วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 11 . ณ เพชรเทรนนิ่ง

วันนี้ผมมีนัดตอน 9 โมงเช้า หลังจากอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวอย่างเอื่อยเฉื่อย และนั่งสลัดความเหนื่อยเหน็ดจากงานประจำที่ตามกัดกินแรงกาย แรงใจมาร่วม 5 ปี ถึงวันนี้ผมคิดว่าผมควรลืมมันให้หมดสิ้นเพียงเพื่อเจียดพลังชีวิตที่เหลือน้อยนิดของผมมาพยุงกายไปให้ทันตามเวลานัดหมายครั้งนี้ ผมเผื่อเวลาในการเดินทางไว้ 1 ชั่วโมงครึ่ง สำหรับการหลงทางในกรุงเทพ ซึ่งผมไม่ถนัดเส้นทางมากนัก
ก่อนจะออกจากที่พัก ผมยืนมองออกไปนอกระเบียง ส่งสายตาให้กับน้องมะลิที่รัก "วันนี้พี่ขอไปคนเดียวนะ เราไปด้วยกันจะพากัน”หลงทาง” เปล่า ถึงแม้ว่าปกติพี่จะถนัดแต่เรื่อง “หลงเธอ” แต่ไม่รู้ทำไม วันนี้พี่กังวลผิดปกติ เหมือนถนนเส้นนี้มันยากที่จะเดินทางไปให้ถึงอย่างไรไม่รู้"
หลังจากร่ำรากันเสร็จสิ้น ผมออกเดินทางจากที่พักย่านสะพานควายโดยใช้พาหนะที่ทางรัฐบาลเค้าเสียค่าใช้จ่ายให้หรือเรียกอย่างหรูหราว่า “รถเมล์ฟรีเพื่อประชาชน” นานแล้วนะที่ผมไม่ได้ยืนเบียดกับสาวๆออฟฟิศบนสิ่งไม่มีชีวิตร่วมบริการสาย 74 นี้ ซึ่งเหตุผลที่ผมไม่ได้ใช้บริการก็เนื่องจากที่ผมตกลงยอมเป็นหนี้ ด้วยการถอยเจ้ามะลิ unlimited ออกมาโฉบเฉี่ยวหรือที่คนอื่นเค้าเรียกมันว่า Honda รุ่นเมืองใหม่ (new city) สีขาวจั๊วะนั่นเอง
การเดินทางไปกับน้องมะลินั้นแน่นอนว่าสบายกายมากกว่าการที่จะต้องเดินทางโดย ยกแขนเกาะราวรถเมล์ฟรีไปตลอดเส้นทางแน่นอน แต่ผมก็สูญเสียโอกาสที่จะเบียดกายแนบชิดกับสิ่งมีชีวิตต่างเพศที่เจือกลิ่นหอมบนร่างกายต่างกลิ่นกันไป แต่วันนี้โอกาสของผมก็มาถึงและผมก็ไม่ลืมที่จะละเลียดช่วงเวลานั้นราวกับว่ามันไม่มีวันจะผ่านเข้ามาในชีวิตผมอีกครั้งไม่ว่ากาลเวลาจะเดินทางไปเท่าไรก็ตาม
เข็มวินาทีเดินวนเพียงไม่เกิน 5 รอบของหน้าปัดนาฬิกา ผมก็จำเป็นต้องก้าวลงจากเจ้า 74 ฟรีเพื่อประชาชน เพื่อขึ้นรถเมล์ปรับอากาศสาย 28 ซึ่งตามประสาวัยรุ่นบ้านผม เค้าเรียกกันว่า ปอ.ยี่บ-แปด แต่ผมไม่รู้ว่า วัยรุ่นถิ่นอื่น เอ่ยเรียกมันว่าอะไร
เมื่อหาที่นั่งได้เสร็จสรรพ บอกพี่กระปี๋สาวถึงเส้นทางและจุดหมายที่ผมต้องการไป พี่สาวคนสวยขมิบยิ้มมุมปากพร้อมกระชากเงินจากอุ้งมืออันอ่อนนุ่มของผมไป 17 บาทพลางแลกกระดาษใบเล็กๆ ส่งคืนมาที่ผม ซึ่งวัยรุ่นแถมสะพานซังฮี้น่าจะเรียกมันว่า "ตั๋ว" (ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ) หลังจากนั้นเธอก็สะบัดก้นหนีไป ไม่ได้สนใจใยดีกับผู้โดยสารหนุ่มรูปงามอย่างผมเท่าไรนัก และจากการที่ผมต้องเดินทางมาในโลกที่ผมไม่เคยสัมผัส โลกที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ผมจำเป็นต้องตัดใจจากก้นน้อยๆของพี่กระปี๋สาว พลางหันสายตาไปชำเลืองหาสถานที่ที่ผมจะผละออกจาก ปอ.ยี่บ-แปด ไปใช้บริการของพี่ taxi ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การเมืองของไทยเดินต่อไปได้ในช่วง 2 - 3 ปีมานี้(ไม่ค่อยกล้าเล่น หุหุ) ว่าแล้วผมก็กดกริ่งเมื่อเจ้า 28 ลงมาถึงตีนสะพานซังฮี้ พลางกระเถิบตัวมายืนยิ้มพรายอยุ่ที่ประตูเพื่อแสดงให้ทุกคนบนรถเห็นว่า “กูชัวร์” ไม่มีการหลง ป้ายนี้แน่ๆ “กูรู้ กูคนฝั่งธน” ผมคิด พลางกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ และเพื่อให้ชัวร์ยิ่งกว่าเดิมก่อนจะเรียกใช้บริการพวกพี่ๆ มิเตอร์ ผมเหลือบตาดูนาฬิกา la coste รุ่น copy made in ประตูน้ำ ที่บอกเวลาเที่ยงตรงอย่างชนิดที่คงกลัวใครจะรู้ว่าตัวมันเองไม่ได้มีสกุลรุนชาติฝรั่งเศสแท้ๆอย่างที่ใครคิด ก็แน่ล่ะ ราคาค่างวดไม่ถึง 400 บาทบ้านเกิดคงไม่ได้มาจากปารีสแน่นอน เต็มที่ก็คงไม่ไกลจากถนนอังรีดูนังต์เท่าไร
เข็มยาวชี้เลข 6 เข็มสั้นชี้เลข 8 “โอ้แม่เจ้า” ผมอุทานในใจ ผมมัวแต่กังวลเส้นทางจนไม่ได้สังเกตเวลา เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ที่ผมต้องพาร่างกายไปให้ถึงสถานที่นัดหมาย ตามเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ หลังจากรู้ว่าเวลาชีวิตเหลือน้อยนิดขนาดนั้น ฉับพลันผมรีบมองหาคำว่า "ว่าง" สีแดงๆ ตามท้องถนนทันที ชั่วขณะนั้นผมร้อนรนเหมือนเข็มยาวของเจ้า la coste ทิ่มทะลวงปลายทวาร ทะลุสายธารลำไส้ใหญ่ ความคิดชั่วร้ายต่างๆนาๆโผล่ขึ้นมาราวกับว่า ถ้าผมไปไม่ทัน ชาวโลกคงจะต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปเป็นแน่แท้
“จรัญซอย 13 ครับ” คำแรกที่ผมออกเสียงหลังจากปิดประตู Altis สีแดงคันนั้น ว่าแต่ว่า พวกคุณเคยสงสัยกันหรือเปล่าว่าจริงๆแล้ว พวกโชเฟอร์แท็กซี่ที่เราใช้บริการกันนั้น เค้ากำลังปฏิบัติหน้าที่กันอยู่หรือเปล่า หรือว่าเค้าพักผ่อน ไม่รู้สิ ก็เห็นทุกคันเค้าพยายามบอกเราเสมอว่าเค้า "ว่าง" ก็แล้วถ้าพี่ "ว่าง" พี่จะมาขับรถทำไมให้มันเหนื่อย พี่ก็นอนพักผ่อนอยู่บ้านไม่ดีหรือครับ จะได้ไม่ยุ่ง จะได้ว่างงงงงงงงงงง ไปตลอด คริคริ
อีก 5 นาทีสุดท้ายจะถึงเวลานัดผมเริ่มอึดอัดราวกับว่าเจ้า la coste อังรีดูนังต์ มันขยายตัวใหญ่ขึ้นจนเบียดบังมวลอากาศอันน้อยนิดในเจ้าสี่ล้อคันนี้ ห้านาที ห้านาที ห้านาที ผมสบถอยู่อย่างนั้นในใจ พลางบอกออกไปว่า "หมู่บ้านนิศาชลครับ" พี่แท็กซี่โอดโอยราวกับว่าผมเอาค้อนปอนด์ทุบหัวเค้าอย่างไม่ปราณีพลางพ่นลมออกจากรูปาก “ถ้าน้องบอกพี่ก่อน พี่จะเข้าทางด้านหลัง และเราจะมาถึงกันเร็วกว่านี้” “อ้าวไอ้ห่า กูก็ไม่รู้นี่หว่า”ผมตอบกลับไปอย่างฉุนเฉียว แต่ไม่มีสัญญาณใดตอบกลับมา นั่นเพราะผมเพียงกระซิบในใจ ไม่ได้พ่นลมใดๆออกไป เกรงว่าจะโดนฆ่าหมกเบาะ อยู่ในรถ ก่อนที่จะไปถึงที่นัดหมาย
และแล้วผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าสถานที่นัดหมาย บ้านหลังสีขาววางตระหง่านขวางหน้าราวกับขุนเขาที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเคยพิชิตผ่าน มันกว้างใหญ่แต่ไม่อ้างว้าง กลับฉายความอบอุ่นเล็ดรอดจนแทบจะล้นทะลักออกมานอกรั้วบ้าน มันเกือบทำให้ผมแทบสำลักความอบอุ่นตั้งแต่ยังไม่ได้ก้าวเข้าตัวบ้าน ยังมันยังไม่พอ นอกจากตัวบ้านที่ทำให้ผมอบอุ่น มันยังมีอีกอย่างที่กระแทกมโนสำนึกของผมมากไปกว่านั้น ผมเรียกมันว่า “รอยยิ้ม”
มันทำให้ผมคลายความวิตกกังวล ทั้งเรื่องของเวลาและเส้นทาง ที่ทำให้สมองขมวดเกร็งมาตลอด 1 ชั่วโมง 30 นาที ที่เดินทางมา เพียงแค่รอยยิ้มน้อยๆ ที่ไม่ได้มีต้นทุนมากมายที่เหล่าเจ้าของบ้านโปรยมาให้ผม ผมตอบมันกลับไปด้วยกิริยาชนิดเดียวกัน และเมื่อรอยยิ้มของเราสองฝ่ายชนกันกลางอากาศ มันทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่แม้แต่นักเคมีระดับชาติท่านไหนก็ไม่สามารถเขียนสมการมันออกมาได้ แต่ผมเขียนได้ มันอาจจะไม่ถูกเต็มที่สักทีเดียว แต่ผมแน่ใจว่ามันไม่ผิด
(คนแปลกหน้าคนที่ 1 x รอยยิ้ม) + (คนแปลกหน้าคนที่ 2 x รอยยิ้ม) = คนกันเอง 2 คน
หรือพวกคุณว่ามันผิด ?
หลังจากผมยืนทำปฏิกิริยาเคมีที่หน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงได้เข้าไปรับประทานอาหารว่าง “ว่าง” อีกแล้ว ก็ถ้าว่างทำไมไม่ไปหาอะไรทำนะ อิอิ เล่นอีกสักรอบคงไม่ว่ากัน จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการเติมเชื้อไฟ เติมความใฝ่ ให้กับความฝัน และนั่นคือสาเหตุที่ผมดั้นด้นข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา มาถึงที่นี่
ทฤษฏี คำสอน คำบอก เรื่องเล่า หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ท่านผู้บรรยาย ถ่ายทอดออกมา มันผ่านโสตประสาท เข้าสู่กระบวนการประมวลผล แยกส่วนที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ และส่วนที่ฟังเพื่อความเพลิดเพลินออกจากกัน อีกทั้งกักเก็บส่วนที่เอาไว้เติมเชื้อฝัน เก็บเอาไว้ให้ลึกที่สุด เผื่อวันใด สติมันหลง มันลืมไป ไม่ใส่ใจดูแลความฝัน เมื่อถึงวันนั้นจะได้ล้วง จะได้ควัก ส่วนนี้มาใช้ มาโรยลงไปบนกองฝัน เพื่อให้เชื้อฝัน มันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง และไม่มอดดับลงไปง่ายๆ เหมือนเช่นไฟปลายบุหรี่แค่นั้น
เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ ร่างกายผมต้องไป แต่หัวใจผมยังอาวรณ์ ความรู้สึกขณะนั้นผมรู้สึกราวกับต้องจากคนรักที่พลัดพรากกันไปนานและเพิ่งจะกลับมาพบกันอีกครั้ง รสรักที่เราต่างมอบให้แก่กันอย่างบ้าคลั่ง ยังคงหอมหวานเสียวซ่านในหัวใจไม่จางหาย แต่ผมก็พยายามปลอบใจตัวเองว่าถึงอย่างไรผมรู้ว่า เราคงจะได้พบกันอีก ตราบใดที่ไฟฝันของผมยังไม่มอดดับ และในคราวหน้า ถ้าผมต้องมาที่นี่อีกครั้ง ผมคงไม่หลงทาง เพราะผมรู้แล้วว่า ถนนหนทางมันเป็นเช่นใด แม้จะคดเคี้ยวเลี้ยวลด แต่ถ้าจำทางได้ ก็ไม่ใช่ปัญหา แม้ระยะทางจะแสนไกล ก็แก้ไขได้ด้วยการเผื่อเวลา แต่เส้นทางอีกเส้นทางที่ผมกำลังจะไปนี่สิ มีใครพอจะบอกวิธีหรือเส้นทางให้ผมได้หรือเปล่านะ
ถ้าในขณะนี้ผมกำลังเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อจะออกเดินทางไปตามฝัน มีใครพอจะบอกผมได้หรือเปล่านะ ว่าผมจะต้องเดินไปทางไหน และที่สำคัญ ผมจะต้องเผื่อเวลาเท่าไร หรือว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อไปให้ถึงตรงนั้น แต่ว่าก็ว่าเถอะ เส้นทางไปสู่ฝันนี่ มันต้องผ่านสะพานซังฮี้ หรือเปล่านะ ผมล่ะสงสัยจริงๆ ทำไมผมถึงถามอย่างนั้นหรือ ก็เพราะถ้าจะข้ามไปให้ถึงฝันได้ คุณก็น่าจะต้องเป็น “คนฝั่งทน” นะสิ หรือคุณว่าไม่จริง...

1 ความคิดเห็น:

  1. บทความอันนี้อ่านมาหลายรอบแล้ว รู้สึกว่าเขียนได้ดีแล้วนะ

    แล้วก็ดีใจด้วยที่ได้ลงในนิตยสาร Kokoro อ่ะ

    ตอบลบ