วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 15.การแต่งงาน

เมื่อวานผมได้ทราบข่าวดีมาข่าวหนึ่งทาง facebook ผมไม่รู้ว่ามันเป็นข่าวดีสำหรับคนอื่นๆด้วยหรือเปล่า แต่สำหรับเจ้าของข่าวแล้ว ผมว่ามันเป็นข่าวที่ดีมากๆข่าวหนึ่งเลยทีเดียว

เรื่องของเรื่องก็คือเพื่อนในกลุ่มของผมคนหนึ่งตั้งท้องมาได้ราวหนึ่งเดือน พ่อของเด็กเป็นเพื่อนของพวกเรามาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น นับรวมเวลาก็คงไม่น้อยกว่า 15 ปี ที่พวกเรารู้จักกันมา ส่วนแม่ของเด็กก็เรียนในโรงเรียนเดียวกับพวกเรา ถึงแม้จะคนละห้องแต่ด้วยความที่ทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมนั่นทำให้พวกเราก็เห็นเธอเป็นดังเพื่อนในกลุ่มเราคนหนึ่งด้วยเช่นกัน

การประสบความสำเร็จในการสร้างทายาทครั้งนี้เป็นไปอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมทุกอย่างเพราะคนทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันไปเมื่อปลายปีที่แล้ว นั่นจึงทำให้เด็กน้อยคนนี้ก่อเกิดขึ้นพร้อมกับความปลาบปลื้มของพ่อกับแม่ทั้งสองฝ่ายที่กำลังตื่นเต้นกับบทบาทใหม่ที่จะได้รับนั่นคือปู่ ย่า ตา และยาย ด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่งการแต่งงาน การมีลูก เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการประสบความสำเร็จในชีวิตโดยเฉพาะสำหรับคู่หนุ่มสาวที่คบกันด้วยความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างจะจริงจัง และด้วยความที่เพื่อนผมทั้งคู่ก็คบกันอย่างนั้นตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นั่นทำให้เรื่องราวเหล่านี้ไม่ค่อยจะเหนือความคาดหมายของพวกเราในกลุ่มสักเท่าไร เพราะพวกเรารู้อยู่แล้วว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งในกลุ่มของเราก็จะมีข่าวดีประเภทนี้เกิดขึ้น และเราทุกคนก็ค่อนข้างจะเชื่อว่า คนทั้งคู่นี้น่าจะเป็นคู่แรกที่แต่งงานกันและก้าวหน้าไปถึงขึ้นมีลูกก่อนเพื่อนๆคนอื่น

แต่อย่างที่เราทุกคนทราบกันดี ความรักไม่ได้มีแค่แบบเดียว ถึงแม้การแต่งงานและตัดสินใจมีลูกจะแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของชีวิตคู่ของคนคู่หนึ่ง แต่ด้วยเป้าหมายปลายทางที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคนและความต้องการในชีวิตที่แตกต่างกันไป นั่นทำให้ผมไม่แน่ใจสักทีเดียวว่าการแต่งงานคือทางเลือกที่มนุษย์ทุกคนต้องการจริงๆหรือไม่ กี่ครั้งกี่หนที่เราเห็นความแตกแยกในครอบครัว ไม่ว่าคุณจะรับรู้จากทางไหน เราก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีอยู่จริงในสังคมที่บูชาการแต่งงานเฉกเช่นโลกใบนี้ แต่ในเมื่อโลกนี้นั้นมีทั้งขาวและดำ การที่เราจะเลือกมองแต่ความล้มเหลวของชีวิตคู่ก็ดูจะอคติกับการแต่งงานไปสักนิด เพราะว่าคู่ที่ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตคู่ไปจนวันสุดท้ายก็มีอยู่มากมายเช่นเดียวกัน แล้วอะไรคือสิ่งที่จะยืนยันได้ว่าการแต่งงานคือสิ่งที่ดีที่สุดหรือเป็นสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงสิ่งอุปโลกน์ ที่มนุษย์ขี้เหงาร่วมกันสร้างขึ้นมาเพื่อปกปิดความอ่อนไหวในจิตใจอันบอบบางของพวกเขา

นอกจากความรักที่กำลังจะเป็นเรื่องของคนสามคนของเพื่อนผมแล้ว ในกลุ่มพวกเรายังมีความรักอีกหลายแบบมากมาย ทั้งรักเผื่อเลิก รักเก่าที่บ้านเกิด รักแล้วรอหน่อย หรือรักกันก่อนห่ามก็ตาม นั่นทำให้พวกเราในกลุ่มทุกคนค่อนข้างจะมีความแตกต่างในด้านความรักที่ไม่เป็นไปทางเดียวกันแม้สักคู่เดียวและถ้าสังเคราะห์มุมมองของผู้ชายอย่างเราๆในเรื่องของการแต่งงานแล้ว ผมเชื่อว่ามีผู้ชายไม่น่าจะเกิน 50% ที่จะอยากแต่งงานก่อนอายุ 30 ถ้าไม่มีเหตุผลใดที่จำเป็นจริงๆ คนบางคนที่รู้ว่าเพื่อนของผมแต่งงานตั้งแต่ยังไม่ 30 ก็ใช้คำพูดจำพวกว่า "แต่งงานเร็ว" กันอย่างค่อนข้างจะพร่ำเพรื่อในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ ก็แล้วถ้าการแต่งงานในวัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 เรียกได้ว่าแต่งงานเร็ว แล้วมนุษย์ส่วนใหญ่คิดว่าคนเราควรจะแต่งงานตั้งแต่อายุเท่าไรกันนะ สมองของผมตกผลึกออกมาว่าอายุของเจ้าบ่าวมันไม่สำคัญเลยถ้าเทียบกับอายุของความสัมพันธ์ที่สร้างสมกันมาของบ่าวสาวสองคนมากกว่าคนบางคนอายุน้อยแต่คบกับแฟนมาตั้งแต่ในวัยที่ยังเด็กนั่นทำให้ถึงแม้จะอายุยังไม่ถึงเลขสามแต่เค้าทั้งคู่ก็ผ่านเรื่องราวร่วมกันมามากมายพอดู มากพอจนสามารถตัดสินใจที่จะดูแลกันและกันไปตลอดทั้งชีวิตได้โดยไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วเกินไป

เปลี่ยนประเด็นมาพูดถึงการมีทายาทแทนการคุยเรื่องแต่งงานกันดูบ้าง พวกคุณทุกคนคิดว่าช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ควรจะมีลูกนั้นควรจะเป็นเวลาเท่าไรหลังจากคนทั้งคู่ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ในกรณีนี้ไม่นับคู่บ่าวสาวที่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่อให้ทายาทออกมาลืมตาดูโลกได้อย่างที่ปู่ ย่า ตา ยาย ไม่ต้องอับอายมนุษย์ขี้นินทามากมายนัก สำหรับผมเองคิดว่าประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับอายุของคนทั้งสองฝ่าย และโอกาสในการใช้ชีวิตที่ผ่านมาและที่กำลังจะผ่านไปหลังจากสถานะของคนทั้งคู่เปลี่ยน บางคู่แทบจะไม่เคยใช้ชีวิตคู่ที่แท้จริงหรือแทบจะไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกันเลย ในช่วงเวลาก่อนแต่งงาน ถ้าเป็นไปในลักษณะนี้การเรียนรู้กันอย่างจริงจังอีกครั้งหลังจากแต่งงานน่าจะต้องการเวลาพอเหมาะพอควรทีเดียวก่อนที่จะตัดสินใจมีอีกหนึ่งชีวิตในความดูแล เพราะมิฉะนั้นแล้วมันจะกลายเป็นการสร้างปัญหาสังคมมากกว่าถ้าคนทั้งคู่เรียนรู้และพบว่าลักษณะพื้นฐานของคนทั้งคู่นั้น "เข้ากันไมได้" จากที่กล่าวมาในตอนแรกว่าในกลุ่มของพวกเรามีความรักที่เกิดขึ้นหลายรูปแบบและเราก็ต่างใช้ชีวิตอยู่ในความรักของเราโดยที่ไม่ได้ก้าวก่ายกันและกันแต่อย่างใด แต่วันนี้ผมเองจะขอถือวิสาสะก้าวก่ายและลอกเลียนความคิดของเพื่อนในกลุ่มพวกเราและแน่นอนว่ามันอาจจะคล้ายกับความคิดของคนหลายๆกลุ่มในวัยเดียวกันกับพวกเราซึ่งก็ไม่น่าจะมีความคิดเกี่ยวกับการแต่งงานและมีลูกที่แตกต่างกันมากมายแต่อย่างใด มุมมองแรกที่ผมเดาว่าน่าจะมีคนคิดอยู่บ้างก็คือ ดีใจด้วยกับเพื่อนแต่ถ้าให้เลือกขอคบกันไปอย่างนี้ก่อนดีกว่า เพราะยังอยากที่จะใช้ชีวิตโสดและไม่ชอบที่จะพานพบกับคำทักจากเพื่อนที่ว่า "แต่งงานเร็วเชียวนะ" มุมมองถัดไปที่น่าจะมีไม่น้อยไปกว่ากันคือถ้าคบกันกับคนปัจจุบันไปจนถึงช่วงเวลาหนึ่งก็คงจะแต่ง แต่วันนี้ความสัมพันธ์ยังไม่ฝังรากลึกเช่นนั้น การแต่งงานจึงยังเป็นเรื่องไกลตัว จึงทำหน้าที่เพียงยินดีกับเพื่อนเท่านั้น มุมมองอีกมุมที่น่าสนใจก็คือสำหรับผู้ชายที่ยังมีเรี่ยวแรงและเงินที่เพียงพอที่จะท่องเที่ยวและบริหารเสน่ห์ในยามค่ำคืนได้แล้วล่ะก็ คำเดียวที่จะบอกกับเพื่อนได้ก็คือ เสียใจสำหรับการแต่งงานครั้งนี้ด้วย และทั้งสามมุมมองนี้เป็นมุมมองที่แตกต่างกันไปสำหรับเรื่องราวเรื่องเดียวกันที่ผมพอจะสังเคราะห์ได้ในตอนนี้ แต่มีอีกมุมมองที่ผมอยากจะเป็นกำลังใจให้อย่างที่สุด มุมมองนั้นก็คืออย่าเพิ่งไปพูดถึงการแต่งงานเลย แค่คนที่จะมารักกันยังมองไม่ออกเลยว่าจะหาจากที่ไหนแล้วใยจะต้องพูดถึงการแต่งงานให้ช้ำใจกันอีก

ผมเชื่อเหลือเกินว่าทั้งสี่มุมมองต่างหาได้ทั่วไปในสังคมปัจจุบันนี้และในกลุ่มของพวกเราก็น่าจะมีทุกมุมมองครบถ้วนเช่นเดียวกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมกำลังคิดและไม่แน่ใจว่าเพื่อนๆทุกคนคิดเหมือนกันหรือเปล่านั่นก็คือ พวกเราทุกคนมองการแต่งงานและการมีลูกเป็นเป้าหมายหนึ่งที่จะต้องไปให้ถึงในชีวิตที่เกิดมานี้หรือไม่ ผมไม่เถียงว่าถ้ามันเกิดขึ้นด้วยความพร้อมของทุกฝ่าย เรื่องราวเหล่านี้ก็คงจะสร้างความสุขให้กับคนรอบกายของคู่รักคู่นั้นมากมายเกินกว่าที่จะบรรยายได้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นด้วยความหลงผิดคิดว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของคนทุกคน ความคิดนี้อันตรายอย่างแน่นอน คนเราทุกคนเกิดมามีชีวิตที่แตกต่างกันสิ่งนี้ทุกคนต้องยอมรับ เพราะฉะนั้นถ้าตั้งเป้าหมายไว้ที่การแต่งงาน เส้นทางในการเดินก็ดูจะลำบากทีเดียวสำหรับคนหลายๆคน สำหรับผมแล้ว การแต่งงานและการมีลูกเป็นเพียงหลักไมล์หนึ่งในชีวิตที่จะทำให้ชีวิตของเราก้าวไปอีกขึ้นหนึ่งเท่านั้น เป้าหมายของชีวิตที่แท้จริงนั่นคือการทำอย่างไรก็ตามให้ชีวิตของเรามีความหมายและมีความสุขกับสิ่งที่เรารักได้ในทุกๆวัน และถ้าการแต่งงานและมีลูกจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายและมีความสุข มันก็ไม่ผิดเช่นกันที่คุณจะใช้มันเป็นเป้าหมายสำหรับชีวิตที่สะเปะสะปะของคุณในขณะนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การตั้งคำถามและหาคำตอบก็ดูจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพฤติกรรมของมนุษย์ขี้สงสัยอย่างผมในบางช่วงเวลาเท่านั้น เพราะสิ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องทำในช่วงเวลานี้ก็คือร่วมยินดีกับเพื่อนที่ก้าวไปในอีกขึ้นของชีวิตที่เค้าทั้งคู่เลือกที่จะเดินไป

และเมื่อใดก็ตามที่ปาร์ตี้ฉลองการตั้งท้องเริ่มขึ้นนั่นเปรียบเสมือนระฆังเตือนถึงการเริ่มต้นของเจเนอเรชั่นใหม่ที่กำลังจะเข้ามาแทนที่พวกเราในอนาคตอันใกล้นี้ และถ้าพวกเราคนใดยังมัวจมปลักอยู่กับชีวิตที่ไร้ความหมาย เมื่อทายาทตัวน้อยของกลุ่มเติบโตขึ้นก็คงจะเอียงคอสงสัยไม่น้อย ว่าลุงๆป้าๆแก่ๆเหล่านี้ใยจึงใช้ชีวิตราวกับปลาที่เหลือแต่วิญญาณและกำลังปล่อยให้สายน้ำพาชีวิตที่ไร้การต่อสู้ไปสู่ปลายทางที่แม้แต่เจ้าปลาเองยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว สายน้ำจะพามันไปยังที่แห่งใดในผืนน้ำอันกว้างใหญ่ผืนนี้

2 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้ว มีโดนๆใจเลย "และเมื่อใดก็ตามที่ปาร์ตี้ฉลองการตั้งท้องเริ่มขึ้นนั่นเปรียบเสมือนระฆังเตือนถึงการเริ่มต้นของเจเนอเรชั่นใหม่ที่กำลังจะเข้ามาแทนที่พวกเราในอนาคตอันใกล้นี้ และถ้าพวกเราคนใดยังมัวจมปลักอยู่กับชีวิตที่ไร้ความหมาย เมื่อทายาทตัวน้อยของกลุ่มเติบโตขึ้นก็คงจะเอียงคอสงสัยไม่น้อย ว่าลุงๆป้าๆแก่ๆเหล่านี้ใยจึงใช้ชีวิตราวกับปลาที่เหลือแต่วิญญาณและกำลังปล่อยให้สายน้ำพาชีวิตที่ไร้การต่อสู้ไปสู่ปลายทางที่แม้แต่เจ้าปลาเองยังไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว สายน้ำจะพามันไปยังที่แห่งใดในผืนน้ำอันกว้างใหญ่ผืนนี้ " ชอบตอนนี้อ่ะ เห็นภาพเลย แล้วก็เตือนสติใครหลายๆคนได้ดีเลยทีเดียว 555 ว่าอย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านเลยไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรให้กับชีวิตเลย หรือว่า หายใจทิ้งไปวันๆๆ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ27 พฤษภาคม 2553 เวลา 07:39

    เขียนได้ดีทีเดียวเลยหละเพื่อน ^_^

    ตอบลบ