วันนี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรักของคนทั้งโลก แต่ไม่ใช่ของผม ไม่ใช่ว่าผมไม่มีความรักนะ แต่ผมไม่ชอบใช้วันแห่งความรักซ้ำกับใครๆ ผมเลือกวันแห่งความรักเป็นวันที่ 12 กุมภาพันธ์
เลือกที่จะไปฉลองความรักของเราด้วยการไปดูหนังโรง firstclass ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว และพอดีเป็นอย่างยิ่งว่า วันและเวลาที่เราไปดู มันเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้ เค้ากำลัง
ทำงานกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ทำให้อะไรๆมันประจวบเหมาะไปหมด เราเลยได้ดูหนังกันสองคนทั้งโรงพร้อมอาหารอีกไม่จำกัด อิ่มทั้งกายทั้งใจ และหนังที่เลือกดูก็ไม่ทำให้ผิดหวัง และถ้าใครยังไม่ได้ดู buttons ก็ข้าม journal นี้ไปเลยนะ เพราะว่าอาจจะมีเปิดเผยเนื้อเรื่องบ้าง แต่ถึงจะอ่านแล้ว ก็ยังดูหนังได้สนุกอยู่ดีนั่นล่ะ เริ่มต้นเรื่องมีสิ่งแรกที่ผมประทับใจ นั่นคือสิ่งประดิษฐ์อันนึงในเรื่องซึ่งเกิดขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ท้อแท้ ต่อโชคชะตา ของผู้ผลิตนั่นเอง นาฬิกาซึ่งเดินย้อนหลัง คือสิ่งประดิษฐ์นั้น สืบเนื่องมาจากการที่ลูกชายของช่างนาฬิกา ได้ถูกส่งเข้าร่วมสงครามและเสียชีวิตในสงครามนั้น ข่างนาฬิกาจึงคิดว่าจะดีหรือเปล่านะ ถ้าเวลาย้อนถอยหลังกลับมาได้และนำลูกกลับมาให้เค้าได้ ซึ่งในโลกของความเป็นจริง นาฬิกาน่ะเดินกลับหลังได้ แต่วันเวลาน่ะไม่มีวัน และแล้วหนังก็ใช้จุดเริ่มต้นตรงนี้ แสดงให้เห็นว่าถ้าคนเราย้อนวันเวลาได้จริงๆ จะเป็นอย่างไร แต่อย่างที่ทราบๆกัน
button เป็นหนังที่ไมได้ใช้การย้อนเวลาแบบที่เราเคยเจอๆกันมา แต่เป็นการล้อเล่นกับการเวลาในแบบที่ว่า ถ้าชีวิตคนเราไม่ได้เริ่มต้นในแบบเดิมๆ แต่เริ่มต้นด้วยวัยชรา ย้อนไปหาวัยเด็ก อะไรๆจะน่าตื่นเต้นขึ้นหรือไม่ และแล้วหนังก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตของคุณจะเริ่มต้นด้วยวัยใด สุขและทุกข์ก็มีเข้ามามิได้แตกต่างกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ในวัยเริ่มต้นที่เราเริ่มต้นด้วยวัยชรา จากที่มีแต่คนมาเอ็นดู ก็จะกลายเป็นถูกรังเกียจ ในขณะที่
ในวัยสุดท้ายของชีวิต จากที่จะเป็นวัยชราที่สามารถจะให้ประสบการณ์กับคนรุ่นหลังได้ ก็ต้องมากลายเป็นเด็กน้อยซึ่งไม่สามารถจำอะไรได้เลยก่อนที่ร่างกายจะแตกดับ ถ้าให้คุณๆเลือก คุณจะเลือกที่จะจบชีวิตแบบไหน ไร้ความทรงจำหรือเต็มไปด้วยความทรงจำ และที่สำคัญที่สุด เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกของเราสวนทางกับคนที่เรารัก เราจะใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงนะ สรุปโดยรวมแล้วหนังก็ดีนะครับ นานดีด้วย สองชั่วโมงครึ่งนี่หายากแล้วนะหนังสมัยนี้ และก็ให้ข้อคิดต่างๆมากมาย และที่โดนใจที่สุดก็คือ ในตอนที่ เบนจามิน เรียนเปียโนกับป้าคนนึง ผมเองจำภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่พอจะจำเป็นภาษาไทยได้และมันทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำอะไรๆอีกเยอะเลยที เดียว "มันไม่สำคัญว่าคุณทำมันเก่งแค่ไหน แต่ัมันสำคัญว่าคุณรู้สึกอย่างไรตอนที่คุณทำ"
ขอบคุณมากๆ ที่ ทำให้มีช่วงเวลาที่ดีๆ
ตอบลบเพิ่มเข้ามาในชีวิตที่มากขึ้นระหว่างเราสองคน
รู้สึกดีนะ ที่ได้ไปปิดโรงหนังดูเรื่องนี้ด้วยกันแค่สองคน
หนังสนุกดีอ่ะ ชอบๆ
พร้อมกะอาหาร ที่อร่อยๆ ด้วย อิอิ
ขอบคุณมากๆๆจ้า
เค้ารักตะเอง อิอิ