วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มรกตอันดามันในวันฝนปรอย (4)

ผมไม่เคยผิดสัญญา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปาก แต่สัญญาที่ผ่านไปทางแววตาผมก็ยังคงรักษามันเสมอ

หลังจากกลับจากทัวร์เกาะห้องด้วยความอิ่มเอมใจ ผมเลือกที่จะใช้เวลาก่อนที่จะออกไปชมพระอาทิตย์ตกดินกับสาวจากุซซี่ที่ผมหลงใหล พูดก็พูด ไม่ว่าที่พักที่ใดที่ผมเคยไปพักและที่นั่นมีเธออยู่ ผมไม่เคยพลาดการใช้เวลากับเธอเลยสักครั้ง และการนอนให้เธอฟอนเฟ้นด้วยสายน้ำในขณะนี้คือคำตอบ ผมเองเคยคิดที่จะซื้อมันไว้ที่บ้านในวันที่ผมกำลังเริ่มมีโครงการที่จะปลูกบ้าน แต่ประโยคเพียงไม่กี่พยางค์ของบุพการีก็ทำให้ผมตื่นสู่โลกแห่งความจริง "ใครจะขัดให้มึง"

เมื่อใช้เวลากับเธออย่างพอเหมาะพอควรแล้ว เราพากันออกมานั่งบริเวณชายหาดส่วนตัวของทางที่พักเพื่อรอชมมหรสพครั้งยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นทุกเย็นโดยความร่วมมือของเหล่าหมู่เกาะน้อยใหญ่ ผืนน้ำทะเล ผืนฟ้า และมีเจ้าของแสงอาทิตย์เป็นผู้นำการแสดง ในระหว่างที่กำลังรอ ผมใช้เบียร์กระป๋องเป็นอุปกรณ์ฆ่าเวลา และสิ่งที่ผมแปลกใจเล็กน้อยก็คือเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่พักในรีสอร์ทเดียวกับผมนั้น ทุกคนถือกระป๋องเบียร์ยี่ห้อสัตว์ใหญ่หรือไม่ก็สัตว์นักล่า สัญชาติไทยแทบทั้งสิ้น มีเพียงผมที่ถือเจ้ากระป๋องเขียวสัญชาติดัตซ์ ผมเองตอบไม่ได้ว่าทำไม แต่ที่แน่ใจคือเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับเรื่องการดื่มเบียร์เป็นแน่แท้

และแล้วการแสดงก็เริ่มขึ้น เมฆน้อยรูปร่างคล้ายควันบุหรี่ลอยสวมเหมือนเป็นมงกุฏอยู่บนยอดเขาตรงหน้าเราอย่างน่ารักน่าชัง มองๆไปก็ช่างคล้ายมีมือซุกซนเที่ยวฉีกสำลีแล้วโปรยลงมาจากแดนสวรรค์ ผมมองภาพนั้นพร้อมยิ้มให้กับตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ลมทะเลสัมผัสผมอย่างแผ่วเบา เสียงคลื่นกระซิบคำรักกับผมอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดหู สาบานวินาทีนั้นผมนึกว่ากำลังถูกทะเลเล้าโลม

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา แสงอาทิตย์เริ่มวาดลวดลายเต็มฝีมือเพื่อให้เราและเหล่าผู้มาเยือนได้สัมผัส จะฟ้า แดง ส้ม น้ำเงิน ชมพู
ทุกสีสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งหมดภายใต้พู่กันธรรมชาติแท่งนี้ ผมเฝ้ามองแทบจะไม่ละสายตาแม้แต่นาที จนกระทั่งเจ้าดวงกลมโตตัดสินใจดับความร้อนของตัวเองด้วยการลงเล่นในทะเล นั่นเปรียบเสมือนการลั่นระฆังเวลาของการแสดงเพื่อแจ้งเตือนเหล่าผู้ชมว่าการแสดงกำลังจะจบลง ม่านสีส้มถูกรูดเพื่อปิดโชว์อันแสนตระการตาที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่อึดใจที่ผ่านมานี้นั่นเอง และวินาทีนั้นผมจำใจต้องจากลาผ้าม่านสีส้มเพราะบรรยากาศของร้านอาหารในที่พัก เธอกำลังชายตาเย้ายวนผมอยู่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ถ้าเทียบกับหลายที่ที่ผมเคยสัมผัส นี่เป็นร้านอาหารในรีสอร์ทที่มีคนกินมากที่สุดที่ผมเคยพบเจอ ปกติแล้วเรามักจะได้ยินกิตติศัพท์ในเรื่องของความแพงจนจำเป็นที่จะต้องเดินทางออกไปหาร้านที่ราคาย่อมเยากว่ารับประทานเพื่อให้ผ่านวันนั้นไป แต่บรรยากาศของที่นี่ทำให้กระเป๋าเงินของผมถูกเปิดออกทันที

หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว นักร้องหญิงและชาย (ผู้ชายสะพายกีตาร์อยู่ด้วย) ก็เดินมาแนะนำตัวกับเราสองคนด้วยภาษาอังกฤษและสอบถามถึงสัญชาติของเราสองคน หลังจากได้รับคำตอบไปเรียบร้อยและสอบถามรายละเอียดเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ เขาทั้งสองก็เอ่ยคำต้อนรับเราสองคน และประโยคนั้นผมยังติดใจรสชาติของมันยามเมื่อกระทบใบหูผมอยู่ตลอดเวลา "welcome to paradise"

หลังจากโปรยยิ้มหวานอยู่สักพักเธอเริ่มถามว่าผมอยากที่จะฟังนักร้องชายหรือหญิงที่จะเป็นคนขับกล่อมให้บรรยากาศของมื้อนี้มีความสุนทรีย์มากยิ่งขึ้น ผมตอบไปสั้นๆว่า "I want both" จากนั้นทั้งสองสบตาให้กัน ก่อนที่การ featuring จะเริ่มขึ้น สาบาน ผมไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลยสักครั้ง

ระหว่างฟังเพลงและรับประทานอาหารอยู่นั้น ผมสังเกตผู้ร่วมรับประทานในโต๊ะอื่นๆแล้วพบข้อสังเกตที่น่าประหลาดใจว่าทำไมฝรั่งต่างชาติถึงสามารถจะพาลูกเล็กๆ ที่บางคนยังแทบจะอยู่ในชั้นประถม หรืออนุบาล ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยวในต่างบ้านต่างเมืองได้ ทั้งๆที่ถ้าเป็นบ้านเรา คงโดนปู่ย่าตายาย ว่าเสียจนหูชา หรือว่าพวกเขามั่นใจว่าเขาสามารถดูแลลูกน้อยของพวกเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จโดยไม่ต้องพึ่งคนอื่นๆแต่อย่างใด และอีกประเด็นที่ผมสงสัยนั่นคือแล้วการมาเที่ยวหลายๆวันอย่างนี้ เด็กๆของพวกเขาสามารถหยุดโรงเรียนได้อย่างไร แล้วกลับไปจะเรียนทันเพื่อนได้หรือ แต่ว่าก็ว่า ปกติเราก็ไม่ค่อยได้อะไรจากการเรียนอยู่แล้วนี่นา หรือพวกคุณคิดว่าอย่างไร

ฝรั่งบางคนยังมีลูกเล็กทั้งๆที่ตัวเองนั้นก็ใกล้เข้าสู่วัยเกษียร จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับทุกชนชาติโดยเฉพาะยุคสมัยใหม่ที่คนเรามีเรื่องให้คิดไตร่ตรองมากขึ้น มีความสามารถในการอยู่คนเดียวมากขึ้น มีเรื่องราวมากมายให้ทำจนลืมที่จะมีทายาทสืบทอดในเวลาที่เหมาะสม จริงๆแล้วส่วนนี้ผมมองว่าเป็นความขัดแย้งของมนุษย์กับธรรมชาติอยู่บ้าง เพราะจากที่เข้าใจ การมีประจำเดือนนั่นหมายถึงธรรมชาติส่งเสียงเตือนแล้วว่าเจ้าของประจำเดือนนั้นถึงเวลาที่สามารถมีทายาทสืบทอดได้เรียบร้อยแล้ว แต่มนุษย์ยังมีข้ออ้าง
อีกมากมายในเรื่องของการเรียน การทำงาน การเก็บเงินและอะไรอีกหลายๆการ ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเขาดูกันอย่างไรว่าเหมาะที่จะมีทายาทได้แล้ว แต่เชื่อว่าคงไม่มีชนิดไหนยุ่งยากเท่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อีกแล้ว

วันพรุ่งนี้ยังมีโปรแกรมเบาๆอีกเล็กน้อยที่พวกเราตระเตรียมเอาไว้ และนั่นเป็นเหตุจำเป็นที่เราจะต้องพักผ่อนเสียให้พอในค่ำคืนนี้เพื่อให้พร้อมต่อการเดินทาง ระหว่างทางเดินกลับห้องพัก ผมคิดในใจว่าถ้าหน้าชายหาดมีปลาเล็กๆให้เราได้ให้อาหาร เราคงไม่ต้องออกไปที่ไหนอีกแล้ว และชายหาดแห่งนี้ก็คงสมบูรณ์แบบในความต้องการของเราสองคน แต่อย่างที่คุณทุกคนรู้ ความสมบูรณ์แบบไม่มีในโลก หรือคุณเคยพบเห็นกันล่ะ

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มรกตอันดามันในวันฝนปรอย (3)

เช้าตรู่เข้ามาเยือนเราเป็นครั้งที่สองในดินแดนแห่งนี้ บรรยากาศยามเช้ายังคงสดใสไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผิดแผกแต่ว่าวันนี้เรามีนัดกับที่พักที่ใหม่ซึ่งวางตัวอยู่ที่หาดทับแขกซึ่งเราทนไม่ไหวที่จะรอจึงได้ขับรถมาชมบรรยากาศตั้งแต่เมื่อวานและแทนที่มันจะช่วยดับไฟแห่งกิเลสในใจ มันกลับทำให้ทุกๆอย่างคุโชนขึ้นไปมากกว่าเดิม ด้วยความสวยที่ไม่สามารถละสายตาได้แม้วินาที


เราเดินทางมาถึงที่พักใหม่หลังจากรับประทานอาหารเช้าและร่ำลาจากที่พักเก่า สายๆวันนี้เรามีโปรแกรมที่จะออกทัวร์อีกครั้งและทัวร์ครั้งนี้เป้าหมายอยู่ที่เกาะห้อง ซึ่งเป็นเกาะที่มีชายหาดที่สวยงามที่สุดในบริเวณนี้ และหลังจากเก็บกระเป๋าและสัมภาระทุกอย่างเข้าห้องเรียบร้อยแล้ว ผมไม่ลืมที่จะแอบส่งสายตาให้กับจากุซซี่ ขาว อวบ ที่วางตั้งตระหง่านอยู่ในห้องพักเพื่อให้เธอรู้ว่า ผมไม่ได้หลงลืมเธอและไม่ช้าก็เร็วเราคงได้มีค่ำคืนดีๆร่วมกัน


เราเลือกที่จะเหมาเรือหางยาวไปเที่ยวกันโดยไม่ได้ร่วมทัวร์กับคนอื่นเหมือนเมื่อวันที่ผ่านมา ภาพของเรือหางยาวในจินตนาการตอนแรกนั้นเป็นไปในทางเดียวกับเรือหางยาวที่วิ่งส่งผู้โดยสารในแม่น้ำหรือลำคลองที่เราคุ้นตา แต่สิ่งที่ได้พบตรงหน้านี้ต่างออกไป เรือลำที่จะนำเราสู่ท้องทะเลนั้นมีขนาดกว้างใหญ่กว่าเรือหางยาวที่พบเคยพบเห็นอยู่เกือบสองเท่าและที่สำคัญ มันมีหลังคา


ทางคนขับเรือแจ้งว่าเวลาที่ใช้ในการเดินทางอาจจะยาวนานกว่าการใช้เรือเร็ว เราสองคนไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องพวกนี้ บางครั้งคุณอาจจะคิดว่าสวรรค์คือพื้นที่ที่สวยงามและเหมาะแก่การไปเยี่ยมชม แต่เคยมีใครบอกคุณหรือเปล่าว่าเส้นทางไปสวรรค์นั้นอาจจะสวยงามกว่า และแน่นอนคุณไม่จำเป็นที่จะต้องรีบวิ่งเพื่อที่จะไปให้ถึงสวรรค์ในเมื่อการค่อยๆเดินก็ทำให้คุณพบกับความสุขในระหว่างที่ไม่ต่างกัน


ในขณะที่อยู่กลางทะเลนี้ เมื่อทางซ้ายก็เป็นทะเล ทางขวาก็เป็นทะเล เงยหน้าขึ้นไปก็มีแต่ท้องฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตา ผมรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กเหลือเกินเล็กจนไม่น่าจะสร้างแรงกระเพื่อมใดๆให้กับโลกใบนี้ได้ ตัวอย่างง่ายๆคือถ้าผมกระโดดลงจากเรือและคืนร่างกายให้สู่ทะเลพร้อมทั้งปล่อยให้วิญญาณออกจากร่างไปสู่ที่ที่ควรไป ทะเลทั้งผืนและท้องฟ้าทั้งใบนี้ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็แล้วเราจะไปสนใจหรือยึดติดกับตัวตนทำไมกันนักในเมื่อเราเองก็ตัวเล็กเสียขนาดนี้ คุณว่าไหม


ระหว่างที่เรือหางยาวกำลังขะมักเขม้นลดระยะห่างระหว่างตัวเรากับหมู่เกาะนั้น ผมเห็นสิ่งมีชีวิตที่ผมไม่ค่อยจะได้เห็นในทะเลสักเท่าไร ผมเรียกมันว่าผีเสื้อผมไม่รู้ว่าปกติผีเสื้อในทะเลมีเยอะหรือน้อย แต่ใจกลางทะเลขนาดนี้ผมเพิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก ผมเองไม่รู้ว่าผีเสื้อมีกำลังที่จะว่ายน้ำข้ามทะเลไปได้หรือไม่นอกจากผมแล้ว เจ้าผีเสื้อน้อยเองก็อาจจะไม่รู้ ผมเองก็ไม่กล้ายืนยัน อีกอย่างที่ผมไม่แน่ใจคือสายตาของผีเสื้อสั้นยาวแตกต่างจากเราหรือไม่ ตัวผมนั้นมองไม่เห็นฝั่งในขณะนี้และกะระยะทางไม่ได้แม้สักนิดว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักเท่าไรเพื่อไปให้ถึงฝั่งเกาะที่ใกล้ที่สุด แล้วคุณคิดว่าผีเสื้อเห็นฝั่งหรือไม่ ถ้าบังเอิญมันไม่เห็น สิ่งใดกันเล่าทำให้เจ้าปีกน้อยตัดสินใจออกบิน ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ผมยกย่องหัวใจผีเสื้อน้อยว่ากล้าแกร่งในชนิดที่ผมไม่มีทางเทียบ


เมฆและแสงอาทิตย์ยังคงทำหน้าที่แต่งแต้มผืนฟ้าและผืนน้ำให้งดงามดังเดิม ผมเริ่มสงสัยว่าถ้าไม่ได้มา เราจะเสียดายสักเพียงไหนที่ไม่ได้ชมความงามเหล่านี้ แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าเราไม่ได้มาเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันสวย เราอาจจะไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย ใครเล่าจะรู้



เราเดินทางแวะเกาะผักเบี้ยมาก่อนหน้าแต่ไม่ได้พบกับอะไรที่ประทับใจจนน่าจะนำมาบอกกล่าว แต่เกาะลาดิงที่กำลังลิ้มรสอยู่ในขณะนี้มันต่างออกไป เนื่องจากนั่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีเป้าหมายอยู่ที่เกาะห้อง เกาะลาดิงแห่งนี้จึงเป็นเพียงทางผ่าน แต่สำหรับเราที่เหมาลำเรือมาและไม่ได้เร่งรีบแม้สักนิด เราจึงมีเวลามากพอที่จะใช้เวลาอยู่กับเหล่าปลาสวยงามตัวน้อยที่เกาะแห่งนี้ ปลาเหล่านั้นไม่ได้ตื่นกลัวเราแต่อย่างใด มันเชื่องเสียจนเราคิดว่ามันถูกเลี้ยงด้วยมนุษย์มาตั้งแต่แรกเกิด แต่มาคิดดูอีกที ที่มันเชื่องและกล้ามากินอาหารกับมือเราขนาดนี้นั้น อาจจะเพราะมันไม่เคยรับรู้ถึงความโหดร้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เป็นได้มันจึงวางใจเราง่ายถึงเพียงนี้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ การดำน้ำอยู่ท่ามกลางเหล่าปลาน้อยรวมทั้งการมองเห็นขนมปังแผ่นน้อยใหญ่ค่อยๆถูกรุมทึ้งจนมลายหาย

ไปตรงหน้า ดูจะเป็นความสุขที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบในเกาะเล็กๆแห่งนี้ แต่ความสุขที่ว่ากลับพองเต็มหัวใจจนดูเหมือนกับว่ามันจะใหญ่กว่าขนาดเกาะนี้ไปเสียแล้ว



ด้วยเวลาที่เรามอบให้กับเกาะนี้ค่อนข้างนาน ทำให้เวลาในการสนทนากับคนขับเรือก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย เราได้ทราบว่าบริเวณหมู่เกาะเหล่านี้มีการเก็บรังนกไปขายเป็นอีกหนึ่งการหารายได้ของชาวบ้านแถบนี้ด้วย การเก็บรังนกนั้น สามเดือนชาวบ้านถึงจะเก็บกันครั้งหนึ่ง เพื่อปล่อยให้รังนกใหญ่โตได้ขนาดที่ต้องการ และด้วยราคาอย่างถูกๆกิโลกรัมละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน ส่วนเพดานสูงสุดนั้นขึ้นไปจนถึงกิโลกรัมละสี่แสนบาท นั่นทำให้ในเรือทุกลำมักจะมีปืนอยู่ด้วย แน่ล่ะทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเงิน ไม่มีคำว่าปราณีใดๆทั้งสิ้น

ปืนช่วยแสดงอาณาเขต ปืนช่วยแสดงความเป็นเจ้าของ แต่เราหลงลืมไปหรือเปล่าว่า รังนั้นไม่ใช่ของพวกเราเลยสักนิด เจ้านกน้อยจะคิดอย่างนั้นหรือเปล่านะ หรือมันเองก็ไม่ถูกกับปืนเช่นเดียวกัน



หลังจากเดินทางออกจากเกาะลาดิง เรือหางยาวคู่ใจนำเราไปพบกับ "ลากูน" ซึ่งในภาษาไทยอาจจะหมายความถึง ทะเลใน หรือทะเลปิด ซึ่งอยู่ภายในภูเขานั่นเอง เหตุที่มีทะเลในนั้นด้วยก็เนื่องมาจากอาจจะมีถ้ำหรือช่องว่างที่น้ำทะเลจากด้านนอกสามารถผ่านเข้าไปในหมู่เขาเหล่านั้นได้ นั่นทำให้มีความงามตามธรรมชาติเกิดขึ้นในอีกรูปแบบหนึ่ง ลากูนมีทั้งในแบบที่มีน้ำอยู่ตลอดเวลา และในแบบที่มีช่วงเวลาที่น้ำลงจนสามารถเดินเข้าไปได้ ซึ่งลากูนของเกาะห้องเป็นเช่นนั้น เราจึงมีเวลาชมที่ค่อนข้างจะจำกัดเพราะถ้าทอดเวลานานเกินไปจะไม่สามารถนำเรือออกจากลากูนนี้ได้เมื่อถึงเวลาน้ำลง เราจึงจำต้องตัดใจจากที่นี่และมุ่งหน้าสู่เกาะห้อง เป้าหมายที่แท้จริงของการเดินทางครั้งนี้



เรามาถึงเกาะห้องพร้อมกับภาพที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น เกาะห้องมีชายหาดขาวที่ค่อนข้างยาวในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในทริปนี้ เหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติอาบแดดกันอย่างสำราญใจทั่งไปทั้งหาด และนั่นเป็นข้อดีที่เราสองคนจะหาที่หลบแดดนอนสงบๆได้อย่างแน่นอนเพราะว่าเรากับพวกตาน้ำข้าวไม่ได้มีเป้าหมายเดียวกัน ผมมองหาคนไทยก็พบว่าแทบจะไม่เห็นเลยสักคน การมองหาคนไทยในที่แบบนี้นั้นค่อนข้างง่ายดาย เพียงคุณมองหาผู้หญิงที่ไม่ได้ใส่บิกินี่ ถ้าพบเมื่อไรก็ค่อยไปลงลึกดูอีกที่ว่าเป็นคนไทยหรือไม่ แต่ครั้งนี้ผมไม่พบผู้หญิงที่ไม่ใส่บิกินี่แต่อย่างใด ใครบางคนอาจจะเถียงผมว่า สาวไทยอาจจะใส่บิกินี่ก็ได้ถ้าหล่อนมั่นใจในรูปร่างของตัวเอง สำหรับผมนั่นไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือรางวัลชิ้นงามสำหรับดวงตาคู่นี้ของผมต่างหาก คุณว่าอย่างนั้นไหม



ในฐานะที่ผมเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์บนเกาะห้องแห่งนี้ ผมขออนุญาติภูมิใจในทะเลของไทยอย่างเต็มภาคภูมิเสียหน่อย เพราะผมเชื่อว่าถ้ามันไม่มีอะไรที่ดีจริงๆ เหล่าผู้คนหลายสัญชาติคงไม่มุ่งหน้ามากันมากถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่ช่วงนี้ทางภาคใต้ของเรามีภัยธรรมชาติโจมตีกันอย่างที่เป็นข่าว และผมเสียดายจริงๆถ้าเราที่เป็นเจ้าของประเทศเองยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง

ทั้งๆที่ผู้คนมากหน้าหลายตาข้ามทวีปกันมาเยือนถึงที่นี่



ผมเผลอหลับไปไม่รู้ตัวใต้ต้นไม้ชายหาดเกาะห้องแห่งนี้ เพียงสะดุ้งตื่นและลืมตัวขึ้นมาอีกครั้งผมนึกว่าตัวเองอยู่บนสวรรค์ ก็จะไม่ให้คิดได้อย่างไรในเมื่อนางฟ้าน้อยใหญ่ต่างลงเล่นน้ำ นอนอาบแดด หรือเดินโชว์เรือนร่างกันอย่างเต็มสายตา ผมลองหลับตาแล้วใช้หูเป็นช่องทางหลักในการรับความสุขอีกสักครั้ง เสียงคลื่นและเสียงหัวเราะถูกป้อนเข้าสู่สมองและได้ผลลัพธ์ตอบมาว่ามันไม่น่าจะใช่สวรรค์ แต่อาจจะเป็นทะเลที่ใดสักแห่ง ปกติเวลาที่ผมหลับตาฟังเสียงต่างๆจากหูฟังที่เสียบคอมพิวเตอร์อยู่นั้น ถ้าผมเผลอลืมตาเมื่อไร ผมมักจะถูกทำร้ายด้วยภาพตรงหน้าทุกครั้ง เพราะผมก็จะพบเจอเพียงจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้มีตื้นลึกหนาบางแต่อย่างใด โดดเดี่ยว อ้างว้าง เงียบเหงา แตกต่างจากสิ่งที่หูได้ยินอยู่มาก ผมปล่อยให้หูทำหน้าที่อีกสักพัก เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง คุณน่าจะพอจินตนาการได้ว่าผมได้เห็นอะไรบ้างตรงหน้า ผืนฟ้า ผืนน้ำ ชายหาด แสงอาทิตย์ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงหน้า นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ผมเอื้อมมือไปสัมผัสทรายตรงหน้าอีกครั้ง ใช่ทรายจริงๆ และเพื่อความแน่ใจ ผมลุกเดินลงไปสัมผัสผืนน้ำตรงหน้า...เพื่อให้แน่ใจว่า นี่มันทะเลหรือสวรรค์กันแน่

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มรกตอันดามันในวันฝนปรอย (2)

เช้าวันที่สองในดินแดนมรกตอันดามันแห่งนี้ ถูกโปรแกรมไว้ด้วย ทัวร์ 4 เกาะ ที่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาสัมผัสอ่าวพระนางก็มักจะไม่พลาดที่จะลิ้มลองทัวร์นี้กันโดยถ้วนทั่ว เราเริ่มต้นทัวร์นี้ด้วยการนั่งรถตู้จากรีสอร์ทไปรวมกับลูกทัวร์ที่เหลือตรงหน้าอ่าวพระนาง แต่แล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นก่อนที่เราจะลงเรือเสียด้วยซ้ำ ผมเองกลัวการเมาเรือจะทำให้การทัวร์ครั้งนี้ไม่สนุกเท่าที่ควรเพราะเคยมีประสบการณ์กับการนั่งเรือสปีดโบ๊ตในลักษณะที่มีกระจกสูงกั้นด้านข้างและทำให้ลมจากภายนอกไม่สามารถหาทางมาปะทะใบหน้าของเราได้ และเมื่อใดก็ตามที่นั่งเรือโดยที่ไม่มีลมมาปะทะ ผมมักจะมีอาการไม่ค่อยดีในทุกครั้ง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ผมจะคืนอาหารเช้าจากกระเพาะอาหารสู่โลกภายนอกตั้งแต่การเดินทางเพิ่งเริ่มต้นด้วยรถตู้เท่านั้น ผมพยายามตั้งสติและโยกตัวด้วยความถี่เดียวกับตัวรถเพื่อที่จะให้ร่างกายไม่รู้สึกถึงอาการโคลงเคลง รวมทั้งการเบรคและออกตัวในแบบที่ไม่คำนึงถึงความนุ่มนวลใดๆทั้งสิ้น ผมเฝ้าภาวนาว่าเมื่อไรการเดินทางนี้จะสิ้นสุดเสียที และอย่างที่ทราบกัน ช่วงเวลาเลวร้ายมักจะยาวนานกว่าที่คิดเสมอ



และแล้วผมก็มีชีวิตรอดมาถึงหน้าอ่าวพระนางด้วยสภาพที่ไม่ค่อยจะพร้อมสำหรับการทัวร์สักเท่าไร จากนั้นสาวน้อยเจ้าถิ่นผู้ทำหน้าที่ไกด์ทัวร์ก็พาตัวเองมาแนะนำตัวต่อหน้าพวกเราทุกคน ผมได้ยินชัดเจนว่าหล่อนชื่อฝน แต่สำหรับลูกทัวร์ที่เหลือทุกคน เขาเหล่านั้นจะรู้จักเจ้าหล่อนในชื่อ rainny ซึ่งในกลุ่มทัวร์ครั้งนี้ มีเพียงเราสองที่จะรู้จักเธอในชื่อแบบไทยๆ เพราะทั้ง 11 คนในเรือเร็วลำนี้ มีเพียงเราสองคนที่มีสัญชาติไทย



เราเลือกพื้นที่บริเวณหัวเรือด้านหน้าที่ปราศจากวัสดุใดๆที่กั้นกลางระหว่างเราสองคนกับลมทะเล และอย่างที่ชีวิตสอนเราอยู่บ่อยๆ ถ้าเราต้องการจะมีชีวิตที่ดี

อุปสรรคเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับความต้องการลมทะเลของเรา แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงดังเปลวไฟก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับไว้เช่นเดียวกัน แต่โชคดีที่ทุกอย่าง

อยู่ในการคาดเดา ผ้าหนึ่งผืนที่เราซื้อมาในขณะเดินชอปปิ้งที่หน้าอ่าวพระนางเมื่อวานก็ช่วยชีวิตเราไว้ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่มันอาจจะดูเมื่อยแขนไปบ้างในการที่จะ

ต้องกางมันบังแดดไว้ตลอดเวลา แต่ถ้าถามผม ผมยอมที่จะเมื่อยมากกว่าที่จะไหม้ หรือว่าคุณไม่ได้คิดแบบผม



ผมโชคดีที่ได้ไปเยือนอ่าวไร่เลย์ด้านตะวันตกซึ่งไม่ได้อยู่ในโปรแกรมทัวร์แต่เรือจำเป็นที่จะต้องไปรับลูกทัวร์เพิ่มเติมอีกสองคนที่นั่น และนั่นเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราได้สัมผัสกับชายหาดที่มีชื่อชั้นของความงาม ขจรขจายไปไกลเกินกว่าที่ลมทะเลคาดคิดว่าจะพัดไปบอกผู้คนเหล่านั้นได้ถึง และช่วงเวลาสั้นๆที่ผมเห็นที่นั่น บอกได้เลยว่าไม่มีคำชมไหนมากเกินเลยความจริงแต่อย่างใด



ทัวร์ 4 เกาะนั้นประกอบไปด้วย 1.ถ้ำพระนางซึ่งมีทางเดินไปถึงอ่าวไร่เลย์ด้านตะวันออก (ไร่เลย์ที่พี่เรย์ แมคโดนัลด์ดื่มกาแฟพร้อมเพลง see scape ของ scrubb นั้นเป็นด้านตะวันตก) 2.เกาะปอดะ ซึ่งปอดะนั้นเป็นภาษามลายูแปลว่า เต่า 3. เกาะไก่ และสุดท้ายไฮไลต์สำคัญที่จะทำให้คุณได้ชื่อว่าผ่านทัวร์ 4 เกาะมาแล้วจริงๆ นั่นก็คือทะเลแหวกอันเรื่องชื่อนั่นเอง



ในขณะที่ไกด์สาวพาเราเริ่มต้นที่ถ้ำพระนางเป็นจุดแรกนั้น เธอได้เล่าให้ฟังถึงตำนานของถ้ำพระนางที่ค่อนข้างจะหลากหลายความเชื่อและเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป แต่ความเชื่อที่ชาวบ้านเชื่อถือกันมากที่สุดนั้นน่าจะเป็นเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งไม่มีลูก จึงไปขอวิงวอนพญานาคให้ประทานลูกให้เพื่อที่จะได้สมใจเสียที พญานาคเองก็ตอบตกลงแต่มีข้อแม้ว่าถ้าเป็นลูกสาวก็จะต้องให้แต่งงานกับลูกชายของตน (ทำอะไรย่อมหวังผล) ต่อมาครอบครัวนั้นก็ได้ลูกสาวสมใจ จึงให้ชื่อว่า "นาง" และอย่างที่ผมคาดคิด นางเป็นสาวงามที่สุดในละแวกนั้น (พญานาคจะไม่ประทานลูกขี้เหร่มาแน่ๆเพราะต้องเป็นลูกสะใภ้ตัวเอง) และแน่นอน มีสาวงามที่ใดก็ย่อมมีหนุ่มๆ มารุมจีบเช่นเดียวกันสุดท้ายหนุ่มนายหนึ่งก็สามารถเอาชนะใจสาวงามไปจนได้และไม่ว่าลูกชายของพญานาคจะพยายามเกี้ยวพาราสีเธอสักเท่าไร เธอก็ไม่สนใจเลยสักนิดต่อมาเธอได้ตัดสินใจแต่งงานกับหนุ่มชาวบ้านที่เอาชนะใจของเธอได้ และเรื่องก็เกิดขึ้นในงานวันแต่งงาน พญานาคโกรธแค้นที่พ่อของเธอไม่ทำตามสัญญาและเธอเองก็ไม่ยอมแต่งงานกับลูกของพญานาค จึงอาละวาดเกิดการทะเลาะและแย่งชิงตัวเธอ ท่านฤาษีที่บำเพ็ญเพียรอยู่บริเวณนั้นก็ออกมาห้ามทัพแต่ก็ไม่เป็นผล ฤาษีจึงสาปให้ทุกสิ่งเป็นหินและแล้วเรือนหอของนางจึงกลายเป็นถ้ำพระนาง ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆก็กลายเป็นเกาะทัพ เกาะหม้อ และเกาะต่าง ๆ บริเวณอ่าวพระนาง ซึ่งนั่นก็เป็นตำนานที่เล่าขานกันต่อมา



สิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่ตรงหน้านี้มันคือภาพที่จะถูกเล่าขานในใจไปอีกนานเช่นเดียวกัน มันเป็นภาพของฝรั่งชายหญิงที่มารุมถ่ายภาพปลัดขิกยักษ์หลายลำที่ตั้งอยู่ในบริเวณอ่าวพระนาง บางแท่งมีพวงมาลัยคล้องไว้ บางแท่งมีทองคำเปลวปิดอยู่มากมาย เหล่าผู้มาเยือนตาน้ำข้าวเหล่านั้นต่างยิ้มแย้ม มีความสุขกับลำลึงค์มโหฬารเหล่านั้น ผมเข้าใจว่าพวกเขาคงไม่เข้าใจว่าทำไมชาวเอเชียอย่างเราๆถึงได้เคารพเครื่องเพศยักษ์เหล่านั้น และไม่ต้องคาดเดาใดๆ ผมไม่มีข้อมูลส่วนนี้มาให้ และผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับขนาดของมัน พูดก็พูด ผมเห็นจนชินตาแล้วล่ะ



กับเกาะปอดะและเกาะไก่ ผมไม่มีอะไรที่ถึงขนาดประทับใจเป็นการส่วนตัว แต่การนอนมองทะเลอยู่บนหาดทรายแสนสวย รวมทั้งการเป็นคนไทยแค่เพียงสองคนในเกาะต่างๆที่เราไปสัมผัสมันก็เป็นประสบการณ์ที่จะทำให้ผมฝันเห็นบิกินี่ไปอีกนานแสนนาน และ ณ ขณะนั้น ใจของผมเตลิดไปถึงทะเลแหวกเรียบร้อยแล้ว อย่าคิดอะไรเกินเลย ผมหมายถึงทะเลแหวกจริงๆ



ทะเลแหวกนั้นเกิดจากสันทรายจากเกาะสามเกาะ คือ เกาะไก่ เกาะหม้อ และเกาะทับ ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมจะมาเยือนก็คือช่วงที่น้ำลงต่ำที่สุดในแต่ละวัน เพราะจะทำให้เราสามารถเห็นสันทรายนั้นได้อย่างเด่นชัด โดยเฉพาะช่วงก่อนและหลังวันขึ้น 15 ค่ำ ประมาณ 5 วัน และเมื่อสอบถามกับไกด์ทัวร์ วันที่ดีที่สุดในช่วงนี้ที่ควรจะมาชมความงามของทะเลแหวกก็คือ "เมื่อวาน" ก็อย่างที่กวีหนุ่มยุคใหม่อย่าง เป้ เสลอ เคยบอกไว้ "ความสวยงามมักจะอยู่ไกลออกไป" และทะเลแหวกก็ตอกย้ำความจริงนั้นกับผมอีกครั้ง ไม่มีทางที่ชีวิตของเราจะพบเจอกับทุกอย่างในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่ทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของผมขนาดนี้ บอกตามตรง มันสวยงามมากเกินพอแล้วจริงๆ



ทุกครั้งที่ผมไปทัวร์หมู่เกาะ ผมมักจะได้กิน ผัดเปรี้ยวหวาน สับปะรด และแตงโม ในทุกครั้ง และในครั้งนี้ผมไม่ปล่อยให้ความสงสัยหลุดลอดไป สำหรับผัดเปรี้ยวหวานผมไม่ได้คำตอบใดๆ แต่สำหรับสับปะรดและแตงโมที่ผมเคยคิดและเชื่อเอาเองว่า ที่ริมทะเลคงปลูกได้อยู่แค่ผลไม้สองอย่างนี้เท่านั้น แต่ความจริงที่ได้ทราบจาก rainny คือ มันเป็นผลไม้ที่ชุ่มชื้นและสามารถที่จะคืนน้ำให้กับร่างกายของเราได้ค่อนข้างมาก มันเลยเหมาะกับการออกทัวร์ซึ่งจะต้องโดนแดดแผดเผาอีกทั้งยังต้องเสียพลังงานไปกับการดำน้ำบ้างในบางครั้ง และสำหรับผัดเปรี้ยวหวาน บางทีสับปะรดที่ใส่ลงไปอาจจะเป็นคำตอบเช่นเดียวกัน



หลังจากทัวร์ 4 เกาะจบสิ้นลง เราตัดสินใจว่าหลังจากกลับไปพักผ่อน อาบน้ำอาบท่าที่รีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางไปดูที่พักที่หาดทับแขกซึ่งเราจะไปพักในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็จะออกมารับประทานอาหารที่ร้านอาหารทะเลที่โด่งดังที่สุดในอ่าวพระนาง และหอยชักตีนเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่ผมจะต้องลงลิ้นให้จงได้ ก่อนที่จะออกไปร้านอาหารนั้น ผมได้สอบถามกับพี่ร่วมงานที่บังเอิญมาพักที่รีสอร์ทเดียวกันกับกลุ่มเพื่อนๆของเขา ว่าเย็นนี้จะเดินทางไปไหนหรือไม่ เนื่องจากรถที่ผมเช่ามามีที่ว่างพอสำหรับพวกเขา และด้วยความที่เป็นหญิงล้วน 4 คน การเดินทางด้วยมอเตอร์ไซต์ในช่วงกลางคืนอาจจะไม่เหมาะเท่าไร สุดท้ายเราตกลงที่จะไปถนนคนเดินในตัวเมืองกระบี่ด้วยกัน ผมรู้ในตอนนั้นว่าในบางครั้ง นอกจากหมู่ดาวและลมทะเล การได้เห็นน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ก็ให้ความรู้สึกที่สดชื่นไม่แพ้กัน ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่สำหรับเราสองคน มันสำคัญไม่แพ้สิ่งใดๆ



เราพลาดหอยชักตีนไปเนื่องจากทางร้านแจ้งว่าทะเลในช่วงนี้ไม่เอื้ออำนวย แต่รสชาติของอาหารทุกชนิดก็ไม่ทำให้เราผิดหวังแต่อย่างใด และหลังจากเดินเที่ยวถนนคนเดินกับ 4 สาวเรียบร้อยแล้ว ค่ำคืนนี้จบลงด้วยการนั่งกินยำไข่แมงดาที่เก็บกลับมาจากร้านอาหาร พร้อมทั้งฝันถึงหาดทับแขกที่ไปสัมผัสความงามมาเมื่อช่วงเย็น ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเคยกินยำไข่แมงดากันหรือไม่ แต่สำหรับผม ยำไข่แมงดาท่ามกลางหมู่ดาวในคืนนี้อร่อยเหลือเกิน อร่อยจนผมเผลอคิดว่าไข่แมงดาที่เห็นตรงหน้า เป็นหมู่ดาวที่บังเอิญนางฟ้าทำตกลงมาในห้องพักของผม หรือว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆกันนะ

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มรกตอันดามันในวันฝนปรอย

หลังจากเปลี่ยนใจอยู่ 2 - 3 ครั้งเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่น สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเชื่อกรมอุตุนิยมวิทยาและข้อมูลบางส่วนจากทางที่พักที่จองไว้ว่าเราสามารถไปเยือนที่นั่นได้ หลังจากขจัดความกลัวเล็กๆในจิตใจออกไปได้สำเร็จ เสียงเพลงเปิดตัวของทริปนี้ก็เริ่มบรรเลงขึ้นและผมเชื่อว่ามันจะยังคงดังอยู่อย่างนั้นจนกว่าทริปนี้จะจบสิ้นลง

ในขณะที่เราจะต้องออกเดินทางจากสุวรรณภูมิไปเยือนจังหวัดกระบี่ในช่วงสายๆ แต่ค่ำคืนก่อนออกเดินทางนั้นผมยังคงต้องทำงานตั้งแต่ห้าทุ่มจนกระทั่งเจ็ดโมงเช้า เพราะไม่สามารถหาใครมาแทนได้ในช่วงเวลานั้น และด้วยความที่ต้องทำงานทั้งคืน นอกจากความง่วงเหงาแล้ว ความหิวก็ยังเป็นอีกหนึ่งศัตรูที่เข้าจู่โจมผมในช่วงใกล้รุ่ง อย่างที่รู้กันว่าบางครั้งมนุษย์เราก็ไม่ได้ตัดสินใจถูกไปเสียทุกครั้ง เช่นกันในคราวนี้ นมรสช็อคโกแลตคือความผิดพลาดที่ส่งผลไปจนถึงช่วงเช้าของวันใหม่ การนั่งคุยกับชักโครกอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเอาเสียเลย พวกคุณคิดว่าอย่างนั้นไหม

ด้วยการอดนอนและพิษร้ายจากนมช็อคโกแลตทำให้การเดินทางสู่สนามบินนานาชาติของผมไม่ค่อยสดใสเท่าไร แต่ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ส่งผลอะไรบางอย่างกับจิตใจของโชเฟอร์แท็กซี่คนนั้น มันทำให้เขาตัดสินใจทำตามสัญชาติญาณของเขาโดยไม่ปริปากถามอะไรผมสักนิด "ถึงแล้วครับ" โชเฟอร์หนุ่มพูดพลางส่งยิ้มให้ผม ผมส่งยิ้มกลับไปอย่างมิตรไมตรี พร้อมทั้งเอ่ยอะไรบางอย่างกลับไป "พี่ครับ ผมบินกับ low cost ครับ พี่พาผมมาจอดตรง TG ทำไม ผมเข้าใจว่าหน้าตาอย่างผมควรจะบินกับสายการบินระดับนี้ แต่ว่าบางครั้งทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเราเห็นนะครับ ...." ผมพูดบางอย่างในประโยคนี้ออกไป แต่บางส่วนผมทำได้แค่คิดในใจ ..

ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังคงทำให้ผมผิดหวังด้วยการทิ้งครีมกันแดดของผมไป ด้วยเหตุผลว่าปริมาณสุทธิที่หน้ากระปุกมันเกินกว่าที่กำหนดไว้ ผมพยายามช่วยกันกับคนรักสอบถามว่าทำไมไม่ชั่งน้ำหนัก เพราะครีมในกระปุกมันเหลืออยู่แค่ 1 ใน 3 ยังไงน้ำหนักก็คงไม่เกินแน่ๆ แต่สุดท้ายคำตอบที่ให้เราได้ก็มีแค่ว่า "มันเป็นกฏครับ" ผมคิดในใจ เอาก็เอาวะ เค้าคงกลัวเราจะเอามันไปทำระเบิดแล้วปล้นเครื่องบิน เพื่อความสบายใจของเจ้าหน้าที่เราก็ยอมทำตามกฏ และแล้วเมื่อผ่านด่านการตรวจนั้นมาได้ เราก็มาเดินหาซื้อระเบิดกันตามอำเภอใจใน king power duty free นี่ล่ะหนา กฏก็ต้องเป็นกฏ ผมยืนหัวเราะให้กับข้อบังคับเหล่านี้และรอเวลาที่คนรักจะซื้อระเบิดเสร็จสิ้น

พิษร้ายจากนมช็อกโกแลตยังคงส่งผลจนกระทั่งไม่กี่นาทีจะขึ้นเครื่อง แต่บางครั้งวิกฤตก็กลายเป็นโอกาส การได้นั่งปลดทุกข์เคียงข้างกับฝรั่งต่างสัญชาติเป็นอีกนั่งประสบการณ์ที่ไม่เคยพบเจอ แต่สุดท้ายผมก็ได้รู้แจ้งว่าสำเนียงผายลมเปื้อนชีส เปื้อนเนย ก็ไม่ได้น่าฟังไปกว่าท่วงทำนองปลดทุกข์ของพวกเราหัวดำสักเท่าไรเลยจริงๆ

และแล้วเจ้าเครื่องบินสีแดงก็พาเรามาถึงสนามบินกระบี่โดยสวัสดิภาพ บรรยากาศอาจจะเสียไปนิดหน่อยเนื่องจากยังคงมีฝนตกประปรายในพื้นที่นั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้แรงบันดาลใจในการเที่ยวของพวกเราหายไปอย่างใด เมื่อลงจากเครื่องบินผมติดต่อเข้าไปทางที่พักเพื่อสอบถามถึงเรื่องของรถที่จะไปส่งเราที่โรงแรม ซึ่งทางโรงแรมก็แจ้งว่าสักพักรถก็จะมาถึงที่สนามบินและให้เราไปรอทางด้านหน้าสนามบินได้เลย หลังจากวางสายไม่นาน เราก็ได้พบกับชายผิวคล้ำกรำแดดคนหนึ่ง ชูป้ายชื่อผมอยู่ สาบาน วินาทีนั้นผมคิดว่าผมเป็นพวกตาน้ำข้าวที่กำลังมาเยือนเมืองไทย

ในระหว่างที่นั่งรถจากสนามบินไปสู่ที่พักนั้น ทางคนขับก็ได้พาพวกเราผ่านหาดทรายขาวยาวสุดลูกหูลูกตาและได้แนะนำกับเราว่าบริเวณนี้มีชื่อเรียกว่า "อ่าวพระนาง" ซึ่งสิ่งทีแปลกตาแปลกใจและผมไม่คุ้นเคยก็คือ ถ้าเราข้ามถนนจากฝั่งชายหาดมาอีกฝากถนนหนึ่งนั้น ร้านค้าเล็กใหญ่ มีแบรนด์และไม่มีแบรนด์ ต่างปักหลักเรียกลูกค้าทั้งไทยและเทศจนผมแทบจะรู้สึกว่ามันคือส่วนหนึ่งของห้างสรรพสินค้ากลางเมืองใหญ่ หาใช่ตลาดริมชายหาดธรรมดาๆ อีกสิ่งที่แตกต่างของอ่าวพระนางก็คือ ที่นี่ไม่มีผับ เธค หรือธุรกิจประเภทนั้นอยู่เลย สอบถามจากโชเฟอร์ได้คำตอบว่าพื้นที่แถวนี้ส่วนใหญ่เป็นของคนมุสลิมซึ่งอาจจะทำธุรกิจเองหรือให้เช่าพื้นที่ทำธุรกิจ และด้วยข้อกำหนดทางศาสนาบางอย่างซึ่งทางมุสลิมในพื้นที่ให้ความเคารพและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจึงทำให้ไม่มีธุรกิจประเภทนั้นที่อ่าวแห่งนี้ แต่จากที่ผมเข้าใจ และไม่น่าจะเข้าใจผิด ศาสนาพุทธของเราก็มีศีลห้าที่เป็นหลักบังคับขั้นต้นอยุ่ และ
1 ใน 5 นั้น ก็มีการห้ามดื่มสุราอยู่ด้วยเช่นกัน แต่อย่างที่เราเข้าใจกัน แค่ห้ามใจไม่ให้ดื่มในวันพระ ถ้าทำสำเร็จ ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนพุทธที่น่ายกย่องในระดับหนึ่งแล้วจริงๆ

หลังจากได้เห็นอ่าวพระนางก่อนที่จะมาถึงที่พัก มันทำให้เราตัดสินใจว่าหลังจากนำกระเป๋าไปเก็บที่ที่พักแล้ว เราจะออกมาเดินทักทายกับร้านรวงริมทะเลเหล่านี้สักหน่อยแต่มันอาจจะมีอุปสรรคอยู่บ้างตรงที่ท้องฟ้ายังไม่ค่อยเป็นใจให้เราสักเท่าไร เพียงแต่ว่าบางครั้ง การเตรียมใจไว้ก่อนก็เป็นการป้องกันความผิดหวังได้ดีในระดับนึงทีเดียว

หลังจากเดินลุยฝนปรอยๆอยู่สักพักก็เริ่มมีเหตุการณ์อื่นๆดึงความสนใจผมไปจากเม็ดฝนน้อยๆที่คอยทิ่มตำเราสองคนอยู่ มันแปลกจนน่าสังเกตว่าทำไมพนักงานหน้าร้านหลายๆคน จนกระทั่งแม่ค้าในร้าน หรือกระทั่งเด็กคิดเงินใน supermarket ก็มักจะใช้ภาษาอังกฤษในการสนทนาพาทีกับผม ทั้งๆที่เขาเองก็เป็นคนไทยแท้ๆและไม่มีเค้าโครงว่าจะเป็นลูกครึ่งแต่อย่างใด แวบหนึ่งในใจ ผมคิดว่าคงเป็นเพราะผมหน้าเหมือนคนทางยุโรปใต้ แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จำพวก อิตาลี สเปน โปรตุเกส อะไรพวกนั้น ผมเดินยิ้มกริ่มอยู่กับความคิดนั้นพร้อมทั้ง speak english อย่างเพลิดเพลินใจ ช่วงเวลาสั้นๆนั้นทำให้ผมมีความสุขราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ และผมคิดว่ามันจะยาวนานไปอีก เมื่อได้ยินเด็กหน้าร้านเชิญผมเข้าร้านด้วยภาษาอังกฤษอีกครั้ง แต่แล้วสวรรค์ของผมก็ล่มลงตรงหน้าด้วยประโยคที่กินเวลาในการเปล่งเสียงแค่ไม่กี่วินาที แต่ทำร้ายหัวใจของผมจนไม่สามารถลืมมันลงได้เลยสักครั้ง "เขาเป็นคนไทย ไม่ใช่มาเลเซีย เรียกภาษาไทยก็ได้"

จากคำพูดนั้นผมก็ได้รู้ว่า สวรรค์ที่ผมอยู่นั้น ในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ มีคนมาเลเซียมาเที่ยวค่อนข้างมาก และมันก็ยากทีเดียวในการจะแยกคนไทยกับคนมาเลยเซีย "อ้าวแล้ว อิตาลี สเปน อะไรแบบนี้ไม่มาเที่ยวกันเหรอวะ" ผมคิดในใจ ถอนหายใจพร้อมกับเฝ้ามองสวรรค์ที่ถูกทำลายลงตรงหน้าอย่างไม่มีความปราณี ด้วยคำสั้นๆที่พี่เป้ เสลอ เลือกมาเป็นชื่อเพลง.. "มาเลเซีย"

ผมพกพาความผิดหวังเรื่องเชื้อชาติกลับมาที่รีสอร์ทอย่างเศร้าสร้อย เหลือบมองนาฬิกาข้อมือเพื่อดูว่ายังจะสามารถทำอะไรที่จะทำให้จิตใจชุ่มชื้นขึ้นมาได้บ้าง สุดท้ายก็ตัดสินใจใช้ package ที่ซื้อมาพร้อมกับห้องพักในเย็นวันแรกนี้เลย เพื่อคลายความเศร้าที่พกมาจากอ่าวพระนางแห่งนั้น package ที่ว่านั้นคือ การนวดน้ำมันหรือเรียกแบบดูดีว่านวดอโรม่า (มันเหมือนกันหรือเปล่านะ)

"เข้าไปเปลี่ยนชุดเลยครับ" สิ่งมีชีวิตเพศผู้ที่มีหัวใจหลงใหลเพศเดียวกัน เชิญเราสองคนเข้าไปในห้องสปาที่มีไฟสลัวๆพร้อมทั้งยื่นชุดคลุมซึ่งดูไปก็เหมือนชุดคลุมอาบน้ำตามโรงแรมทั่วไปนั่นเอง ในสมองผมตอนนั้นสงสัยเหลือเกินว่า จะให้เราเปลี่ยนชุดอะไรเพราะไม่เห็นให้ชุดอะไรมา เมื่อความสงสัยเกิดขึ้นผมจึงพยายามที่จะหาคำตอบด้วยการเปิดตู้เสื้อผ้าในห้องออกเพื่อดูว่าอะไรคือสิ่งที่ผมสมควรจะสวมใส่ และตู้เสื้อผ้าอันแสนจะว่างเปล่าราวกับท้องฟ้าในคืนไร้ดาวนั้นคือคำตอบที่ชัดเจนกว่าสิ่งใด "ใส่กางเกงในตัวเดียวครับ" สิ่งมีชีวิตเดิมตอกย้ำกับผมอีกครั้ง

เราสองคนนอนคว่ำหน้าโดยมีเพียงอาภรณ์ชิ้นเดียวอยู่บนร่างกายพร้อมทั้งผ้าบางๆคลุมร่างกายไว้ หมอนวดเดินเข้ามาในห้องทั้งสองคนและทำท่าทางพร้อมที่จะลงมือคลายกล้ามเนื้อให้กับเราทั้งสองคนแล้ว หนึ่งหมอนวดนั้นคือหญิงวัยกลางคน อีกหนึ่งนั้นคือหนุ่มวัยกลางคนผู้ตัดสินใจเลือกเพศของตัวเองให้ตรงข้ามกับอวัยวะในร่างกาย และอย่างไม่คาดคิด เขาคนนั้นเลือกจู่โจมมาที่ร่างกายของผมแทนที่จะปล่อยให้หญิงวัยกลางคนเป็นผู้ดูแล หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างรู้กันเพียงเราสองคน

หลังจากปล่อยให้ร่างกายทุกส่วนถูกลูบคลำไปได้สักพัก ผลจากการอดนอนและถ่ายท้องในคืนก่อนก็ทำให้ผมไม่สามารถต้านทานเปลือกตาของตัวเองได้อีกต่อไป รู้ตัวอีกทีกระบวนการนวดก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว และที่สำคัญกางเกงชั้นในของผมก็ถูกดึงเข้าไปไว้ในร่องก้นทั้งหมด ดีที่ว่าคนข้างกายผมยังคงยืนยันว่าเสียงที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงกรน ไม่มีเสียงครางอื่นใดเจือปน ไม่เช่นนั้นการไปกระบี่คงเป็นฝันร้ายที่ผมไม่อาจจะลืมเลือนได้ลง (หรือจะเป็นฝันดีกันนะ ?)

เมื่อเวลาอาหารเย็นมาถึง ทางที่พักได้แจ้งให้เราไปรอที่ห้องอาหารของทางรีสอร์ทได้เลย เพราะราคาที่เราจ่ายในครั้งจองที่พักนั้นได้แถมอาหารเย็นให้ด้วย และจากเมนูที่ได้เห็นราคาที่จ่ายไปก็ต้องถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว แกงส้มกุ้งมะละกอ ต้มยำซีฟู๊ด ไข่เขียวกุ้ง ไก่(ควรจะเป็นปูแต่ช่วงนั้นออกทะเลไม่ได้)ผัดพริกไทยดำ ปอเปี๊ยะทอด นั่นคือรายชื่อเมนูที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เพื่อรองรับความหิวจากแดนไกล และหลังจากจบเมนคอร์สเหล่านี้ ด้วยโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ทำให้เราสั่ง บลูมาการิต้าสองแก้ว มาตบท้าย dinner ครั้งนี้เพื่อละเลงอารมณ์ที่คร่ำเครียดกับงานในเมืองหลวงให้ใกล้ชิดกับคำว่าผ่อนคลายมากเท่าที่จะทำได้ แต่คิดๆไปก็เสียดายเหมือนกันที่สั่งเพียงบลูมาการิต้า เพราะบนเมนูค็อกเทลที่เห็นนั้น sex on the beach หรือ Orgasm ดูจะเป็นชื่อที่น่าลิ้มลองกว่าไม่ใช่น้อย สาบาน ผมหมายถึงค็อกเทลจริงๆ

หลังจากมื้อเย็นจบสิ้นลง ผมพาร่างกายที่ยังอ่อนล้าขึ้นไปพักผ่อนในห้องพัก วิวของห้องพักมองเห็นหมู่ดาวที่พยายามอวดความงามอยู่เต็มท้องฟ้า ท้องฟ้าที่ผมและทุกคนที่นี่เคยหวาดกลัว แต่ในคืนนี้ท่ามกลางหมู่ดาวที่เห็นเราไม่เชื่อเลยสักนิดว่ามันจะเป็นท้องฟ้าเดียวกัน ท้องฟ้าที่แสดงความพิโรธออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้าที่เราจะมาถึงที่แ่ห่งนี้