วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

DREAM บทที่ 1 ฤดูร้อนครั้งสุดท้าย




"หลังเข้าแล้วเทพ" ผมตะโกนบอกอย่างสุดเสียงด้วยกลัวว่าเพื่อนจะมองไม่เห็นการเข้าแย่งบอลจากทางด้านหลังของกองกลางตัวรับฝั่งตรงข้ามแต่แล้ว “เทพ” เจ้าของเสื้อหมายเลข 10 ของทีมเราก็ทำสิ่งที่พวกเราทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีนั่นคือโชว์การดึงบอลหลอกคู่ต่อสู้ที่เข้ามาแย่งจากทางด้านหลังจนหัวแทบคะมำจากนั้นแตะหนีออกทางขวาพร้อมทั้งเงยหน้ามองการเคลื่อนที่หาที่ว่างของเพื่อนๆในเกมรุก เพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่เทพเห็นช่อง เทพตัดสินใจดีดไซด์ก้อยด้วยเท้าขวาจ่ายบอลตัดหลังกองหลังตัวริมเส้นฝั่งซ้ายของคู่ต่อสู้ไปตรงพื้นที่ว่างบริเวณริมเส้น เมื่อบอลออกจากเท้าของเทพ ทั้งคู่ต่อสู้และกองเชียร์ที่นั่งดูกันอยู่ข้างสนามต่างเสียดายที่เทพออกบอลแรงจนเกินไปทำให้บอลลูกนี้เสียในแบบที่ไม่น่าเสีย แต่ในกลุ่มของพวกเราเองไม่มีใครคิดเช่นนั้น เรารู้กันอยู่ว่าที่เทพจ่ายแรงขนาดนั้นเป็นเพราะเทพเองก็รู้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของสัมปทานพื้นที่ฝั่งขวาของทีมเรานั้นเป็นของใคร เพียงชั่วพริบตาที่กองหลังตัวริมเส้นฝั่งซ้ายของทีมตรงข้ามกำลังจะกลับตัวนั้นเอง “เอ็ม”เจ้าของเสื้อเบอร์ 6 ของทีมเราก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่าลูกจ่ายที่ทุกคนคิดว่ายาวไปแล้วนั้นมันไม่ได้เผื่อมากเกินไปแต่อย่างใด หลังจากทิ้งกองหลังตัวริมเส้นฝั่งซ้ายของคู่แข่งให้เห็นเพียงแค่เบอร์เสื้อจากทางด้านหลังแล้ว เอ็มเหลือบมองไปในเขตโทษก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรต่อไป แต่แล้วกลับพบว่าพื้นที่สุดท้ายไม่มีกองหน้าของทีมเราอยู่เลยแม้แต่คนเดียวแต่เอ็มก็ยังเลือกที่จะเปิดขนานเส้นหลังไปตรงจุดเกรงใจระหว่างคู่กองหลังตัวกลางกับนายทวารของคู่แข่งด้วยลูกจ่ายที่สูงระดับหัวเข่าและเต็มไปด้วยความรุนแรง เราทุกคนรู้ทันทีว่าลูกนี้เอ็มจ่ายให้กับใคร คนที่จะจัดการกับลูกจ่ายลูกนี้ได้นั้นถ้านับคนในวงการฟุตบอลนักเรียนในวัยเดียวกันกับพวกเราแล้วล่ะก็มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่จะทำอะไรแบบนี้ได้ หนึ่งก็คือเจ้าตัวคนจ่ายเองและสองก็คือคนที่กำลังวิ่งสอดมาจากนอกเขตโทษพร้อมทั้งกระโดดแปบอลลูกนี้เข้าไปโดยที่ทั้งกองหลังและนายทวารคู่แข่งยังไม่ทันได้ขยับขาแต่อย่างใด เจ้าของประตูนี้คือ”ต้น”ศูนย์หน้าเบอร์ 7 ผู้ซึ่งเป็นอีกคนในทีมที่มีความเร็วพอที่จะตามลูกจ่ายลักษณะนี้ได้ทัน และหลังจากประสานงานกันจนเกิดเป็นประตูนี้ขึ้นมา ทั้งสองคนขยิบตาให้กันอย่างรู้ใจและดูเหมือนทั้งคู่ต่างพอใจในความเร็วของกันและกันเป็นอย่างมากทีเดียว
เวลาในสนามเดินผ่านเข้าสู่นาทีที่ 5 เท่านั้นต้นก็เบิกร่องประตูแรกให้กับทีมได้อย่างง่ายดายนั่นทำให้เราพอจะรู้แล้วว่าผลลัพธ์ของเกมนี้จะออกมาในลักษณะไหน พวกเราไม่ได้ประมาทคู่ต่อสู้แต่อย่างใด แต่จากการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนที่ผ่านมา ทีมของพวกเราไม่เคยเสียประตูให้กับใคร และเจ้าของผลงานสวยหรูนี้ก็คือเจ้าของส่วนสูง 185 ซม.ภายใต้เสื้อเบอร์ 5 ซึ่งเป็นเสมือนยันต์ชั้นดีที่คอยปกป้องรักษาหน้าประตูของพวกเรา ทุกครั้งที่พวกเราเห็น”โย”สกัดบอลจากกองหน้าคู่แข่งได้อย่างง่ายดายนั้น ไม่ว่าพวกเราจะเรียกบอลจากโยสักเท่าไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บอลมาในจังหวะแรกเพราะนั่นคือช่วงเวลาที่พวกเราจะต้องรอชมการหลอกกองหน้าของโยก่อนสักหนึ่งหรือสองจังหวะก่อนที่จะค่อยๆลำเลียงบอลขึ้นมาทำเกมบุกกันและนั่นคือหนึ่งสิ่งที่เราได้เห็นเป็นประจำจากกองหลังตัวกลางตัวหลักของทีมเรา และถึงแม้หน้าที่ของกองหลังทั่วไปจะมีเพียงการป้องกันเท่านั้นแต่สำหรับโยแล้วทั้งการเติมขึ้นไปโขกลูกเตะมุมและลูกยิงไกลจากแดนกลางก็เป็นงานที่ถนัดของโยเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าวันนี้โยจะไม่สนใจการทำประตูสักเท่าไรเพราะแค่ยืนดูพวกเราทำเกมรุกเข้าใส่คู่แข่งโยก็ดูจะมีความสุขมากพอแล้ว
ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้รวมตัวกันมานานพอดูแต่การประสานงานในสนามยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างคุ้นเคย เนื่องด้วยความอ่อนชั้นกว่าของคู่ต่อสู้ทำให้วันนี้ผมถูกทิ้งให้คุมเกมแดนกลางอยู่เพียงผู้เดียว ส่วนเพื่อนๆทั้งหลายต่างดาหน้ากันทำเกมบุกอย่างสนุกสนานโดยไม่ต้องพะวงเกมรับแต่อย่างใด ผมเองไม่ได้คิดจะเติมเกมไปทำประตูเลยสักนิดเพราะเพียงแค่การกลับมารวมตัวกันของพวกเรามันก็ทำให้ผมกลับมาพบกับความสนุกของฟุตบอลอย่างง่ายดายอีกครั้งหนึ่งและสำหรับเกมนี้ผมต้องการทำหน้าที่เป็นแค่ศูนย์กลางแจกจ่ายบอลไปมาคุมจังหวะเกมตามหน้าที่ของกองกลางเบอร์ 8 ทั่วไป เพียงเพื่อให้เพื่อนๆเข้าทำประตูตามความถนัดกันอย่างเพลิดเพลินแค่นั้นผมก็มีความสุขมากเพียงพอ แต่กระนั้นเมื่อไรที่คู่แข่งเปิดโอกาสให้กับเราผมก็ไม่พลาดที่จะหยิบยื่นมันให้กับทีมทันที
หลังจากที่ผมกำลังถ่ายบอลไปมาซ้ายขวาอยู่นั้นพลันผมชำเลืองเห็นว่าทางกองหลังตัวริมเส้นฝั่งขวาของคู่ต่อสู้นั้นยืนต่ำผิดตำแหน่งอย่างชัดเจนนั่นทำให้เกิดพื้นที่ว่างบริเวณริมเส้นฝั่งซ้ายของเราอย่างมากพอดู เมื่อเห็นเช่นนั้นผมจึงจ่ายบอลขึ้นไปตามกราบซ้าย บอลยังอยู่ระยะไกลจากเขตโทษมากแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของปีกซ้ายของทีมเราแต่อย่างใด “นัท” เจ้าของข้อเท้าซ้ายมหัศจรรย์ซึ่งเป็น 1 ในสองคนของกลุ่มเราที่ถนัดการเริงระบำในสนามด้วยเท้าซ้ายมากกว่าเท้าขวา เจ้าของเสื้อเบอร์ 11 รับบอลจากผมแล้วใช้ความสามารถเฉพาะตัวที่พวกเราเห็นจนชินตากระชากออกทางซ้ายเพื่อหลบกองหลังคนแรกภายในการแตะลูกบอลแค่สองครั้ง จังหวะเดียวกันนั้นกองหลังคนที่สองของคู่แข่งก็กระโดดเสียบหมายจะขโมยบอลไปให้ได้ในการจู่โจมครั้งนี้ แต่นั่นอยู่ในการคาดเดาของนัทอยู่แล้ว ผมพยายามวิ่งเข้าไปรองบอลเพื่อให้เพื่อนมีทางเลือกมากขึ้น แต่พวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่ามันไม่จำเป็น นัทใช้จังหวะที่กองหลังพรวดเข้ามาหานั้นเปลี่ยนมันให้เป็นโอกาสทองด้วยการแตะบอลอ้อมตัวกองหลังแล้ววิ่งตามไปรับบอลด้วยความเชี่ยวชาญ และในจังหวะที่ทั้งสนามกำลังเพลิดเพลินกับจังหวะการเลี้ยงอันทรงประสิทธิภาพเหล่านั้น นัทฉวยโอกาสจ่ายบอลไปที่หน้าเขตโทษทันทีและมันก็ไปสัมผัสกับเท้าซ้ายของกองหน้าอีกคนของทีมเราอย่างถนัดถนี่ เจ้าของเท้าซ้ายมหัศจรรย์อีกคนของทีมเราเค้าชื่อ”ตั๊ก” ตั๊กซึ่งไม่ได้มีความเร็วเป็นจุดเด่นเหมือนคนอื่นแต่สิ่งที่ตั๊กมีไม่เหมือนคนอื่นนั่นคือพรสวรรค์ของกองหน้าที่พระเจ้าประทานมาให้มันนั่นเอง ตั๊กบรรจงพลิกบอลพร้อมทั้งหมุนตัวและบังกองหลังที่เข้ามาหมายจะสกัดมันให้กองอยู่ตรงนั้นและทันใดนั้นเองเราก็ได้เห็นท่าไม้ตายของตั๊กที่พวกเราเคยเห็นกันมานักต่อนักแต่พวกเราก็ยังยินดีที่จะชมมันอีกครั้งอย่างไม่มีเบื่อ ตั๊กโยกตัวหลอกทำท่าว่าจะไปทางขวาและในขณะที่กองหลังทิ้งน้ำหนักลงไปที่ข้อเท้าซ้ายของตัวเองทันใดนั้นตั๊กบรรจงเขี่ยบอลเบาๆเพียงเพื่อให้ลอดขากองหลังพร้อมทั้งโยกตัวหลบพาตัวเองผ่านกองหลังไปได้อย่างง่ายดายราวกับกองหลังเป็นเพียงหุ่นไล่กาตัวหนึ่งในสนามเท่านั้นและผลของการหลอกจังหวะนี้ทำให้กองหลังที่โดนลอดขานั้นล้มไม่เป็นท่าพลางหงุดหงิดให้กับการเข้าสกัดพรวดพราดของตัวเองอย่างหัวเสียและในตอนนี้ก็เหลือเพียงนายทวารเท่านั้นที่จะหยุดยั้งประตูที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แต่พวกเราก็รู้อยู่เสมอว่าเมื่อตั๊กหลุดเดี่ยวไป เท้าซ้ายของมันไม่เคยทำให้ใครผิดหวังและในวันนี้ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ฤดูร้อนปีนี้มาถึงพวกเราอย่างเชื่องช้ากว่าทุกปี นั่นเป็นเพราะพวกเราต้องตัดสินใจที่จะไม่ลงแข่งขันฟุตบอลโค้กคัพที่โรงเรียนของพวกเราเป็นแชมป์เก่าอยู่ เพียงเพื่อทุ่มเทให้กับการสอบปลายภาคครั้งสุดท้ายของชีวิตการเรียนมัธยมปลายของพวกเรา บรรยากาศของการอ่านหนังสือและการสอบเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ากว่าทุกปี การเตรียมตัวสอบไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคุ้นเคยสักนิดเดียว กลิ่นอายของน้ำหมึกไม่ได้หอมหวนมากไปกว่ากลิ่นอายของสนามหญ้าเลยสักครั้งแม้กระทั่งในวันนี้ แต่พวกเราเองก็รู้ว่าการทำหน้าที่ของลูกและนักเรียนให้ดีที่สุดน่าจะเป็นสิ่งที่พวกเราก็ต้องทำควบคู่ไปกับการเดินตามฝันของพวกเราด้วยเช่นกัน และเมื่อวันสุดท้ายของการทำหน้าที่นักเรียนมัธยมของพวกเรากำลังจะจบสิ้นลง ตึกเรียนต่างๆที่รายล้อมรอบเราอยู่นั่นต่างดูเงียบเหงาลงไปไม่เหมือนที่เคยเป็น สนามโรงเรียนที่เคยพลุกพล่านไปด้วยเหล่านักเรียนที่มีใจรักฟุตบอลทั้งหลายบัดนี้มีเพียงต้นหญ้านับร้อยนับพันที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม พวกเรายังคงนั่งอยู่ที่โรงเรียนหลังจากเสร็จสิ้นการสอบวันสุดท้ายเพราะพวกเรารู้ว่าการจากลาในครั้งนี้นั่นหมายถึงพวกเราอาจจะมีโอกาสได้เตะฟุตบอลด้วยกันน้อยลงหรือมันอาจจะไม่มีอีกเลย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เราต่างก็รู้ว่าพวกเรา 7 คน ไม่มีใครจะทิ้งฟุตบอลไปอย่างแน่นอน และไม่ว่าพวกเราจะอยู่ไกลกันสักเท่าไรฟุตบอลคงจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะเชื่อมให้พวกเราได้พบกันไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง
“พวกมึงจะเรียนต่อมหาลัยกันหรือเปล่าวะ” ผมเปิดประเด็นขึ้นเพราะต้องการความคิดเห็นของเพื่อนๆมาประกอบการตัดสินใจ “แล้วมึงอยากเรียนหรือเปล่าล่ะ มึงก็รู้นี่ว่าพวกเรารักอะไรมากกว่า” เทพแสดงความเห็นเหมือนกับจะรู้ว่าผมกำลังสับสนระหว่างอะไรกับอะไรอยู่ “กูว่ากูจะเรียนนะ กูอยากเรียนจบวิศวะให้พ่อแม่ดีใจก่อนจากนั้นค่อยไปตามฝันว่ะ เผื่อว่ากูทำตามฝันไม่สำเร็จ กูก็ยังหางานทำได้” เอ็มเผยความในใจออกมาและผมก็เชื่อว่ามันมีสิทธิ์จะทำเช่นนั้นได้เพราะมันก็เป็นคนที่เรียนเก่งคนหนึ่งในกลุ่มพวกเรา “เอ็มพูดก็ถูกแต่กูกลัวว่าถึงเวลานั้นพวกเราจะแก่เกินไปหรือเปล่าวะ เด็กฝรั่งแม่งอายุเท่าเราก็เข้าสโมสรแล้วนะโว้ย” ต้นพูดอย่างคนรู้จริงเกี่ยวกับเรื่องฟุตบอลของเมืองนอก “กูว่าแก่ไปว่ะ กว่าจะเรียนจบก็ 22 แล้วมั้ง จะเอาอะไรไปทันแดกกับเค้า” ตั๊กแสดงความเห็นในชนิดที่เห็นด้วยกับต้นอย่างเต็มตัวแต่ก็ไม่ลืมที่จะติดคำพูดสไตล์หยาบคายของมันออกมา “กูไม่มีทางเลือกว่ะ พ่อแม่ก็ไม่ได้ร่ำรวย กูอาจจะต้องทั้งเรียนและทำงานไปด้วย แต่ถ้าฟุตบอลช่วยให้กูมีเงิน กูก็จะเล่นต่อไปว่ะ” นัทพูดอย่างปลงตกให้กับความโหดร้ายของชีวิตที่ตัวเองเผชิญมาตั้งแต่เด็กๆ “นัทพูดซะกูเศร้าไปเลย ต่อไปเราต้องเล่นฟุตบอลแค่เพียงเพราะเงินแล้วเหรอวะ กูไม่อยากโตเลยว่ะ หยุดเวลาไว้แค่นี้ได้หรือเปล่าวะ” ความเห็นของโยคราวนี้เล่นเอาพวกเราเงียบกันไปพักใหญ่ ก่อนที่สุดท้ายตั๊กจะเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบนั้นลง “กูว่ากูจะเป็นสเปนว่ะ แม่กูมีคนรู้จักอยู่ที่สเปนเค้าบอกว่าสามารถส่งกูเข้าไปคัดตัวกับสโมสรได้ แต่ว่ากูจะติดหรือเปล่าไม่รู้นะเพราะเค้าจะพากูไปคัดที่บาร์เซโลน่าเด็กที่นั่นคงเก่งๆเยอะ แต่ถ้ากูไปรอดนะ พวกมึงไปอยู่กับกูได้เลย” ตั๊กแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเราทุกคนไม่สามารถเทียบกับมันได้เลยนั่นก็คือฐานะ ในหมู่พวกเราแล้วมันดูจะเป็นคนที่น่าจะมีโอกาสที่จะสามารถทำตามความฝันได้ดีที่สุดนั่นเพราะมันไม่ต้องแบกรับภาระในการช่วยหาเงินเลี้ยงครอบครัวแต่อย่างใด แต่แล้วเพียงคำพูดประโยคเดียวของมันก็ทำให้หัวใจของพวกเราพองโตเลยทีเดียว “กูก็อยากไปว่ะ ไปลองสักปีสองปี ถ้าไม่ไหวก็ค่อยกลับมาเรียน จบช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกอย่างน้อยก็ได้ทำตามฝัน” เทพเริ่มเห็นด้วยกับความคิดของตั๊กและผมเองก็ค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “จบช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก” เพราะถึงอย่างไรการที่จะทิ้งความฝันไปเลยมันดูจะเป็นสิ่งที่โหดร้ายเกินไปและเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับเด็กๆในวัยอย่างพวกเรา “แล้วมึงจะไปไหนวะเทพ” โยถามขึ้นอย่างสงสัยแต่ดูเหมือนมันเองก็จะมีเป้าหมายอยู่ในใจแล้วเช่นเดียวกัน “ฟุตบอลก็ต้องบราซิลสิวะ ถึงแม้จะไม่เจริญหูเจริญตามากแต่กูว่าค่าใช้จ่ายน่าจะถูกกว่านะ” “เออดีๆ กูไปด้วย ไปกันสองคนจะได้ไม่เหงาเว้ย” โยรีบรับลูกทันที ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้โยตั้งใจจะไปบราซิลจริงๆหรือเปล่า แต่การมีเพื่อนไปด้วยกันก็น่าจะเป็นการดีกว่าไปคนเดียวจริงๆอย่างที่มันพูด “แล้วพวกมึงจะเอาเงินที่ไหนไปวะ” ต้นรับหน้าที่พาพวกเราตื่นจากความฝันพลางหันหน้ากลับมาเพื่อให้ความจริงยิ้มเยาะอีกครั้ง “นั่นสิ กูว่าเรียนๆกันก่อนดีกว่านะ ทำงานเก็บเงินแล้วค่อยไปกัน” เอ็มยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะเรียนก่อนราวกับมันไม่กลัวว่าอายุจะเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด “เอาเว้ยยังมีเวลาคิดอีกเยอะ อย่าไปเครียดสิวะ ว่าแต่ว่าทำไมปีนี้บอลลีกยุโรปมันเตะกันเร่งๆยังไงไม่รู้วะ เหมือนจะดูรีบๆ” นัทพาพวกเราเปลี่ยนเรื่องไปจากเรื่องเครียดๆได้ทันท่วงทีราวกับจะรู้ว่าบรรยากาศของการคุยกำลังจะแย่ลง “ก็มันจะมียูโร 2000 ไง มึงเคยดูบอลหรือเปล่านี่ ว่าแต่มึงยังเชียร์ฮอลแลนด์เหมือนเดิมหรือเปล่า” ตั๊กทำปากคอเราะร้ายใส่เพื่อนตามนิสัยแต่ยังคงรู้ใจเพื่อนไม่เคยเปลี่ยน “เออดิวะ กูมันคนไอนด์โฮเฟ่นโว้ย” “เหรอวะ ถ้ามึงเป็นคนไอนด์โฮเฟ่น กูก็คนลิสบอนล่ะวะ 555” ต้นพูดพรางหัวเราะร่วนให้กับการตบมุกของมันที่มันคิดว่าช่างแพรวพราวยิ่งนัก “เออนี่ พวกมึงได้ดูลาซิโอเล่นกันบ้างหรือเปล่าวะ กูว่าปีนี้ได้แชมป์แน่ๆ เล่นดีฉิบหาย กูนะโคตรชอบมิไฮโลวิช ถ้ากูปั่นได้ขนาดนั้นป่านนี้กูดังไปแล้ว” โยพูดถึงนักเตะในตำแหน่งเดียวกับมันเอง แต่พูดก็พูดเถอะผมว่าถ้าพูดกันที่เกมรับอย่างเดียว มันน่าจะเล่นได้ดีกว่ามิไฮโลวิชอีกนะผมว่า “กูชอบเวรอนว่ะ จ่ายบอลไซต์ก้อยนี่ได้ใจกูไปเลย” ผมพูดถึงนักเตะในดวงใจบ้างพลางจินตนาการถึงรูปเกมที่เคยได้ชมมา “แล้วพวกมึงไม่ชอบลา คอรุนญ่าบ้างเหรอวะ กูว่าบาเลรอนนี่สุดยอดเลยนะ” เทพว่าถึงกองกลางตัวทำเกมร่างอรชรอีกหนึ่งสุดยอดนักเตะในยุคสมัยของพวกเรา “แต่กูว่ามันช้าไปหน่อยนะ เอาแต่เลี้ยงวนๆ” เอ็มออกความเห็นเหมือนจะเข้าข้างตัวเองอย่างเต็มที่ในเรื่องของความเร็ว “เก่งจริงๆเค้าต้องช้าๆ เล่นโชว์ลีลาเว้ย ไม่ใช่เอาแต่วิ่งเร็วๆอย่างเดียว แก่ตัวไปจะเล่นยังไงไหว” ตั๊กยกตนข่มในเรื่องของเทคนิคที่มันดูจะมีเหนือกว่าเอ็ม ทำเอาพวกเราอมยิ้มในความขี้คุยของมัน “เดี๋ยวนัดชิง UCLไปดูบอลบ้านกูนะ อยากดูบอลกับพวกมึงก่อนจากกันเดี๋ยวกูให้แม่ทำกับข้าวเลี้ยงพวกมึง” ผมตัดบทหลังจากเหลือบมองนาฬิกาว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน พระอาทิตย์กำลังจะตกดินเหมือนเป็นสัญญาณบอกพวกเราทุกคนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมัธยมของพวกเรากำลังจะจบสิ้นลง แสงอาทิตย์สีเข้มละเลงตัวเองลงบนขอบฟ้าเพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าเมื่อวัยมัธยมจากพวกเราไป ชีวิตของพวกเรายังคงจะมีสีสันอยู่ในโลกของฟุตบอลต่อไปอย่างยาวนาน ผมหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นนะ “อย่าลืมนะโว้ย ใครไม่ว่างกูเลิกคบ” ผมจบประโยคสุดท้ายเพื่อบอกพวกมันล่วงหน้า 1 เดือนให้ทุกๆคนเตรียมตัวให้ว่างเอาไว้ และหวังว่าวันนั้นจะเป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราได้มีความสุขร่วมกันอีกครั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น