วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

คุณว่าคนเราเลือกเกิดได้หรือเปล่า ?

คุณว่าคนเราเลือกเกิดได้หรือเปล่า ? แล้วเลือกที่จะมีชีวิตดีๆได้หรือเปล่านะ แล้วถ้าคนบางคนเค้าไม่สามารถเลือกชีวิตดีๆด้วยตัวเองได้ แต่คุณสามารถเลือกที่จะมอบให้เค้าได้ล่ะ คุณจะทิ้งโอกาสนี้ไหม
จะว่าไปแล้วในสังคมปัจจุบัน ความเหลื่อมล้ำทางโอกาสยังคงมีให้เห็นอยู่มากมาย เพียงแต่ถ้าไม่ได้ลงไปสัมผัสก็คงยากที่จะตระหนักถึงมัน แต่เนื่องจากตัวผมเองได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองมาจึงอยากนำมาเล่าความรู้สึกของการได้เป็น "คนสร้างโอกาสให้กับคนอื่น" นำมาเล่าให้ทุกคนฟัง

ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี โรงเรียนเล็กๆแห่งนี้มีนักเรียนจำนวน 113 คน แบ่งเป็น 8 ห้องเรียน ทุกท่านอาจจะแปลกใจว่าทำไมจำนวนนักเรียนถึงได้มีน้อยกว่าโรงเรียนปกติ นั่นเป็นเพราะผู้ปกครองที่มีฐานะดี เค้าไม่คิดที่จะส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่ เพราะไม่มั่นใจในศักยภาพของโรงเรียน ทั้งในเรื่องสื่อการสอน ครูอาจารย์ และอาหารกลางวัน ในส่วนของผู้ปกครองของเด็กๆ ที่ส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่นั้น ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม รับจ้างทำไร่ รับจ้างโรงงานอุตสาหกรรม นั่นทำให้เค้าไม่ได้มีฐานะทางการเงินที่ดีพอที่จะส่งลูกหลานไปศึกษาในโรงเรียนเอกชนที่พรั่งพร้อมกว่าที่นี่ได้ ในอีกหนึ่งความหมายก็คือ ทั้งผู้ปกครองและเด็กๆเหล่านี้มี 2 ทางเลือกนั่นเอง หนึ่งคือให้น้องๆเรียนที่นี่ กับสองคือ น้องๆจะไม่ได้เรียนหนังสือ นั่นทำให้เด็กๆเหล่านี้หมดโอกาสในการดำเนินชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ในขณะที่ตอนนี้นักเรียนทั้งโรงเรียนมีอยู่ 113 คน แต่อย่างที่กล่าวมาข้างต้น เราไม่สามารถปล่อยให้โรงเรียนถูกยุบ หรือต้องปิดตัวลงไปได้ เพราะถึงแม้ปัจจุบันทางโรงเรียนจะมีนักเรียนแค่จำนวน 113 คน แต่ถ้าโรงเรียนถูกปิด และน้องๆ 113คน จะไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะผู้ปกครองไม่มีกำลังพอที่จะส่งน้องๆไปเรียนโรงเรียนอื่นๆได้ ทั้งปัญหาในเรื่องระยะทาง และ ค่าใช้จ่าย นั่นทำให้การปิดโรงเรียนเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอย่างที่สุด จากโรงเรียนที่มีเด็ก “แค่” 113 คน เปลี่ยนไปเป็นเด็ก “ตั้ง” 113 คน ไม่มีที่เรียน ไม่มีอนาคต มันแตกต่างกันเยอะนะ ผมคิดว่าอย่างนั้น และเพื่อนๆ คิดว่าอย่างไรกันบ้างครับ

ลองแยกปัญหาในแต่ละส่วนของโรงเรียนออกมา ก็จะมีดังนี้ครับ 1 . การขาดแคลนบุคลากรทางการศึกษา ในส่วนของครูอาจารย์ ตอนนี้ในโรงเรียนมีครูทั้งหมด 7 ท่าน เป็นครูประถม 4 ท่าน ครูอนุบาล 2 ท่าน และผู้อำนวยการ 1 ท่าน ทีนี้เรามาดูหน้าที่ของคุณครูประถมและอนุบาลกันครับ เริ่มจากครูประถม 4 ท่าน ทำหน้าที่สอนน้องๆ 76 คน โดยแบ่งดังนี้

คุณครู... สอนชั้น ป.1 และ ป.2
คุณครู.... สอนชั้น ป.3 และ ป.4 และยังเหมารวมการสอนวิชาเกษตรและพละให้กับนักเรียนทุกๆชั้นในโรงเรียน เพราะเป็นครูผู้ชายคนเดียวในโรงเรียนครับ
คุณครู... สอนชั้น ป.5
คุณครู... สอนชั้น ป.6
ซึ่งคุณครูทั้ง 4 คนนี้เป็นข้าราชการซึ่งรับเงินเดือนตรงจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งทั้ง 4 ท่านนี้สามารถขอย้ายไปสอนในโรงเรียนที่พร้อมกว่านี้ และไม่ต้องเหนื่อยเท่านี้ได้ แต่ทั้ง 4 ท่านนี้ก็ยังมิได้ย้ายไปไหน แต่จะเห็นได้ว่า ในส่วนของครูที่เป็นข้าราชการประจำ ทางโรงเรียนมีอยู่แค่ 4 ท่านนี้ ซึ่งแน่นอนว่านอกจากการสอนหนังสือแล้ว คุณครูแต่ละ
ท่านยังมีหน้าที่อย่างอื่นด้วย และเมื่อบวกกับความแตกต่างกันของความสามารถในการรับรู้และสติปัญหาของน้องๆแต่ละคน จึงเป็นการยากยิ่งที่คุณครูแต่ละท่านจะดูแลน้องๆได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และในส่วนของคุณครูที่จะสอนเด็กๆอนุบาลจำนวน 39 คน ซึ่งทางโรงเรียนต้องจ้างคุณครูมาช่วยสอนนั้น ขณะนี้มีอยู่ 2 ท่าน ซึ่งรับเงินเดือน 5,500 บาท และ 4,500 บาท ใช่ครับ เพื่อนๆอ่านไม่ผิด 4,500 บาท ซึ่งในส่วนนี้ทางโรงเรียนต้องเป็นคนรับภาระ ซึ่งในบางครั้งต้องขอบริจาคจากผู้ปกครองน้องๆในชั้นอนุบาล ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันว่าแค่ลำพังให้เงินน้องๆมาทานที่โรงเรียน วันละ 5 - 10 บาท ก็สุดความสามารถของผู้ปกครองน้องๆแล้ว นั่นทำให้บางครั้งผู้อำนวยการต้องแบกรับภาระตรงนี้ไว้ด้วยตนเอง ซึ่งสำหรับเราๆท่านๆที่อยู่ในสังคมที่ถึงพร้อมกว่านั้น เงินจำนวน 10,000 บาท ไม่ได้มากพอที่จะสร้างสรรค์อะไรได้มากมาย แต่มันก็พอที่จะสร้างพื้นฐานให้น้องๆ 39 คนให้เติบโตขึ้นมาอย่างถึงพร้อมทั้งร่างกายและสมอง และสามารถที่จะเลือกมีโอกาสดีๆในสังคมได้
2. ในเรื่องของอาหารกลางวัน ปัจจุบันโรงเรียนได้งบอาหารกลางวัน 1000 บาทต่อวัน รวมค่าใช่จ่ายทุกอย่างในครัวไม่ว่าจะเป็น น้ำส้ม น้ำปลา หม้อ กะละมัง ต่างๆ ถ้าขาดเหลือหรือผุพัง ก็อยู่ในงบนี้ด้วย รวมทั้งค่าจ้างแม่ครัว ซึ่งในขณะนี้แม่ครัวของทางโรงเรียน ไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ แต่มาทำให้น้องๆด้วยใจเมตตา และเมื่อตัดค่าจ้างแม่ครัวออกไป น้องๆเหล่านี้จะมีค่าอาหารเฉลี่ยต่อคน ต่อมื้อ ประมาณ 8 บาท 85 สตางค์ เรามาดูกันว่า เงินจำนวนนี้ น้องๆจะได้กินอะไรในแต่ละมื้อ วันจันทร์ ต้มจืดกะหล่ำปีใส่หมูสับกับข้าวสวยวันอังคาร ไข่น้ำกับข้าวสวยวันพุธ ผัดผักบุ้งไม่ใส่หมูกับข้าวต้มวันพฤหัส ต้มยำไก่กับข้าวสวยวันศุกร์ ผัดกะหล่ำปีใส่หมูสับกับข้าวสวย
นี่คือเมนูใน 1 สัปดาห์ที่ยกมาแสดงให้ดู ซึ่งถึงแม้น้องๆจะอยู่ที่ชลบุรี แต่กลับไม่มีโอกาสได้กิน ปลา ปลาหมึก กุ้ง ใดๆทั้งสิ้น เพราะงบที่ทางโรงเรียนได้มาไม่เพียงพอ อีกทั้งกับข้าวแต่ละชนิดที่ใส่หมูนั้น หมูจะมีปริมาณ 2-3 กิโลกรัม สำหรับน้องๆทั้งโรงเรียน รวมทั้งอาจารย์ทั้ง 7 ท่าน ก็ทานข้าวที่โรงอาหารนี้ด้วยเช่นกัน ถ้าวันดีคืนดีมีผู้ใจบุญบริจาคเงินเล็กๆน้อยๆมาเป็นค่าอาหาร น้องๆก็อาจจะได้กินแกงเขียวหวาน ที่มีหมูมากขึ้น มีมะเขือ แต่ก็จะไม่มีลูกชิ้นเพราะว่างบประมาณก็คงจะไม่เพียงพอ
ทุกวันนี้ค่าอาหารเฉลี่ยของน้องๆต่อคน ต่อมื้อ ประมาณ 8 บาท 85 สตางค์ แต่ทุกวันนี้ผมเองกินไข่ดาว 7 บาทและน้ำเปล่าก็ยัง 2 บาท เกินแล้วครับ 9 บาทแล้ว ถ้าให้ผมไปกิน 8 บาท 70 สตางค์ ผมคงยอมตาย
แต่น้องๆเหล่านี้ ไม่ตายครับ และก็กินอย่างนี้มาหลายปีแล้ว ซึ่งน้องๆก็ไม่มีโอกาสเลือกที่จะกินอะไรที่ดีกว่านี้ เพราะที่นั่นไม่ได้มีร้านอาหารตามสั่งแบบเราๆ มีแต่ร้านอาหารตามมีตามเกิด
ทีนี้พออ่านมาถึงย่อหน้านี้ ผมถามตัวเองว่า แล้วผมทำอะไรได้บ้าง ผมลองมาสังเกตชีวิตผมเองแล้วถ้าวันว่างๆที่ผมกินอาหารญี่ปุ่น ต่อด้วยไอศกรีม และดูหนังสักหนึ่งเรื่อง ก่อนนั่งแท็กซี่กลับบ้าน ลองเปลี่ยนง่ายๆ แค่กินอาหารญี่ปุ่น แล้วไม่ต้องกินไอศกรีมต่อ ดูหนังโดยไม่กิน Popcorn ซึ่งนั่นจะทำให้ได้ใกล้ชิดกับหนังและคนที่เราไปดูหนังด้วย มากกว่าเวลาซื้อpopcorn เข้าไปกินอีกนะ แค่สองอย่างนี้ โดยที่ยังกลับแท็กซี่เหมือนเดิม เราจะประหยัดได้ประมาณ 300 บาท
ซึ่งเงินจำนวนนี้ทำอะไรได้บ้างครับ ถ้าจ้างคุณครูเดือนละ 4,500 ก็จะสามารถจ้างคุณครูได้เพิ่ม 2 วัน ถ้าเลี้ยงอาหารเด็กๆด้วยอาหารแบบเดิมก็จะได้ประมาณ 34 คน ใช่ครับ 34 คน เงิน 300 ให้อะไรได้มากกว่าที่เราคิดนะครับ อาจจะทำให้น้องๆเค้าได้กินปลาหมึกเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ได้นะครับ

และล่าสุดทางโรงเรียนแจ้งว่า งบที่จะจ้างครูได้หมดลงแล้ว ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่เร่งด่วนกว่าเรื่องอาหารของน้องๆอีกนะ ในช่วงเวลานี้เพราะนี่เป็นหลักประกันในอนาคตของน้องๆอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
และที่กล่าวมาทั้งหมดในนี้ ความต้องการของผมที่อยากจะบอกทุกๆท่านก็คงต้องย้อนไปอ่านที่ย่อหน้าแรก “แล้วถ้าคนบางคนเค้าไม่สามารถเลือกชีวิตดีๆด้วยตัวเองได้ แต่คุณสามารถเลือกที่จะมอบให้เค้าได้ล่ะ คุณจะทิ้งโอกาสนี้ไหม? ”

สรุปสิ่งที่ทางโรงเรียนต้องการการสนับสนุน
1. สนับสนุนงบประมาณสำหรับค่าจ้างครูจ้างสอน
2. สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีฐานะยากจน และมีความยากลำบากต่อการศึกษา
3. การสนับสนุนสื่ออุปกรณ์การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
4. การปรับปรุงห้องเรียนอนุบาล
5. การสนับสนุนโครงการปลูกผักในน้ำเพื่อโครงการอาหารกลางวัน

ร่วมสร้างโอกาสให้น้องๆได้โดยการร่วมบริจาคกับ “โครงการสร้างโอกาสเพื่อน้องที่ท้องหิว”ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น