วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

"นวดเท้าสบายดีไหมคะ"

"หนักๆเลยครับ อูยยยย ดีครับดี"

มันไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไรที่จะตามหาร้านนวดแผนโบราณในเมืองหลวงซึ่งเป็นต้นตำรับของศาสตร์แขนงนี้
ถ้าจะพูดไปแล้วสิ่งที่หาได้ยากกว่าสถานที่ มันน่าจะเป็นเวลา 1 - 2 ชั่วโมงที่จะละทิ้งภาระต่างๆให้พ้นตัวและแบกสังขารมาให้เหล่าหมอนวดทั้งหลายใช้วิทยายุทธที่เล่าเรียนมา(หรือเปล่า ?) ผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่สะสมมาจากหน้าที่การงานและกิจกรรมอื่นใดที่ส่งผลร้ายต่อกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นของชีวิตเรา ผมพยายามอยู่นานจนกระทั่งวันนี้เมื่อผมมีโอกาส ผมจึงไม่อยากจะให้เหล่าหมอนวดยั้งมือกับร่างกายของผมแม้สักนิด

ท่ามกลางเหล่าหนุ่มสาวแห่งยุคสมัยมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมาต่อหน้าหนุ่มโสดเช่นผมที่กำลังพลีเท้าให้สาวสูงวัยผ่อนคลายอยู่นั้น ผมรู้สึกได้ถึงความสับสน วุ่นวาย และไม่สงบนิ่ง ตามลักษณะของผู้คนในเมืองใหญ่ทั่วไปฉายออกมาจากหนุ่มสาวเหล่านั้นอย่างชัดเจน
โดยคุณลักษณะนี้เกิดขึ้นได้โดยไม่สำคัญว่าภูมิลำเนาของกลุ่มคนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน
แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาและเธอหลงมาตามหาโอกาสหรือกระทั่งความสำเร็จที่เมืองหลวงแห่งนี้ พวกเขาเหล่านั้นจะได้รับสิทธิ์นั้นทันทีไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม

และแม้กระทั่งหนุ่มสาวบางคู่ที่แสดงสัญลักษณ์ของการเป็นเจ้าของกันและกันด้วยการจับมือหรือโอบเอว
(ผมไม่เรียกว่า จับมือถือแขน เพราะไม่รู้ว่าคนเราจะไปถือแขนให้กันทำไมในเมื่อมันก็ติดตัวเราตลอดอยู่แล้ว)
แต่บางคนจากบางคู่ก็ยังมิวายแสดงความสับสนและวุ่นวาย รวมทั้งหวั่นไหวออกมาทางแววตา ตอนไหนน่ะเหรอ ?
ก็เวลาที่พบเจอกับสิ่งมีชีวิตเพศตรงข้ามที่งดงามกว่าสิ่งมีชีวิตที่ตัวเองแสดงความเป็นเจ้าของอยู่นั่นยังไง
แต่ก็แน่ล่ะ ใครๆก็ย่อมยินดีที่จะเสพความสุขทางสายตา ด้วยกันทั้งนั้น... ถ้าเพียงแค่มันจะไม่สร้างอันตรายให้กับตัวเอง

ไม่เว้นแม้กระทั่งผม....
ก็ในเมื่อผมไม่ได้มีใครข้างกายที่จะให้แสดงความเป็นเจ้าของ อีกทั้งไม่ได้มีใครข้างใจที่จะทำให้ไม่สับสน
ก็ย่อมที่จะเป็นสิทธิ์โดยชอบทำที่ผมจะมีความสุขกับเรือนร่างปรุงแต่งกลิ่นที่เดินเย้ายวนผ่านไปผ่านมาและไม่ได้แยแสใดๆกับความสั้นยาวของวัตถุที่เรียกว่ากระโปรงที่ผมไม่แน่ใจว่ามันปกปิดเรียวขาหรือช่วยเปิดเผยเรียวขาของพวกหล่อนอยู่กันแน่
ว่าแต่การที่หมอนวดกำลังจับเท้าของผมอยู่ มันถือเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของเหมือนการจับมือหรือเปล่านะ ...

"ตรงนั้นล่ะครับ ปวดน่องอยู่พอดีเลย อาาาาา"
จะว่าไปการนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้นวดคนเดียวมันก็ทำให้จินตนาการไหลลื่นดีเหมือนกันนะ แต่มันก็น่าจะดีกว่านี้ถ้ามันมีใครมานั่งนวดเป็นเพื่อนอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ และโดยเฉพาะถ้าใครคนนั้นเป็นเพศตรงข้ามที่ไม่มีเจ้าของ
หรือถ้าเป็นเธอคนนั้นเจ้าของกระโปรงสั้นเข้ารูปสีดำขลับตัวที่ผมกำลังให้ความสนใจอยู่นี้ ก็คงจะไม่เลวทีเดียว
ว่าแต่เธอต้องการอะไรกันแน่นะ ผมเห็นเธอเดินผ่านไปผ่านมาอยู่แถวนี้ 2 - 3 รอบ
บางครั้งทำทีเหมือนจะเข้ามานวด แต่ก็เหมือนจะลังเลอะไรบางอย่าง
หรือว่าการนั่งนวดเท้าข้างๆกันกับผมมันดูไม่เหมาะสมถ้าแฟนเธอมาเห็น ไม่เอาน่า ผมคงคิดมากไปเอง เธออาจจะไม่มีแฟนก็ได้

"จะนวดต่ออีกหรือเปล่าคะ อีก 15 นาทีจะหมดเวลาแล้ว"
เสียงหมอนวดดังก้องทะลุทะลวงห้วงความคิดของผมแตกกระจาย ผมสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไปในทันที
ผมตัดสินใจชำเลืองมองเธอคนนั้นอีกครั้งเพื่อเป็นเหตุผลประกอบการตัดสินใจของผม
ถ้าเธอมีทีท่าที่จะเดินเข้ามาในร้าน การเสียเงินนวดอีกสักชั่วโมงเพื่อชื่นชมเธอคงไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไรเท่าไร
อย่างไรก็ดีกว่าการกลับบ้านไปนอนดูรายการทีวีห่วยๆคนเดียวเป็นแน่

จนถึงตอนนี้เธอยังคงวนเวียนอยู่บริเวณเดิม แต่ก็ไม่ได้มีทีท่าที่จะตัดสินใจเข้ามานวดแต่อย่างใด
ถ้าเป็นเช่นนั้นทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายคงเพียงพอแล้วที่จะให้ผมหยุดการผ่อนคลายและเดินทางกลับไปดูรายการห่วยๆอย่างไม่มีทางเลือก... "ไม่ล่ะครับ 1 ชั่วโมงก็พอดีๆแล้ว "
ผมตอบหมอนวดอายุคราวแม่ไป พร้อมกับส่งยิ้มกระชับความสัมพันธ์เล็กๆให้กับเธอ
ผมตัดสินใจหลับตาเพื่อดื่มด่ำและอิ่มเอมกับการนวดเท้าในช่วงสุดท้าย
โดยหวังว่ามันน่าจะมีสมาธิมากกว่าที่ผมจะมัวลืมตามองอะไรๆที่มันจะทำให้สมาธิของผมแตกซ่านคิดไปไกลกว่าการนวดในลักษณะนี้ และหลังจากที่ผมตกผลึกความคิดนี้ ม่านตาของผมก็ปิดลงอย่างช้าๆ

ในระหว่างที่ผมกำลังดิ่งลงลึกไปในมนต์สเน่ห์แห่งการสัมผัสอยู่นั้น ผมกลับได้ยินเสียงบางอย่างแทรกเข้ามาในมโนสำนึกของผม
ถ้าไม่หลอกตัวเอง เสียงมันน่าจะคล้ายกับใครสักคนทิ้งน้ำหนักลงบนเก้าอี้นวดตัวที่อยู่ข้างผม...
หรือว่าจะเป็นเธอกันนะ ผมห้ามความคิดแบบนี้ของตัวเองไม่ได้จริงๆ
ด้วยความอยากรู้ปนกับความอยากในทุกรูปแบบ ผมเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูว่าใครกันแน่เป็นเจ้าของเสียงที่ปลุกให้ผมออกจากภวังค์ครั้งนี้ และเพียงแค่ชำเลืองด้วยหางตา กระโปรงสั้นสีดำกับขายาวๆสีขาวคู่นั้นก็ทำเอาหัวใจของผมแทบจะหลุดออกมาจากทรวงอก เธอคนนั้นนั่นเอง ....

เอายังไงดีล่ะทีนี้ ผมคิดในใจ เวลาผมก็ไม่ได้ต่อไว้ จะลืมตาดูเรียวขาและหน้าตาของเธอเต็มที่ก็จะน่าเกลียดเกินไป
เก้าอี้ที่ใกล้กันมันอาจจะทำให้เธอรู้ตัวและความหวังทุกสิ่งอย่างของผมก็จะพังทลายลง
เฮ้อ.. ถ้ารู้อย่างนี้เมื่อกี้นวดต่อสักครึ่งชั่วโมงทุกอย่างมันคงจะดีกว่านี้
ผมตัดสินใจหลับตาลงอย่างช้าๆเพื่อครุ่นคิดอีกครั้งว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร ถ้า... ถ้า...
และในระหว่างที่กำลังจะใช้สมาธินั้น ผมรู้สึกเกลียดจมูกตัวเองเหลือเกิน
เกลียดมันที่รับกลิ่นน้ำหอมของเธอเข้ามาโดยไม่เกรงใจผมเลยสักนิด กลิ่นบ้าอะไรไม่รู้หอมดีจริงๆ ....

"หมดเวลาแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ"
เสียงสุดท้ายของหมอนวดดังขึ้นพร้อมๆกับความรู้สึกใจหายของผม ใจหายที่จะต้องลาจากเธอผู้นี้กลับไปสู่โลกเดิมๆของผม คุณรู้ใช่ไหมว่าคำว่าเธอผู้นี้ไม่ได้หมายถึงหมอนวดคราวแม่คนนั้น ...

ผมตัดสินใจพยุงตัวขึ้นนั่งหลังตรงเพื่อใส่ถุงเท้าและรองเท้า เตรียมที่จะลุกไปจัดการกับค่าใช้จ่ายที่ผมอุตส่าห์อนุญาติให้คนที่ไม่รู้จักมาเล่นเท้าผม แต่หลังจากผมใส่รองเท้าข้างซ้ายเสร็จ เสียงที่ผมไม่คิดจะได้ยินมันก็ดังขึ้นข้างๆผม
ใช่ครับ .... คุณก็คิดใช่ไหมว่ามันน่าจะเป็นเสียงเธอคนนั้น

"นวดเท้าสบายดีไหมคะ"
เสียงนั้นทำให้ผมอยากจะหยุดกิจกรรมทุกอย่างและตั้งใจฟังมันเพื่อที่จะเก็บมันไว้ในความทรงจำที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผม เพราะตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ไม่เคยมีผู้หญิงที่จัดได้ว่าสวยคนไหนมาชวนผมคุยก่อนเลยสักคน แต่ถึงจะตื่นเต้นขนาดไหนด้วยมารยาทแล้วผมควรจะต้องใส่รองเท้าข้างขวาของผมต่อไป .... แต่บางครั้งในชีวิต เราก็ต้องทำอะไรที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอๆ
และวันนี้ ผมเลือกที่จะทำอย่างนั้น

"ครับ สบายดีครับ นี่กำลังจะให้เค้านวด คอ บ่า ไหล่ ต่อสักหน่อย ไม่รู้ว่าจะนวดบนเก้าอี้ตัวนี้ได้เลยหรือเปล่า"
ผมส่งยิ้มให้กับเธออีกครั้งอย่างสุภาพ และไม่วายส่งยิ้มให้กับหมอนวดที่เพิ่งนวดเท้าผมเสร็จ
ยิ้มที่ผมส่งไปเป็นยิ้มแบบ "รู้กัน" แต่ยิ้มที่ป้าหมอนวดเธอส่งมาให้ผมนั้นมันดันเป็นยิ้มแบบ "รู้ทัน"
และเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ผมกระแอมเล็กๆใส่คุณหมอนวดเพื่อให้เธอหุบยิ้มนั้นเสีย ก่อนที่เจ้าของเรียวขางามจะเห็น
และเพียงเสี้ยววินาทีผมก็ได้ยินเสียงเธอคนนั้นอีกครั้ง เสียงที่จะเป็นความทรงจำครั้งสำคัญของผม

"ดีค่ะ นวดเป็นเพื่อนๆกัน ฉันจะได้ไม่ต้องนั่งนวดรอแฟนอยู่คนเดียว"

..............

"ไปนวด คอ บ่า ไหล่ บนเตียงนอนในห้องโน้นไหมคะ จะได้ไม่เจ็บ..." หมอนวดวัยเกษียรกล่าวกลั้วยิ้มกับผมอย่างเป็นห่วง