วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

รวมเรื่องสั้น 1.เราทุกคนต่างมีทะเลเป็นของตัวเอง

เราทุกคนต่างมีทะเลเป็นของตัวเอง

"เราทุกคนต่างมีทะเลเป็นของตัวเอง” คุณเชื่อผมไหม

บอยไม่ใช่เจ้าสัวที่สามารถจะใช้เงินจับจองทะเลทั้งผืนมาเป็นของตัวเขาเองได้ และเช่นกันเด็กหนุ่มที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายคนนี้ก็ไม่ใช่ไฮโซที่จะเนรมิตทะเลขึ้นมาที่สวนหลังบ้านของเขาได้ แต่วันหนึ่งถ้าคุณมีโอกาสไปทะเลด้วยกันกับเขา คุณอาจจะเบื่อที่นายบอยเขานั่งๆนอนๆมองทะเลทั้งวัน "มาทะเลทำไมถ้าไม่เล่นน้ำทะเล" นั่นเป็นตัวอย่างประโยคที่มันอาจจะออกมาจากคุณด้วยความเบื่อหน่าย แต่ถ้าบอยนั่งมองทะเลคนเดียวได้ คุณเองก็ควรจะเล่นน้ำทะเลคนเดียวได้มิใช่หรือ "ก็ในเมื่อนั่นมันคือทะเลของคุณ ทะเลซึ่งมีไว้สำหรับลงเล่นน้ำ" บอยคงจะตอบคุณแบบนั้น แต่คำตอบนั้นคงจะออกมาจากสายตาไม่ได้ออกมาเป็นก้อนคำพูดแต่อย่างใด เพราะบอยไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรกับใครแบบนั้น

ใครบางคนชอบปีนเขา แต่จะมีความสุขที่สุดถ้าระหว่างปีนนั้นหันหน้ามองออกมาแล้วเห็นทะเลกว้างใหญ่ ใครบางคนชอบนอนให้คนอื่นนวดตัว แต่จะสุขเป็นสองเท่าถ้าระหว่างที่นอนคว่ำนั้นเงยหน้ามองไปแล้วเห็นผืนน้ำเค็มกว้างใหญ่อยู่ตรงหน้า บางคนชอบกินไก่ย่างส้มตำ ซึ่งในความเป็นจริงน่าจะเป็นอาหารอีสาน และอย่างที่ทุกคนรู้ ภาคอีสานไม่มีทะเล แต่ก็อย่างที่พวกคุณก็รู้เช่นกัน ทะเลทุกที่มีส้มตำไก่ย่าง และพวกคุณบางคนก็ชอบกินส้มตำริมทะเล ส่วนบอยเขาไม่ชอบปีนเขา ไม่ชอบนอนให้ใครนวดตัว ไก่ย่างส้มตำนั้นอาจจะมีบ้างแต่ไม่ควรถูกจัดอยู่ในประเภทของอาหารที่เขาโปรดปราน นอกจากที่กล่าวไป ยังมีทะเลในอีกหลากหลายรูปแบบที่ผู้คนต่างหลงใหล จะเป็น ดำน้ำ ถ่ายรูป กินเหล้า เมารัก อะไรก็แล้วแต่ล้วนใช้ทะเลเป็นส่วนผสมได้แทบทั้งนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ทะเลของบอยอีกตามเคย สิ่งที่เขาทำมีเพียงหนังสือดีๆสักเล่ม และนั่งละเลียดมันริมชายหาดรวมถึงแบ่งเวลาฟังเสียงคลื่นและมองออกไปไกลที่เส้นขอบฟ้า เส้นขอบที่ถือวิสาสะแบ่งฟ้าและทะเลออกจากกันโดยไม่รู้ว่าได้รับอนุญาตจากใครหน้าไหนกันแน่

ถ้าเปรียบชีวิตเป็นอาหารมื้อใหญ่ ทะเลก็ไม่ต่างจากผงชูรสหรือน้ำปลาพริก ที่ช่วยเติมรสชาติให้กับชีวิต
ผิดกันแต่ว่าใครก็รู้ว่าผงชูรสนั้น ถ้าร่างกายได้รับมาเยอะจนเกินไปมันอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี และอีกทางถ้าเป็นน้ำปลาพริกตักราดมากไปอาจจะเผ็ดหรือเค็มจนทนกินต่อไม่ได้ แต่ถ้าเป็นทะเล มันไม่มีผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด และถึงแม้จะเค็ม แต่บอยก็ไม่เคยลังเลที่จะละเลงมันลงบนจานอาหารแห่งชีวิตของเขาเลยสักครั้ง

และด้วยความที่เขาไม่เคยลังเล นั่นเป็นสาเหตุที่บอยต้องมาที่คลินิกจิตเวชแห่งนี้ เขามาหาจิตแพทย์เพราะคิดว่าตัวเองเป็นโรคทางจิตบางอย่าง “โรคติดทะเล” จริงๆมันอาจจะมีชื่อทางการแพทย์ที่ดูดีกว่านี้แต่เขาก็ไม่รู้จัก เขาคิดว่าเขาเสพติดมันเหมือนผู้คนมากมายเสพย์ยาเสพติด เขากลัวว่าวันนึงมันจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่สิ น่าจะเป็นจิตใจต่างหาก เขาตอบไม่ได้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เขาเริ่มรู้สึกว่าขาดมันไม่ได้ เขาขาดทะเลไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ

“เล่าอาการของคุณให้หมอฟังหน่อยสิ” คุณหมอมองเขาผ่านเลนส์ เลนส์ที่ทำหน้าที่วินิจฉัยผู้คนมานับร้อยนับพัน อะไรกันนะที่ทำให้เขามีความสุขกับวิชาชีพที่จะคอยตัดสิน ว่าคนไหนบ้า คนไหนดี
“ผมชอบไปทะเล” บอยตอบสั้นๆ พร้อมทั้งมองตาหมอ แววตาของบอยในตอนนี้ ถ้าคุณได้เห็น คุณอาจจะเชื่อในทันทีว่าเขากำลังเป็นโรคจิตแล้วจริงๆ
“ขยายความหน่อยสิครับ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมหน่อย ชอบอย่างไร ชอบไปทำอะไร”
“ผมทำงานที่ค่อนข้างจะใช้ความคิด ในช่วงเลิกงานบางครั้งหรือเรียกได้ว่าส่วนใหญ่ ผมไม่สามารถตัดก้อนความคิดเรื่องงานที่วนเวียนอยู่ในหัวผมออกไปได้ บางครั้งเสาร์อาทิตย์ที่ต้องเอางานกลับมาทำบ้าน สมองผมยิ่งถูกใช้งานหนักไปกันใหญ่ และทะเลเป็นที่เดียวที่จะทำให้ผมลืม ลืมทุกอย่าง” บอยพรั่งพรูหลายสิ่งหลายอย่างออกมาด้วยแววตาที่ยังคงนิ่งและไม่สบตาหมอ เขาไม่ค่อยได้เล่าอะไรให้ใครฟัง จนบางครั้งคนภายนอกมองว่าเขาเก็บกด บางทีเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าคนสมัยนี้จะยินดีอะไรกันหนักหนาในการเปิดเผยทุกอย่างของตัวเองให้ทุกคนรู้ ไม่รู้สิ นั่นไม่ใช่เขาแน่ๆ
“คุณมีแฟนไหม” คุณหมอถามคำถามที่ดูจะนอกเรื่องไปสักนิด
บอยยังคงทำหน้านิ่งและมองไปที่หน้าต่าง ด้านนอกของคลินิกมีผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมา คลินิกนี้ตั้งอยู่ชานเมืองนนทบุรี แต่ด้วยความที่ถัดจากคลินิกไปไม่ถึง 500 เมตร มีตลาดขนาดใหญ่วางตัวอยู่ที่นั่น เหตุนี้จึงทำให้ผู้คนมากมายเดินผ่านหน้าคลินิก บอยเฝ้าแต่สงสัย ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีเพียงเขาหรือที่เป็นโรคบ้าๆนี้ เขาใช้เวลาเหม่อมองปล่อยให้สมองลอยออกไปนอกหน้าต่างอยู่สักพัก บางอย่างก็ออกมาจากปากของเขา และสิ่งเหล่านั้นส่งตรงมาจากจิตใจโดยไม่มีอะไรกรอง
“ผมเคยมี”
“ถ้าไม่รังเกียจ เล่าให้ผมฟังบ้างสิ”
ใครจะไปรังเกียจคุณกันเล่า ผมเป็นคนมาหาคุณเองนี่ บอยคิดและส่งข้อความนี้ออกไปทางแววตา และจึงเริ่มเล่าบางสิ่งที่คุณหมออยากรู้ “เธอชื่อน้ำ เราคบกันตั้งแต่ผมเริ่มทำงานใหม่ๆ เธอเป็นเด็กสาวช่างฝัน แววตาของเธอเติมพลังชีวิตให้ผมตลอดมา เราคบกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมไม่เคยทะเลาะกับเธอเลยก็ว่าได้ แต่
วันนึงเรื่องราวที่ดีๆ มันก็เปลี่ยนไป”
“ทำไม” หมอถามขึ้นเมื่อเห็นเขาเว้นวรรค
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะเล่าต่อ นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจสำหรับตัวเขาเอง เพราะบอยไม่เคยเล่าหรือแม้แต่นึกถึงเรื่องนี้อีกเลยตั้งแต่เรื่องราวมันจบลง
“ตลอดเวลาที่คบกัน เธอมักชวนผมไปเที่ยวทะเลเสมอๆ แต่ผมก็ไม่ค่อยว่างที่จะพาเธอไป เราเริ่มมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องนี้ ผมอยากที่จะใช้เวลากับการทำงาน แต่เธออยากให้ผมพาเธอไปเที่ยว” บอยหยุดเล่า พร้อมทั้งถอนหายใจอีกครั้ง และหันหน้ามาสบตาหมอ นาทีนี้เขาเริ่มรู้สึกครึ่งๆกลางๆ เขารู้สึกแปลกแยกกับตัวเองที่จะต้องมาเล่าเรื่องราวส่วนตัวบางอย่างให้คนอื่นฟัง ถึงแม้จะเป็นคนที่เขาตั้งใจจะมาหาเองก็ตาม
“แล้วสุดท้ายได้ไปเที่ยวกันหรือเปล่า” คุณหมอถามต่อไป เขารู้ว่าเรื่องราวกำลังจะเข้าสู่จุดที่สำคัญเกี่ยวกับอาการเสพติดทะเลของบอย
“ไป เราตัดสินใจไปทะเลด้วยกัน เธอชวนผมไปหัวหินแต่ผมเลือกที่จะขับรถเลยไปปราณบุรี ชายหาดที่นั่นเงียบและเหมาะกับผมมากกว่า” บอยหยุดพักอีกครั้ง เขาเริ่มสบตาหมอบ่อยขึ้น เขาสัมผัสอะไรบางอย่างในแววตาหมอได้ แววตาที่มีอะไรบางอย่างเหมือนตัวเขาเอง
“ผมเคยไปที่นั่น และมันน่าจะเหมาะกับคุณ เท่าที่ผมสังเกต” หมอแสดงความเห็นถึงปราณบุรี และมันก็ได้รับผลตอบรับเป็นการ พยักหน้าน้อยๆจากบอย
“นั่นคือการไปทะเลครั้งแรกและครั้งเดียวของเราสองคน” บอยก้มหน้าลงพร้อมทั้งพูดประโยคสั้นๆที่ดูราวกับว่ามันใช้เวลาออกเสียงยาวนานชั่วชีวิต

“บอย ลงมาเล่นน้ำด้วยกันสิ น้ำเย็นดีออก แดดก็ไม่ร้อนมากนะ มาสนุกกันเร็ว” เม็ดแสงอาทิตย์ที่สะท้อนกับส่วนปลายสุดของคลื่นทำให้เด็กสาวที่เต็มไปด้วยความสดใสอยู่แล้วยิ่งเปล่งประกายสดใสมากยิ่งขึ้น แสงแดดและพราวน้ำทะเลที่ติดตัวเธอทำให้เธอดูน่าหลงใหลขึ้นมาอย่างง่ายดายทั้งที่เครื่องแต่งกายไม่ใช่บิกินี่สองชิ้นอย่างที่หนุ่มๆมากมายหลงใหล แต่ความสดใสนั้นช่วยอะไรน้ำไม่ได้เลย เธอไม่สามารถเปลี่ยนใจบอยให้ลุกจากเก้าอี้ผ้าใบริมชายหาดตัวนั้นได้ บางคราเธอสงสัย บอยกับเก้าอี้มีอะไรยึดติดกันอยู่หรือเปล่า
“ไม่เอาหรอก เล่นน้ำเถอะ เดี๋ยวผมอ่านหนังสือรออยู่ตรงนี้” บอยส่งยิ้มให้กับน้ำพร้อมทั้งตอบคำถามของเธอด้วยคำตอบเดิมโดยไม่ต้องคิดทบทวน เพราะไม่ว่าน้ำจะถามหรือชวนบอยทำอะไร บอยก็ไม่เคยจะตอบอะไรมากไปกว่านี้
“บอยไม่รักน้ำเหรอ น้ำชวนบอยทำอะไรบอยก็ไม่ทำ แล้วอย่างนี้เราจะมาทะเลกันทำไม” น้ำเริ่มไม่สามารถที่จะคุมสีหน้าให้ออกมาปกติได้อีกต่อไปแล้ว แววตาเธอบอกชัดเจนว่าขณะนี้ เรื่องราวของเธอและบอยกำลังมาถึงจุดเปลี่ยน

“แล้วคุณรักเธอไหม” คุณหมอถามขึ้นมาอีกครั้งหลังจากพอจะเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“หมอคิดว่าการที่ผมพาเธอไปทะเลไม่ใช่เพราะผมรักเธอหรือ” บอยมองหน้าหมอด้วยแววตาขอความเห็นแกมบังคับ เขาคิดว่าการที่พาเธอไปเที่ยวทะเลเป็นวิธีแสดงออกของเขาถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ทะเลที่เธออยากไปก็ตาม
“คุณอาจจะรักเธอ คุณบอย แต่มันไม่มากไปกว่าที่คุณรักตัวเอง” หมอพยักหน้าหลังจากพูดจบพลางมองตรงมาที่บอย แต่ไม่ทันได้สบตา บอยก็หันหน้าหนีไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง เด็กหญิงตัวน้อยๆจูงมือแม่ซึ่งถือตะกร้าสานจากพลาสติกและพากันเดินไปตลาดเป็นภาพที่ทำให้บอยรู้สึกดีขึ้น
“แล้วหมอไม่อยากรู้เหรอ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น”

“ผมรักคุณไงน้ำ ผมรักคุณถึงได้พาคุณมาเที่ยวทะเล” บอยพยายามอธิบาย สีหน้าเขาเคร่งเครียดอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็น
“แต่น้ำไม่ได้อยากมาที่นี่ น้ำอยากไปหัวหิน” น้ำพยายามชี้แจงความต้องการให้บอยเข้าใจ เช่นเดียวกัน สีหน้าของเธอเคร่งเครียดเป็นทวีคูณ
“ทะเลที่ไหนก็เหมือนกัน จะหัวหิน จะชะอำ จะปราณบุรี มันก็ไม่ต่างกันหรอกน่า” บอยยังคงพยายาม
“ก็ถ้ามันเหมือนกันแล้วทำไมไม่ไปหัวหิน บอยอย่ามาพูดดีกว่า บอยไม่เคยสนใจน้ำหรอก กว่าจะมาเที่ยวกันได้ ชวนตั้งไม่รู้กี่เที่ยว พอมาก็พามาที่เงียบๆ ชวนทำอะไรก็ไม่ทำ ถ้าอย่างนี้น้ำมาคนเดียวมันจะต่างอะไรกัน มาด้วยกันทั้งที แทนที่จะมาสนุกด้วยกัน วันๆก็เอาแต่นั่งเฉยๆ ทะเลมันมีอะไรให้มองมากนักหรือไงก็ไม่รู้” น้ำระบายออกมาอย่างพรั่งพรู และมันทำให้บอยเข้าใจและตกผลึกอะไรบางอย่าง
“ผมคงจะทำให้น้ำมีความสุขมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ ทะเลของผมมีเพียงเท่านี้ ผมไม่สามารถทำกิจกรรมอื่นๆกับมันได้อีกแล้ว ผมเคยมาทะเลคนเดียวหลายต่อหลายครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมากับคนอื่น ผมรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวแบบนี้มันจะเกิดขึ้น ผมจึงไม่พาคุณมา ผมไม่อยากเสียคุณไป น้ำ ผมเสียใจ ผมไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้แล้วจริงๆ” น้ำตาของบอยค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาที่แดงกล่ำ บอยเสียใจที่ไม่สามารถรักษาความรักไว้ได้ และมันไม่ได้เกิดขึ้นจากสิ่งอื่น มันเกิดขึ้นจากตัวตนของเขา และที่สำคัญ ทะเลของเขา
“ถ้าอย่างนั้นบอยก็อยู่กับทะเลไปละกัน ทะเลที่บอยรักนักรักหนา ทะเลที่เป็นแบบของบอย แต่มันจะไม่มีน้ำอยู่ในนั้นอีกแล้ว” น้ำยืนคำขาด คำเพียงสั้นๆที่คมพอที่จะตัดสายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับบอย
“น้ำอย่าเกลียดทะเลนะ มันไม่มีส่วนอะไรที่ทำให้เราต้องยุติความสัมพันธ์ มันเป็นเพียงแค่เรามีทะเลคนละผืน” บอยยังคงปกป้องทะเลของเขาจนนาทีสุดท้าย

“หลังจากนั้นคุณก็เลิกกัน” คุณหมอพยายามเดาเรื่องราว
“อืม” บอยส่งเสียงออกมาเพียงเล็กน้อย แววตาเขาเหม่อลอย บอยมองข้ามไหล่ของจิตแพทย์ไปที่โต๊ะทำงานของเขา ห้องทำงานของเขาค่อนข้างโปร่งและมีเฟอร์นิเจอร์อยู่น้อยชิ้น บนตู้สีน้ำตาลที่เขาเอาไว้เก็บเอกสารมีรูปคู่ของเขากับผู้หญิงคนนึงอยู่ บอยเพ่งมองไปที่กรอบรูปบนหลังตู้นั้น ถึงแม้วันเวลาจะทำให้เธอเปลี่ยนไปบ้างแต่บอยก็ยังจำได้ว่าผู้หญิงในรูปเป็นคนที่บอยรู้จักดี และฉากหลังในรูปใบนั้น มันคือทะเล
หมอหนุ่มหันหน้าไปตามสายตาของบอย เขายิ้มเมื่อเห็นสายตาของบอยจับจ้องอยู่ที่รูปนั้น
“คุณอยากรู้เรื่องราวของเธอหลังจากวันนั้นไหม ผมจะเล่าให้ฟัง” คุณหมอเอ่ยปากโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมาจากรูปบนตู้ใบนั้น


ชายหาดที่นี่สวยกว่าที่เขาคิดไว้ เขาเพิ่งเคยมาหัวหินครั้งแรก และเนื่องจากชายหาดสาธารณะเป็นพื้นที่ส่วนน้อยของหัวหิน บอยจึงเลือกที่จะจองรีสอร์ทที่มีชายหาดส่วนตัวเพื่อที่เขาจะใช้เวลากับมันได้อย่างสันโดษ รอบนี้เขาเลือก “เราทุกคนต่างมีทะเลเป็นของตัวเอง” ติดมือมาอ่านที่หัวหิน นักเขียนหนุ่มคนนี้หลงใหลทะเลเช่นเดียวกับเขา นั่นทำให้เขารู้สึกถูกชะตากับหนังสือเล่มนี้อย่างบอกไม่ถูก ดวงอาทิตย์วงกลมโตยังคงส่องแสงสะท้อนกับปลายคลื่น ทะเลผืนงามยังคงเป็นเหมือนผืนกระดาษที่รองรับการแต่งแต้มสีสันจากศิลปินระดับโลก หลังจากกลับไปหาจิตแพทย์คราวนั้น บอยกลับยิ่งมาทะเลบ่อยกว่าเดิม เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นอันตรายใดๆกับร่างกายและจิตใจของเขาอีกแล้ว ถ้าใครจะเถียง ใครคิดว่าการได้รับทะเลเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปจะเป็นผลเสีย คุณไม่ต้องมาถกเถียงกับบอย บอยยินดีให้คุณใช้ทะเลในแบบที่คุณต้องการและในปริมาณที่คุณคิดว่าเหมาะสม เพราะไม่ว่าจะยังไง ทั้งคุณและบอยต่างก็มีทะเลเป็นของตัวเองกันทุกคนอยู่แล้ว หรือถ้าคุณยังไม่มี ลองเข้ามาคุยกันดูก่อน เผื่อบอยจะให้คุณยืมทะเลของเขา หวงหรือ ไม่หรอก เพราะวันหนึ่งคุณก็จะต้องมีทะเลเป็นของตัวเอง เชื่อผมสิ

“บอย ลงมาเล่นน้ำด้วยกันสิ น้ำเย็นดีออก แดดก็ไม่ร้อนมากนะ มาสนุกกันเร็ว” เสียงเรียกจากท้องทะเลปลุกบอยขึ้นจากภวังค์
.
.
.
.
.


“เดี๋ยวอ่านเรื่องนี้จบจะตามไปเล่นด้วยนะ รอผมก่อนนะ” บอยตะโกนตอบพลางอมยิ้มให้กับตัวเอง

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มรกตอันดามันในวันฝนปรอย (จบ)

"ไหนๆก็มาแล้ว" ประโยคไม่กี่พยางค์นี้ทำให้เรามักจะเหนื่อยเพิ่ม เสียเงินเพิ่ม แต่บางครั้งก็ได้ประสบการณ์เพิ่มในแบบที่คาดไม่ถึงด้วยเช่นกัน และด้วยประโยคนี้ที่เราสองคนบอกแก่กัน มันทำให้ขณะนี้เราอยู่ในเส้นทางสู่สระมรกตซึ่งถ้านับจากที่พักของเรา ระยะการเดินทางไปถึงสระมรกตไม่ต่ำกว่า 50 กิโลเมตร แต่ก็เอาเถอะ ใครๆก็ว่าถ้าเราตัดสินใจไม่ไป มันดูเหมือนเราจะมาไม่ถึงกระบี่ เพราะฉะนั้นจะกี่กิโลเมตรก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ขอเพียงแค่ใจเราต้องการ

ระหว่างเส้นทางที่ไปสู่เกาะมรกต เราพบเจอบ่อน้ำพุร้อนอยู่ 2 - 3 ที่ และเราเลือกที่จะเข้าไปเยี่ยมชมที่ที่ถูกที่สุด ซึ่งเมื่อเยี่ยมชมแล้วเสร็จ ผมก็คิดว่ามันน่าจะเป็นที่ที่สวยงามน้อยที่สุดด้วยเช่นกัน คำอธิบายง่ายๆก็คือมันบริหารโดยรัฐบาลไม่ใช่เอกชน และหลายๆสถานที่ในประเทศไทยก็เข้าข่ายนี้เช่นเดียวกัน ประเทศอื่นจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่านะ ไม่อยากจะรู้เลยจริงๆ

หลังจากที่ผมเดินทางออกจากบ่อน้ำพุร้อนมาสักพักเราก็เริ่มสังเกตเห็นป้ายบอกทางสู่สระมรกต สาบานว่าผมเชื่อสนิทใจถึงระยะทางที่ป้ายบรรจงบอกแก่นักท่องเที่ยวไร้เดียงสาอย่างผม แต่ทุกครั้งที่เราขับรถเลยป้ายไปสักพัก ป้ายใหม่ที่เราพบกลับมีระยะทางไม่สัมพันธ์กับระยะทางที่เราขับผ่านมาสักนิด จาก 25 กิโลเมตร ผมขับเลยมาเพียง 2 - 3 กิโลเมตร ป้ายใหม่ก็แจ้งว่า "อีก 15 กิโลเมตร" ผมไม่เข้าใจจริงๆว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร แต่ในช่วงเวลานั้นผมไม่รู้จริงๆว่าสระมรกตอยู่ไกลเพียงไหนกันแน่

ไม่ว่าจะอย่างไร ขณะนี้สระมรกตก็มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ความสวยงามยังคงอยู่ในระดับน่าพอใจแต่สิ่งที่ผมรู้สึกกลับกลายเป็นว่า การที่โลกแคบลงด้วยการสื่อสารนานาชนิด มันทำให้ผมไม่ตื่นเต้นใดๆกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเลยเพราะผมเคยเห็นผ่านโทรทัศน์ เว็บไซต์ หรือสื่อต่างๆมาหลายต่อหลายหน ทั้งที่จริงๆนี่คือการมาเหยียบสระมรกตเป็นครั้งแรกของผม แต่ในขณะที่ผมไม่ตื่นเต้น กลับมีสิ่งมีชีวิตต่างเพศอีก 4 - 5 คน กำลังส่งเสียงตื่นเต้น และเมื่อผมหันหน้าไปมอง เด็กสาวเหล่านั้นต่างส่งยิ้มให้ผมและทักทายผมเป็นภาษาอังกฤษ "welcome to thailand" ในหัวใจผมขณะนั้น เสียงเพลง มาเลเซีย ของเป้ เสลอ ดังก้องขึ้นอีกครั้ง

ผมไม่แปลกใจอีกแล้วว่าทำไมการเดินทางมาครั้งนี้ของผมได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากสาวน้อย สาวใหญ่ ทั่วทั้งกระบี่ ทุกที่ที่ผมเดินทางไปมักจะได้รับรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ของแถม รวมทั้งการลดราคาต่างๆ มันคงเป็นเพราะหน้าตาของผม "เข้าทาง" กับพื้นที่นี้จริงๆ และอีกอย่างที่ผมได้ทราบจากตลาดที่นี่นอกเหนือไปจากเรื่องหน้าตาแล้วก็คือ ถึงแม้จะเคยได้ยินแต่ไก่ทอดหาดใหญ่และไม่เคยได้ยินชื่อไก่ทอดกระบี่ แต่ไก่ทอดของที่นี่ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ต้องมีน้ำจิ้ม แถมรับประทานร่วมกับขนมจีนแกงเขียวหวานก็อร่อยล้ำ ถ้าคุณไม่รังเกียจ มากระบี่เมื่อไรอย่าลืมลิ้มลองและถ้าไม่เป็นการโฆษณาจนเกินไป "โกจ้อย" คือร้านที่ผมไปพิสูจน์มาแล้วว่าไร้เทียมทานจริงๆ

ผมกำลังจะพบกับค่ำคืนสุดท้ายในกระบี่เสียแล้ว หมู่เกาะ ท้องทะเล หาดทรายและผู้คน ทุกอย่างสวยงามเหลือเกิน เกินที่จะตัดใจทิ้งที่นี่ไปง่ายๆ เมื่อได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง ผมไม่แปลกใจว่าทำไมผู้คนมากมายจึงได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่ และจนกระทั่งในวันนี้ วันสุดท้ายที่ผมจะใช้เวลากับกระบี่ พระอาทิตย์ตกก็ยังคงสวยงามไม่ต่างจากเดิม ดาวบนฟ้ายังคงส่องแสงระยิบระยับไม่น้อยลงแต่อย่างใด ดวงจันทร์เหลืองอร่ามก็ยังคงทำหน้าที่ นั่นหมายถึงว่าทุกสิ่งจะยังคงเหมือนเดิม ต่างเพียงแต่ว่าเมื่อไร เราจะพาตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้ได้อีก เพราะเราเองเป็นเพียงอย่างเดียวที่เปลี่ยนแปลงและยังคงเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มรกตอันดามันในวันฝนปรอย (4)

ผมไม่เคยผิดสัญญา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปาก แต่สัญญาที่ผ่านไปทางแววตาผมก็ยังคงรักษามันเสมอ

หลังจากกลับจากทัวร์เกาะห้องด้วยความอิ่มเอมใจ ผมเลือกที่จะใช้เวลาก่อนที่จะออกไปชมพระอาทิตย์ตกดินกับสาวจากุซซี่ที่ผมหลงใหล พูดก็พูด ไม่ว่าที่พักที่ใดที่ผมเคยไปพักและที่นั่นมีเธออยู่ ผมไม่เคยพลาดการใช้เวลากับเธอเลยสักครั้ง และการนอนให้เธอฟอนเฟ้นด้วยสายน้ำในขณะนี้คือคำตอบ ผมเองเคยคิดที่จะซื้อมันไว้ที่บ้านในวันที่ผมกำลังเริ่มมีโครงการที่จะปลูกบ้าน แต่ประโยคเพียงไม่กี่พยางค์ของบุพการีก็ทำให้ผมตื่นสู่โลกแห่งความจริง "ใครจะขัดให้มึง"

เมื่อใช้เวลากับเธออย่างพอเหมาะพอควรแล้ว เราพากันออกมานั่งบริเวณชายหาดส่วนตัวของทางที่พักเพื่อรอชมมหรสพครั้งยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นทุกเย็นโดยความร่วมมือของเหล่าหมู่เกาะน้อยใหญ่ ผืนน้ำทะเล ผืนฟ้า และมีเจ้าของแสงอาทิตย์เป็นผู้นำการแสดง ในระหว่างที่กำลังรอ ผมใช้เบียร์กระป๋องเป็นอุปกรณ์ฆ่าเวลา และสิ่งที่ผมแปลกใจเล็กน้อยก็คือเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่พักในรีสอร์ทเดียวกับผมนั้น ทุกคนถือกระป๋องเบียร์ยี่ห้อสัตว์ใหญ่หรือไม่ก็สัตว์นักล่า สัญชาติไทยแทบทั้งสิ้น มีเพียงผมที่ถือเจ้ากระป๋องเขียวสัญชาติดัตซ์ ผมเองตอบไม่ได้ว่าทำไม แต่ที่แน่ใจคือเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับเรื่องการดื่มเบียร์เป็นแน่แท้

และแล้วการแสดงก็เริ่มขึ้น เมฆน้อยรูปร่างคล้ายควันบุหรี่ลอยสวมเหมือนเป็นมงกุฏอยู่บนยอดเขาตรงหน้าเราอย่างน่ารักน่าชัง มองๆไปก็ช่างคล้ายมีมือซุกซนเที่ยวฉีกสำลีแล้วโปรยลงมาจากแดนสวรรค์ ผมมองภาพนั้นพร้อมยิ้มให้กับตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ลมทะเลสัมผัสผมอย่างแผ่วเบา เสียงคลื่นกระซิบคำรักกับผมอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดหู สาบานวินาทีนั้นผมนึกว่ากำลังถูกทะเลเล้าโลม

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา แสงอาทิตย์เริ่มวาดลวดลายเต็มฝีมือเพื่อให้เราและเหล่าผู้มาเยือนได้สัมผัส จะฟ้า แดง ส้ม น้ำเงิน ชมพู
ทุกสีสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งหมดภายใต้พู่กันธรรมชาติแท่งนี้ ผมเฝ้ามองแทบจะไม่ละสายตาแม้แต่นาที จนกระทั่งเจ้าดวงกลมโตตัดสินใจดับความร้อนของตัวเองด้วยการลงเล่นในทะเล นั่นเปรียบเสมือนการลั่นระฆังเวลาของการแสดงเพื่อแจ้งเตือนเหล่าผู้ชมว่าการแสดงกำลังจะจบลง ม่านสีส้มถูกรูดเพื่อปิดโชว์อันแสนตระการตาที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่อึดใจที่ผ่านมานี้นั่นเอง และวินาทีนั้นผมจำใจต้องจากลาผ้าม่านสีส้มเพราะบรรยากาศของร้านอาหารในที่พัก เธอกำลังชายตาเย้ายวนผมอยู่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ถ้าเทียบกับหลายที่ที่ผมเคยสัมผัส นี่เป็นร้านอาหารในรีสอร์ทที่มีคนกินมากที่สุดที่ผมเคยพบเจอ ปกติแล้วเรามักจะได้ยินกิตติศัพท์ในเรื่องของความแพงจนจำเป็นที่จะต้องเดินทางออกไปหาร้านที่ราคาย่อมเยากว่ารับประทานเพื่อให้ผ่านวันนั้นไป แต่บรรยากาศของที่นี่ทำให้กระเป๋าเงินของผมถูกเปิดออกทันที

หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว นักร้องหญิงและชาย (ผู้ชายสะพายกีตาร์อยู่ด้วย) ก็เดินมาแนะนำตัวกับเราสองคนด้วยภาษาอังกฤษและสอบถามถึงสัญชาติของเราสองคน หลังจากได้รับคำตอบไปเรียบร้อยและสอบถามรายละเอียดเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ เขาทั้งสองก็เอ่ยคำต้อนรับเราสองคน และประโยคนั้นผมยังติดใจรสชาติของมันยามเมื่อกระทบใบหูผมอยู่ตลอดเวลา "welcome to paradise"

หลังจากโปรยยิ้มหวานอยู่สักพักเธอเริ่มถามว่าผมอยากที่จะฟังนักร้องชายหรือหญิงที่จะเป็นคนขับกล่อมให้บรรยากาศของมื้อนี้มีความสุนทรีย์มากยิ่งขึ้น ผมตอบไปสั้นๆว่า "I want both" จากนั้นทั้งสองสบตาให้กัน ก่อนที่การ featuring จะเริ่มขึ้น สาบาน ผมไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้ง

ระหว่างฟังเพลงและรับประทานอาหารอยู่นั้น ผมสังเกตผู้ร่วมรับประทานในโต๊ะอื่นๆแล้วพบข้อสังเกตที่น่าประหลาดใจว่าทำไมฝรั่งต่างชาติถึงสามารถจะพาลูกเล็กๆ ที่บางคนยังแทบจะอยู่ในชั้นประถม หรืออนุบาล ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยวในต่างบ้านต่างเมืองได้ ทั้งๆที่ถ้าเป็นบ้านเรา คงโดนปู่ย่าตายาย ว่าเสียจนหูชา หรือว่าพวกเขามั่นใจว่าเขาสามารถดูแลลูกน้อยของพวกเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยไม่ต้องพึ่งคนอื่นๆแต่อย่างใด และอีกประเด็นที่ผมสงสัยนั่นคือแล้วการมาเที่ยวหลายๆวันอย่างนี้ เด็กๆของพวกเขาสามารถหยุดโรงเรียนได้อย่างไร แล้วกลับไปจะเรียนทันเพื่อนได้หรือ แต่ว่าก็ว่า ปกติเราก็ไม่ค่อยได้อะไรจากการเรียนอยู่แล้วนี่นา หรือพวกคุณคิดว่าอย่างไร

ฝรั่งบางคนยังมีลูกเล็กทั้งๆที่ตัวเองนั้นก็ใกล้เข้าสู่วัยเกษียร จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับทุกชนชาติโดยเฉพาะยุคสมัยใหม่ที่คนเรามีเรื่องให้คิดไตร่ตรองมากขึ้น มีความสามารถในการอยู่คนเดียวมากขึ้น มีเรื่องราวมากมายให้ทำจนลืมที่จะมีทายาทสืบทอดในเวลาที่เหมาะสม จริงๆแล้วส่วนนี้ผมมองว่าเป็นความขัดแย้งของมนุษย์กับธรรมชาติอยู่บ้าง เพราะจากที่เข้าใจ การมีประจำเดือนนั่นหมายถึงธรรมชาติส่งเสียงเตือนแล้วว่าเจ้าของประจำเดือนนั้นถึงเวลาที่สามารถมีทายาทสืบทอดได้เรียบร้อยแล้ว แต่มนุษย์ยังมีข้ออ้าง
อีกมากมายในเรื่องของการเรียน การทำงาน การเก็บเงินและอะไรอีกหลายๆการ ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเขาดูกันอย่างไรว่าเหมาะที่จะมีทายาทได้แล้ว แต่เชื่อว่าคงไม่มีชนิดไหนยุ่งยากเท่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อีกแล้ว

วันพรุ่งนี้ยังมีโปรแกรมเบาๆอีกเล็กน้อยที่พวกเราตระเตรียมเอาไว้ และนั่นเป็นเหตุจำเป็นที่เราจะต้องพักผ่อนเสียให้พอในค่ำคืนนี้เพื่อให้พร้อมต่อการเดินทาง ระหว่างทางเดินกลับห้องพัก ผมคิดในใจว่าถ้าหน้าชายหาดมีปลาเล็กๆให้เราได้ให้อาหาร เราคงไม่ต้องออกไปที่ไหนอีกแล้ว และชายหาดแห่งนี้ก็คงสมบูรณ์แบบในความต้องการของเราสองคน แต่อย่างที่คุณทุกคนรู้ ความสมบูรณ์แบบไม่มีในโลก หรือคุณเคยพบเห็นกันล่ะ

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มรกตอันดามันในวันฝนปรอย (3)

เช้าตรู่เข้ามาเยือนเราเป็นครั้งที่สองในดินแดนแห่งนี้ บรรยากาศยามเช้ายังคงสดใสไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผิดแผกแต่ว่าวันนี้เรามีนัดกับที่พักที่ใหม่ซึ่งวางตัวอยู่ที่หาดทับแขกซึ่งเราทนไม่ไหวที่จะรอจึงได้ขับรถมาชมบรรยากาศตั้งแต่เมื่อวานและแทนที่มันจะช่วยดับไฟแห่งกิเลสในใจ มันกลับทำให้ทุกๆอย่างคุโชนขึ้นไปมากกว่าเดิม ด้วยความสวยที่ไม่สามารถละสายตาได้แม้วินาที


เราเดินทางมาถึงที่พักใหม่หลังจากรับประทานอาหารเช้าและร่ำลาจากที่พักเก่า สายๆวันนี้เรามีโปรแกรมที่จะออกทัวร์อีกครั้งและทัวร์ครั้งนี้เป้าหมายอยู่ที่เกาะห้อง ซึ่งเป็นเกาะที่มีชายหาดที่สวยงามที่สุดในบริเวณนี้ และหลังจากเก็บกระเป๋าและสัมภาระทุกอย่างเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว ผมไม่ลืมที่จะแอบส่งสายตาให้กับจากุซซี่ ขาว อวบ ที่วางตั้งตระหง่านอยู่ในห้องพักเพื่อให้เธอรู้ว่า ผมไม่ได้หลงลืมเธอและไม่ช้าก็เร็วเราคงได้มีค่ำคืนดีๆร่วมกัน


เราเลือกที่จะเหมาเรือหางยาวไปเที่ยวกันโดยไม่ได้ร่วมทัวร์กับคนอื่นเหมือนเมื่อวันที่ผ่านมา ภาพของเรือหางยาวในจินตนาการตอนแรกนั้นเป็นไปในทางเดียวกับเรือหางยาวที่วิ่งส่งผู้โดยสารในแม่น้ำหรือลำคลองที่เราคุ้นตา แต่สิ่งที่ได้พบตรงหน้านี้ต่างออกไป เรือลำที่จะนำเราสู่ท้องทะเลนั้นมีขนาดกว้างใหญ่กว่าเรือหางยาวที่พบเคยพบเห็นอยู่เกือบสองเท่าและที่สำคัญ มันมีหลังคา


ทางคนขับเรือแจ้งว่าเวลาที่ใช้ในการเดินทางอาจจะยาวนานกว่าการใช้เรือเร็ว เราสองคนไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องพวกนี้ บางครั้งคุณอาจจะคิดว่าสวรรค์คือพื้นที่ที่สวยงามและเหมาะแก่การไปเยี่ยมชม แต่เคยมีใครบอกคุณหรือเปล่าว่าเส้นทางไปสวรรค์นั้นอาจจะสวยงามกว่า และแน่นอนคุณไม่จำเป็นที่จะต้องรีบวิ่งเพื่อที่จะไปให้ถึงสวรรค์ในเมื่อการค่อยๆเดินก็ทำให้คุณพบกับความสุขในระหว่างที่ไม่ต่างกัน


ในขณะที่อยู่กลางทะเลนี้ เมื่อทางซ้ายก็เป็นทะเล ทางขวาก็เป็นทะเล เงยหน้าขึ้นไปก็มีแต่ท้องฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตา ผมรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กเหลือเกินเล็กจนไม่น่าจะสร้างแรงกระเพื่อมใดๆให้กับโลกใบนี้ได้ ตัวอย่างง่ายๆคือถ้าผมกระโดดลงจากเรือและคืนร่างกายให้สู่ทะเลพร้อมทั้งปล่อยให้วิญญาณออกจากร่างไปสู่ที่ที่ควรไป ทะเลทั้งผืนและท้องฟ้าทั้งใบนี้ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็แล้วเราจะไปสนใจหรือยึดติดกับตัวตนทำไมกันนักในเมื่อเราเองก็ตัวเล็กเสียขนาดนี้ คุณว่าไหม


ระหว่างที่เรือหางยาวกำลังขะมักเขม้นลดระยะห่างระหว่างตัวเรากับหมู่เกาะนั้น ผมเห็นสิ่งมีชีวิตที่ผมไม่ค่อยจะได้เห็นในทะเลสักเท่าไร ผมเรียกมันว่าผีเสื้อผมไม่รู้ว่าปกติผีเสื้อในทะเลมีเยอะหรือน้อย แต่ใจกลางทะเลขนาดนี้ผมเพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก ผมเองไม่รู้ว่าผีเสื้อมีกำลังที่จะว่ายน้ำข้ามทะเลไปได้หรือไม่นอกจากผมแล้ว เจ้าผีเสื้อน้อยเองก็อาจจะไม่รู้ ผมเองก็ไม่กล้ายืนยัน อีกอย่างที่ผมไม่แน่ใจคือสายตาของผีเสื้อสั้นยาวแตกต่างจากเราหรือไม่ ตัวผมนั้นมองไม่เห็นฝั่งในขณะนี้และกะระยะทางไม่ได้แม้สักนิดว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักเท่าไรเพื่อไปให้ถึงฝั่งเกาะที่ใกล้ที่สุด แล้วคุณคิดว่าผีเสื้อเห็นฝั่งหรือไม่ ถ้าบังเอิญมันไม่เห็น สิ่งใดกันเล่าทำให้เจ้าปีกน้อยตัดสินใจออกบิน ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ผมยกย่องหัวใจผีเสื้อน้อยว่ากล้าแกร่งในชนิดที่ผมไม่มีทางเทียบ


เมฆและแสงอาทิตย์ยังคงทำหน้าที่แต่งแต้มผืนฟ้าและผืนน้ำให้งดงามดังเดิม ผมเริ่มสงสัยว่าถ้าไม่ได้มา เราจะเสียดายสักเพียงไหนที่ไม่ได้ชมความงามเหล่านี้ แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าเราไม่ได้มาเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันสวย เราอาจจะไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย ใครเล่าจะรู้



เราเดินทางแวะเกาะผักเบี้ยมาก่อนหน้าแต่ไม่ได้พบกับอะไรที่ประทับใจจนน่าจะนำมาบอกกล่าว แต่เกาะลาดิงที่กำลังลิ้มรสอยู่ในขณะนี้มันต่างออกไป เนื่องจากนั่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีเป้าหมายอยู่ที่เกาะห้อง เกาะลาดิงแห่งนี้จึงเป็นเพียงทางผ่าน แต่สำหรับเราที่เหมาลำเรือมาและไม่ได้เร่งรีบแม้สักนิด เราจึงมีเวลามากพอที่จะใช้เวลาอยู่กับเหล่าปลาสวยงามตัวน้อยที่เกาะแห่งนี้ ปลาเหล่านั้นไม่ได้ตื่นกลัวเราแต่อย่างใด มันเชื่องเสียจนเราคิดว่ามันถูกเลี้ยงด้วยมนุษย์มาตั้งแต่แรกเกิด แต่มาคิดดูอีกที ที่มันเชื่องและกล้ามากินอาหารกับมือเราขนาดนี้นั้น อาจจะเพราะมันไม่เคยรับรู้ถึงความโหดร้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เป็นได้มันจึงวางใจเราง่ายถึงเพียงนี้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ การดำน้ำอยู่ท่ามกลางเหล่าปลาน้อยรวมทั้งการมองเห็นขนมปังแผ่นน้อยใหญ่ค่อยๆถูกรุมทึ้งจนมลายหาย

ไปตรงหน้า ดูจะเป็นความสุขที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบในเกาะเล็กๆแห่งนี้ แต่ความสุขที่ว่ากลับพองเต็มหัวใจจนดูเหมือนกับว่ามันจะใหญ่กว่าขนาดเกาะนี้ไปเสียแล้ว



ด้วยเวลาที่เรามอบให้กับเกาะนี้ค่อนข้างนาน ทำให้เวลาในการสนทนากับคนขับเรือก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย เราได้ทราบว่าบริเวณหมู่เกาะเหล่านี้มีการเก็บรังนกไปขายเป็นอีกหนึ่งการหารายได้ของชาวบ้านแถบนี้ด้วย การเก็บรังนกนั้น สามเดือนชาวบ้านถึงจะเก็บกันครั้งหนึ่ง เพื่อปล่อยให้รังนกใหญ่โตได้ขนาดที่ต้องการ และด้วยราคาอย่างถูกๆกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน ส่วนเพดานสูงสุดนั้นขึ้นไปจนถึงกิโลกรัมละสี่แสนบาท นั่นทำให้ในเรือทุกลำมักจะมีปืนอยู่ด้วย แน่ล่ะทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเงิน ไม่มีคำว่าปราณีใดๆทั้งสิ้น

ปืนช่วยแสดงอาณาเขต ปืนช่วยแสดงความเป็นเจ้าของ แต่เราหลงลืมไปหรือเปล่าว่า รังนั้นไม่ใช่ของพวกเราเลยสักนิด เจ้านกน้อยจะคิดอย่างนั้นหรือเปล่านะ หรือมันเองก็ไม่ถูกกับปืนเช่นเดียวกัน



หลังจากเดินทางออกจากเกาะลาดิง เรือหางยาวคู่ใจนำเราไปพบกับ "ลากูน" ซึ่งในภาษาไทยอาจจะหมายความถึง ทะเลใน หรือทะเลปิด ซึ่งอยู่ภายในภูเขานั่นเอง เหตุที่มีทะเลในนั้นด้วยก็เนื่องมาจากอาจจะมีถ้ำหรือช่องว่างที่น้ำทะเลจากด้านนอกสามารถผ่านเข้าไปในหมู่เขาเหล่านั้นได้ นั่นทำให้มีความงามตามธรรมชาติเกิดขึ้นในอีกรูปแบบหนึ่ง ลากูนมีทั้งในแบบที่มีน้ำอยู่ตลอดเวลา และในแบบที่มีช่วงเวลาที่น้ำลงจนสามารถเดินเข้าไปได้ ซึ่งลากูนของเกาะห้องเป็นเช่นนั้น เราจึงมีเวลาชมที่ค่อนข้างจะจำกัดเพราะถ้าทอดเวลานานเกินไปจะไม่สามารถนำเรือออกจากลากูนนี้ได้เมื่อถึงเวลาน้ำลง เราจึงจำต้องตัดใจจากที่นี่และมุ่งหน้าสู่เกาะห้อง เป้าหมายที่แท้จริงของการเดินทางครั้งนี้



เรามาถึงเกาะห้องพร้อมกับภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น เกาะห้องมีชายหาดขาวที่ค่อนข้างยาวในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในทริปนี้ เหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติอาบแดดกันอย่างสำราญใจทั่งไปทั้งหาด และนั่นเป็นข้อดีที่เราสองคนจะหาที่หลบแดดนอนสงบๆได้อย่างแน่นอนเพราะว่าเรากับพวกตาน้ำข้าวไม่ได้มีเป้าหมายเดียวกัน ผมมองหาคนไทยก็พบว่าแทบจะไม่เห็นเลยสักคน การมองหาคนไทยในที่แบบนี้นั้นค่อนข้างง่ายดาย เพียงคุณมองหาผู้หญิงที่ไม่ได้ใส่บิกินี่ ถ้าพบเมื่อไรก็ค่อยไปลงลึกดูอีกที่ว่าเป็นคนไทยหรือไม่ แต่ครั้งนี้ผมไม่พบผู้หญิงที่ไม่ใส่บิกินี่แต่อย่างใด ใครบางคนอาจจะเถียงผมว่า สาวไทยอาจจะใส่บิกินี่ก็ได้ถ้าหล่อนมั่นใจในรูปร่างของตัวเอง สำหรับผมนั่นไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือรางวัลชิ้นงามสำหรับดวงตาคู่นี้ของผมต่างหาก คุณว่าอย่างนั้นไหม



ในฐานะที่ผมเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์บนเกาะห้องแห่งนี้ ผมขออนุญาติภูมิใจในทะเลของไทยอย่างเต็มภาคภูมิเสียหน่อย เพราะผมเชื่อว่าถ้ามันไม่มีอะไรที่ดีจริงๆ เหล่าผู้คนหลายสัญชาติคงไม่มุ่งหน้ามากันมากถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่ช่วงนี้ทางภาคใต้ของเรามีภัยธรรมชาติโจมตีกันอย่างที่เป็นข่าว และผมเสียดายจริงๆถ้าเราที่เป็นเจ้าของประเทศเองยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง

ทั้งๆที่ผู้คนมากหน้าหลายตาข้ามทวีปกันมาเยือนถึงที่นี่



ผมเผลอหลับไปไม่รู้ตัวใต้ต้นไม้ชายหาดเกาะห้องแห่งนี้ เพียงสะดุ้งตื่นและลืมตัวขึ้นมาอีกครั้งผมนึกว่าตัวเองอยู่บนสวรรค์ ก็จะไม่ให้คิดได้อย่างไรในเมื่อนางฟ้าน้อยใหญ่ต่างลงเล่นน้ำ นอนอาบแดด หรือเดินโชว์เรือนร่างกันอย่างเต็มสายตา ผมลองหลับตาแล้วใช้หูเป็นช่องทางหลักในการรับความสุขอีกสักครั้ง เสียงคลื่นและเสียงหัวเราะถูกป้อนเข้าสู่สมองและได้ผลลัพธ์ตอบมาว่ามันไม่น่าจะใช่สวรรค์ แต่อาจจะเป็นทะเลที่ใดสักแห่ง ปกติเวลาที่ผมหลับตาฟังเสียงต่างๆจากหูฟังที่เสียบคอมพิวเตอร์อยู่นั้น ถ้าผมเผลอลืมตาเมื่อไร ผมมักจะถูกทำร้ายด้วยภาพตรงหน้าทุกครั้ง เพราะผมก็จะพบเจอเพียงจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้มีตื้นลึกหนาบางแต่อย่างใด โดดเดี่ยว อ้างว้าง เงียบเหงา แตกต่างจากสิ่งที่หูได้ยินอยู่มาก ผมปล่อยให้หูทำหน้าที่อีกสักพัก เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง คุณน่าจะพอจินตนาการได้ว่าผมได้เห็นอะไรบ้างตรงหน้า ผืนฟ้า ผืนน้ำ ชายหาด แสงอาทิตย์ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงหน้า นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ผมเอื้อมมือไปสัมผัสทรายตรงหน้าอีกครั้ง ใช่ทรายจริงๆ และเพื่อความแน่ใจ ผมลุกเดินลงไปสัมผัสผืนน้ำตรงหน้า...เพื่อให้แน่ใจว่า นี่มันทะเลหรือสวรรค์กันแน่

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มรกตอันดามันในวันฝนปรอย (2)

เช้าวันที่สองในดินแดนมรกตอันดามันแห่งนี้ ถูกโปรแกรมไว้ด้วย ทัวร์ 4 เกาะ ที่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาสัมผัสอ่าวพระนางก็มักจะไม่พลาดที่จะลิ้มลองทัวร์นี้กันโดยถ้วนทั่ว เราเริ่มต้นทัวร์นี้ด้วยการนั่งรถตู้จากรีสอร์ทไปรวมกับลูกทัวร์ที่เหลือตรงหน้าอ่าวพระนาง แต่แล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นก่อนที่เราจะลงเรือเสียด้วยซ้ำ ผมเองกลัวการเมาเรือจะทำให้การทัวร์ครั้งนี้ไม่สนุกเท่าที่ควรเพราะเคยมีประสบการณ์กับการนั่งเรือสปีดโบ๊ตในลักษณะที่มีกระจกสูงกั้นด้านข้างและทำให้ลมจากภายนอกไม่สามารถหาทางมาปะทะใบหน้าของเราได้ และเมื่อใดก็ตามที่นั่งเรือโดยที่ไม่มีลมมาปะทะ ผมมักจะมีอาการไม่ค่อยดีในทุกครั้ง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ผมจะคืนอาหารเช้าจากกระเพาะอาหารสู่โลกภายนอกตั้งแต่การเดินทางเพิ่งเริ่มต้นด้วยรถตู้เท่านั้น ผมพยายามตั้งสติและโยกตัวด้วยความถี่เดียวกับตัวรถเพื่อที่จะให้ร่างกายไม่รู้สึกถึงอาการโคลงเคลง รวมทั้งการเบรคและออกตัวในแบบที่ไม่คำนึงถึงความนุ่มนวลใดๆทั้งสิ้น ผมเฝ้าภาวนาว่าเมื่อไรการเดินทางนี้จะสิ้นสุดเสียที และอย่างที่ทราบกัน ช่วงเวลาเลวร้ายมักจะยาวนานกว่าที่คิดเสมอ



และแล้วผมก็มีชีวิตรอดมาถึงหน้าอ่าวพระนางด้วยสภาพที่ไม่ค่อยจะพร้อมสำหรับการทัวร์สักเท่าไร จากนั้นสาวน้อยเจ้าถิ่นผู้ทำหน้าที่ไกด์ทัวร์ก็พาตัวเองมาแนะนำตัวต่อหน้าพวกเราทุกคน ผมได้ยินชัดเจนว่าหล่อนชื่อฝน แต่สำหรับลูกทัวร์ที่เหลือทุกคน เขาเหล่านั้นจะรู้จักเจ้าหล่อนในชื่อ rainny ซึ่งในกลุ่มทัวร์ครั้งนี้ มีเพียงเราสองที่จะรู้จักเธอในชื่อแบบไทยๆ เพราะทั้ง 11 คนในเรือเร็วลำนี้ มีเพียงเราสองคนที่มีสัญชาติไทย



เราเลือกพื้นที่บริเวณหัวเรือด้านหน้าที่ปราศจากวัสดุใดๆที่กั้นกลางระหว่างเราสองคนกับลมทะเล และอย่างที่ชีวิตสอนเราอยู่บ่อยๆ ถ้าเราต้องการจะมีชีวิตที่ดี

อุปสรรคเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับความต้องการลมทะเลของเรา แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงดังเปลวไฟก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับไว้เช่นเดียวกัน แต่โชคดีที่ทุกอย่าง

อยู่ในการคาดเดา ผ้าหนึ่งผืนที่เราซื้อมาในขณะเดินชอปปิ้งที่หน้าอ่าวพระนางเมื่อวานก็ช่วยชีวิตเราไว้ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่มันอาจจะดูเมื่อยแขนไปบ้างในการที่จะ

ต้องกางมันบังแดดไว้ตลอดเวลา แต่ถ้าถามผม ผมยอมที่จะเมื่อยมากกว่าที่จะไหม้ หรือว่าคุณไม่ได้คิดแบบผม



ผมโชคดีที่ได้ไปเยือนอ่าวไร่เลย์ด้านตะวันตกซึ่งไม่ได้อยู่ในโปรแกรมทัวร์แต่เรือจำเป็นที่จะต้องไปรับลูกทัวร์เพิ่มเติมอีกสองคนที่นั่น และนั่นเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราได้สัมผัสกับชายหาดที่มีชื่อชั้นของความงาม ขจรขจายไปไกลเกินกว่าที่ลมทะเลคาดคิดว่าจะพัดไปบอกผู้คนเหล่านั้นได้ถึง และช่วงเวลาสั้นๆที่ผมเห็นที่นั่น บอกได้เลยว่าไม่มีคำชมไหนมากเกินเลยความจริงแต่อย่างใด



ทัวร์ 4 เกาะนั้นประกอบไปด้วย 1.ถ้ำพระนางซึ่งมีทางเดินไปถึงอ่าวไร่เลย์ด้านตะวันออก (ไร่เลย์ที่พี่เรย์ แมคโดนัลด์ดื่มกาแฟพร้อมเพลง see scape ของ scrubb นั้นเป็นด้านตะวันตก) 2.เกาะปอดะ ซึ่งปอดะนั้นเป็นภาษามลายูแปลว่า เต่า 3. เกาะไก่ และสุดท้ายไฮไลต์สำคัญที่จะทำให้คุณได้ชื่อว่าผ่านทัวร์ 4 เกาะมาแล้วจริงๆ นั่นก็คือทะเลแหวกอันเรื่องชื่อนั่นเอง



ในขณะที่ไกด์สาวพาเราเริ่มต้นที่ถ้ำพระนางเป็นจุดแรกนั้น เธอได้เล่าให้ฟังถึงตำนานของถ้ำพระนางที่ค่อนข้างจะหลากหลายความเชื่อและเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป แต่ความเชื่อที่ชาวบ้านเชื่อถือกันมากที่สุดนั้นน่าจะเป็นเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งไม่มีลูก จึงไปขอวิงวอนพญานาคให้ประทานลูกให้เพื่อที่จะได้สมใจเสียที พญานาคเองก็ตอบตกลงแต่มีข้อแม้ว่าถ้าเป็นลูกสาวก็จะต้องให้แต่งงานกับลูกชายของตน (ทำอะไรย่อมหวังผล) ต่อมาครอบครัวนั้นก็ได้ลูกสาวสมใจ จึงให้ชื่อว่า "นาง" และอย่างที่ผมคาดคิด นางเป็นสาวงามที่สุดในละแวกนั้น (พญานาคจะไม่ประทานลูกขี้เหร่มาแน่ๆเพราะต้องเป็นลูกสะใภ้ตัวเอง) และแน่นอน มีสาวงามที่ใดก็ย่อมมีหนุ่มๆ มารุมจีบเช่นเดียวกันสุดท้ายหนุ่มนายหนึ่งก็สามารถเอาชนะใจสาวงามไปจนได้และไม่ว่าลูกชายของพญานาคจะพยายามเกี้ยวพาราสีเธอสักเท่าไร เธอก็ไม่สนใจเลยสักนิดต่อมาเธอได้ตัดสินใจแต่งงานกับหนุ่มชาวบ้านที่เอาชนะใจของเธอได้ และเรื่องก็เกิดขึ้นในงานวันแต่งงาน พญานาคโกรธแค้นที่พ่อของเธอไม่ทำตามสัญญาและเธอเองก็ไม่ยอมแต่งงานกับลูกของพญานาค จึงอาละวาดเกิดการทะเลาะและแย่งชิงตัวเธอ ท่านฤาษีที่บำเพ็ญเพียรอยู่บริเวณนั้นก็ออกมาห้ามทัพแต่ก็ไม่เป็นผล ฤาษีจึงสาปให้ทุกสิ่งเป็นหินและแล้วเรือนหอของนางจึงกลายเป็นถ้ำพระนาง ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆก็กลายเป็นเกาะทัพ เกาะหม้อ และเกาะต่าง ๆ บริเวณอ่าวพระนาง ซึ่งนั่นก็เป็นตำนานที่เล่าขานกันต่อมา



สิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่ตรงหน้านี้มันคือภาพที่จะถูกเล่าขานในใจไปอีกนานเช่นเดียวกัน มันเป็นภาพของฝรั่งชายหญิงที่มารุมถ่ายภาพปลัดขิกยักษ์หลายลำที่ตั้งอยู่ในบริเวณอ่าวพระนาง บางแท่งมีพวงมาลัยคล้องไว้ บางแท่งมีทองคำเปลวปิดอยู่มากมาย เหล่าผู้มาเยือนตาน้ำข้าวเหล่านั้นต่างยิ้มแย้ม มีความสุขกับลำลึงค์มโหฬารเหล่านั้น ผมเข้าใจว่าพวกเขาคงไม่เข้าใจว่าทำไมชาวเอเชียอย่างเราๆถึงได้เคารพเครื่องเพศยักษ์เหล่านั้น และไม่ต้องคาดเดาใดๆ ผมไม่มีข้อมูลส่วนนี้มาให้ และผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับขนาดของมัน พูดก็พูด ผมเห็นจนชินตาแล้วล่ะ



กับเกาะปอดะและเกาะไก่ ผมไม่มีอะไรที่ถึงขนาดประทับใจเป็นการส่วนตัว แต่การนอนมองทะเลอยู่บนหาดทรายแสนสวย รวมทั้งการเป็นคนไทยแค่เพียงสองคนในเกาะต่างๆที่เราไปสัมผัสมันก็เป็นประสบการณ์ที่จะทำให้ผมฝันเห็นบิกินี่ไปอีกนานแสนนาน และ ณ ขณะนั้น ใจของผมเตลิดไปถึงทะเลแหวกเรียบร้อยแล้ว อย่าคิดอะไรเกินเลย ผมหมายถึงทะเลแหวกจริงๆ



ทะเลแหวกนั้นเกิดจากสันทรายจากเกาะสามเกาะ คือ เกาะไก่ เกาะหม้อ และเกาะทับ ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมจะมาเยือนก็คือช่วงที่น้ำลงต่ำที่สุดในแต่ละวัน เพราะจะทำให้เราสามารถเห็นสันทรายนั้นได้อย่างเด่นชัด โดยเฉพาะช่วงก่อนและหลังวันขึ้น 15 ค่ำ ประมาณ 5 วัน และเมื่อสอบถามกับไกด์ทัวร์ วันที่ดีที่สุดในช่วงนี้ที่ควรจะมาชมความงามของทะเลแหวกก็คือ "เมื่อวาน" ก็อย่างที่กวีหนุ่มยุคใหม่อย่าง เป้ เสลอ เคยบอกไว้ "ความสวยงามมักจะอยู่ไกลออกไป" และทะเลแหวกก็ตอกย้ำความจริงนั้นกับผมอีกครั้ง ไม่มีทางที่ชีวิตของเราจะพบเจอกับทุกอย่างในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่ทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของผมขนาดนี้ บอกตามตรง มันสวยงามมากเกินพอแล้วจริงๆ



ทุกครั้งที่ผมไปทัวร์หมู่เกาะ ผมมักจะได้กิน ผัดเปรี้ยวหวาน สับปะรด และแตงโม ในทุกครั้ง และในครั้งนี้ผมไม่ปล่อยให้ความสงสัยหลุดลอดไป สำหรับผัดเปรี้ยวหวานผมไม่ได้คำตอบใดๆ แต่สำหรับสับปะรดและแตงโมที่ผมเคยคิดและเชื่อเอาเองว่า ที่ริมทะเลคงปลูกได้อยู่แค่ผลไม้สองอย่างนี้เท่านั้น แต่ความจริงที่ได้ทราบจาก rainny คือ มันเป็นผลไม้ที่ชุ่มชื้นและสามารถที่จะคืนน้ำให้กับร่างกายของเราได้ค่อนข้างมาก มันเลยเหมาะกับการออกทัวร์ซึ่งจะต้องโดนแดดแผดเผาอีกทั้งยังต้องเสียพลังงานไปกับการดำน้ำบ้างในบางครั้ง และสำหรับผัดเปรี้ยวหวาน บางทีสับปะรดที่ใส่ลงไปอาจจะเป็นคำตอบเช่นเดียวกัน



หลังจากทัวร์ 4 เกาะจบสิ้นลง เราตัดสินใจว่าหลังจากกลับไปพักผ่อน อาบน้ำอาบท่าที่รีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางไปดูที่พักที่หาดทับแขกซึ่งเราจะไปพักในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็จะออกมารับประทานอาหารที่ร้านอาหารทะเลที่โด่งดังที่สุดในอ่าวพระนาง และหอยชักตีนเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่ผมจะต้องลงลิ้นให้จงได้ ก่อนที่จะออกไปร้านอาหารนั้น ผมได้สอบถามกับพี่ร่วมงานที่บังเอิญมาพักที่รีสอร์ทเดียวกันกับกลุ่มเพื่อนๆของเขา ว่าเย็นนี้จะเดินทางไปไหนหรือไม่ เนื่องจากรถที่ผมเช่ามามีที่ว่างพอสำหรับพวกเขา และด้วยความที่เป็นหญิงล้วน 4 คน การเดินทางด้วยมอเตอร์ไซต์ในช่วงกลางคืนอาจจะไม่เหมาะเท่าไร สุดท้ายเราตกลงที่จะไปถนนคนเดินในตัวเมืองกระบี่ด้วยกัน ผมรู้ในตอนนั้นว่าในบางครั้ง นอกจากหมู่ดาวและลมทะเล การได้เห็นน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ก็ให้ความรู้สึกที่สดชื่นไม่แพ้กัน ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่สำหรับเราสองคน มันสำคัญไม่แพ้สิ่งใดๆ



เราพลาดหอยชักตีนไปเนื่องจากทางร้านแจ้งว่าทะเลในช่วงนี้ไม่เอื้ออำนวย แต่รสชาติของอาหารทุกชนิดก็ไม่ทำให้เราผิดหวังแต่อย่างใด และหลังจากเดินเที่ยวถนนคนเดินกับ 4 สาวเรียบร้อยแล้ว ค่ำคืนนี้จบลงด้วยการนั่งกินยำไข่แมงดาที่เก็บกลับมาจากร้านอาหาร พร้อมทั้งฝันถึงหาดทับแขกที่ไปสัมผัสความงามมาเมื่อช่วงเย็น ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเคยกินยำไข่แมงดากันหรือไม่ แต่สำหรับผม ยำไข่แมงดาท่ามกลางหมู่ดาวในคืนนี้อร่อยเหลือเกิน อร่อยจนผมเผลอคิดว่าไข่แมงดาที่เห็นตรงหน้า เป็นหมู่ดาวที่บังเอิญนางฟ้าทำตกลงมาในห้องพักของผม หรือว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆกันนะ

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มรกตอันดามันในวันฝนปรอย

หลังจากเปลี่ยนใจอยู่ 2 - 3 ครั้งเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่น สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเชื่อกรมอุตุนิยมวิทยาและข้อมูลบางส่วนจากทางที่พักที่จองไว้ว่าเราสามารถไปเยือนที่นั่นได้ หลังจากขจัดความกลัวเล็กๆในจิตใจออกไปได้สำเร็จ เสียงเพลงเปิดตัวของทริปนี้ก็เริ่มบรรเลงขึ้นและผมเชื่อว่ามันจะยังคงดังอยู่อย่างนั้นจนกว่าทริปนี้จะจบสิ้นลง

ในขณะที่เราจะต้องออกเดินทางจากสุวรรณภูมิไปเยือนจังหวัดกระบี่ในช่วงสายๆ แต่ค่ำคืนก่อนออกเดินทางนั้นผมยังคงต้องทำงานตั้งแต่ห้าทุ่มจนกระทั่งเจ็ดโมงเช้า เพราะไม่สามารถหาใครมาแทนได้ในช่วงเวลานั้น และด้วยความที่ต้องทำงานทั้งคืน นอกจากความง่วงเหงาแล้ว ความหิวก็ยังเป็นอีกหนึ่งศัตรูที่เข้าจู่โจมผมในช่วงใกล้รุ่ง อย่างที่รู้กันว่าบางครั้งมนุษย์เราก็ไม่ได้ตัดสินใจถูกไปเสียทุกครั้ง เช่นกันในคราวนี้ นมรสช็อคโกแลตคือความผิดพลาดที่ส่งผลไปจนถึงช่วงเช้าของวันใหม่ การนั่งคุยกับชักโครกอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเอาเสียเลย พวกคุณคิดว่าอย่างนั้นไหม

ด้วยการอดนอนและพิษร้ายจากนมช็อคโกแลตทำให้การเดินทางสู่สนามบินนานาชาติของผมไม่ค่อยสดใสเท่าไร แต่ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ส่งผลอะไรบางอย่างกับจิตใจของโชเฟอร์แท็กซี่คนนั้น มันทำให้เขาตัดสินใจทำตามสัญชาติญาณของเขาโดยไม่ปริปากถามอะไรผมสักนิด "ถึงแล้วครับ" โชเฟอร์หนุ่มพูดพลางส่งยิ้มให้ผม ผมส่งยิ้มกลับไปอย่างมิตรไมตรี พร้อมทั้งเอ่ยอะไรบางอย่างกลับไป "พี่ครับ ผมบินกับ low cost ครับ พี่พาผมมาจอดตรง TG ทำไม ผมเข้าใจว่าหน้าตาอย่างผมควรจะบินกับสายการบินระดับนี้ แต่ว่าบางครั้งทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเราเห็นนะครับ ...." ผมพูดบางอย่างในประโยคนี้ออกไป แต่บางส่วนผมทำได้แค่คิดในใจ ..

ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังคงทำให้ผมผิดหวังด้วยการทิ้งครีมกันแดดของผมไป ด้วยเหตุผลว่าปริมาณสุทธิที่หน้ากระปุกมันเกินกว่าที่กำหนดไว้ ผมพยายามช่วยกันกับคนรักสอบถามว่าทำไมไม่ชั่งน้ำหนัก เพราะครีมในกระปุกมันเหลืออยู่แค่ 1 ใน 3 ยังไงน้ำหนักก็คงไม่เกินแน่ๆ แต่สุดท้ายคำตอบที่ให้เราได้ก็มีแค่ว่า "มันเป็นกฏครับ" ผมคิดในใจ เอาก็เอาวะ เค้าคงกลัวเราจะเอามันไปทำระเบิดแล้วปล้นเครื่องบิน เพื่อความสบายใจของเจ้าหน้าที่เราก็ยอมทำตามกฏ และแล้วเมื่อผ่านด่านการตรวจนั้นมาได้ เราก็มาเดินหาซื้อระเบิดกันตามอำเภอใจใน king power duty free นี่ล่ะหนา กฏก็ต้องเป็นกฏ ผมยืนหัวเราะให้กับข้อบังคับเหล่านี้และรอเวลาที่คนรักจะซื้อระเบิดเสร็จสิ้น

พิษร้ายจากนมช็อกโกแลตยังคงส่งผลจนกระทั่งไม่กี่นาทีจะขึ้นเครื่อง แต่บางครั้งวิกฤตก็กลายเป็นโอกาส การได้นั่งปลดทุกข์เคียงข้างกับฝรั่งต่างสัญชาติเป็นอีกนั่งประสบการณ์ที่ไม่เคยพบเจอ แต่สุดท้ายผมก็ได้รู้แจ้งว่าสำเนียงผายลมเปื้อนชีส เปื้อนเนย ก็ไม่ได้น่าฟังไปกว่าท่วงทำนองปลดทุกข์ของพวกเราหัวดำสักเท่าไรเลยจริงๆ

และแล้วเจ้าเครื่องบินสีแดงก็พาเรามาถึงสนามบินกระบี่โดยสวัสดิภาพ บรรยากาศอาจจะเสียไปนิดหน่อยเนื่องจากยังคงมีฝนตกประปรายในพื้นที่นั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้แรงบันดาลใจในการเที่ยวของพวกเราหายไปอย่างใด เมื่อลงจากเครื่องบินผมติดต่อเข้าไปทางที่พักเพื่อสอบถามถึงเรื่องของรถที่จะไปส่งเราที่โรงแรม ซึ่งทางโรงแรมก็แจ้งว่าสักพักรถก็จะมาถึงที่สนามบินและให้เราไปรอทางด้านหน้าสนามบินได้เลย หลังจากวางสายไม่นาน เราก็ได้พบกับชายผิวคล้ำกรำแดดคนหนึ่ง ชูป้ายชื่อผมอยู่ สาบาน วินาทีนั้นผมคิดว่าผมเป็นพวกตาน้ำข้าวที่กำลังมาเยือนเมืองไทย

ในระหว่างที่นั่งรถจากสนามบินไปสู่ที่พักนั้น ทางคนขับก็ได้พาพวกเราผ่านหาดทรายขาวยาวสุดลูกหูลูกตาและได้แนะนำกับเราว่าบริเวณนี้มีชื่อเรียกว่า "อ่าวพระนาง" ซึ่งสิ่งทีแปลกตาแปลกใจและผมไม่คุ้นเคยก็คือ ถ้าเราข้ามถนนจากฝั่งชายหาดมาอีกฝากถนนหนึ่งนั้น ร้านค้าเล็กใหญ่ มีแบรนด์และไม่มีแบรนด์ ต่างปักหลักเรียกลูกค้าทั้งไทยและเทศจนผมแทบจะรู้สึกว่ามันคือส่วนหนึ่งของห้างสรรพสินค้ากลางเมืองใหญ่ หาใช่ตลาดริมชายหาดธรรมดาๆ อีกสิ่งที่แตกต่างของอ่าวพระนางก็คือ ที่นี่ไม่มีผับ เธค หรือธุรกิจประเภทนั้นอยู่เลย สอบถามจากโชเฟอร์ได้คำตอบว่าพื้นที่แถวนี้ส่วนใหญ่เป็นของคนมุสลิมซึ่งอาจจะทำธุรกิจเองหรือให้เช่าพื้นที่ทำธุรกิจ และด้วยข้อกำหนดทางศาสนาบางอย่างซึ่งทางมุสลิมในพื้นที่ให้ความเคารพและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจึงทำให้ไม่มีธุรกิจประเภทนั้นที่อ่าวแห่งนี้ แต่จากที่ผมเข้าใจ และไม่น่าจะเข้าใจผิด ศาสนาพุทธของเราก็มีศีลห้าที่เป็นหลักบังคับขั้นต้นอยุ่ และ
1 ใน 5 นั้น ก็มีการห้ามดื่มสุราอยู่ด้วยเช่นกัน แต่อย่างที่เราเข้าใจกัน แค่ห้ามใจไม่ให้ดื่มในวันพระ ถ้าทำสำเร็จ ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนพุทธที่น่ายกย่องในระดับหนึ่งแล้วจริงๆ

หลังจากได้เห็นอ่าวพระนางก่อนที่จะมาถึงที่พัก มันทำให้เราตัดสินใจว่าหลังจากนำกระเป๋าไปเก็บที่ที่พักแล้ว เราจะออกมาเดินทักทายกับร้านรวงริมทะเลเหล่านี้สักหน่อยแต่มันอาจจะมีอุปสรรคอยู่บ้างตรงที่ท้องฟ้ายังไม่ค่อยเป็นใจให้เราสักเท่าไร เพียงแต่ว่าบางครั้ง การเตรียมใจไว้ก่อนก็เป็นการป้องกันความผิดหวังได้ดีในระดับนึงทีเดียว

หลังจากเดินลุยฝนปรอยๆอยู่สักพักก็เริ่มมีเหตุการณ์อื่นๆดึงความสนใจผมไปจากเม็ดฝนน้อยๆที่คอยทิ่มตำเราสองคนอยู่ มันแปลกจนน่าสังเกตว่าทำไมพนักงานหน้าร้านหลายๆคน จนกระทั่งแม่ค้าในร้าน หรือกระทั่งเด็กคิดเงินใน supermarket ก็มักจะใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนาพาทีกับผม ทั้งๆที่เขาเองก็เป็นคนไทยแท้ๆและไม่มีเค้าโครงว่าจะเป็นลูกครึ่งแต่อย่างใด แวบหนึ่งในใจ ผมคิดว่าคงเป็นเพราะผมหน้าเหมือนคนทางยุโรปใต้ แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จำพวก อิตาลี สเปน โปรตุเกส อะไรพวกนั้น ผมเดินยิ้มกริ่มอยู่กับความคิดนั้นพร้อมทั้ง speak english อย่างเพลิดเพลินใจ ช่วงเวลาสั้นๆนั้นทำให้ผมมีความสุขราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ และผมคิดว่ามันจะยาวนานไปอีก เมื่อได้ยินเด็กหน้าร้านเชิญผมเข้าร้านด้วยภาษาอังกฤษอีกครั้ง แต่แล้วสวรรค์ของผมก็ล่มลงตรงหน้าด้วยประโยคที่กินเวลาในการเปล่งเสียงแค่ไม่กี่วินาที แต่ทำร้ายหัวใจของผมจนไม่สามารถลืมมันลงได้เลยสักครั้ง "เขาเป็นคนไทย ไม่ใช่มาเลเซีย เรียกภาษาไทยก็ได้"

จากคำพูดนั้นผมก็ได้รู้ว่า สวรรค์ที่ผมอยู่นั้น ในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ มีคนมาเลเซียมาเที่ยวค่อนข้างมาก และมันก็ยากทีเดียวในการจะแยกคนไทยกับคนมาเลยเซีย "อ้าวแล้ว อิตาลี สเปน อะไรแบบนี้ไม่มาเที่ยวกันเหรอวะ" ผมคิดในใจ ถอนหายใจพร้อมกับเฝ้ามองสวรรค์ที่ถูกทำลายลงตรงหน้าอย่างไม่มีความปราณี ด้วยคำสั้นๆที่พี่เป้ เสลอ เลือกมาเป็นชื่อเพลง.. "มาเลเซีย"

ผมพกพาความผิดหวังเรื่องเชื้อชาติกลับมาที่รีสอร์ทอย่างเศร้าสร้อย เหลือบมองนาฬิกาข้อมือเพื่อดูว่ายังจะสามารถทำอะไรที่จะทำให้จิตใจชุ่มชื้นขึ้นมาได้บ้าง สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้ package ที่ซื้อมาพร้อมกับห้องพักในเย็นวันแรกนี้เลย เพื่อคลายความเศร้าที่พกมาจากอ่าวพระนางแห่งนั้น package ที่ว่านั้นคือ การนวดน้ำมันหรือเรียกแบบดูดีว่านวดอโรม่า (มันเหมือนกันหรือเปล่านะ)

"เข้าไปเปลี่ยนชุดเลยครับ" สิ่งมีชีวิตเพศผู้ที่มีหัวใจหลงใหลเพศเดียวกัน เชิญเราสองคนเข้าไปในห้องสปาที่มีไฟสลัวๆพร้อมทั้งยื่นชุดคลุมซึ่งดูไปก็เหมือนชุดคลุมอาบน้ำตามโรงแรมทั่วไปนั่นเอง ในสมองผมตอนนั้นสงสัยเหลือเกินว่า จะให้เราเปลี่ยนชุดอะไรเพราะไม่เห็นให้ชุดอะไรมา เมื่อความสงสัยเกิดขึ้นผมจึงพยายามที่จะหาคำตอบด้วยการเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องออกเพื่อดูว่าอะไรคือสิ่งที่ผมสมควรจะสวมใส่ และตู้เสื้อผ้าอันแสนจะว่างเปล่าราวกับท้องฟ้าในคืนไร้ดาวนั้นคือคำตอบที่ชัดเจนกว่าสิ่งใด "ใส่กางเกงในตัวเดียวครับ" สิ่งมีชีวิตเดิมตอกย้ำกับผมอีกครั้ง

เราสองคนนอนคว่ำหน้าโดยมีเพียงอาภรณ์ชิ้นเดียวอยู่บนร่างกายพร้อมทั้งผ้าบางๆคลุมร่างกายไว้ หมอนวดเดินเข้ามาในห้องทั้งสองคนและทำท่าทางพร้อมที่จะลงมือคลายกล้ามเนื้อให้กับเราทั้งสองคนแล้ว หนึ่งหมอนวดนั้นคือหญิงวัยกลางคน อีกหนึ่งนั้นคือหนุ่มวัยกลางคนผู้ตัดสินใจเลือกเพศของตัวเองให้ตรงข้ามกับอวัยวะในร่างกาย และอย่างไม่คาดคิด เขาคนนั้นเลือกจู่โจมมาที่ร่างกายของผมแทนที่จะปล่อยให้หญิงวัยกลางคนเป็นผู้ดูแล หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างรู้กันเพียงเราสองคน

หลังจากปล่อยให้ร่างกายทุกส่วนถูกลูบคลำไปได้สักพัก ผลจากการอดนอนและถ่ายท้องในคืนก่อนก็ทำให้ผมไม่สามารถต้านทานเปลือกตาของตัวเองได้อีกต่อไป รู้ตัวอีกทีกระบวนการนวดก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว และที่สำคัญกางเกงชั้นในของผมก็ถูกดึงเข้าไปไว้ในร่องก้นทั้งหมด ดีที่ว่าคนข้างกายผมยังคงยืนยันว่าเสียงที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงกรน ไม่มีเสียงครางอื่นใดเจือปน ไม่เช่นนั้นการไปกระบี่คงเป็นฝันร้ายที่ผมไม่อาจจะลืมเลือนได้ลง (หรือจะเป็นฝันดีกันนะ ?)

เมื่อเวลาอาหารเย็นมาถึง ทางที่พักได้แจ้งให้เราไปรอที่ห้องอาหารของทางรีสอร์ทได้เลย เพราะราคาที่เราจ่ายในครั้งจองที่พักนั้นได้แถมอาหารเย็นให้ด้วย และจากเมนูที่ได้เห็นราคาที่จ่ายไปก็ต้องถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว แกงส้มกุ้งมะละกอ ต้มยำซีฟู๊ด ไข่เขียวกุ้ง ไก่(ควรจะเป็นปูแต่ช่วงนั้นออกทะเลไม่ได้)ผัดพริกไทยดำ ปอเปี๊ยะทอด นั่นคือรายชื่อเมนูที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เพื่อรองรับความหิวจากแดนไกล และหลังจากจบเมนคอร์สเหล่านี้ ด้วยโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ทำให้เราสั่ง บลูมาการิต้าสองแก้ว มาตบท้าย dinner ครั้งนี้เพื่อละเลงอารมณ์ที่คร่ำเครียดกับงานในเมืองหลวงให้ใกล้ชิดกับคำว่าผ่อนคลายมากเท่าที่จะทำได้ แต่คิดๆไปก็เสียดายเหมือนกันที่สั่งเพียงบลูมาการิต้า เพราะบนเมนูค็อกเทลที่เห็นนั้น sex on the beach หรือ Orgasm ดูจะเป็นชื่อที่น่าลิ้มลองกว่าไม่ใช่น้อย สาบาน ผมหมายถึงค็อกเทลจริงๆ

หลังจากมื้อเย็นจบสิ้นลง ผมพาร่างกายที่ยังอ่อนล้าขึ้นไปพักผ่อนในห้องพัก วิวของห้องพักมองเห็นหมู่ดาวที่พยายามอวดความงามอยู่เต็มท้องฟ้า ท้องฟ้าที่ผมและทุกคนที่นี่เคยหวาดกลัว แต่ในคืนนี้ท่ามกลางหมู่ดาวที่เห็นเราไม่เชื่อเลยสักนิดว่ามันจะเป็นท้องฟ้าเดียวกัน ท้องฟ้าที่แสดงความพิโรธออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าที่เราจะมาถึงที่แ่ห่งนี้

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

เราทุกคนต่างมีทะเลเป็นของตัวเอง

"เราทุกคนต่างมีทะเลเป็นของตัวเอง" คุณเชื่อผมไหม ?

วันหนึ่งถ้าเรามีโอกาสไปทะเลด้วยกัน คุณอาจจะเบื่อที่ผมนั่งๆนอนๆมองทะเลทั้งวัน "มาทะเลทำไมถ้าไม่เล่นน้ำทะเล"
นั่นเป็นตัวอย่างประโยคที่ผมคิดว่ามันอาจจะพรั่งพรูมาจากคุณด้วยความเบื่อหน่าย
แต่ถ้าผมนั่งมองทะเลคนเดียวได้ คุณเองก็ควรจะเล่นน้ำทะเลคนเดียวได้มิใช่หรือ
"ก็ในเมื่อนั่นมันคือทะเลของคุณ ทะเลซึ่งมีไว้สำหรับลงเล่นน้ำ"
ใครบางคนชอบปีนเขา แต่จะมีความสุขที่สุดถ้าระหว่างปีนนั้นหันหน้ามองออกมาแล้วเห็นทะเลกว้างใหญ่
ใครบางคนชอบนอนให้คนอื่นนวดตัว แต่จะสุขเป็นสองเท่าถ้าระหว่างที่นอนคว่ำนั้น
เงยหน้ามองไปแล้วเห็นผืนน้ำเค็มกว้างใหญ่อยู่ีตรงหน้า
บางคนชอบกินไก่ย่างส้มตำ ซึ่งในความเป็นจริงน่าจะเป็นอาหารอีสาน และอย่างที่ทุกคนรู้ ภาคอีสานไม่มีทะเล
แต่ก็อย่างที่พวกคุณก็รู้เช่นกัน ทะเลทุกที่มีส้มตำไก่ย่าง และพวกคุณบางคนก็ชอบกินส้มตำริมทะเล
นอกจากที่กล่าวไป ยังมีทะเลในอีกหลากหลายรูปแบบที่ผู้คนต่างหลงใหล
จะเป็น ดำน้ำ ถ่ายรูป กินเหล้า เมารัก อะไรก็แล้วแต่ล้วนใช้ทะเลเป็นส่วนประกอบได้ทั้งสิ้น
ถ้าเปรียบชีวิตเป็นอาหารมื้อใหญ่ ทะเลก็ไม่ต่างจากผงชูรสหรือน้ำปลาพริก ที่ช่วยเติมรสชาติให้กับชีวิต
ผิดกันแต่ว่าใครก็รู้ว่าผงชูรสนั้น ถ้าร่างกายได้รับมาเยอะจนเกินไปมันอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี
และอีกทางถ้าเป็นน้ำปลาพริกตักราดมากไปอาจจะเผ็ดหรือเค็มจนทนกินต่อไม่ได้
.... แต่ถ้าเป็นทะเล มันไม่มีผลเสียต่อร่างกาย
และถึงแม้จะเค็ม แต่ผมก็ไม่เคยลังเลที่จะละเลงมันลงบนจานอาหารแห่งชีวิตของผมเลยสักครั้ง แล้วคุณล่ะ ?
แต่ถ้าใครจะเถียง ใครคิดว่าการได้รับทะเลเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปจะเป็นผลเสีย
คุณไม่ต้องมาถกเถียงกับผม เชิญใช้ทะเลในแบบที่คุณต้องการและในปริมาณที่คุณคิดว่าเหมาะสม
เพราะไม่ว่าจะยังไง เราต่างก็มีทะเลเป็นของตัวเองกันทุกคนอยู่แล้ว หรือถ้าคุณยังไม่มี
ลองเข้ามาคุยกันดูก่อน เผื่อผมจะให้คุณยืมทะเลของผม หวงหรือ ?
ไม่หรอก เพราะผมรู้ วันหนึ่งคุณก็จะต้องมีทะเลเป็นของตัวเอง เชื่อผมสิ

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

"นวดเท้าสบายดีไหมคะ"

"หนักๆเลยครับ อูยยยย ดีครับดี"

มันไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไรที่จะตามหาร้านนวดแผนโบราณในเมืองหลวงซึ่งเป็นต้นตำรับของศาสตร์แขนงนี้
ถ้าจะพูดไปแล้วสิ่งที่หาได้ยากกว่าสถานที่ มันน่าจะเป็นเวลา 1 - 2 ชั่วโมงที่จะละทิ้งภาระต่างๆให้พ้นตัวและแบกสังขารมาให้เหล่าหมอนวดทั้งหลายใช้วิทยายุทธที่เล่าเรียนมา(หรือเปล่า ?) ผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่สะสมมาจากหน้าที่การงานและกิจกรรมอื่นใดที่ส่งผลร้ายต่อกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของชีวิตเรา ผมพยายามอยู่นานจนกระทั่งวันนี้เมื่อผมมีโอกาส ผมจึงไม่อยากจะให้เหล่าหมอนวดยั้งมือกับร่างกายของผมแม้สักนิด

ท่ามกลางเหล่าหนุ่มสาวแห่งยุคสมัยมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมาต่อหน้าหนุ่มโสดเช่นผมที่กำลังพลีเท้าให้สาวสูงวัยผ่อนคลายอยู่นั้น ผมรู้สึกได้ถึงความสับสน วุ่นวาย และไม่สงบนิ่ง ตามลักษณะของผู้คนในเมืองใหญ่ทั่วไปฉายออกมาจากหนุ่มสาวเหล่านั้นอย่างชัดเจน
โดยคุณลักษณะนี้เกิดขึ้นได้โดยไม่สำคัญว่าภูมิลำเนาของกลุ่มคนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน
แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาและเธอหลงมาตามหาโอกาสหรือกระทั่งความสำเร็จที่เมืองหลวงแห่งนี้ พวกเขาเหล่านั้นจะได้รับสิทธิ์นั้นทันทีไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม

และแม้กระทั่งหนุ่มสาวบางคู่ที่แสดงสัญลักษณ์ของการเป็นเจ้าของกันและกันด้วยการจับมือหรือโอบเอว
(ผมไม่เรียกว่า จับมือถือแขน เพราะไม่รู้ว่าคนเราจะไปถือแขนให้กันทำไมในเมื่อมันก็ติดตัวเราตลอดอยู่แล้ว)
แต่บางคนจากบางคู่ก็ยังมิวายแสดงความสับสนและวุ่นวาย รวมทั้งหวั่นไหวออกมาทางแววตา ตอนไหนน่ะเหรอ ?
ก็เวลาที่พบเจอกับสิ่งมีชีวิตเพศตรงข้ามที่งดงามกว่าสิ่งมีชีวิตที่ตัวเองแสดงความเป็นเจ้าของอยู่นั่นยังไง
แต่ก็แน่ล่ะ ใครๆก็ย่อมยินดีที่จะเสพความสุขทางสายตา ด้วยกันทั้งนั้น... ถ้าเพียงแค่มันจะไม่สร้างอันตรายให้กับตัวเอง

ไม่เว้นแม้กระทั่งผม....
ก็ในเมื่อผมไม่ได้มีใครข้างกายที่จะให้แสดงความเป็นเจ้าของ อีกทั้งไม่ได้มีใครข้างใจที่จะทำให้ไม่สับสน
ก็ย่อมที่จะเป็นสิทธิ์โดยชอบทำที่ผมจะมีความสุขกับเรือนร่างปรุงแต่งกลิ่นที่เดินเย้ายวนผ่านไปผ่านมาและไม่ได้แยแสใดๆกับความสั้นยาวของวัตถุที่เรียกว่ากระโปรงที่ผมไม่แน่ใจว่ามันปกปิดเรียวขาหรือช่วยเปิดเผยเรียวขาของพวกหล่อนอยู่กันแน่
ว่าแต่การที่หมอนวดกำลังจับเท้าของผมอยู่ มันถือเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของเหมือนการจับมือหรือเปล่านะ ...

"ตรงนั้นล่ะครับ ปวดน่องอยู่พอดีเลย อาาาาา"
จะว่าไปการนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้นวดคนเดียวมันก็ทำให้จินตนาการไหลลื่นดีเหมือนกันนะ แต่มันก็น่าจะดีกว่านี้ถ้ามันมีใครมานั่งนวดเป็นเพื่อนอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ และโดยเฉพาะถ้าใครคนนั้นเป็นเพศตรงข้ามที่ไม่มีเจ้าของ
หรือถ้าเป็นเธอคนนั้นเจ้าของกระโปรงสั้นเข้ารูปสีดำขลับตัวที่ผมกำลังให้ความสนใจอยู่นี้ ก็คงจะไม่เลวทีเดียว
ว่าแต่เธอต้องการอะไรกันแน่นะ ผมเห็นเธอเดินผ่านไปผ่านมาอยู่แถวนี้ 2 - 3 รอบ
บางครั้งทำทีเหมือนจะเข้ามานวด แต่ก็เหมือนจะลังเลอะไรบางอย่าง
หรือว่าการนั่งนวดเท้าข้างๆกันกับผมมันดูไม่เหมาะสมถ้าแฟนเธอมาเห็น ไม่เอาน่า ผมคงคิดมากไปเอง เธออาจจะไม่มีแฟนก็ได้

"จะนวดต่ออีกหรือเปล่าคะ อีก 15 นาทีจะหมดเวลาแล้ว"
เสียงหมอนวดดังก้องทะลุทะลวงห้วงความคิดของผมแตกกระจาย ผมสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไปในทันที
ผมตัดสินใจชำเลืองมองเธอคนนั้นอีกครั้งเพื่อเป็นเหตุผลประกอบการตัดสินใจของผม
ถ้าเธอมีทีท่าที่จะเดินเข้ามาในร้าน การเสียเงินนวดอีกสักชั่วโมงเพื่อชื่นชมเธอคงไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไรเท่าไร
อย่างไรก็ดีกว่าการกลับบ้านไปนอนดูรายการทีวีห่วยๆคนเดียวเป็นแน่

จนถึงตอนนี้เธอยังคงวนเวียนอยู่บริเวณเดิม แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าที่จะตัดสินใจเข้ามานวดแต่อย่างใด
ถ้าเป็นเช่นนั้นทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายคงเพียงพอแล้วที่จะให้ผมหยุดการผ่อนคลายและเดินทางกลับไปดูรายการห่วยๆอย่างไม่มีทางเลือก... "ไม่ล่ะครับ 1 ชั่วโมงก็พอดีๆแล้ว "
ผมตอบหมอนวดอายุคราวแม่ไป พร้อมกับส่งยิ้มกระชับความสัมพันธ์เล็กๆให้กับเธอ
ผมตัดสินใจหลับตาเพื่อดื่มด่ำและอิ่มเอมกับการนวดเท้าในช่วงสุดท้าย
โดยหวังว่ามันน่าจะมีสมาธิมากกว่าที่ผมจะมัวลืมตามองอะไรๆที่มันจะทำให้สมาธิของผมแตกซ่านคิดไปไกลกว่าการนวดในลักษณะนี้ และหลังจากที่ผมตกผลึกความคิดนี้ ม่านตาของผมก็ปิดลงอย่างช้าๆ

ในระหว่างที่ผมกำลังดิ่งลงลึกไปในมนต์สเน่ห์แห่งการสัมผัสอยู่นั้น ผมกลับได้ยินเสียงบางอย่างแทรกเข้ามาในมโนสำนึกของผม
ถ้าไม่หลอกตัวเอง เสียงมันน่าจะคล้ายกับใครสักคนทิ้งน้ำหนักลงบนเก้าอี้นวดตัวที่อยู่ข้างผม...
หรือว่าจะเป็นเธอกันนะ ผมห้ามความคิดแบบนี้ของตัวเองไม่ได้จริงๆ
ด้วยความอยากรู้ปนกับความอยากในทุกรูปแบบ ผมเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูว่าใครกันแน่เป็นเจ้าของเสียงที่ปลุกให้ผมออกจากภวังค์ครั้งนี้ และเพียงแค่ชำเลืองด้วยหางตา กระโปรงสั้นสีดำกับขายาวๆสีขาวคู่นั้นก็ทำเอาหัวใจของผมแทบจะหลุดออกมาจากทรวงอก เธอคนนั้นนั่นเอง ....

เอายังไงดีล่ะทีนี้ ผมคิดในใจ เวลาผมก็ไม่ได้ต่อไว้ จะลืมตาดูเรียวขาและหน้าตาของเธอเต็มที่ก็จะน่าเกลียดเกินไป
เก้าอี้ที่ใกล้กันมันอาจจะทำให้เธอรู้ตัวและความหวังทุกสิ่งอย่างของผมก็จะพังทลายลง
เฮ้อ.. ถ้ารู้อย่างนี้เมื่อกี้นวดต่อสักครึ่งชั่วโมงทุกอย่างมันคงจะดีกว่านี้
ผมตัดสินใจหลับตาลงอย่างช้าๆเพื่อครุ่นคิดอีกครั้งว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร ถ้า... ถ้า...
และในระหว่างที่กำลังจะใช้สมาธินั้น ผมรู้สึกเกลียดจมูกตัวเองเหลือเกิน
เกลียดมันที่รับกลิ่นน้ำหอมของเธอเข้ามาโดยไม่เกรงใจผมเลยสักนิด กลิ่นบ้าอะไรไม่รู้หอมดีจริงๆ ....

"หมดเวลาแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ"
เสียงสุดท้ายของหมอนวดดังขึ้นพร้อมๆกับความรู้สึกใจหายของผม ใจหายที่จะต้องลาจากเธอผู้นี้กลับไปสู่โลกเดิมๆของผม คุณรู้ใช่ไหมว่าคำว่าเธอผู้นี้ไม่ได้หมายถึงหมอนวดคราวแม่คนนั้น ...

ผมตัดสินใจพยุงตัวขึ้นนั่งหลังตรงเพื่อใส่ถุงเท้าและรองเท้า เตรียมที่จะลุกไปจัดการกับค่าใช้จ่ายที่ผมอุตส่าห์อนุญาติให้คนที่ไม่รู้จักมาเล่นเท้าผม แต่หลังจากผมใส่รองเท้าข้างซ้ายเสร็จ เสียงที่ผมไม่คิดจะได้ยินมันก็ดังขึ้นข้างๆผม
ใช่ครับ .... คุณก็คิดใช่ไหมว่ามันน่าจะเป็นเสียงเธอคนนั้น

"นวดเท้าสบายดีไหมคะ"
เสียงนั้นทำให้ผมอยากจะหยุดกิจกรรมทุกอย่างและตั้งใจฟังมันเพื่อที่จะเก็บมันไว้ในความทรงจำที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผม เพราะตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ไม่เคยมีผู้หญิงที่จัดได้ว่าสวยคนไหนมาชวนผมคุยก่อนเลยสักคน แต่ถึงจะตื่นเต้นขนาดไหนด้วยมารยาทแล้วผมควรจะต้องใส่รองเท้าข้างขวาของผมต่อไป .... แต่บางครั้งในชีวิต เราก็ต้องทำอะไรที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอๆ
และวันนี้ ผมเลือกที่จะทำอย่างนั้น

"ครับ สบายดีครับ นี่กำลังจะให้เค้านวด คอ บ่า ไหล่ ต่อสักหน่อย ไม่รู้ว่าจะนวดบนเก้าอี้ตัวนี้ได้เลยหรือเปล่า"
ผมส่งยิ้มให้กับเธออีกครั้งอย่างสุภาพ และไม่วายส่งยิ้มให้กับหมอนวดที่เพิ่งนวดเท้าผมเสร็จ
ยิ้มที่ผมส่งไปเป็นยิ้มแบบ "รู้กัน" แต่ยิ้มที่ป้าหมอนวดเธอส่งมาให้ผมนั้นมันดันเป็นยิ้มแบบ "รู้ทัน"
และเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ผมกระแอมเล็กๆใส่คุณหมอนวดเพื่อให้เธอหุบยิ้มนั้นเสีย ก่อนที่เจ้าของเรียวขางามจะเห็น
และเพียงเสี้ยววินาทีผมก็ได้ยินเสียงเธอคนนั้นอีกครั้ง เสียงที่จะเป็นความทรงจำครั้งสำคัญของผม

"ดีค่ะ นวดเป็นเพื่อนๆกัน ฉันจะได้ไม่ต้องนั่งนวดรอแฟนอยู่คนเดียว"

..............

"ไปนวด คอ บ่า ไหล่ บนเตียงนอนในห้องโน้นไหมคะ จะได้ไม่เจ็บ..." หมอนวดวัยเกษียรกล่าวกลั้วยิ้มกับผมอย่างเป็นห่วง

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

ต้นไม้ของฉัน

ฉันกำลังปลูกต้นไม้
ผู้หวังดีมากมายบอกฉันว่า.....
ต้นไม้ที่ฉันเลือกปลูกค่อนข้างจะดูแลยากกว่าต้นไม้ทั่วไป
ช่วงเริ่มต้นอาจจะต้องดูแลมากหน่อย
พรวนดินให้กับมันบ้างและต้องคอยรดน้ำให้ชุ่มฉ่ำ
และที่สำคัญ.....ดูแลเรื่องแสงแดดอย่างระมัดระวัง

แต่คำแนะนำก็ยังไม่หมดแค่นั้น เขาเหล่านั้นบอกฉันอีกว่า
การรดน้ำให้ชุ่มฉ่ำนั้นดีแล้ว.....แต่อย่างไรก็ต้องคำนึงถึงความพอเหมาะพอควร
เพราะเจ้าต้นไม้ชนิดนี้บางต้นก็มักจะชินกับการถูกรดน้ำเช้าเย็น
นั่นทำให้พอมันเริ่มเจริญเติบโต
มันจะเรียกร้องการรดน้ำในปริมาณเท่านี้ตลอดไป

ไม่ใช่ว่าฉันจะทำให้มันไม่ได้นะ.....
แต่ถ้าลองคิดวางแผนไปข้างหน้า
ถ้าฉันมีภาระหน้าที่มากขึ้น การรดน้ำทุกวันเช้าเย็นอาจจะเป็นภาระที่ฉันต้องแบก
และความสบายใจของฉันก็อาจจะหายไปเมื่อความอยากดูแลเอาใจใส่มันกลายไปเป็นหน้าที่
เพราะฉะนั้นฉันจึงพยายามรดน้ำให้มันอย่างพอเหมาะ
ไม่ชุ่มฉ่ำมากจนเกินไป แต่ก็ไม่เคยจะปล่อยให้ขาด

เรื่องแสงแดดก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญสำหรับเจ้าต้นไม้ต้นนี้
ผู้คนมากมายที่เคยปลูกต่างบอกกับฉันว่า....
จะให้โดนแดดเยอะหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแต่ละต้น
บางต้นเคยอยู่ท่ามกลางแดดอันร้อนแรง
ปรับตัวไม่ได้กับการอยู่ในที่ร่ม เราก็จำเป็นจะต้องวางเขาไว้แบบนั้น
ส่วนบางต้นไม่เคยชินกับการโดนแดดแม้เพียงเล็กน้อย
จริงอยู่ที่เราควรจะฝึกให้เขาโดนแดดบ้างเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง
แต่การฝึกก็ต้องเป็นไปอย่างไม่รีบร้อน ไม่รีบเร่ง และที่สำคัญ...ไม่ฝืน

นอกจากเรื่องง่ายๆเหล่านี้แล้ว
การรู้จักต้นไม้ที่เราจะปลูก ก็เป็นเรื่องสำคัญมากจริงๆ
ไม้ดอกไม้ประดับแน่นอนว่ามันสวยงาม
แต่ถ้าคุณจะหวังร่มเงาจากมัน
มันก็คงจะไม่สามารถตอบสนองคุณได้

แต่ถ้าคุณเลือกปลูกไม้ยืนต้น...
แน่นอนว่าร่มเงาจากมันเป็นสิ่งที่คุณจะคาดหวังได้
แต่ไม่ใช่จะรอเก็บผลอร่อยไปลิ้มรส...
เพราะคุณอาจจะผิดหวัง

ฉันคิดว่าฉันรู้จักต้นไม้ของฉันค่อนข้างดีทีเดียว
มันไม่ได้ใหญ่โตและมีลำต้นที่แข็งแรงมาก
แต่ถ้าฉันพร้อมที่จะนั่งลงที่โคนต้น
มันก็พร้อมจะให้ร่มเงาและความเย็นสบายกับฉันเสมอ

นอกจากนั้นในบางครั้ง...มันยังออกลูกออกผลมาให้ฉันได้ทานอีกด้วย
รสชาติอาจจะไม่หวานมาก
แต่บอกได้เลยว่ามีประโยชน์กับร่างกายของฉันมาก
ที่สำคัญที่สุดคือมันมีดอก

ดอกมันสวยและงามมากพอที่จะทำให้ฉันไม่สามารถละสายตาจากมันได้
แต่มันไม่ได้ออกดอกบ่อยๆหรอกนะ
เพราะต้นไม้ของฉันมันจะออกดอกต่อเมื่อมันได้บางสิ่งบางอย่าง
บางสิ่งนอกเหนือจากน้ำและแสงแดด

ฉันใส่ปุ๋ย........
ทุกครั้งที่ฉันคิดว่ามันถึงเวลา ฉันจะใส่ปุ๋ย
วิธีนี้ไม่มีใครสอนแต่ฉันเชื่อว่ามันถูก
เพราะทุกครั้งที่ฉันใส่ปุ๋ย ดอกของมันมักจะงดงามเสมอ

แต่ถึงดอกมันจะไม่ออกมาให้ฉันชื่นชม
ฉันก็ไม่เคยจะเสียใจเลย
ไม่มีดอก ไม่มีผล ไม่มีร่มเงา
ฉันก็จะไม่เสียใจเลยสักนิด

สำหรับฉัน...
การได้รดน้ำ พรวนดิน วางมันไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง
นั่นคือความสุขของฉัน และที่สำคัญ
ฉันรักจะใส่ปุ๋ยให้มันเสมอ
"ต้นไม้ของฉัน"