วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

DREAM 2 บทที่ 11 ก่อนวันสำคัญ



ร้านอาหารไทยบริเวณไม่ไกลจากมหาวิหารดูโอโม่คือสถานที่ที่ผมส่งข้อความนัดกับเพื่อนๆไว้ ผมหาวันที่ทุกคนว่างพร้อมๆกันได้อยากพอตัวทีเดียว แต่สุดท้ายเราก็สามารถมากันได้ครบทุกคนอย่างที่ตั้งใจไว้ อาหารตรงหน้าไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสนใจสักเท่าไรในวันนี้ แต่การที่เราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งเจ็ดคนต่างหากคือช่วงเวลาที่เราทุกคนต่างรอคอย ผมไม่รู้ว่าพวกคุณเคยมีเพื่อนกลุ่มที่รักกันอย่างสนิทใจและชอบในสิ่งเดียวกันอย่างหัวปักหัวปำหรือไม่ แต่ผมมีและไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็จะไม่ยอมเสียมันไปอย่างแน่นอน

“เป็นอย่างไรกันบ้างวะโลกแห่งความจริงที่แม่งเหมือนในฝัน” ผมเปิดบทสนทนาด้วยรอยยิ้ม “ถ้ากูรู้ว่าเราจะมีวันนี้ ตอนเด็กๆกูจะเตะบอลให้เยอะกว่านี้อีก จะเล่นให้ดีกว่านี้อีก จะได้เก่งๆกว่านี้” ไอ้นัทพูด “พวกเรายังจะเล่นฟุตบอลมากกว่านี้ได้อีกหรือวะ นี่ก็แทบจะไม่ได้เข้าเรียนแล้วนะนี่” ไอ้โยพูดเสียงดังพร้อมกับเสียงหัวเราะของพวกเราที่ตามมา “แล้วนี่พวกมึงเก็บเงินกันบ้างหรือเปล่าวะ หรือว่าซื้อนั่นนี่กันหมด”ไอ้ต้นถาม “กูก็เก็บไว้ตลอดนะ ส่งให้แม่ช่วยเก็บด้วยเพราะอาชีพนักบอลอย่างเรามันทำได้ไม่นาน และเราเองก็ไม่ได้เรียนอะไรกันมาด้วย” ไอ้ตั๊กตอบข้อสงสัย “กูเองก็เรียนต่อไม่ไหว พอเตะบอลจริงจังก็ทิ้งเรื่องเรียนไป เลิกเล่นบอลค่อยว่ากันใหม่”ไอ้เอ็มพูด “อย่างว่ะล่ะ ถ้าเรียนไปด้วยคงไม่ไหว อย่างไรก็คงต้องเลือกสักอย่าง” ผมสนับสนุนความคิดเพื่อน “แล้วพวกมึงคิดจะกลับไปเล่นในไทยบ้างหรือเปล่าวะ” เทพเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง “กูคิดว่าถ้าเลยสามสิบแล้วที่นี่ไม่มีทีมไหนสนใจ กูก็คงจะกลับไปเล่นที่บ้านล่ะ คิดถึงบ้านว่ะ” ไอ้นัทแสดงความในใจออกมาเป็นคนแรก “แล้วคิดว่าแฟนบอลที่ไทยจะคิดว่าพวกเราไม่สนใจบ้านเกิดหรือเปล่าวะ เราแทบไม่ได้กลับไปเล่นทีมชาติเลย” ไอ้ต้นถาม “ก็โปรแกรมทีมชาติเรามันไม่เหมาะกับลีกยุโรปเลยนี่นา อีกทั้งการบินข้ามโลกบ่อยๆก็ไม่ใช่เรื่องสนุก แต่ถ้าเป็นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ กูว่าพวกเราก็อยากเล่นทีมชาติเหมือนกันนะ” ผมพูด “ใครจะไม่อยากเล่นล่ะวะทีมชาติตัวเอง มันก็แล้วแต่โอกาสล่ะนะ”เอ็มพูด “แล้วนี่พวกมึงมีใครที่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ยาว ไม่กลับไทยบ้างวะ” ไอ้โยถาม “ตอนแรกที่เรายังเด็ก การอยู่ที่นี่มันก็ดูน่าหลงใหลดีนะ แต่พอมาอยู่จริงๆมันก็เหงาว่ะ อาหารก็ไม่ถูกปาก ญาติพี่น้องเราก็ไม่มี” ไอ้ตั๊กว่า “แต่กูว่าถ้ามีแฟนก็พอช่วยได้นะ” ไอ้เทพพูด “เตะแม่งแต่บอล จะไปเจอใครวะ จะเป็นแฟนกับลูกฟุตบอลนี่ล่ะมั้ง” ผมพูด “จะว่าไป การที่เราได้ทำงานในสิ่งที่เราชอบนี่ มันทำให้ชีวิตมีความสุขดีเหมือนกันนะ”ไอ้ต้นพูด “มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ว่าแต่ว่าถ้าไม่ได้เป็นนักฟุตบอลจริงๆ กูยังไม่รู้เลยนะว่าจะทำมาหากินอะไร”ไอ้นัทบอก “ก็เราแทบจะไม่เคยสนใจเรื่องอื่นกันเลยนี่นา”ไอ้โยบอก “ในชีวิตก็มีแต่ฟุตบอลนี่ล่ะ”

เวลา 3 ชั่วโมงผ่านไปราวกับ 3 นาที ทั้งเรื่องมีสาระและไม่มีสาระต่างผ่านเข้ามาในวงสนทนาของเราอย่างหมดสิ้น ผมสัมผัสได้ว่าวันเวลาไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเราเติบโตขึ้นในทางร่างกายเท่านั้น ทั้งสมองและหัวใจของเราก็เติบโตขึ้นด้วยเช่นกัน ผมไม่รู้ว่าพวกคุณในวัยเด็กเคยตอบคำถามของผู้ใหญ่บ้างหรือเปล่าว่า โตขึ้นคุณอยากเป็นอะไร ผมเชื่อว่าคำตอบของเด็กๆแต่ละคนคงเปลี่ยนไปในทุกๆครั้งที่ถูกถาม หรืออาจจะมีบ้างที่ตอบด้วยคำตอบเดิมตั้งแต่เล็กจนเริ่มโต แต่พวกคุณลองถามตัวเองในปัจจุบันสิว่า พวกคุณได้เป็นหรือได้ทำในสิ่งที่เคยตอบไว้ตอนเด็กๆบ้างหรือไม่ พวกเราเจ็ดคนกำลังทำในสิ่งที่พวกเราให้คำตอบกับผู้ใหญ่เอาไว้ในตอนเด็กและเพียงแค่นี้ก็ทำให้พวกเรามีความสุขในแบบที่แตกต่างกับคนอื่นๆมากมายที่ยังคงต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่ได้ต้องการหรือยังคงต้องทำอะไรที่คนอื่นเห็นว่าดีต่อคุณ หรือพวกคุณก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ

ในระหว่างบทสนทนา มีหัวข้อหนึ่งที่ผมยังคงนำมาคิดทั้งๆที่ตอนนี้ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของนักกีฬาอย่างเราๆแล้ว เอเชี่ยนคัพ 2007 คือหัวข้อนั้น ไทยเราร่วมกับประเทศอื่นในกลุ่มอาเซียนเพื่อจัดการแข่งขันครั้งนี้หรือเรียกได้ว่าเป็นเจ้าภาพนั่นเอง และด้วยความที่เราเป็นเจ้าภาพนั่นทำให้ความหวังของแฟนบอลชาวไทยถาโถมเข้ามาสู่นักฟุตบอลทีมชาติไทยจนผมคิดว่ามันน่าจะแปรเปลี่ยนเป็นแรงกดดันที่อาจจะทำให้ผลการแข่งขันไม่เป็นไปตามที่คิดได้ง่ายๆ แต่ประเด็นที่ผมกำลังคิดไม่ใช่ตรงนี้ ผมกำลังคิดถึงโอกาสของการที่พวกเราจะกลับไปช่วยชาติในการแข่งขันครั้งนี้ พวกเราเองมาฝึกฟุตบอลที่ยุโรปนี้ตั้งแต่ยังเด็กและจนบัดนี้พวกเราก็ยังไม่มีโอกาสรับใช้ชาติแต่อย่างใด เนื่องด้วยโอกาสและแมตซ์การแข่งขันที่ไม่สนับสนุนซึ่งกันและกันในช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้เรายังไม่เคยได้กลับไปช่วยชาติ แต่ว่าเอเชี่ยนคัพครั้งนี้ที่จะจัดขึ้นในต้นเดือนกรกฎาคมนั้นเหมาะสมกับพวกเราที่อยู่ในช่วงหยุดพักฤดูกาลเป็นอย่างยิ่ง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของสมาคมว่าจะมองไปที่อะไร แน่นอนว่าการที่พวกเราไม่เคยตอบรับการเรียกตัวอาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นอยู่บ้าง แต่ถ้ามองถึงโอกาสที่จะไปให้ไกลที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ การเรียกตัวพวกเราทั้งเจ็ดคนไปร่วมทีมก็ดูน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีเช่นเดียวกัน พวกเราเองให้น้ำหนักไปในทางเดียวกันว่า ถ้ามีการเรียกตัวเกิดขึ้น พวกเราพร้อมที่จะช่วยสร้างความสำเร็จให้กับฟุตบอลไทยอยู่แล้ว แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าฟุตบอลไทยเอง พร้อมที่จะพบกับความสำเร็จแล้วหรือยัง

ความสำเร็จของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในถ้วยหูใหญ่อาจจะจบลงด้วยความเจนจัดมากกว่าของเอซี มิลาน แต่ความสำเร็จในประเทศเองยังคงมีความหวังทั้งในฟุตบอลลีกและฟุตบอลถ้วยเอฟเอ คัพ ฟุตบอลถ้วยน๊อกเอาท์นั้นมีการแข่งขันกันแทบจะทุกลีกในยุโรปแต่อย่างที่พวกเรารู้กันว่ามันเริ่มต้นมาจากที่ประเทศอังกฤษ และด้วยรูปแบบของการแข่งขันที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้แพ้ได้แก้ตัว นั่นทำให้ทีมเล็กๆที่ไม่มีโอกาสที่จะพบกับความสำเร็จในรูปแบบการแข่งขันแบบลีกที่ต้องการความสม่ำเสมอมากไปกว่าชัยชนะฉาบฉวยในแต่ละนัดแต่ทีมเหล่านั้นมีโอกาสที่จะเอาชนะทีมยักษ์ใหญ่ในลีกได้มากกว่าเพราะฟุตบอลนัดเดียวนั้นแค่เพียงความผิดพลาดเล็กน้อยก็อาจจะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ให้กับทีมยักษ์ใหญ่ระดับประเทศได้เช่นกัน

แต่จากประวัติศาสตร์ของเอฟเอ คัพ ในช่วงหลัง ความแตกต่างทางด้านฝีเท้าที่ถูกแบ่งแยกด้วยเงินทุนที่หมุนเวียนอยู่ในแต่ละสโมสรนั้น ทำให้การที่ทีมเล็กๆจากลีกระดับล่างจะสร้างตำนานล้มยักษ์จากลีกสูงสุดได้นั้นแทบจะมองไม่เห็น และคู่ชิงเอฟเอ คัพของอังกฤษในปีนี้ก็ยังคงตอกย้ำตรรกะนี้อยู่อย่างเหนียวแน่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับเชลซีคือคู่ชิงที่ผมกล่าวถึง ไอ้ต้นเองหลังจากตกรอบในถ้วย ucl แล้ว การได้ดับเบิ้ลแชมป์ก็คือความหวังสูงสุดที่มันหวังว่าจะได้สัมผัสในปีนี้ แต่กับการที่คู่ชิงคือเชลซีและที่หนักไปกว่านั้น ผู้จัดการทีมของเชลซีนั้นมีชื่อว่า โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้ที่มีความสามารถในด้านการวางแผนการเล่นในชนิดที่ใครก็สบประมาทไม่ได้ และไม่เว้นแม้กระทั้ง อเล็ก เฟอร์กูสันด้วยเช่นกัน

วันแห่งการชิงชัยใกล้เข้ามาทุกที ความชอกช้ำในปี 2005 ยังคงตามหลอกหลอนอันเชล็อตติและเหล่าผู้เล่นที่ลงสนามในค่ำคืนวันนั้นอยู่อย่างไม่เคยจะจางหาย 23 พฤษภาคมนี้จึงเป็นวันที่เหมาะสมที่สุดที่พวกเราทุกคนจะร่วมกันทำลายฝันร้ายไม่ให้ตามหลอกหลอนพวกเราไปในฤดูกาลต่อๆไปอีก และเนื่องจากสถานะในลีกที่พวกเราการันตีการได้ไปเตะใน ucl ในฤดูกาลหน้าอีกทั้งหมดลุ้นแชมป์ลีกไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว นั่นทำให้ความสำเร็จในถ้วยยุโรปเป็นสิ่งเดียวที่พวกเรากำลังมุ่งมั่นที่จะไปถึงในฤดูกาลนี้ และผมเองก็คิดว่า ลิเวอร์พูลของไอ้นัทเองซึ่งหมดลุ้นแชมป์และก็การันตีตำแหน่งการได้ไปเตะใน ucl แล้วเช่นเดียวกับเราก็คงจะคิดถึงความสำเร็จในถ้วยนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเช่นเดียวกัน

ในระหว่างการซ้อมทุกครั้งสามคนที่ผมมักจะเฝ้าสังเกตดูการเล่นของพวกเขาก็คือ กาก้า ปิร์โล่ และซีดอร์ฟ กาก้าเองถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปีแต่ทั้งผมและไอ้เทพก็ยอมรับในฝีเท้าของเขาอีกทั้งใช้เขาเป็นแรงบันดาลใจในการไปสู่ความสำเร็จของพวกเราเช่นเดียวกัน ผมสังเกตเห็นในการซ้อมอยู่เสมอว่ากาก้ามีความเร็วในการไปกับลูกบอลแทบจะพอๆกับการวิ่งโดยไม่มีลูกบอลเลยทีเดียว และนอกจากความเร็วขนาดนั้นแล้ว กาก้ายังสามารถเปลี่ยนทิศทางในการวิ่งได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีการเสียหลักเลยแม้แต่นิดเดียว สุดท้ายในจังหวะสังหาร เขาก็ยังเลือดเย็นและเต็มไปด้วยทักษะอย่างที่เรามักจะได้เห็นในนักเตะวัยเก๋าแต่ไม่ใช่ในนักเตะที่ยังหนุ่มแน่นเช่นกาก้าผู้นี้

ด้วยตำแหน่งการเล่นในสนามแล้ว เทพดูจะศึกษาการเล่นของกาก้ามากกว่าผมที่ดูด้วยความทึ่งเสียมากกว่า พวกผมรู้อยู่แล้วว่าเทพมีทักษะในการครองบอลและพาบอลไปกับตัวที่ไม่เป็นรองใคร แต่ในเรื่องของจังหวะปล่อยบอลแล้ว กาก้าทำได้มีประสิทธิภาพมากกว่าและนั่นก็คือสิ่งที่เทพกำลังพัฒนาขึ้นในทุกๆวัน เมื่อฟุตบอลเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีมเพราะฉะนั้นจังหวะปล่อยบอลคือสิ่งที่สำคัญที่จะแยกคุณจากพวกขี้เลี้ยงหรือหวงบอลไปเป็นคนที่เป็นตัวทำเกมของทีมจริงๆ และเทพเองก็ผ่านจุดนั้นมาได้ด้วยการศึกษาการเล่นของกาก้าเป็นหลัก และรวมถึงซีดอร์ฟด้วยเช่นเดียวกัน พวกผมมองซีดอร์ฟด้วยความทึ่งในความแข็งแกร่งและระดับฝีเท้าที่ไม่เคยตกลงเลยตลอดระยะเวลายาวนานที่เป็นนักเตะอาชีพมา ความสามารถในการครองบอลอยู่กับที่ ดึงจังหวะให้เพื่อนขยับทำทางนั้น ผมคิดว่าซีดอร์ฟทำได้ไม่เป็นรองใครในวงการฟุตบอลชั่วโมงนี้ บ่อยครั้งในแต่ละเกมที่ผมเห็นคู่ต่อสู้หนึ่งหรือสองคนพยายามแย่งบอลจากเท้าของกองกลางจอมเทคนิครายนี้แต่สุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยการทำฟาลว์เพราะว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดการเดินเกมหรือแย่งบอลไปจากเท้าของดาวเตะรุ่นพี่ของพวกเราคนนี้ได้ การบังบอลบวกกับทักษะของการเปลี่ยนทางอย่างรวดเร็วรวมทั้งสายตาในการมองเกม นั่นทำให้เมื่อใดก็ตามที่ซีดอร์ฟได้ลงสนามร่วมกับกาก้าแล้ว เกมรุกของเรามักจะไหลลื่นและสมดุลอย่างที่โค้ชทุกๆคนฝันถึง จังหวะพาบอลไปข้างหน้าเข้าจู่โจมของกาก้ากับจังหวะครองบอลประวิงเวลาของซีดอร์ฟทำให้เกมของพวกเรามีความหลากหลายในการเข้าทำเป็นอย่างมาก และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทั้งสองทำ ผมและเทพก็ไม่ลืมที่จะนำมันมาเป็นทักษะของตัวเองให้สมกับโอกาสที่ได้รับในการซ้อมร่วมกับดาวเตะระดับโลกเหล่านี้ และสุดยอดนักเตะคนสุดท้ายที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมมีวันนี้ เขาคนนั้นคือปิร์โล่ ดาวเตะเท้าชั่งทองที่ผมยกให้เป็นไอดอลส่วนตัวของผมเอง ปิร์โล่เป็นนักเตะที่มีสายตาในการมองเกมเข้าขั้นอัจฉริยะ ผมพยายามเลียนแบบการวางบอลยาวของเขาซึ่งมักจะวางลึกข้ามแผงกองหลังไปลงที่เท้าของเพื่อนกองหน้าหรือเหล่าปีกซ้ายขวาได้อย่างพอดีๆเสมอ และไม่ว่าในแผงกองหน้ามีการขยับทำทางหรือตั้งท่าที่จะวิ่งทำทางแม้เพียงนิดเดียว เขามักจะเห็นและสามารถวางบอลไปในที่ว่างเหล่านั้นได้เสมอๆ สิ่งที่ผมทึ่งไม่ได้มีเพียงแค่นั้น การคลองบอลก็เต็มไปด้วยทักษะมากมายเช่นเดียวกัน ผมคิดว่าเป็นเพราะเขาเคยเล่นเป็นกองกลางตัวรุกมาก่อนในวัยเด็ก นั่นเลยทำให้ทักษะของเขามากมายไปกว่ากองกลางทั่วโลกในตำแหน่งเดียวกัน บางครั้งท่าทางของเขาอาจจะดูเชื่องช้าไม่แข็งแรงกระชับฉับไว แต่นั่นก็เป็นเหมือนกลลวงที่มักจะทำให้คู่ต่อสู้ประมาทและถูกเขาหลอกแทบจะทุกครั้งในการเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว และแม้กระทั่งผมกับเทพก็ไม่พ้นที่จะโดนเขาหลอกเป็นประจำในการซ้อม แต่ทุกครั้งผมก็มักจะเก็บเอาทักษะเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับทักษะที่ผมมีอยู่เพื่อที่วันหนึ่ง ผมจะได้เป็นนักเตะที่มีทักษะมากมายอย่างเช่นปิร์โล่บ้าง

สุดสัปดาห์ก่อนที่นัดชิง ucl จะเริ่มขึ้น ไอ้ต้นก็พบข่าวร้ายพร้อมๆกับเพื่อนร่วมทีมนั่นคือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทำได้ดีที่สุดแค่เพียงรองแชมป์เอฟเอ คัพ เท่านั้น พวกเราทุกคนแสดงความเสียใจกับต้นและอวยพรให้ปีหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทำได้ดีกว่านี้ในถ้วยเอฟเอ คัพ แต่ด้วยการคว้าแชมป์ในลีกมาก่อนหน้านี้ก็ทำให้เหล่าปีศาจแดงไม่ได้เศร้ามากเท่าใดนัก เพราะอย่างน้อยก็มีถ้วยใบสำคัญติดมือ และผมก็หวังว่า เอซี มิลานก็คงจะมีถ้วยติดมือเช่นเดียวกันในวันพุธที่ 23 นี้ หวังว่าไอ้นัทคงจะไม่ว่าผมที่คิดอย่างนี้ เสียใจล่วงหน้านะเหล่าพลพรรคหงส์แดง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น