วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 10.อวตาร

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาผมกับคนรักมีโอกาสได้เข้าไปชมภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ยักษ์ที่โฆษณาว่ามีดีที่ Computer graphic ในแบบที่ไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องไหนในโลกจะเทียบเท่า ผมเลือกที่จะชมภาพยนตร์ในแบบ 3 มิติ เพื่อให้เหมาะสมกับความอลังการของภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งความรุดหน้าในด้านเทคโนโลยีของ computer graphic บนดาวเคราะห์ดวงนี้ ซึ่งระบบ 3 มิติที่ผมเลือกที่จะชมนั้นเป็นที่เข้าใจกันว่าภาพในจอจะกระโดดออกมานอกจอราวกับมันมีชีวิตเป็นของตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยเห็นในรูปแบบที่แบนราบไปกับหน้าจอกลับแสดงความเนินนูนออกมาเพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมอย่างหาที่สุดมิได้ และนั่นคือมิติที่ 3 ที่เหล่าพ่อมดในวงการภาพยนตร์ได้สรรค์สร้างมันขึ้นมาเพื่อความรื่นเริงบันเทิงใจของมวลมนุษยชาติ

หลังจากที่ภาพยนตร์จบลง ผมกับคนรักนำความเป็นไปในฟิล์มมาถกเถียงกันเพื่อยืดเวลาในการซึมซับไม่ให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจหลังการชมภาพยนตร์จางหายเร็วจนเกินไป หัวข้อหลักที่ทุกคนมักจะถกเถียงกันอย่างออกรสออกชาติหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือความมหัศจรรย์ของ Computer graphic ที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับประสาทการมองเห็นเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับเราสองคนแล้ว สิ่งที่นูนออกมาจากจอและกระทบกับความรู้สึกของเราสองคนมากไปกว่าสิ่งที่ระบบ 3 มิติจะให้ได้ก็คือบทของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ถูกขีดเขียนขึ้นมาด้วยความจงใจที่จะตีแผ่ความเป็นมนุษย์ออกมาให้พวกเราได้รับรู้อีกครั้งเผื่อว่ามนุษย์คนใดจะหลงลืมตัวตนของตัวเองไปบ้างอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“เราว่าบทมันสะท้อนตัวตนของมนุษย์เราดีนะ ต้องการของที่มีเจ้าของอยู่แล้วก็หาทางไล่เจ้าของเค้าออกไปเพื่อครอบครองของสิ่งนั้น ในขั้นแรกอาจจะใช้วิธีเจรจาแต่เมื่อไม่ได้ผลก็พร้อมจะใช้สงครามเข้าทำลายทุกสิ่ง แม้กระทั่งธรรมชาติ นี่คือลักษณะที่แท้จริงของมนุษย์เลยทีเดียวล่ะ” ผมเปิดบทสนทนาด้วยความรู้สึกเข้าใจเผ่าพันธุ์ที่รุกรานและเต็มไปด้วยความเห็นใจเผ่าพันธุ์ที่ถูกรุกราน “มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ล่ะ สิ่งที่เห็นในหนังมันก็คือสิ่งที่เราทำกับโลกใบนี้มาตั้งแต่แรกและยังคงทำจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่พอมาถึงวันนี้เรากลับต้องหาวิธีป้องกันความแปรปรวนผิดปกติต่างๆของธรรมชาติทั้งๆที่คนที่ทำให้มันเกิดขึ้นก็คือพวกเราเอง” เธอถอนหายใจพร้อมกลับแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา “เธอว่าสิ่งที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้มันคือแนวทางที่ถูกต้องหรือเปล่านะ ถ้ามนุษย์คนแรกเลือกที่จะทำแค่จุดไฟเพื่อให้ความสว่างในถ้ำและออกมาหาอาหารเพื่อประทังความหิวบ้างเป็นครั้งคราว เราคงไม่ต้องมาช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนกัน” ผมลองถามความเห็นของคนรักว่าเธอคิดเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้ “ไม่หรอก ธรรมชาติทุกวันนี้ไม่ได้ถูกทำลายจากมนุษย์แค่เพียงคนเดียว ชั่วชีวิตหนึ่งของมนุษย์มันสั้นเกินไปที่จะทำลายธรรมชาติได้มากมายขนาดนี้และแค่สองมือของมนุษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่งโค่นต้นไม้ต้นใหญ่ก็ลำบากมากมายแล้ว ” “แล้วถ้าไม่ใช่สองมือของมนุษย์แล้วอะไรล่ะที่มันเฝ้าทำลายธรรมชาติบนโลกของเรากันอยู่” ผมอยากฟังความเห็นจากเธอต่อเนื่องจากประเด็นเดิมอีกครั้ง เพราะดูท่าทางเธอจะสนใจในประเด็นนี้ไม่น้อย “สมองไง สมองของเรานี่ล่ะที่เป็นตัวกำหนดความรู้สึกต่างๆที่เป็นต้นเหตุในการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ตัวเองลองคิดดูสิว่าถ้ามนุษย์เราไม่ต้องการความสะดวกสบายเกินความจำเป็น เราก็คงใช้ทรัพยากรบนโลกนี้ไปได้อีกนาน” “ถ้าเราไม่ต้องการเคลื่อนที่ให้เร็วไปกว่าที่เป็นอยู่ เราก็คงไม่ต้องใช้น้ำมันกันสินะ” ผมเสริมเหตุผลตามความเข้าใจพลางชี้แจงความเห็นของผมเพิ่มเข้าไปอีกในประเด็นเดิม “แต่อย่างว่าล่ะ คนเราต่างคนต่างคิด ต่างพัฒนาในสิ่งที่ตัวเองต้องการแต่แล้ววันหนึ่งพอโลกมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ เรากลับเฝ้าถามคนอื่นว่าใครล่ะจะเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ ทั้งๆที่ตอนเราทำ เราต่างคนต่างรุมทำร้ายโลกโดยไม่ได้คิดว่าจะหาใครเป็นผู้นำ” เธอแสดงความเห็นปรักปรำมนุษย์ทั้งโลกอย่างที่ผมไม่สามารถจะเถียงอะไรได้เลยหลังจากนั้นเธอยื่นคำถามแรกในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของเราขึ้นมาว่า “แล้วตัวเองว่าในโลกแห่งความจริง ใครเป็นชนพื้นเมืองแบบพวกนาวีล่ะ” เธอถามพลางทอดสายตาสงสัยส่งผ่านมาที่ผมในระหว่างรอคำตอบ “ก็สิ่งมีชีวิตทุกชนิดนอกเหนือจากมนุษย์ไงล่ะโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งมีชีวิตที่เราสามารถกินมันได้ นั่นยิ่งเป็นชนพื้นเมืองอย่างแท้จริง ลองคิดดูสิว่าทุกวันนี้จะมีสักกี่คนเคยเห็นปลาทูและปลาแซลมอนตอนว่ายน้ำบ้าง ร้อยทั้งร้อยก็เห็นก่อนที่มันจะเข้าปากเราทั้งนั้น” ผมพูดเปรียบเทียบถึงปลาสองชนิดที่ผมคิดว่ามันเกิดมาเพื่อถูกกินอย่างแท้จริง “แล้วถ้าเลือกได้ ตัวเองว่าเราควรจะพัฒนาร่างอวตารไปเป็นอะไรดีล่ะ จะได้ศึกษาชีวิตของสัตว์เหล่านั้นได้ เผื่อความสัมพันธ์ระหว่างเรากับมันจะมากกว่าผู้ล่ากับผู้ถูกล่า” เธอยื่นอาหารให้กับสมองของผมอีกครั้งอย่างที่ผมหลีกเลี่ยงไมได้ “หลายอย่างเลยนะ อย่างแรกก็จำพวกหมู ไก่ ปลาทู ปลากราย อยากรู้ว่าการเกิดมาเพื่อจะให้อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งกินอย่างเดียวโดยไม่ได้มีหน้าที่อื่นๆ จะเป็นอย่างไร” “ตัวเองรู้ได้ยังไงว่าเค้าเกิดมาเพื่อให้เรากิน ถ้าเราอวตารไปเป็นเค้า เราอาจจะรู้เหตุผลในการมีชีวิตของเค้าก็ได้นะ ว่าแต่ว่าทำไมต้องเป็นปลากรายด้วยล่ะ” สายตาแห่งความสงสัยถูกส่งมาให้ผมอีกเป็นครั้งที่สองนับจากเราเริ่มแลกเปลี่ยนเหตุผลกัน ผมยิ้มที่มุมปากพลางชี้แจงแถลงไข “ก็เราเชื่อว่ามีคนมากมายที่ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆของปลากราย แต่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่เคยกินทอดมันปลากราย 555 และถ้าเราอวตารไปในร่างปลากราย เราคงจะได้รู้ว่า มันมีจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตของมันยังไงบ้างไงล่ะ” “แล้วเธอคิดว่าถ้าสิ่งมีชีวิตอื่นๆอวตารมาเป็นมนุษย์ได้ล่ะ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง” ผมเริ่มประเด็นใหม่ที่น่าจะทำให้บทสนทนาเข้มข้นมากขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดไหนก็คงจะตื่นเต้นกับร่างใหม่แน่ๆ เพราะเค้าจะได้ทำอะไรมากมายที่มากไปกว่ากิจกรรมพื้นฐานของชีวิต กิน ถ่าย นอนหลับ แค่นั้น” “แถมเค้าจะตื่นเต้นกับการที่ไม่ต้องมีฤดูสืบพันธ์ แถมยังสามารถป้องกันไม่ให้ท้องได้ด้วยอีกต่างหาก” ผมคิดทะลึ่งเล็กน้อยเกี่ยวกับความเป็นธรรมชาติของมนุษย์เรา แต่ทั้งหมดมันก็เป็นเรื่องจริงที่ใครๆก็รู้กัน “คิดได้แต่เรื่องแบบนี้ล่ะนะ ว่าแต่ถ้าหมู ไก่ ปลาหมึก กุ้ง พวกนี้เค้าอวตารมาเป็นเรา เค้าคงเศร้าใจที่เห็นพวกเราตั้งหน้าตั้งกินเค้าอยู่อย่างสบายอารมณ์เป็นที่สุด” “โลกมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ ผู้แข็งแรงก็ย่อมได้รับชัยชนะ แต่มาคิดดูอีกที ถ้าพระเจ้ามีจริง ท่านคงพลาดน่าดูที่สร้างมนุษย์ขึ้นมาบนโลกใบนี้นะ” ผมเปลี่ยนประเด็นไปถึงเรื่องของสิ่งที่มองไม่เห็น “หมายถึงเราทำลายโลกที่ท่านสร้างมานะเหรอ” “อันนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ลองคิดดูนะว่าปัจจุบันมนุษย์เราพยายามล้วงลึกความลับของพระเจ้าเข้าไปเรื่อยๆแล้วนะ จนต่อไปท่านจะไม่เหลืออะไรที่เป็นความลับแล้ว” “อะไรคือความลับของพระเจ้าล่ะ น้ำสามารถดับไฟได้ นี่ใช่หรือเปล่า” เธอเสนอหนึ่งในความลับของพระเจ้าพร้อมกับหัวเราะเล็กๆให้กับความคิดอันรวดเร็วของตัวเอง “จะว่าไปก็มีส่วน มนุษย์คนแรกที่รู้ว่าน้ำดับไฟได้นี่คงตื่นเต้นน่าดู แต่ไม่รู้จะตื่นเต้นกว่าตอนที่จุดไฟได้ครั้งแรกหรือเปล่านะ” “ว่าแต่ความลับของพระเจ้าคืออะไรล่ะ” “เอาง่ายๆนะเริ่มตั้งแต่ตอนเกิดมา นี่ไม่ได้ทะลึ่งนะ พระเจ้าสร้างอวัยวะเพศมาสองแบบเพื่อที่จะสามารถทำให้ทารกเกิดขึ้นมาได้ และคนสองคนที่จะสร้างทารกน้อยขึ้นมาด้วยอวัยวะสองสิ่งนี้ก็จำเป็นต้องมีความรู้จักกันมากพอที่จะปล่อยให้กิจกรรมการสร้างทารกเกิดขึ้นได้ และความรู้จักกันมากพอในยุคแรกๆก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นความรักล่ะ”ผมอธิบายพลางยิ้มภูมิใจกับความเห็นในเชิงสัปดนของตัวเอง “ทีเรื่องนี้รู้เรื่องดีเชียวนะ” เธอยังคงปักใจสงสัยเกี่ยวกับความรู้ใต้สะดือของผม “แล้วลองคิดต่อนะ พอมนุษย์คนแรกที่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องรักกันก็สามารถใช้อวัยวะสองอย่างร่วมกันได้ ตั้งแต่นั้นโลกก็บังเกิดสุดยอดกิจกรรมแห่งความสุข 555 ถือเป็นการล้วงความลับของพระเจ้ามาตีแผ่เลยทีเดียว แล้วยิ่งเราไปต่อต้านท่านด้วยการคิดวิธีคุมกำเนิดขึ้นมาอีกคราวนี้ยิ่งสบายไปกันใหญ่” “จะว่าไปมันก็จริงนะ แถมสมัยนี้ยังมี ultrasound ทำให้รู้เพศของทารกตั้งแต่อยู่ในท้องอีก นี่มันล้วงความลับของพระเจ้าชัดๆ”เธอเริ่มเห็นด้วยในประเด็นนี้เพราะมันคือความจริงที่มนุษย์ทุกคนก็ทราบกันดี “แล้วสมัยนี้การเพาะเลี้ยงจระเข้ก็สามารถกำหนดเพศของจระเข้ได้ด้วยการปรับอุณหภูมิที่ฝักไข่ ลองคิดดูว่ามนุษย์เข้าใกล้ความเป็นพระเจ้าขนาดไหน”ผมเริ่มติดใจในประเด็นนี้จึงแสดงความจริงอีกเรื่องให้เธอได้รู้ “ยิ่งคุยชักจะน่ากลัวไปใหญ่ นอกจากเรื่องเกิด พอมาคิดถึงเรื่องแก่ เจ็บ ตาย ยิ่งแล้วใหญ่ พระเจ้าคิดโรคร้ายอะไรมา เราก็สามารถรักษาได้หมด จนท่านไม่รู้จะเอาอะไรมาฆ่าเราแล้ว” เธอพูดจนดูเหมือนกับว่าเผ่าพันธุ์ของเรามันน่าขยะแยงยิ่งนัก “ตอนนี้ท่านยังเหลือมะเร็งเป็นไม้ตายสุดท้ายอยู่นะ แล้วก็โรคประหลาดต่างๆ ไอ้แบบที่หมื่นคนจะมีสักคนนั่นล่ะ”ผมยังพยายามเข้าข้างพระเจ้าท่านอยู่เพราะกลัวว่าท่านจะหมดทางไปจริงๆ “จะว่าไปถ้ามะเร็งมันเกิดขึ้นกับมนุษย์เยอะมากขึ้น หรือสัก 30% – 40% ของมนุษย์ คราวนี้เราคงกลายเป็นชนเผ่าพื้นเมืองสินะ” เธอถอยประเด็นกลับมาสู่เรื่องเดิมๆอีกครั้งหนึ่ง “ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะ ถึงคราวนี้เราคงจะได้ลิ้มรสชาติของการถูกล่าอย่างเต็มความรู้สึกล่ะ” “ตั้งแต่ที่คุยมานี่ มนุษย์เรามีข้อดีบ้างหรือเปล่านะ”เธอเริ่มหมดกำลังใจกับความเป็นมนุษย์ลงทุกทีๆ “ถ้าดูจากหนังทุกเรื่องที่สร้างเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกหรือสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นที่มาช่วยมนุษย์แล้วล่ะก็ ความรักน่าจะเป็นข้อดีข้อเดียวของเราที่พวกเค้ามองเห็นนะ” ผมพยายามทำให้เธอมีกำลังใจในความเป็นมนุษย์มากขึ้นและก็ปลอบใจตัวเองไปในที “แล้วตัวเองคิดว่ามันใช่หรือเปล่าล่ะ”เธอขอความแน่นอนจากผมอีกครั้งในเรื่องของความรักที่ผมได้พูดไป “ถ้าเป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์จริงก็ใช่ล่ะ แต่ส่วนใหญ่ความรักมันไมได้บริสุทธิ์นะสิ พ่อแม่บางคนที่อยากให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ ไอ้อย่างนี้ก็ไม่ใช่ความรัก เค้าเรียกความเห็นแก่ตัว” ความเห็นแก่ตัวคือเหตุผลแรกที่ผมพอจะนึกออกเกี่ยวกับเรื่องของความรัก “แล้วอย่างชายหญิงที่รักกันและหวังจะให้ดูแลกันไปตลอดชีวิตล่ะ เห็นแก่ตัวหรือเปล่า” เธอพยายามโยงเรื่องเข้ามาใกล้ความสัมพันธ์ของเราสองคนและนั่นทำให้ผมต้องระวังคำตอบมากขึ้นแต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะพูดความจริงออกไป “มันก็ชัดๆอยู่แล้ว กลัวตัวเองไม่มีใครดูแลไง ไม่ได้หวังให้คนที่เรารักมีความสุขอย่างไม่มีเงื่อนไขนี่ ถ้าอย่างนั้นถึงจะเรียกว่าความรักอย่างแท้จริง” “แล้วตัวเองคิดว่าความรักเพียงอย่างเดียว มันจะช่วยให้เรารอดพ้นไปจากวิกฤตต่างๆ ที่จะทำให้เราเป็นชนพื้นเมืองได้หรือเปล่าล่ะ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจากมะเร็งหรือภัยธรรมชาติต่างๆ ” เธอถามผมอีกครั้งด้วยความหวังว่าความรักจะช่วยให้อะไรมันดีขึ้นได้ “ความรักมันมีพลังมากมายอย่างที่เรารู้กันนั่นล่ะและมนุษย์ส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าพลังของมันจะช่วยปกป้องเผ่าพันธุ์ของเรา รวมทั้งปกป้องทุกชีวิตที่เรารักได้ด้วย แต่สำหรับเรามันไม่สำคัญหรอกว่ามันจะมีพลังพอหรือเปล่า” ผมจบประโยคทิ้งไว้ให้คิดพร้อมกับส่งยิ้มอันแยบยลไปให้เธอ “แล้วมันสำคัญยังไงล่ะ” เธอยังคงต้องการคำตอบของผมต่อไป “ไม่ว่าอะไรจะทำให้มนุษย์อย่างเราๆกลายเป็นผู้ถูกรุกราน มันก็เหมาะสมแล้วกับสิ่งที่พวกเราทำกับสิ่งมีชีวิตอื่นตลอดมา และถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ผู้ถูกรุกรานที่มีความรักทั้งที่เป็นคนรักและคนถูกรัก เค้าคนนั้นก็น่าจะต่อสู้อย่างมีพลังมากกว่าคนอื่นๆ และถึงแม้เค้าจะตาย เค้าก็คงจะตายอย่างมีความสุข เพราะเค้าได้รู้จักความรักที่บริสุทธิ์แล้ว” ผมไม่กล้าสบตาเธอเพราะรู้ว่าคำตอบมันออกจะดู romanticไปนิด “ตัวเองนี่น่าจะเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่พูดจาเลี่ยนที่สุดแล้วนะนี่” แต่แล้วเธอก็หยิกแกมหยอกผมจนได้ “เอาเถอะน่า ว่าแต่ว่าตัวเองรู้หรือเปล่าว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนที่เค้าอยากจะอวตารไปศึกษามากที่สุด” ผมย้อนกลับไปเล่นประเด็นเดิมจากภาพยนตร์ที่เราชมกัน “ปลากรายลิท่า” “ไม่ใช่หรอกตัวใหญ่กว่านั้น” “หมูละกัน ถูกหรือเปล่าล่ะ” “ไม่ใช่หรอก เค้าอยากอวตารไปเป็นตัวเองต่างหาก” ผมตอบไปอย่างที่ใจคิดพร้อมทั้งเตรียมเหตุผลไว้อธิบาย “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ” “เค้าอยากรู้ว่าชนเผ่าพื้นเมืองที่ถูกรุกรานด้วยความรักมันรู้สึกยังไง และมีพลังอะไรหรือเปล่าที่ยิ่งใหญ่พอที่จะต่อสู้กับความรัก”ผมเริ่มทำตัวเลี่ยนๆอีกครั้งเพื่อให้บรรยากาศไม่จริงจังจนเกินไป “ทำมาเป็นพูดดี อย่างน้อยๆ ถึงจะไม่ได้มีพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าแต่ก็มีพลังที่ไม่แพ้กันล่ะ” “พลังอะไรเหรอ” “ไม่บอกหรอกแล้ววันหนึ่งตัวเองก็จะรู้เอง” เธอทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้ผมคิดอีกตามเคย
ผมเดินจับมือกับสิ่งมีชีวิตข้างๆพร้อมทั้งส่งความรักเข้ารุกรานกันและกันอย่างไม่กลัวว่าชนพื้นเมืองฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะไม่สามารถต้านทานพลังที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ ด้วยจุดเริ่มต้นจากภาพยนตร์ดีๆเรื่องหนึ่งทำให้เราแลกเปลี่ยนเหตุผลกันตั้งแต่เรื่องของการอวตารมาจนกระทั่งเรื่องของความรัก ผมเองได้ข้อสรุปกับตัวเองในบางประเด็นว่าเผ่าพันธุ์ของผมเริ่มต้นทำร้ายธรรมชาติมาอย่างยาวนานโดยไม่ได้ยี่หระต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆ ผมเรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกว่าเรากำลังพยายามทำตัวเป็นพระเจ้าของโลกนี้มากขึ้นในทุกๆทางด้วยการล้วงความลับของพระเจ้าในทุกๆเรื่องอีกทั้งทำตัวเป็นผู้ล่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่อย่างไรก็ตาม จากทุกเรื่องเหล่านี้ทำให้ดูเหมือนกับว่ามนุษย์อย่างเราๆไม่ได้มีข้อดีอะไรอยู่เลยสักนิดเดียว แม้กระทั่งความรักที่ดูจะเป็นข้อดีข้อเดียวของมนุษย์ที่มีให้แก่กันมันก็มีต้นเหตุมาจากความเห็นแก่ตัวเป็นส่วนใหญ่ แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกท้อถอยและเสื่อมศรัทธาในตัวมนุษย์ไปเสียทั้งหมดหรอก ผมขอลองสู้สักตั้งด้วยการทำอะไรให้กับโลกของผมบ้าง โลกที่เผ่าพันธุ์ของผมร่วมมือกันทำร้ายมาอย่างยาวนาน ผมเองไม่หวังจะหาใครเป็นคนเริ่มทำอะไรให้โลกแต่ผมหวังที่จะทำโดยไม่พึ่งใครไม่ว่ามันจะทำได้มากหรือน้อยอย่างไรก็ตาม เพราะอย่างน้อยๆ ถ้ามันถึงวันที่มนุษย์จะต้องถูกล่า ผมเองก็คงจะหลับตาลงได้อย่างมีความสุข เหตุผลแรกเพราะผมได้ทำอะไรตอบแทนโลกใบนี้บ้างแล้ว และเหตุผลที่สองที่สำคัญเช่นกันคือผมได้รู้จักกับความรักที่บริสุทธิ์ที่ผมมอบให้กับดาวเคราะห์ดวงนี้รวมถึงมอบให้กับสิ่งมีชีวิตที่จะต้องถูกล่าเคียงข้างกับผมนั่นเอง

1 ความคิดเห็น:

  1. สังเวชพวกมนุษย์ ขี้เหม็นว่ะ ช่างไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ทำๆกันอยู่ ซักวันนึง ธรรมชาติจะเอาคืน ดูหนังเรื่องนี้ แล้ว อินสุดๆๆ

    ตอบลบ