแช่ตัวในอ่างปล่อยตัวเองให้น้ำอุ่นโลมเล้า พร้อมทั้งปิดประสาทรับรู้ทางการมองเห็นและน้อมรับความงามทางกลิ่นที่มาให้รูปของเทียนหอมต่างๆ เพียงเท่านี้ก็ดูจะสุนทรีย์ในอารมณ์มากพอแล้ว เพราะฉะนั้นขอละไว้ไม่พูดถึงภาพของยอดเขาอีกทั้งทิวไม้นานาพันธุ์ที่ปรากฏด้านนอกหน้าต่างในขณะที่ใช้เวลาให้สายน้ำบำบัดความเหนื่อยล้าที่พบมาจากเมืองหลวง เพียงเพื่อไม่ให้ใครต่อใครอิจฉาเราสองคน

การแช่ตัวในบ่อน้ำร้อน ในน้ำตก การให้อาหารสัตว์สุดฮิตในสวนผึ้งอย่างเจ้าแกะขนปุยรวมทั้งการขับขี่ ATVคู่ใจ เป็นกิจกรรมน้อยๆที่เราแบ่งเวลาให้บ้างเพื่อไม่ให้สำลักความสุขในแง่ของการมองมุมสูงมากจนเกินไป และถึงแม้เราจะใช้เวลาใกล้ชิดธรรมชาติในที่พักเสียส่วนใหญ่แต่ก็ไม่ลืมที่จะพาน้องมะลิคู่ใจควบตะบึงชมธรรมชาติและรีสอร์ทสวยที่ร่วมกันสร้างความเป็น “สวนผึ้ง” ให้เป็นที่เลื่องลือจนผู้คนมากมายต้องเดินทางมาเยี่ยมเยือน

ถึงแม้เราสองคนจะตอบตัวเองได้ว่าได้ใช้เวลาในการมองจากจุดสูงสุดลงมามากเพียงพอแล้ว แต่บอกได้เลยว่าด้วยที่พักที่จัดได้ว่า “เอาอยู่” มันทำให้หัวใจของเราร่ำร้องถึงการกลับมาเยือนอีกครั้งแทบจะในวินาทีเดียวกันกับที่เราสืบเท้าก้าวออกมาจากที่นั่น จะด้วยการเสพติดบรรยากาศหรือความรู้สึกของการอยู่ในจุดสูงสุดที่แสนจะพิเศษก็ตาม แต่หลังจากการไปเยือนสวนผึ้งครั้งนี้เราสองคนเพียงสบตากันก็เข้าใจแล้วว่าคงอีกไม่นานเราทั้งสองน่าจะได้มองมุมสูงกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในถนนราดยางหรือถนนชีวิตของเราสองคนก็ตาม