ผมไม่เข้าใจเลยว่าคนแก่สมัยนี้เขาพยายามพูดถึงอะไรกัน มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมคิดอะไรแบบนี้หรอกนะ หลายครั้งหลายหนที่ผมได้นั่งคุยหรือเพียงแค่แอบฟังคนแก่ๆเค้าพูดถึงสิ่งนี้ ผมเกิดความสงสัยขึ้นทุกครั้งว่ามันคืออะไรกันแน่ และถ้าไอ้สิ่งนี้มันเคยมีอยู่จริงๆ เหตุใดช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี มันจึงหายจากโลกนี้ไปราวกับว่ามันไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้เลยแม้สักวินาทีเดียว
แสงแดดในยุคสมัยปัจจุบันยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย ผมเองไม่รู้ว่าเส้นแสงที่มุดเข้ามาปลุกผมในคอนโดหรูใจกลางเมืองเส้นนี้เป็นแสงแรกของรุ่งอรุณนี้หรือไม่ แต่เมื่อเหลือบตาไปดูนาฬิกาผมก็พบว่ามันไม่ใกล้กับคำว่าแสงแรกเลยสักนิด เพราะว่าขณะนี้เข็มนาฬิกาทั้งสองของผมมันไปรวมกันอยู่ที่เลข 12 ทั้งสองเข็ม ทั้งๆที่พื้นที่ในหน้าปัดก็ตั้งมากมาย ผมไม่เข้าใจเลยว่ามันทำอย่างนั้นทำไมในเมื่อชั่วโมงที่แล้วมันทั้งสองก็เจอกัน แต่จะอย่างไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดถึงอะไรแบบนั้น วันพักผ่อนอย่างนี้ ผมควรจะรีบไปอาบน้ำและมาเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าเพื่อนๆในสังคมออนไลน์ของผมมีอะไรเคลื่อนไหวกันบ้าง
ระหว่างที่หยดน้ำจากฝักบัวตกกระทบร่างกายของผมอยู่นั้น มวลความคิดของผมก็ฟุ้งไปทั่ว แต่ยังโชคดีที่มีขอบเขตของห้องน้ำคอยขังมันไว้ไม่ให้กระจาย แต่ประเด็นหลักๆของเรื่องที่ผมฟุ้งอยู่ในขณะนี้ก็มีแค่เรื่องเดียว นั่นก็คือ การที่ผมไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเวลาร่วมปีมันถือเป็นความผิดปกติหรือไม่ ผมพยายามขบคิดหาคำตอบมานานแต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักที ระยะเวลาหรือความรู้สึกกันแน่ที่ควรจะเป็นตัวตัดสินว่านานเท่าไรที่ใครคนนึงควรจะกลับบ้านไปเจอหน้าพ่อแม่เสียบ้าง คิดไปคิดมามันช่างน่าปวดหัวจริงๆ
ผมไม่คิดว่าจะมีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้วนะ ไอ้การที่ผมยังอาบน้ำไม่ทันเสร็จแต่ก็ดันมีเสียงที่จัดได้ว่าน่ารำคาญเรียกมาจากคอมพิวเตอร์นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าใครเรียกมากันอีก ผมอยากจะด่าไอ้โปรแกรมตัวนี้เสียเหลือเกิน ถึงแม้มันจะมีภาพที่ชัดกว่าตัวอื่นๆ แต่มันก็เสียตรงที่ว่าเมื่อใดที่คุณเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต ตัวมันเองก็จะเข้าสู่ระบบโดยอัตโนมัติเช่นกัน และเมื่อนั้นทุกคนที่เป็นเพื่อนกับคุณบนไอ้โปรแกรมนี้ เขาก็จะเห็นว่าคุณออนไลน์และถ้าคนเหล่านั้นอยากจะคุยกับคุณ เขาก็จะเรียกหาคุณด้วยเสียงอันดังน่ารำคาญที่มันถูกเปล่งออกมาจากคอมพิวเตอร์อย่างที่ผมได้ยินนี่ล่ะ ไม่รู้มันเคยสนใจบ้างหรือเปล่านะ ว่าใครเค้าทำอะไรกันอยู่บ้าง
สุดท้ายผมก็นึกไว้ไม่มีผิด เจ้าของเสียงดังที่แย่งเวลาอาบน้ำของผมไปก็คือแฟนสาวของผมนั่นเอง ราวๆสองปีได้แล้วนะที่แฟนผมไปเรียนต่อที่อเมริกา นั่นทำให้เราเป็นคู่รักที่ไม่ได้จับมือกันมาเกือบจะสองปีแล้ว แต่ถึงแม้เราจะไม่ได้จับมือกันแต่ผมก็เห็นหน้าเธอทุกวัน อุปสรรคคงจะมีแค่เวลาที่ต่างกันครึ่งค่อนวัน แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมเห็นหน้าเธอมากกว่าตอนเธออยู่เมืองไทยเสียอีก ต่างจากพ่อกับแม่ของผมที่อยู่ประเทศเดียวกันเสียด้วยซ้ำแต่ผมกลับไม่ค่อยได้เห็นหน้าท่านเท่าไร คิดไปคิดมามันก็แปลกดี เพราะนอกจากผมกับแฟนจะเห็นหน้ากันทุกวันแล้ว ถ้าเราคนใดคนหนึ่งนอนหลับไป อีกคนหนึ่งก็ยังสามารถที่จะส่งจดหมายผ่านอินเตอร์เน็ตเข้าไปที่กล่องจดหมายของอีกคนได้โดยไม่ต้องติด ติดอะไรนะ ไอ้ที่ดวงละ 2 -3 บาท ผมเองก็จำชื่อมันไม่ได้ เอาเป็นว่าผมก็สามารถส่งจดหมายไปหาเธอได้โดยไม่ต้องให้ใครขี่มอเตอร์ไซต์ไปส่งมัน แล้วทันทีที่เธอตื่น เธอก็จะสามารถอ่านจดหมายของผมได้ทันที โดยไม่ต้องรอหลายวันเหมือนเมื่อสมัยก่อน
หลังจากร่ำลากับแฟนได้สักพัก ผมก็รู้สึกแปลกๆบางอย่างขึ้นมา ผมสงสัยว่าจะดีหรือเปล่าถ้าผมจะลองเขียนจดหมายส่งหาที่บ้านบ้าง แต่ไม่เกิน 30 วินาที ความคิดนี้ก็หายไปจากหัวผมทันที เพราะผมคิดว่ามันล่าช้าและค่อนข้างจะเชยมากๆ เอาเป็นว่าถ้ามีคนรู้จักมาเห็นผมเอาจดหมายไปหยอดลงตู้ไปรษณีย์ ผมคงจะอายไม่กล้าพบหน้าใครไปอีกนานเลยทีเดียว
นอกจากที่ผมคิดเรื่องส่งจดหมายไปหาคนที่บ้านแล้ว อยู่ดีๆผมก็รู้สึกเหมือนว่าอยากจะส่งไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่เคยสนิทกันสมัยประถมซึ่งมันหายไปจากชีวิตผมมานานพอสมควร ความรู้สึกนี้มันติดใจผมมาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน ผมไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไร แต่เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมไปพิมพ์ความรู้สึกนี้ไว้บนชื่อบัญชีส่วนตัวของผมที่มีอยู่บนอินเตอร์เน็ตดีกว่า เผื่อวันนี้จะมีใครที่รู้สึกเหมือนผมบ้าง หรือว่าคนอื่นๆจะได้ไม่ต้องมาถามว่าผมรู้สึกอะไรในวันนี้ และเดี๋ยวถ้านึกคำอะไรคมๆออก ผมจะไปเขียนลงในหน้าหนังสือรุ่นออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตด้วย เผื่อว่าจะมีใครมาชอบคำคมของผมบ้างมันก็คงจะดีไม่น้อย
กินข้าวก็แล้ว คุยกับแฟนก็แล้ว ส่งจดหมายออนไลน์ให้เธอก็ทำตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว สถานะใหม่ๆก็เขียนไว้แทบจะทุกบัญชีออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตแล้ว แล้ววันนี้ผมจะทำอะไรต่อไปดีนะ อ่อ ลืมไปสนิทเลยทีเดียว ผมลองไปค้นหาเพื่อนเก่าในหนังสือรุ่นออนไลน์ก่อนดีกว่า ผมรู้ว่ามันเรียนมัธยมที่ไหน และรู้จักเพื่อนๆของมันสองสามคน ไม่นานผมก็คงเจอมัน จะได้คุยกับมันหน่อย ไม่ได้คุณกันมาหลายปีแล้ว เดี๋ยวมันจะหาว่าผมไม่รักมันเสียอีก และอีกอย่าง มันคงจะง่ายกว่าให้ผมไปพยายามหาที่อยู่เพื่อส่งจดหมายไปหามันแน่ๆ
จากที่ผมเล่าให้ฟัง พวกคุณคงคิดว่าวันๆผมคงเอาแต่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์สินะ จริงๆแล้วมันก็ไม่อย่างนั้นเสียทีเดียว ผมยังมีมือถือเครื่องใหม่เป็นของเล่นอีกอย่างที่ผมภูมิใจ มือถือของผมนี่มันดีจริงๆ มิน่าทำไมก่อนหน้าที่ผมจะซื้อ ผมเห็นใครๆก็ใช้มันกันทั้งบ้านทั้งเมือง ไอ้เจ้าเครื่องนี้มันทำให้ผมสามารถคุยกับเพื่อนๆทุกคนที่ถือเครื่องยี่ห้อเดียวกับผมอยู่ได้ โดยที่พวกนั้นไม่ต้องมานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ อีกทั้งผมกับเพื่อนก็ไม่ต้องโทรหากันให้มันเปลืองเงินและเสียเวลาอีกด้วย คิดไปแล้วก็ขำ เพื่อนเก่าผมสมัยประถมหรือมัธยม ผมจะจำลายมือมันได้ทุกคน แต่เพื่อนปัจจุบันผมจำลายมือมันไม่ได้สักคน เพราะเราได้แต่เห็นข้อความที่มันพิมพ์ และคุณลองคิดดูว่าถ้าต่อไปผมไม่โทรหาเพื่อนเลย แต่ใช้วิธีพิมพ์คุยกันผ่านมือถือ ผมจะลืมเสียงพวกมันหรือเปล่านะ
มันง่ายอย่างนี้นี่เองวิธีค้นหาเพื่อนเก่าบนหนังสือรุ่นออนไลน์เล่มนี้ ใช้เวลาไม่กี่นาทีผมก็เจอแล้วว่ามันไปทำอะไรอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ คราวนี้ต่อไปผมคงได้คุยกับมันแทบทุกวัน (ถ้ามันว่าง) เพราะผมได้ส่งไปขอเป็นเพื่อนมันอีกครั้งบนอินเตอร์เน็ตไปแล้ว ผมหวังว่ามันคงรับผมเป็นเพื่อนนะถ้ามันยังไม่ลืมผม ว่าแต่ตอนที่ผมได้เจอมันครั้งแรกในตอนเด็ก ผมได้ขอเป็นเพื่อนกับมันอย่างเป็นทางการอย่างครั้งนี้หรือเปล่านะ ผมเองก็จำไม่ได้
มีคนมาชอบข้อความรวมทั้งสถานะที่ผมเขียนไว้ในบัญชีส่วนตัวของผมเต็มเลยล่ะ อย่างนี้ผมคงต้องใช้เวลาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆผมเหล่านี้เสียหน่อยแล้ว ว่าแต่นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้วนะ ผมจะกินอะไรดี เดี๋ยวผมสั่งอะไรมากินดีกว่า สั่งผ่านอินเตอร์เน็ต สักครู่เดี๋ยวเขาก็คงมาส่ง และอีกสักพักก็คงได้เวลาที่แฟนผมจะเรียกมาหาผมแล้วล่ะ กินข้าวเย็นแบบเห็นหน้าค่าตากันบ้างคงจะดีไม่น้อยนะ ผมว่า เพราะจะว่าไปผมเองก็กินข้าวคนเดียว (แต่ก็พิมพ์คุยกับเพื่อนไปด้วย) มาหลายวันแล้วเหมือนกันนะ
ผมพยายามหลายครั้งแล้วนะที่จะสอนให้ญาติผู้ใหญ่ของผมรวมทั้งพ่อกับแม่ได้รู้จักกับการออนไลน์เข้ามาทางคอมพิวเตอร์ แต่เขาก็ปฏิเสธผมทุกครั้งและพยายามอธิบายให้ผมรู้คุณค่าของอะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้จัก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงยึดติดกับมันนัก พวกเขาบอกผมว่าถ้าผมไม่พยายามเรียกให้มันกลับมา หรือไม่พยายามทำความรู้จักมัน ผมจะไม่รู้จักคำว่า “ความสัมพันธ์” ผมเองก็งงว่าผมจะไม่รู้จักมันได้อย่างไรในเมื่อทุกวันนี้ผมก็มีคนขอเป็นเพื่อนมากมาย อีกทั้งยังมีคนตามมาอ่านสถานะของผมในอินเตอร์เน็ตตั้งมากมาย และที่สำคัญ ในหนังสือรุ่นผมก็บอกสถานะอยู่ว่าผมกำลังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแฟนผม ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกผู้ใหญ่ไม่พยายามปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยบ้าง แต่ก็เอาเถอะ เขาคงไม่อยากที่จะมีเพื่อนเป็นพันๆหมื่นๆคนอย่างผม เพราะเห็นพ่อกับแม่ผมก็คบเพื่อนอยู่ไม่กี่คน ไม่รู้ว่าท่านทนอยู่อย่างนั้นได้อย่างไร
วันเวลาผ่านไปหลายเดือนนับจากวันที่ผมตามหาเพื่อนเก่าเจอ แต่ชีวิตผมก็ยังไม่เปลี่ยนไปไหน ผมยังสนุกกับการคุยกับแฟนข้ามโลก พิมพ์คุยกับเพื่อนด้วยมือถือของผม หรือเปลี่ยนแปลงสถานะในบัญชีส่วนตัวไปเรื่อยๆ พอว่างจากนั้นก็มานั่งเขียนจดหมายหาแฟนเล่นบ้าง หรือวันดีคืนดีก็ไปเขียนข้อความกวนๆในหน้าของเพื่อนๆบนหนังสือรุ่นออนไลน์ที่ผมชอบที่จะเข้าไปดูมันอย่างมาก สองสามปีหลังมานี้อวัยวะที่ผมใช้มากที่สุดน่าจะเป็นนิ้ว และผมคิดว่าต่อไปจากนี้หลายๆปี นิ้วของผมคงเป็นอวัยวะที่แข็งแรงที่สุดเป็นแน่ถ้ามันยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้
ผมกำลังตกใจกับเสียงที่ดังขึ้น นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆเดือนที่โทรศัพท์ผมดัง ใครนะที่ยอมสละเวลาและยอมเสียเงินโทรมาหาผม ทำไมเขาไม่ทักผมบนโลกออนไลน์ ทำไมไม่ส่งจดหมายออนไลน์มา ทำไมไม่ทักผมบนมือถือ ทำไม ทำไม ทำไมเขาถึงโทรมาหาผม ผมตั้งสติเล็กน้อยก่อนรับโทรศัพท์อย่างช้าๆ
“กลับมาบ้านบ้างสิลูก แม่คิดถึง” ปลายสายส่งเสียงเรียบง่ายเกินกว่าที่ผมจะจินตนาการได้ แต่เสียงเรียบง่ายนั้นก็ดังกังวานอยู่ในสมองผมอีกไปอีกหลายนาที นานแล้วสินะที่ผมไม่ได้ยินคำคำนี้ คำว่า“คิดถึง” แต่จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี อย่างไรผมก็จะพยายามเชื่อว่ามันมีอยู่จริงเพราะแม่ผมไม่เคยโกหกใคร ผมไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนั้นว่ามันคืออะไร ผมสามารถติดต่อเพื่อน แฟน และคนทุกคนได้ในทุกนาทีที่ผมอยากจะติดต่อ และผมยังมีทางเลือกมากมายที่จะสื่อสารกับคนเหล่านั้น นั่นทำให้ผมไม่เข้าใจว่า “คิดถึง” มันคืออะไร ผมย้อนนึกไปถึงคำที่ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเคยบอกผมว่า ถ้าผมไม่รู้จักคำว่า “คิดถึง” ผมก็จะไม่รู้คุณค่าของคำว่า “ความสัมพันธ์” ก็แล้วผมจะทำอย่างไรให้รู้จักกับมันได้ล่ะ หรือผมจะต้องทำเรื่องเชยๆอย่างเขียนจดหมาย หรือทำอะไรที่หนักหนากว่านั้นนั่นคือ “การกลับบ้าน”
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ผอมไปเยอะเลยนะลูก” แม่ผมทักผมเหมือนที่ใครหลายๆคนทักเวลาที่ไม่ได้เจอผมนานๆ แม่เองก็แก่ไปมากจากที่ผมเจอแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อนานมาแล้ว พ่อเองก็เปลี่ยนแปลงไม่ต่างจากแม่เท่าไรนัก เมื่อผมเห็นสายตาที่ท่านทั้งสองมองมาหาผม ผมสงสารท่านทั้งสองจับใจ แววตาของท่านทั้งสองบอกผมว่า การที่มีคนมาชอบข้อความที่ผมเขียนลงในอินเตอร์เน็ตหรือการที่ผมมีเพื่อนๆมากมายในโลกออนไลน์ มันไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจอะไรเลยถ้าผมไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของความสัมพันธ์ แววตาของท่านยังบอกผมอีกว่าผมทำอะไรหล่นหายไปบ้างในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่เดินทางไปหาใครถ้าไม่จำเป็นมากจริงๆ ผมไม่โทรไปฟังเสียงใครถ้าไม่อยากได้ยินมากจริงๆ และผมไม่ติดต่อใครถ้าคนเหล่านั้นไม่ออนไลน์ และผมไม่ได้สบตากับมนุษย์จริงๆต่อหน้ามานานแสนนาน และทั้งหมดนั้นมันก็เกิดขึ้นกับคนที่ผมเรียกพวกเขาว่า พ่อกับแม่ ด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ผมพยายามแล้วที่จะติดต่อกับท่าน สิ่งที่ผมคิดก็คือ ผมพิมพ์คุยกับพ่อและแม่ทางโทรศัพท์ไม่ได้เพราะท่านไม่ได้ใช้โทรศัพท์รุ่นแพงๆเหมือนผม ผมส่งจดหมายออนไลน์หาท่านไม่ได้เพราะท่านไม่มีกล่องจดหมายที่จะรับจดหมายจากผม ผมเขียนข้อความลงไปในหน้ากระดาษของพวกท่านในหนังสือรุ่นออนไลน์ก็ไม่ได้เพราะพวกท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ผมคุยกับท่านผ่านกล้องที่คอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้เพราะพวกท่านไม่มีคอมพิวเตอร์ แต่ทั้งหมดนี้มันจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าผมคิดง่ายๆเพียงแค่เดินทางมาหาพวกท่าน ผมเงยหน้ามองพวกท่านอีกครั้งเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในความคิดของผมสิ้นสุดลงและในวินาทีนี้ผมรู้สึกได้ถึงหยดน้ำอุ่นๆที่ไหลลงอาบแก้มผมอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ผมรู้แล้วว่ามันมีอยู่จริง ผมเชื่อแล้วว่ามันคือพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่แท้จริง ช่วงชีวิตที่ผ่านมาผมเข้าใจว่า 2 – 3 ชั่วโมงก็ถือว่านานมากแล้วสำหรับผมที่ไม่สามารถจะติดต่อใครคนหนึ่งได้ แต่มาวันนี้ผมรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ ในโลกที่ผมอยู่การไม่ได้ติดต่อกันเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ มันไม่มีอยู่จริง แต่พ่อกับแม่ผมท่านได้รับสิ่งนั้นจากผม และในวันนี้ที่ผมกำลังยืนสบตาท่านทั้งสองอยู่นี้ ผมตัดสินใจทำมากกว่านั้น มากกว่าแค่สบตา ผมเดินเข้า
ไปกอดท่านทั้งสอง น้ำตาผมไหลพรากออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นาทีนี้ถ้าผมยังคงอยู่หน้าจอ ผมเชื่อว่าสถานะในทุกๆบัญชีที่ผมมีมันน่าจะเป็นความรู้สึกเดียวกันทั้งหมด “พ่อกับแม่ครับ ผมคิดถึง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น