วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มรกตอันดามันในวันฝนปรอย (2)

เช้าวันที่สองในดินแดนมรกตอันดามันแห่งนี้ ถูกโปรแกรมไว้ด้วย ทัวร์ 4 เกาะ ที่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่มาสัมผัสอ่าวพระนางก็มักจะไม่พลาดที่จะลิ้มลองทัวร์นี้กันโดยถ้วนทั่ว เราเริ่มต้นทัวร์นี้ด้วยการนั่งรถตู้จากรีสอร์ทไปรวมกับลูกทัวร์ที่เหลือตรงหน้าอ่าวพระนาง แต่แล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นก่อนที่เราจะลงเรือเสียด้วยซ้ำ ผมเองกลัวการเมาเรือจะทำให้การทัวร์ครั้งนี้ไม่สนุกเท่าที่ควรเพราะเคยมีประสบการณ์กับการนั่งเรือสปีดโบ๊ตในลักษณะที่มีกระจกสูงกั้นด้านข้างและทำให้ลมจากภายนอกไม่สามารถหาทางมาปะทะใบหน้าของเราได้ และเมื่อใดก็ตามที่นั่งเรือโดยที่ไม่มีลมมาปะทะ ผมมักจะมีอาการไม่ค่อยดีในทุกครั้ง แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ผมจะคืนอาหารเช้าจากกระเพาะอาหารสู่โลกภายนอกตั้งแต่การเดินทางเพิ่งเริ่มต้นด้วยรถตู้เท่านั้น ผมพยายามตั้งสติและโยกตัวด้วยความถี่เดียวกับตัวรถเพื่อที่จะให้ร่างกายไม่รู้สึกถึงอาการโคลงเคลง รวมทั้งการเบรคและออกตัวในแบบที่ไม่คำนึงถึงความนุ่มนวลใดๆทั้งสิ้น ผมเฝ้าภาวนาว่าเมื่อไรการเดินทางนี้จะสิ้นสุดเสียที และอย่างที่ทราบกัน ช่วงเวลาเลวร้ายมักจะยาวนานกว่าที่คิดเสมอ



และแล้วผมก็มีชีวิตรอดมาถึงหน้าอ่าวพระนางด้วยสภาพที่ไม่ค่อยจะพร้อมสำหรับการทัวร์สักเท่าไร จากนั้นสาวน้อยเจ้าถิ่นผู้ทำหน้าที่ไกด์ทัวร์ก็พาตัวเองมาแนะนำตัวต่อหน้าพวกเราทุกคน ผมได้ยินชัดเจนว่าหล่อนชื่อฝน แต่สำหรับลูกทัวร์ที่เหลือทุกคน เขาเหล่านั้นจะรู้จักเจ้าหล่อนในชื่อ rainny ซึ่งในกลุ่มทัวร์ครั้งนี้ มีเพียงเราสองที่จะรู้จักเธอในชื่อแบบไทยๆ เพราะทั้ง 11 คนในเรือเร็วลำนี้ มีเพียงเราสองคนที่มีสัญชาติไทย



เราเลือกพื้นที่บริเวณหัวเรือด้านหน้าที่ปราศจากวัสดุใดๆที่กั้นกลางระหว่างเราสองคนกับลมทะเล และอย่างที่ชีวิตสอนเราอยู่บ่อยๆ ถ้าเราต้องการจะมีชีวิตที่ดี

อุปสรรคเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับความต้องการลมทะเลของเรา แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงดังเปลวไฟก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับไว้เช่นเดียวกัน แต่โชคดีที่ทุกอย่าง

อยู่ในการคาดเดา ผ้าหนึ่งผืนที่เราซื้อมาในขณะเดินชอปปิ้งที่หน้าอ่าวพระนางเมื่อวานก็ช่วยชีวิตเราไว้ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่มันอาจจะดูเมื่อยแขนไปบ้างในการที่จะ

ต้องกางมันบังแดดไว้ตลอดเวลา แต่ถ้าถามผม ผมยอมที่จะเมื่อยมากกว่าที่จะไหม้ หรือว่าคุณไม่ได้คิดแบบผม



ผมโชคดีที่ได้ไปเยือนอ่าวไร่เลย์ด้านตะวันตกซึ่งไม่ได้อยู่ในโปรแกรมทัวร์แต่เรือจำเป็นที่จะต้องไปรับลูกทัวร์เพิ่มเติมอีกสองคนที่นั่น และนั่นเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เราได้สัมผัสกับชายหาดที่มีชื่อชั้นของความงาม ขจรขจายไปไกลเกินกว่าที่ลมทะเลคาดคิดว่าจะพัดไปบอกผู้คนเหล่านั้นได้ถึง และช่วงเวลาสั้นๆที่ผมเห็นที่นั่น บอกได้เลยว่าไม่มีคำชมไหนมากเกินเลยความจริงแต่อย่างใด



ทัวร์ 4 เกาะนั้นประกอบไปด้วย 1.ถ้ำพระนางซึ่งมีทางเดินไปถึงอ่าวไร่เลย์ด้านตะวันออก (ไร่เลย์ที่พี่เรย์ แมคโดนัลด์ดื่มกาแฟพร้อมเพลง see scape ของ scrubb นั้นเป็นด้านตะวันตก) 2.เกาะปอดะ ซึ่งปอดะนั้นเป็นภาษามลายูแปลว่า เต่า 3. เกาะไก่ และสุดท้ายไฮไลต์สำคัญที่จะทำให้คุณได้ชื่อว่าผ่านทัวร์ 4 เกาะมาแล้วจริงๆ นั่นก็คือทะเลแหวกอันเรื่องชื่อนั่นเอง



ในขณะที่ไกด์สาวพาเราเริ่มต้นที่ถ้ำพระนางเป็นจุดแรกนั้น เธอได้เล่าให้ฟังถึงตำนานของถ้ำพระนางที่ค่อนข้างจะหลากหลายความเชื่อและเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป แต่ความเชื่อที่ชาวบ้านเชื่อถือกันมากที่สุดนั้นน่าจะเป็นเรื่องของสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งไม่มีลูก จึงไปขอวิงวอนพญานาคให้ประทานลูกให้เพื่อที่จะได้สมใจเสียที พญานาคเองก็ตอบตกลงแต่มีข้อแม้ว่าถ้าเป็นลูกสาวก็จะต้องให้แต่งงานกับลูกชายของตน (ทำอะไรย่อมหวังผล) ต่อมาครอบครัวนั้นก็ได้ลูกสาวสมใจ จึงให้ชื่อว่า "นาง" และอย่างที่ผมคาดคิด นางเป็นสาวงามที่สุดในละแวกนั้น (พญานาคจะไม่ประทานลูกขี้เหร่มาแน่ๆเพราะต้องเป็นลูกสะใภ้ตัวเอง) และแน่นอน มีสาวงามที่ใดก็ย่อมมีหนุ่มๆ มารุมจีบเช่นเดียวกันสุดท้ายหนุ่มนายหนึ่งก็สามารถเอาชนะใจสาวงามไปจนได้และไม่ว่าลูกชายของพญานาคจะพยายามเกี้ยวพาราสีเธอสักเท่าไร เธอก็ไม่สนใจเลยสักนิดต่อมาเธอได้ตัดสินใจแต่งงานกับหนุ่มชาวบ้านที่เอาชนะใจของเธอได้ และเรื่องก็เกิดขึ้นในงานวันแต่งงาน พญานาคโกรธแค้นที่พ่อของเธอไม่ทำตามสัญญาและเธอเองก็ไม่ยอมแต่งงานกับลูกของพญานาค จึงอาละวาดเกิดการทะเลาะและแย่งชิงตัวเธอ ท่านฤาษีที่บำเพ็ญเพียรอยู่บริเวณนั้นก็ออกมาห้ามทัพแต่ก็ไม่เป็นผล ฤาษีจึงสาปให้ทุกสิ่งเป็นหินและแล้วเรือนหอของนางจึงกลายเป็นถ้ำพระนาง ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆก็กลายเป็นเกาะทัพ เกาะหม้อ และเกาะต่าง ๆ บริเวณอ่าวพระนาง ซึ่งนั่นก็เป็นตำนานที่เล่าขานกันต่อมา



สิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่ตรงหน้านี้มันคือภาพที่จะถูกเล่าขานในใจไปอีกนานเช่นเดียวกัน มันเป็นภาพของฝรั่งชายหญิงที่มารุมถ่ายภาพปลัดขิกยักษ์หลายลำที่ตั้งอยู่ในบริเวณอ่าวพระนาง บางแท่งมีพวงมาลัยคล้องไว้ บางแท่งมีทองคำเปลวปิดอยู่มากมาย เหล่าผู้มาเยือนตาน้ำข้าวเหล่านั้นต่างยิ้มแย้ม มีความสุขกับลำลึงค์มโหฬารเหล่านั้น ผมเข้าใจว่าพวกเขาคงไม่เข้าใจว่าทำไมชาวเอเชียอย่างเราๆถึงได้เคารพเครื่องเพศยักษ์เหล่านั้น และไม่ต้องคาดเดาใดๆ ผมไม่มีข้อมูลส่วนนี้มาให้ และผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับขนาดของมัน พูดก็พูด ผมเห็นจนชินตาแล้วล่ะ



กับเกาะปอดะและเกาะไก่ ผมไม่มีอะไรที่ถึงขนาดประทับใจเป็นการส่วนตัว แต่การนอนมองทะเลอยู่บนหาดทรายแสนสวย รวมทั้งการเป็นคนไทยแค่เพียงสองคนในเกาะต่างๆที่เราไปสัมผัสมันก็เป็นประสบการณ์ที่จะทำให้ผมฝันเห็นบิกินี่ไปอีกนานแสนนาน และ ณ ขณะนั้น ใจของผมเตลิดไปถึงทะเลแหวกเรียบร้อยแล้ว อย่าคิดอะไรเกินเลย ผมหมายถึงทะเลแหวกจริงๆ



ทะเลแหวกนั้นเกิดจากสันทรายจากเกาะสามเกาะ คือ เกาะไก่ เกาะหม้อ และเกาะทับ ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมจะมาเยือนก็คือช่วงที่น้ำลงต่ำที่สุดในแต่ละวัน เพราะจะทำให้เราสามารถเห็นสันทรายนั้นได้อย่างเด่นชัด โดยเฉพาะช่วงก่อนและหลังวันขึ้น 15 ค่ำ ประมาณ 5 วัน และเมื่อสอบถามกับไกด์ทัวร์ วันที่ดีที่สุดในช่วงนี้ที่ควรจะมาชมความงามของทะเลแหวกก็คือ "เมื่อวาน" ก็อย่างที่กวีหนุ่มยุคใหม่อย่าง เป้ เสลอ เคยบอกไว้ "ความสวยงามมักจะอยู่ไกลออกไป" และทะเลแหวกก็ตอกย้ำความจริงนั้นกับผมอีกครั้ง ไม่มีทางที่ชีวิตของเราจะพบเจอกับทุกอย่างในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่ทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของผมขนาดนี้ บอกตามตรง มันสวยงามมากเกินพอแล้วจริงๆ



ทุกครั้งที่ผมไปทัวร์หมู่เกาะ ผมมักจะได้กิน ผัดเปรี้ยวหวาน สับปะรด และแตงโม ในทุกครั้ง และในครั้งนี้ผมไม่ปล่อยให้ความสงสัยหลุดลอดไป สำหรับผัดเปรี้ยวหวานผมไม่ได้คำตอบใดๆ แต่สำหรับสับปะรดและแตงโมที่ผมเคยคิดและเชื่อเอาเองว่า ที่ริมทะเลคงปลูกได้อยู่แค่ผลไม้สองอย่างนี้เท่านั้น แต่ความจริงที่ได้ทราบจาก rainny คือ มันเป็นผลไม้ที่ชุ่มชื้นและสามารถที่จะคืนน้ำให้กับร่างกายของเราได้ค่อนข้างมาก มันเลยเหมาะกับการออกทัวร์ซึ่งจะต้องโดนแดดแผดเผาอีกทั้งยังต้องเสียพลังงานไปกับการดำน้ำบ้างในบางครั้ง และสำหรับผัดเปรี้ยวหวาน บางทีสับปะรดที่ใส่ลงไปอาจจะเป็นคำตอบเช่นเดียวกัน



หลังจากทัวร์ 4 เกาะจบสิ้นลง เราตัดสินใจว่าหลังจากกลับไปพักผ่อน อาบน้ำอาบท่าที่รีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางไปดูที่พักที่หาดทับแขกซึ่งเราจะไปพักในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็จะออกมารับประทานอาหารที่ร้านอาหารทะเลที่โด่งดังที่สุดในอ่าวพระนาง และหอยชักตีนเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่ผมจะต้องลงลิ้นให้จงได้ ก่อนที่จะออกไปร้านอาหารนั้น ผมได้สอบถามกับพี่ร่วมงานที่บังเอิญมาพักที่รีสอร์ทเดียวกันกับกลุ่มเพื่อนๆของเขา ว่าเย็นนี้จะเดินทางไปไหนหรือไม่ เนื่องจากรถที่ผมเช่ามามีที่ว่างพอสำหรับพวกเขา และด้วยความที่เป็นหญิงล้วน 4 คน การเดินทางด้วยมอเตอร์ไซต์ในช่วงกลางคืนอาจจะไม่เหมาะเท่าไร สุดท้ายเราตกลงที่จะไปถนนคนเดินในตัวเมืองกระบี่ด้วยกัน ผมรู้ในตอนนั้นว่าในบางครั้ง นอกจากหมู่ดาวและลมทะเล การได้เห็นน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ก็ให้ความรู้สึกที่สดชื่นไม่แพ้กัน ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่สำหรับเราสองคน มันสำคัญไม่แพ้สิ่งใดๆ



เราพลาดหอยชักตีนไปเนื่องจากทางร้านแจ้งว่าทะเลในช่วงนี้ไม่เอื้ออำนวย แต่รสชาติของอาหารทุกชนิดก็ไม่ทำให้เราผิดหวังแต่อย่างใด และหลังจากเดินเที่ยวถนนคนเดินกับ 4 สาวเรียบร้อยแล้ว ค่ำคืนนี้จบลงด้วยการนั่งกินยำไข่แมงดาที่เก็บกลับมาจากร้านอาหาร พร้อมทั้งฝันถึงหาดทับแขกที่ไปสัมผัสความงามมาเมื่อช่วงเย็น ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเคยกินยำไข่แมงดากันหรือไม่ แต่สำหรับผม ยำไข่แมงดาท่ามกลางหมู่ดาวในคืนนี้อร่อยเหลือเกิน อร่อยจนผมเผลอคิดว่าไข่แมงดาที่เห็นตรงหน้า เป็นหมู่ดาวที่บังเอิญนางฟ้าทำตกลงมาในห้องพักของผม หรือว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆกันนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น