วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2553

DREAM 2 บทที่ 12 ชิงชนะเลิศ



ผมเพิ่งเคยมาเอเธนส์เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ผมเคยได้ยินคำสรรเสริญเยินยอความสวยงามที่เต็มไปด้วยมนตร์ขลังแห่งประวัติศาสตร์ของดินแดนต้นกำเนิดแห่งเทพเจ้าแห่งนี้มาบ้าง ผมแอบหวังว่าถ้าท่านเหล่านั้นมีจริง ท่านคงไม่ใจร้ายกับผมนักในค่ำคืนแห่งการชิงชนะเลิศค่ำคืนนี้

โอลิมปิกส์ สเตเดี้ยม แห่งกรุงเอเธนส์คือสังเวียนฟาดแข้งนัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ฤดูกาล 2006/2007 ที่กำลังจะลงสนามในไม่กี่อึดใจนี้ ผมกับเทพตื่นเต้นจนแทบจะระงับอารมร์เอาไว้ไม่อยู่ เสียงของอันเชลอตติที่เผยรายชื่อตัวจริงให้พวกเราได้รู้ว่าใครกันบ้างที่จะเป็น 11 คนแรกที่จะลงไปร่วมรบในศึกแห่งเทพเจ้าครั้งนี้ดังก้องอยู่ในห้องแต่งตัว และด้วยความตื่นเต้นที่นัดชิงชนะเลิศครั้งแรกในชีวิตนักฟุตบอลอาชีพของพวกเรามาถึงอย่างรวดเร็วเกิดที่จะคาดคิดนั่นทำให้เราไม่ได้ยินแม้แต่สำเนียงอิตาลีที่พยายามบอกกับเราสองคนว่า เราได้ลงตัวจริงในเกมแห่งเกียรติยศครั้งนี้

ผมกับเทพกำลังยืนคุยกับไอ้นัทอยู่ในช่องทางเดินที่จะออกไปสู่สนาม เราสามคนกุมมือกันพร้อมทั้งยิ้มให้กับความสำเร็จในอาชีพที่พวกเราใฝ่ฝันกันมาตั้งแต่เด็ก และสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่ก็สร้างความแปลกใจให้กับนักเตะคนอื่นๆบ้าง แต่นั่นก็เพราะเค้าคงไม่ได้มีอดีตร่วมกันมาเหมือนที่พวกเรามี

“สู้เต็มที่นะโว้ยไอ้นัท ในสนามไม่มีคำว่าเพื่อน แล้วหลังเกมค่อยว่ากัน” เทพพูด “เออ มึงไม่บอกกู กูก็สู้อยู่แล้ว โอกาสไม่ได้มีกันบ่อยๆโว้ย” นัทพูด “ไปโว้ย ไปลุยกัน สู้แทนไอ้พวกที่ตกรอบไปก่อนเราด้วย ไปโว้ย” ผมจบบทสนทนาพร้อมทั้งเดินตามกัปตันเปาโล มัลดินี่ลงสู่สนาม ผมเองเคยลงสนามในยุโรปมาก็ไม่ใช่เกมแรก แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้บรรยากาศมันกดดันเหลือเกิน กดดันแต่ก็สวยงามอย่างที่แมตซ์อื่นๆไม่อาจเทียบได้ พวกคุณคงรู้ว่าการดูฟุตบอลในสนามจริงนั้นมันตื่นเต้นและยิ่งใหญ่กว่าการดูทีวีมากแค่ไหน แต่ถ้าคุณได้มายืนเข้าแถวกลางสนามอย่างผม คุณจะรู้ว่ามันตื่นเต้นกว่ากันอย่างเทียบไม่ได้

บทเพลงประจำของยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ ถูกบรรเลงด้วยท่วงทำนองที่ทุกคนคุ้นเคย รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีมถูกประกาศให้แฟนบอลได้ทราบกันก่อนที่เกมจะเริ่มขึ้น ฝั่งลิเวอร์พูลวันนี้เริ่มต้นด้วย 11 ตัวจริง นายทวาร โฆเซ่ เรน่า กองหลังประกอบไปด้วย สตีฟ ฟินแน่น, เจมี่ คาร์ราเกอร์, ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์, ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ กองกลางห้าคนไล่จากซ้ายไปขวาก็จะมี ไอ้นัท,ชาบี อลอนโซ่, สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นกัปตันทีม ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ และปีกขวา เจอร์เมน เพนแนนท์ สุดท้ายกองหน้าเป้า เดิร์ค เค้าท์ จากฮอลแลนด์

ฝั่งมิลานเอง อันเชลอตติเริ่มต้นด้วย ดีด้า - มัสซิโม่ อ็อดโด้, อเลสซานโดร เนสต้า, เปาโล มัลดินี่ (กัปตันทีม), มาเร็ค แยนคูลอฟสกี้ - เจนนาโร่ กัตตูโซ่, อันเดรีย ปีร์โล่, ผม, เทพ, กาก้า และ ฟิลิปโป้ อินซากี้ อันเชลอตติย้ำกับพวกเราว่านี่ไม่ใช่การแก้แค้น แต่เป็นโอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จครั้งใหม่ แต่ผมเชื่อว่าในใจของเขาก็คงจะมีความแค้นอยู่เช่นกัน

การแข่งขันนัดนี้เป็นนัดที่ เปาโล มัลดินี่ กัปตันทีมของเราลงเล่นนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งที่ 8 ของเขาเทียบเท่ากับ ฟรานซิสโก้ เกนโต้ ของ เรอัล มาดริดที่ทำได้ในปี 1966 และ มัลดินี่ในวันนี้ซึ่งมีอายุ 38 ปี 331 วัน เขายังเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศอีกด้วย ผมกับเทพเห็นความทุ่มเทในการฝึกซ้อมรวมทั้งการดูแลร่างกายเพื่อให้สามารถลงสนามได้อย่างยาวนานนั่นทำให้เขาเป็นต้นแบบคนหนึ่งของเราสองคนในอาชีพที่พวกเรากำลังเดินอยู่นี้และวันนี้ผมก็หวังว่าเขาจะเป็นคนพาพวกเราขึ้นรับถ้วยแรกในชีวิตของพวกเราด้วย

ครึ่งแรกเปิดฉากขึ้น โดยพวกเราใส่ชุดสีขาวทั้งชุด ในขณะที่ทีมของไอ้นัทใส่ชุดเก่งซึ่งก็คือสีแดงทั้งชุดเช่นเดียวกัน เกมเริ่มขึ้นอย่างระมัดระวังและรัดกุม เพราะไม่มีใครอยากจะพลาดง่ายๆในนัดชิงชนะเลิศแห่งความกดดันนี้ แต่ผมเองซึ่งรับคำบัญชามาจากโค้ชให้หาโอกาสโจมตีในช่วงต้นจึงลองจ่ายบอลตัดหลังรีเซ่ให้กับอ็อดโด้โยนบอลจากกราบขวาเข้ามาในกรอบเขตโทษของลิเวอร์พูล แต่ก่อนที่อินซากี้จะเข้าถึง เจมี่ คาร์ราเกอร์ ก็แย่งโหม่งสกัดออกเส้นหลังได้ทันเวลา แต่แค่การลักไก่จังหวะนี้ก็ทำให้กองหลังของลิเวอร์พูลไม่สามารถประมาทเกมรุกของพวกเราได้อีกแล้ว เมื่อเกมผ่านช่วงเวลาแห่งความกดดันไป หงส์แดงก็กลับเป็นฝ่ายบุกกดดันได้ดีกว่า และนาทีที่ 10 เดิร์ค เค้าท์ก็ทำชิ่งฝากบอลไว้กับไอ้นัท ทางฝั่งซ้ายของกรอบเขตโทษ ก่อนที่ไอ้นัทจะดึงบอลไว้ไม่ชิ่งกลับไปและนั่นทำให้อ็อดโด้เองถูกหลอกให้ไปประกบเค้าท์เพราะคิดว่าบอลจะถูกส่งไป เมื่อไอ้นัทสลัดอ็อดโด้ออกไปได้ก็กระชากบอลเข้ากลางมา แต่โชคดีเรามีกัตตูโซ่ยืนอยู่ตรงนั้นจึงบังทางให้ไอ้นัทจำใจกระชากมาเข้าเท้าขวา แต่ไอ้นัทก็ทำในสิ่งที่พวกเราเองก็คาดไม่ถึงนั่นคือมันยิงด้วยเท้าขวาในระยะ 25 หลานอกเขตโทษ ซึ่งเป็นการยิงด้วยเท้าที่ไม่ถนัด แต่ลูกบอลก็ไปตรงตัวดีด้า และด้วยความที่ไม่ได้ระวังตัว ดีด้าจึงทำได้แค่ปัดบอลออกมาแต่โชคของเรายังดีที่เนสต้า ตามมาเตะทิ้งออกได้ทันเวลา

เวลาผ่านไปแค่เพียงสิบห้านาทีทั้งผมและไอ้นัทก็สร้างโอกาสให้ทีมได้คนละครั้ง และด้วยรูปเกมที่เปิด นั่นทำให้โอกาสของทั้งสองทีมมีแทบจะตลอดเวลา และในนาที 14 มิลานของเราโต้กลับเร็วจากที่โดนลิเวอร์พูลกดดันอยู่ อันเดรีย ปีร์โล่ ผ่านบอลแม่นยำอย่างที่พวกเราคุ้นเคยให้กับ อินซากี้ หลุดเดี่ยวเข้าไปยิง ทว่า โฆเซ่ มานูเอล เรน่า นายทวารหงส์แดงเซฟเอาไว้ได้ ไอ้เทพที่วิ่งตามเข้าไปเพื่อที่จะซ้ำถึงกับกุมหัวด้วยความเสียดายที่บอลไม่กระฉอกออกมาแม้แต่นิด และแล้วโอกาสของเทพก็มาอีกครั้งในนาที 17 แยนคูลอฟสกี้ เติมขึ้นมาจากทางฝั่งซ้ายก่อนจ่ายให้ไอ้เทพ ยิงไกล 25 หลา บอลเจ้ากรรมก็ดันไปตรงตัว เรน่า ทำให้ไอ้เทพต้องกุมหัวด้วยความเสียดายอีกครั้ง แต่แล้วไอ้นัทก็สร้างปัญหาให้พวกเราอีกเมื่อมันหาโอกาสโยกหลอกอ็อดโด้แล้วโยนบอลให้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด วอลเล่ย์ในกรอบเขตโทษฝั่งขวา บอลเหินข้ามคานออกไปนิดเดียว และจังหวะนี้ทำให้มัลดินี่ต้องตะโกนกำชับกองหลังกันอีกครั้งเพื่อไม่ให้ประกบตัวพลาดอย่างในจังหวะนี้อีก เกมนี้เล่นกันเร็วมากและเร็วกว่าจังหวะในกัลโช่ที่ผมคุ้นเคยนั่นทำให้ผมเหนื่อยกว่าปกติมากทีเดียว อีกทั้งการที่ทั้งสองทีมมีกองกลางห้าคนทำให้พื้นที่ในแดนกลางถูกแย่งชิ่งกันอย่างถึงพริกถึงขิงซึ่งนี่ก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ทีมได้รับชัยชนะในแมตซ์นี้และผมกับไอ้เทพก็พร้อมจะสร้างสิ่งนั้นให้กับทีมอย่างเต็มที่ทีเดียว แต่แล้วเมื่อมาถึงนาที 27 ลิเวอร์พูลก็เกือบได้ประตูนำ จากจังหวะที่ ชาบี อลอนโซ่ เปิดบอลให้ไอ้นัทยิงจากกรอบเขตโทษอีกครั้งด้วยเท้าซ้ายแต่คราวนี้มันวางเท้าไม่ดีทำให้บอลผ่านหน้าประตูออกไปอย่างน่าเสียดาย ผมเตือนกัตตูโซ่อีกครั้งว่าถ้าเขายังประมาทไอ้นัทแบบนี้ งานของเราจะยากขึ้นอย่างแน่นอน

แมตช์ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ขุนพลทั้งสองทีมต่อสู้แย่งบอลอยู่กลางสนามเป็นส่วนใหญ่ ผมเองทำหน้าที่ช่วยกัตตูโซ่และปิร์โล่ ครองบอลและเข้าปะทะเพื่อเปิดทางให้กาก้าและไอ้เทพเล่นบอลได้ง่ายขึ้น ไอ้เทพเองมีอิสระมากกว่ากาก้าที่ถูกมาสเชราโน่ตามประกบแทบจะเป็นเงา และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นแท็คติกที่ถูกต้องของลิเวอร์พูลเลยทีเดียว และแล้วเมื่อนาที 32 คืบคลานเข้ามา โอกาสก็เป็นของลิเวอร์พูลอีกครั้งเมื่อ เพนแน้นท์ พาบอลขึ้นมาทางกราบขวา ก่อนจ่ายให้ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ ซัดระยะ 20 หลา ผมเองเห็นจังหวะการเติมอย่างชัดเจนจึงวิ่งเข้าไปเสียบสกัดทำให้บอลของรีเซ่เหินข้ามคานออกไปอย่างน่าหวาดเสียวสำหรับกองเชียร์ของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง

และแล้วกัตตูโซ่ ก็พลาดรับใบเหลืองไปเป็นคนแรกของเกมนี้ หลังจากเขาเข้าเสียบ ชาบี อลอนโซ่ กองกลางจอมจ่ายบอลของหงส์แดงในนาทีที่ 40 แต่แล้วอีกไม่นาน ชาบี อลอนโซ่ ก็พลาดเช่นกันด้วยการไปทำฟาวล์ไอ้เทพนอกกรอบเขตโทษ และการพลาดจังหวะนี้ของอลองโซ่ก็ทำให้พวกเราได้ลูกฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลา และแน่นอน คนที่จะจัดการกับโอกาสนี้ได้ดีที่สุดก็คือ อันเดรีย ปิร์โล่ นั่นเอง

กำแพงมนุษย์ของฝั่งลิเวอร์พูลถูกตั้งขึ้นอย่างแน่นหนา แต่ปิร์โล่ก็เลือกที่จะยิงฟรีคิกด้วยเท้าขวาอย่างเต็มแรงไปที่ช่องว่างของกำแพงที่ไอ้เทพกับผมช่วยกันเข้าไปแทรกกองหลังลิเวอร์พูลไว้ และแล้วบอลที่พุ่งมาด้วยความแรงก็ไปแฉลบโดนหน้าอกของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ก่อนพุ่งเข้าประตูไปอย่างที่เรน่าไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ มิลานของพวกเรานำ 1-0 ผมกับไอ้เทพวิ่งไปกระโดดกอดกับปิร์โล่และหลังจากนั้นเพื่อนๆทุกคนก็มารุมพวกเราสามคนและอินซากี้ผู้ที่มีลีลาดีใจอย่างบ้าคลั่งก็กอดกันกลมอยู่ในกลุ่มของพวกเราเช่นเดียวกัน

เกมจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ที่เป็นใจกับพวกเรามากกว่าไอ้นัท ผมกับไอ้เทพแทบจะหายใจไม่ทันในห้องแต่งตัว ด้วยทั้งเกมที่เร็วกว่าปกติอีกทั้งความตื่นเต้นที่ยังคงรังควานเรามาจนเกือบ 20 นาทีแรก นั่นทำให้ผมกับไอ้เทพแทบจะแย่กันทีเดียว ผมไม่รู้ว่าไอ้นัทจะเป็นเหมือนกันหรือไม่ แต่ถึงยังไงเราสามคนก็คงจะไม่ยอมแพ้พวกนักเตะยุโรปอย่างแน่นอน เกมครึ่งหลังกำลังจะเริ่ม มัลดินี่บอกว่าถึงแม้เราจะนำอยู่ก็ห้ามประมาทลิเวอร์พูลเด็ดขาด เพราะว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2005 มันไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกในเกมนี้

มาถึงครึ่งหลัง พวกเราเป็นฝ่ายเขี่ยบอลเปิดเกม โดยทั้งสองทีมยังไม่มีการเปลี่ยนตัวสำรองแต่อย่างใด โอกาสแรกของคู่ต่อสู้ของเรามาถึงอย่างรวดเร็วเมื่อไอ้นัทซึ่งรับหน้าที่เตะมุม เปิดลูกเตะมุมไปที่เสาไกลให้ ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ โหม่งเต็มศีรษะแต่ก็ข้ามคานไปอย่างได้ลุ้นทีเดียว

เกมเดินไปด้วยการต่อสู้ในแดนกลางเช่นเดิมและในนาทีที่ 58 เมื่อบอลจากเท้าปิร์โล่ถูกถ่ายมาที่ผมโดยที่มีมาสเชราโน่วิ่งไล่ตามมาด้วย ผมดึงจังหวะรอการเข้าบอลของเขาพร้อมทั้งโยกหลอกว่าจะกระชากออกทางซ้ายก่อนที่จะกระชากออกทางขวาของตัวเอง แต่โชคร้ายที่มาสเชราโน่รู้ทันและกระโดดเสียบมาในทางที่ผมจะพาบอลไป เมื่อจวนตัวผมจึงยกบอลขึ้นหนีการเสียบสกัดแต่โชคร้ายที่ผมไม่สามารถที่จะกระโดดได้ทันนั่นทำให้เขาปะทะเข้ามาที่หน้าแข้งผมอย่างเต็มที่ โชคดีที่สนับแข้งช่วยผมไว้ได้เยอะ แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้กองกลางลิเวอร์พูลโดนใบเหลืองไปในการเสียบสกัดครั้งนี้

ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลเปลี่ยนตัวสำรองส่ง แฮร์รี่ คีเวลล์ ลงมาเล่นแทน เพนแนนท์ในนาที 58 จากนั้นอีกสองนาทีต่อมา เจมี่ คาร์ราเกอร์ กองหลังหงส์แดงก็โดนใบเหลือง หลังจากทำฟาวล์ใส่ไอ้เทพอย่างเต็มแรง ทำให้มิลานได้ลูกฟรีคิกทางฝั่งซ้าย และไอ้เทพก็ขอเป็นคนรับผิดชอบลูกฟรีคิกลูกนี้เองแต่มันก็ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ส่งบอลข้ามคานออกไปอย่างไม่ได้ลุ้น

ผมเองเกือบทำให้ทีมต้องเสียเปรียบเมื่อครองบอลด้วยความประมาททำให้ถูกสตีเว่น เจอร์ราร์ด แย่งบอลมาได้ ผมเองคิดว่าจังหวะนี้จะสามารถครองบอลไว้ได้แต่แรงปะทะของกัปตันทีมจากอังกฤษก็ทำเอาผมล้มคะมำตรงบริเวญนอกกรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนที่ เจอร์ราร์ดจะพาบอลเข้ามาล็อคหลบ อเลสซานโดร เนสต้า ก่อนที่จะวางเท้ายิงแต่โชคดีที่ดีด้ายังคงยืนตำแหน่งได้ดีและเซฟลูกนี้ได้อยู่หมัดทำให้ผมหายใจทั่วท้องขึ้นมากทีเดียว

หงส์แดงยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ บุกขึ้นมาอีกครั้ง แฮร์รี่ คีเวลล์ ตัวสำรองทำทางให้ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ วิ่งเติมขึ้นมาซัดบอลแต่ก็ทำได้เพียงแค่หวาดเสียว และจังหวะนี้ทำเอาไอ้นัทถึงกับหัวเสียที่รีเซ่ไม่ยอมจ่ายบอลให้มันซึ่งยืนว่างอยู่แต่เลือกที่จะยิงเองมากกว่า

ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือหงส์แดง แก้เกมอีกครั้งส่ง ปีเตอร์ เคร้าช์ ลงมาเล่นแทน ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ ในนาที 78 ผมเองยิ้มให้กับไอ้เทพและกาก้าเพราะรู้ว่าการออกไปของมาสเคราโน่ส่งผลดีกับพวกเรามากแค่ไหน แต่การเติมผู้เล่นในแดนหน้าอย่างปีเตอร์ เคร้าช์ เข้ามาก็น่าจะสร้างความลำบากให้กับกองหลังของเรามากเช่นกัน ไอ้นัทยังคงป่วนอ็อดโด้ได้ตลอดทั้งเกมและหาโอกาสโยนบอลเข้าเขตโทษงามๆได้หลายครั้งแต่ก็ถูกกองหลังของเราเคลียร์ออกมาได้ตลอด และแล้วพวกเราก็ตอกย้ำให้พวกเขาเห็นว่าเราเป็นทีมที่ดีกว่าจริงๆ เมื่อไอ้เทพฉวยจังหวะพาบอลเลี้ยงจี้เข้าหาอลองโซ่ซึ่งเป็นกองกลางตัวรับเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก่อนไขว้หลอกข้ามบอลด้วยเท้าซ้ายก่อนใช้เท้าขวากระชากแตะบอลออกทางขวาของตัวเองฉีกอลองโซ่ให้ทำได้เพียงแค่วิ่งตามหลัง ก่อนที่จะผ่านบอลอย่างแม่นยำให้ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ยิงในเขตโทษ พวกเรายืนลุ้นกันอยู่อย่างใจจดใจจ่อ และแล้วอินซากี้ก็ซัดบอลลอดตัว โฆเซ่ มานูเอล เรน่า นายทวารหงส์แดงเข้าไป และนี่ก็เป็นประตูที่สองของเขาในเกมนี้ และจังหวะนี้ของไอ้เทพเองก็แสดงให้เห็นว่ามันพัฒนาจังหวะปล่อยบอลออกจากเท้าได้ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ

แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิดเมื่อ ลิเวอร์พูล ก็มาได้ประตูตีไข่แตกเป็น 1-2 เมื่ออลองโซ่เปิดลูกเตะมุมเข้ามากรอบเขตโทษก่อนที่ปีเตอร์ เคร้าช์ จะโหม่งชงไปให้ เดิร์ค เค้าท์ โขกซ้ำตุงตาข่ายนั่นทำให้ความหวังอันริบหรี่ของลิเวอร์พูลสว่างเรืองรองขึ้นอีกครั้ง

ไอ้นัทได้บอลในนาทีสุดท้ายก่อนที่จะควบขึ้นมาตั้งแต่กลางสนาม กัตตูโซ่เป็นคนแรกที่เข้าไปหา หมายที่จะขย้ำมันแต่มันก็โยกหลอกว่าจะออกทางซ้ายก่อนที่จะแตะบอลลอดขากัตตูโซ่ตัดเข้ามาบริเวณกลางสนาม ไอ้เทพวิ่งเข้าไปช่วยสกัดไอ้นัทแต่ก็ถูกการทำชิ่งหนึ่งสองกับเจอร์ราร์ดของไอ้นัทหลอกผ่านมาได้อย่างง่ายดายอีกคน ขณะนี้หน้าเขตโทษมีเพียงผม เนสต้า มัลดินี่ ยืนรอรับการบุกครั้งสุดท้ายของไอ้นัทและพรรคพวกอยู่

ไอ้นัทยังคงกระชากเข้ามาหน้าเขตโทษเยื้องไปทางซ้าย ผมเองยืนหน้าเขตโทษพลางประกบไม่ให้ไอ้นัทจ่ายบอลมาให้เจอร์ราร์ดได้ ไอ้นัทเองก็พอจะรู้จึงเลือกที่จะเลี้ยงตะลุยเข้าเขตโทษไปเอง และแม้แต่เนสต้าก็ยังไม่สามารถหยุดความมุ่งมั่นในจังหวะนี้ของมันได้ ไอ้นัทไปจนสุดเส้นหลังก่อนที่จะปาดกลับมาให้กับเดิร์ก เค้าท์ที่ยืนรออยู่ก่อนที่เค้าท์จะตวัดบอลพร้อมๆกับการเสียบสกัดของมัลดินี่ บอลยังคงลอยไปที่ประตูแต่ก็ไม่ดีพอที่จะผ่านมือดิด้าไปได้ และในที่สุดเทพเจ้าแห่งเอเธนส์ก็ใส่ชุดสีขาวแถมยังพันผ้าพันคอสีแดงดำในค่ำคืนนี้อีกต่างหาก

เมื่อนกหวีดดังขึ้น เอซี มิลานเอาชนะลิเวอร์พูล 2-1 ส่งผลให้ความคับแค้นในใจของกองเชียร์มิลานสิ้นสุดลงและพร้อมกับได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 7 ของสโมสรไปครองอีกด้วย แฟนบอลส่งเสียงโห่ร้องกึกก้องไปทั่วสนาม ผมกับไอ้เทพ ยืนปลอบไอ้นัทที่ตอนนี้ร้องไห้ออกมาเหมือนกับเด็ก เรายืนอยู่ด้วยกันอยู่นานก่อนที่เจอร์ราร์ดจะมาดึงไอ้นัทไปปลอบ ทำให้พวกเรามีโอกาสมาฉลองชัยกับเพื่อนๆในทีมมิลานที่ร่วมทุ่มเทกันมา ทุกคนวิ่งไปรอบๆเหมือนกับเด็กๆที่ได้ของขวัญและสำหรับผม สิ่งที่ได้มามันมากยิ่งกว่าของขวัญ มากจนผมไม่สามารถอธิบายได้เลยทีเดียว

นี่คือแชมป์แรกในชีวิตการค้าแข้งของผมกับไอ้เทพ และไม่ว่าผมจะได้อีกสักกี่แชมป์ หรือจะไม่ได้มันอีกเลย ค่ำคืนแห่งเอเธนส์ก็จะอยู่ในใจของพวกผมไปตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตนั่นเลยทีเดียว ลำพังการได้ลงเล่นในลีกอิตาลีก็มากพอที่จะทำให้พวกเรามีความสุขอย่างหาที่ติไม่ได้แล้ว แต่การได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศซึ่งนักฟุตบอลทุกคนต้องการจะให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง นั่นทำให้พวกเราไม่สามารถจะขออะไรจากฟุตบอลที่เรารักได้มากกว่านี้แล้วจริงๆ

จบภาค 2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น