วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โรคระบาด

เช้าวันนี้ผมได้ยินข่าวร้ายซึ่งผมไม่เคยเตรียมใจรับข่าวแบบนี้ไว้ก่อนเลยสักนิด รัฐบาลประกาศในโทรทัศน์ว่าโรคที่ผมกำลังเป็นอยู่เป็นโรคระบาดที่ขณะนี้กำลังแพร่กระจายอย่างน่าเป็นห่วงไปทั่วทั้งกรุงเทพ ผมไม่ได้ฟังข่าวตั้งแต่แรกแต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าเชื้อร้ายนี้มาพร้อมกับหน้าหนาวในช่วงส่งท้ายปีแทบจะทุกปีและบางปียังลามไปจนถึงช่วงต้นปีเสียด้วยซ้ำ แต่ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อมีจำนวนไม่มากและมักจะรักษาหายได้ไม่ยาก แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน



อาการของผมเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงต้นพฤศจิกายนโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวเสียด้วยซ้ำในช่วงแรก แต่เพื่อนๆและคนใกล้ชิดทุกคนช่วยกันยืนยันว่า “ผมไม่เหมือนเดิม” ซึ่งผมมารู้ในตอนหลังว่าช่วงเวลานั้น ผมมักจะชวนเพื่อนๆไปกินข้าว ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะหรือทำกิจกรรมร่วมกันอยู่หลายครั้ง อีกทั้งเมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็ยังใช้เวลาในการออนไลน์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากกว่าที่เคยทำ จนกระทั่งบางครั้งผมถึงกับหลับคาจอคอมพิวเตอร์ไปเลยก็เคยมี พอเวลาล่วงเข้าสู้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ผมเองเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองแปลกไปอย่างที่คนอื่นว่าไว้จริงๆเมื่อผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องพัก “ผมอยากเจอใครสักคนที่รอผมอยู่”



ลึกๆผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะไม่มีคนๆนั้นเมื่อผมเปิดประตู เพราะว่าผมพักอยู่ที่ห้องนี้คนเดียวอีกทั้งก่อนจะออกไปทำงานผมก็ล็อคประตูไว้อย่างแน่นหนา เอาจริงๆถ้าผมเปิดประตูไปเจอใครผมก็คงจะตกใจและอาจจะวิ่งหนีไปจากห้องในวินาทีนั้นเลยก็เป็นได้ แต่ผมก็ยังหวังลึกๆว่าวันนึงผมจะเจอคนๆนั้น คนที่รอผมอยู่ที่ห้องพัก



บางครั้งมันก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมในช่วงหน้าร้อนหรือหน้าฝน ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้ ในช่วงแรกผมก็ไม่ได้แปลกใจกับอาการเหล่านี้เท่าไรเพราะคิดว่าอากาศหนาวคงจะเป็นต้นเหตุเหมือนทุกครั้ง แต่แล้วผมก็ต้องวิตกกังวลกับอาการของผมมากขึ้น เมื่อบางครั้งผมถึงกับต้องขอร้องให้เพื่อนสนิทคุยโทรศัพท์อยู่กับผมจนกว่าผมจะหลับไปก่อนด้วยเหตุผลง่ายๆว่าผมไม่อยากนอนคนเดียว และอาการมันเริ่มจะร้ายแรงเมื่อผมรู้ตัวอีกที เพื่อนคนนั้นก็มานอนเป็นเพื่อนผมที่คอนโดอยู่เป็นอาทิตย์ๆ



การตัดสินใจมาทำงานที่กรุงเทพคนเดียวทำให้ผมเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับความรู้สึกอ้างว้างบ้างเป็นบางครั้งในช่วงแรกๆ แต่ผมก็คิดว่าเมื่อทำงานได้สักพัก ผมจะเริ่มมีเพื่อนร่วมงาน และเมื่อวันเวลาทำให้เราสนิทกันผมก็จะไม่รู้สึกอ้างว้างแบบนั้นอีก หรือนอกเหนือจากนั้นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่ห่างไกลพ่อแม่หรือเพื่อนเก่าอย่างใดเลย เราสามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะด้วยเทคโนโลยีรูปแบบไหน แต่พูดก็พูดเถอะ พอย่างเข้าต้นเดือนธันวาคม ไม่ว่าอะไรก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก



“ฉันเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก” ฉันคิดอย่างนี้ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาถึงที่นี่ ใครต่อใครต่างพูดกันว่าผู้ใดเบื่อลอนดอน ผู้นั้นเบื่อชีวิต แต่ฉันอยากจะถามคนพวกนั้นเหลือเกินว่า ถ้าคุณอยู่ตัวคนเดียวในลอนดอนและไม่สามารถสื่อสารกับทุกคนรอบตัวได้ คุณจะเบื่อลอนดอนไหม



ปลายเดือนตุลาคมฉันได้ฤกษ์บินมาเรียนต่อที่ลอนดอนเสียทีหลังจากตั้งใจมานาน ใครหลายคนบอกว่าที่นี่คนไทยเยอะไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่คนเดียว แต่สาบานว่าผ่านไปอาทิตย์แรกฉันแทบอยากจะกระโดดตบหน้าคนพูดอย่างสุดขีด



ฉันไม่รู้จักใครและไม่พบคนไทยสักคนที่จะมาช่วยทำให้ฉันไม่ต้องรู้สึกว่าอยู่คนเดียวในโลก แต่อย่างที่คุณรู้กันว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่มันทำให้ฉันไม่รู้สึกแย่เท่าที่ควรจะเป็น เพราะว่าอย่างไรฉันก็ติดต่อกับคนอื่นๆที่อยู่ที่ประเทศไทยได้ แต่เมื่อหิมะมาเยือนลอนดอนอย่างรวดเร็วกว่าปกติในกลางเดือนพฤศจิกายน ร่างกายและจิตใจของฉันก็เปลี่ยนไป วันเวลาที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ฉันพอที่จะมีเพื่อนอยู่บ้างในชั้นเรียน แต่เมื่อใดก็ตามที่สมองของฉันมีเสี้ยววินาทีที่ว่างเปล่า บางสิ่งบางอย่างมันมักจะพาฉันดำดิ่งลงไป ลึกลงไป เข้าไปจนถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ และในส่วนลึกที่สุดนั้นมันก็มีเพียงฉันคนเดียวที่อยู่ในโลกใบนั้น



ฉันนั่งมองหิมะนอกหน้าต่างสลับกับมองปฏิทินและเจ้าปฏิทินผู้ซื่อสัตย์ก็บอกฉันว่าอาการที่ฉันเป็นนั้น ฉันเป็นมาหนึ่งเดือนเต็มๆแล้ว และในขณะนี้ซึ่งเพิ่งจะต้นเดือนธันวาคม ฉันแทบจะร้องไห้ออกมาเมื่อคิดว่ากว่าที่ฉันจะได้กลับประเทศไทยครั้งแรกก็อีกเกือบหนึ่งเดือนเต็มซึ่งมันนานพอที่จะทำให้บางสิ่งบางอย่างมันกร่อนหัวใจของฉันจนมันอาจจะไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะกลับประเทศไทย



ฉันไม่คิดเลยว่าโรคที่ระบาดอยู่ที่ประเทศไทยขณะนี้จะติดมาถึงฉันที่อยู่ถึงลอนดอนด้วย อาการที่แพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงนั้นมันคืออาการของฉันชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นการคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวในโลก ไม่ว่าจะเป็นอาการที่จะต้องมีใครก็ได้อยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา หรืออาการเหม่อลอยตลอดเวลาที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ทั้งหมดนั้นเป็นอาการของโรคระบาดดังกล่าวและที่แย่ที่สุด ฉันมีอาการแบบนั้นนับตั้งแต่บินมาจากประเทศไทยจนกระทั่งวันนี้ในต้นเดือนธันวาคม



หมอบอกผมว่าผมควรจะงดฟังเพลงลงบ้างเพราะมันจะยิ่งทำให้อาการของผมหนักขึ้น ทำอย่างไรได้ล่ะเวลาที่ผมอยู่คนเดียวแล้วอาการมันกำเริบผมก็พยายามที่จะหาอะไรมาทำให้มันบรรเทาลง และด้วยความเคยชินผมก็มักจะเปิดวิทยุทิ้งไว้ แต่แล้วไอ้วิทยุเจ้ากรรมมันก็มักจะปล่อยเพลงบางเพลงที่คนฟังชอบขอเหลือเกินในช่วงหนาวๆปลายปีแบบนี้ แล้วไอ้เพลงแบบนั้นมันทำให้อาการของผมกำเริบจนบางครั้งแทบอยากจะกลั้นใจนอนตายหน้าวิทยุ แต่พูดก็พูดเถอะ ผมเริ่มเสพย์ติดอาการเจ็บปวดแบบนั้นเสียแล้ว



หมอที่ผมไปหาท่านบอกว่าขณะนี้หมอทั้งประเทศไทยก็กำลังร่วมกันหาทางแก้ไขและป้องกันโรคระบาดตัวนี้อยู่ แต่ทุกสิ่งที่ทดลองนั้นไม่เกิดผลเลยสักนิด จะยาฉีด ยากิน ก็ไม่สามารถทำให้อาการทุเลาลงได้อีกทั้งล่าสุดมีข่าวว่าคนไข้บางรายที่มีอาการมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนและไม่สามารถหาทางรักษาได้นั้น บางคนตัดสินใจฆ่าตัวตาย



“ฆ่าตัวตาย” ฉันไม่อยากได้ยินคำนี้ในหัวเลยสักนิดแต่มันก็ดังขึ้นตลอดเวลาในช่วงที่อาการของโรคนี้มันกำเริบ บางครั้งฉันคิดว่าการดูหนังหรืออ่านหนังสือจะช่วยทำให้โลกที่ลอนดอนของฉันน่าอยู่ขึ้นมาบ้าง แต่บทสรุปที่ฉันทดลองมาด้วยความอดทนก็เผยออกมาว่า สิ่งเหล่านั้นมันทำให้ฉันแย่ลงไปอีก ความรู้สึกบางอย่างของตัวละครมันส่งตรงมาถึงฉัน และเมื่อฉันเห็นแววตาของตัวละครเหล่านั้นที่รู้สึกเหมือนกับฉัน มันเหมือนจะทำให้อาการของฉันแย่ลงไปอีกแบบทวีคูณ



ฉันตัดสินใจว่าจะกลับไปรักษาตัวที่ประเทศไทยดีกว่าที่จะทนอยู่ที่นี่ เพราะดูแล้วว่าอาการไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยไม่ว่าจะผ่านปาร์ตี้ฉลองไปแล้วกี่รอบ เพราะเมื่องานฉลองเลิกราเมื่อใด อาการดังกล่าวก็เข้าครอบงำหัวใจของฉันจนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไร และถ้าฉันไม่ตัดสินใจที่จะกลับไปรักษา ฉายาเจ้าแม่ปาร์ตี้คงจะได้มาประดับบารมีฉันเป็นแน่



ผมตัดสินใจเดินทางกลับต่างจังหวัดมาหาพ่อกับแม่และญาติพี่น้อง ผมแปลกใจที่คนที่นี่ไม่มีอาการของโรคที่ผมเป็นเลยสักนิด ทุกคนดูสดใส ดูมีชีวิตชีวา หรือว่าโรคบ้านี่มันจะคอยกัดกินแต่คนในกรุงเทพกันนะ



ผมแทบจะคิดว่าผมหายจากอาการบ้าบอนี้แล้วเมื่อผมกลับมาหาพ่อกับแม่ แต่แล้วเมื่อช่วงเวลาค่ำคืนมาถึง เมื่อพ่อกับแม่ขอตัวไปนอนพักผ่อน เมื่อผมอยู่ในห้องนอนโดยลำพังและมีเพียงพระจันทร์สีนวลเป็นเพื่อนรู้ใจ อาการดังกล่าวก็กำเริบเสียจนผมแทบจะต้องวิ่งออกจากห้องไปฆ่าตัวตายกลางแสงจันทร์



ฉันคิดว่าการกลับมารักษาตัวที่เมืองไทยน่าจะดีกว่าแต่แล้วหมอที่นี่ก็ทำให้ฉันผิดหวังเมื่อรู้ว่ามันยังไม่มีวิธีรักษา แต่จะว่าไปการได้เจอกับพ่อแม่และญาติพี่น้องมันก็ทำให้อาการของฉันดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แต่มันก็แค่ตอนที่ยังไม่พ้นแสงอาทิตย์เท่านั้นเอง

จากเรื่องของเพลง หนัง หนังสือ ที่ฉันรู้มาว่าต้องหลีกเลี่ยง ความมืดก็เป็นอีกอย่างที่ฉันเพิ่งได้รู้เดี๋ยวนี้ว่า มันมีผลข้างเคียงทำให้คนที่เป็นโรคอย่างฉัน อาจจะตัดสินใจฆ่าตัวตายได้โดยไม่ทันตั้งตัวเลยก็เป็นได้แต่ก็อย่างที่คุณรู้ ถึงแม้จะอยู่ในห้องและเปิดไฟไว้ตลอดเวลา เสี้ยวหนึ่งในใจคุณก็รู้อยู่เสมอว่าด้านนอกมันมืดมิดเพียงใด



ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าสาเหตุของโรคมันไม่น่าจะเกิดจากการที่คนรักของผมตัดสินใจไปเรียนเมืองนอก แต่จนกระทั่งผมลองทุกวิธีแล้วก็ยังไม่สามารถจะรักษาอาการอ้างว้างอย่างเลวร้ายที่ผมเป็นอยู่นี้ได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะบินไปหาเธอที่ต่างประเทศดูสักครั้งเผื่อว่าอาการมันจะดีขึ้นบ้าง



ผู้ชายบ้า กว่าที่เขาจะตัดสินใจบินมาเยี่ยมฉัน ฉันก็บินกลับมาหาพ่อแม่ที่เมืองไทยเสียแล้ว คราแรกฉันก็คิดว่าจะนัดเจอเขาสักหนึ่งวันเผื่อว่าไอ้โรคบ้านี้มันจะดีขึ้นบ้าง แต่พูดก็พูดเถอะ การที่ประเทศไทยไม่มีหิมะมันก็ช่วยให้อาการฉันดีขึ้นบ้างนะ ว่าถึงเรื่องคนรักของฉันอีกครั้งว่าสุดท้ายแล้วฉันก็ไม่สามารถนัดเจอเขาได้เพราะว่าเวลาที่ฉันกลับมาเยี่ยมบ้านได้มันจำกัดจนทำให้โปรแกรมมันแน่นเสียจนฉันไม่มีเวลาให้เขา แต่พอฉันได้รับโทรศัพท์จากเขา ฟังเขาพูดถึงเรื่องของโรคที่เขาเป็น เสี้ยววินาทีนั้น ฉันคิดว่าเราเป็นโรคเดียวกัน



กระทรวงสาธารณสุขประกาศทางโทรทัศน์อีกครั้งว่า โรคดังกล่าวไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ทางกระทรวงคิดค้นวิธีป้องกันไม่ให้ติดโรค หรือไม่ให้อาการกำเริบออกมาได้แล้ว โดยประชาชนสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด



สิ้นเดือนธันวาคม คนกรุงเทพมากมายเห็นชายหญิงคู่หนึ่ง “กอด” กันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่อายสายตาของคนมากมายที่กำลังมองอยู่สักนิดราวกับเขาทั้งคู่กำลัง “กอด” กันเพื่อบำบัดโรคอะไรบางอย่างที่มาพร้อมกับลมหนาวในช่วงปลายปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น