วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

DREAM บทที่ 6 เริ่มต้นที่ต่างแดน



“กูสอบผ่านแล้วนะโว้ย จะได้ไปเยอรมันสิ้นเดือนนี้แล้ว” เอ็มโทรบอกเพื่อนๆทุกคนด้วยประโยคเดียวกันทั้งหมด แต่แค่ประโยคเดียวที่พวกเราสัมผัสได้เราก็รู้ในทันทีว่าเอ็มดีใจแค่ไหนที่ได้เข้าใกล้ความฝันของตัวเองไปอีกขั้นหนึ่ง มันเองเลือกไปเรียนในเมืองหลวงทางฟุตบอลของเยอรมันอย่างมิวนิคเพียงเพื่อที่จะได้มีโอกาสทดสอบฝีเท้ากับทีมเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิคไปด้วยในตัว และหลังจากนั้นค่อยเลือกกันอีกครั้งว่าเส้นทางไหนเป็นเส้นทางที่มันเลือกที่จะเดิน Technical University, Munich หรือ Olympic Stadium ทางไหนจะดีที่สุดสำหรับชีวิตของมันเอง เอ็มจะเป็นผู้กำหนดเอง พวกเราคงทำได้แค่เพียงให้กำลังใจในฐานะเพื่อนต่อไปเท่านั้นเอง

เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินนานาชาติมิวนิค นั่นเป็นสัญญาณที่เอ็มได้รู้ว่าชีวิตของมันกำลังจะมาถึงทางแยกที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว ถึงแม้ทางแยกจะมีแค่เพียงสองทาง แต่ทั้งสองทางก็เป็นทางที่กว้างขวางราวกับถนน 4 เลน ให้เอ็มสามารถขับพาชีวิตของมันโลดแล่นไปได้อย่างสนุกสนานเลยทีเดียว แต่ใครล่ะจะรู้ว่าปลายทางของถนน 4 เลนเส้นนั้นๆจะเป็นอย่างไร ใครล่ะจะเป็นผู้กำหนดได้นอกจากตัวมันเอง

หลังจากจัดการเรื่องที่พักและเรื่องเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอ็มยังมีเวลาเหลือราวๆหนึ่งสัปดาห์ที่มันเว้นไว้สำหรับการท่องเที่ยวที่มิวนิคแห่งนี้ และช่วงเวลานี้เองเอ็มก็ตั้งใจจะหาข่าวและวิธีที่จะเข้าไปคัดตัวกับทีมเยาวชนของบาเยิร์น มิวนิคให้ได้ ก่อนที่ทางมหาวิทยาลัยจะเปิดเรียน แล้วจะทำให้อะไรๆยากยิ่งขึ้น และเหนืออื่นใดเอ็มไม่พลาดที่จะลิ้มลองเบียร์ทุกแขนงที่มีทั้งหมดที่นี่ที่เมืองเบียร์แห่งนี้ มันเองก็เคยได้ยินคำพูดที่ว่า ที่เยอรมันเบียร์ถูกกว่าน้ำเปล่าและวันนี้มันกำลังยืนอยู่ที่นี่ ที่ที่มันจะสามารถพิสูจน์คำพูดนี้ได้อย่างแท้จริง

วันนี้คือวันที่สองในแผ่นดินเยอรมันของเอ็มเด็กไทยเชื้อสายจีนผู้ที่แบกความฝันมาเต็มกระบุงโกยทั้งในเรื่องของการศึกษาและการค้าแข้ง แต่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่ในสถานที่ทั้งสองแห่งนั้น แต่มันกำลังอยู่ในสถานที่ที่จะตอบมันได้ว่า เบียร์กับน้ำเปล่าที่นี่ อะไรถูกกว่ากัน และด้วยความที่มันเองก็ไม่มีเพื่อนเลยสักคน วิธีที่ดีที่สุดก็คือนั่งดื่มหน้าเคาร์เตอร์เพื่อชวนบาร์เทนเดอร์คุยถึงเรื่องราวที่มันอยากรู้เกี่ยวกับเมืองฟุตบอลแห่งนี้นั่นเอง “Helles แก้วนึง” เอ็มสั่งเบียร์ที่ผลิตที่เมืองนี้และมันก็รู้ว่าเบียร์ชนิดนี้แรงพอตัวทีเดียว “พี่พอรู้หรือเปล่าว่าถ้าอยากเป็นเยาวชนบาเยิร์นต้องไปคัดตัวที่ไหนครับ” เอ็มเริ่มเปิดทาง “มาแสวงโชคที่นี่เหรอไง นักเตะเอเชียเอาดีที่นี่ไม่ค่อยได้หรอกนะ จะมีก็อย่างอาลี ดาอีนั่นล่ะ แต่นั่นมันตัวใหญ่นะ เราตัวเล็กแค่นี้เองจะไหวเหรอ” บาร์เทนเดอร์เจ้าถิ่นกล่าว “ก็อยากจะลองดูล่ะครับพี่ ว่าแต่พี่พอจะแนะนำได้หรือเปล่า” “แกลองไปถามหนุ่มสองคนนั้นดูสิ” บาร์เทนเดอร์ชี้มือไปที่โต๊ะริมหน้าต่างด้านขวามือของเขา ที่นั่นมีเด็กหนุ่มผมทองสองคนนั่งกินเบียร์กันอยู่อย่างแอบๆ “ขาประจำร้านพี่เอง มันเป็นเด็กฝึกของบาเยิร์น ลองไปคุยดู” “ขอบคุณมากครับพี่” เอ็มพยักหน้าขอบคุณพลางยกแก้วเบียร์ของมันเดินตรงไปยังโต๊ะดังกล่าวทันทีโดยไม่มีความลังเลแม้แต่นิดเดียว “ขอนั่งด้วยคนได้หรือเปล่าครับ” เอ็มพูด “นายเป็นใคร” เจ้าหนุ่มผมทองสองคนพูดออกมาแทบจะพร้อมๆกัน “ผมมาจากเมืองไทย มาเรียนต่อที่นี่ แต่คิดว่าจะเข้าไปลองคัดตัวกับทางสโมสรบาเยิร์นดู เห็นพี่คนนั้นบอกว่านายสองคนเป็นเยาวชนที่นั่น เราเลยอยากรู้จัก” เอ็มแนะนำตัวเองกับสองหนุ่ม “อ๋อ โอเคนั่งๆ เราชไวน์สไตเกอร์ หรือเรียกสั้นๆชไวนี่ ส่วนนี่เพื่อนเราชื่อลาห์ม” หนุ่มผมทองเจ้าของนามชไวนี่เอ่ยแนะนำ “ส่วนเราชื่อเอ็ม พวกนายเป็นเยาวชนรุ่นไหนเหรอ” เอ็มเริ่มเปิดประเด็น “เราอยู่เยาวชน 19 ปี แต่เราสองคนอายุแค่ 17 ล่ะ เจ๋งไหมล่ะ เพิ่งได้เลื่อนชั้นมาเมื่อต้นปีนี่เอง” ลาห์มพูดอย่างติดคุยนิดๆ “เก่งๆ แล้วถ้าเราอยากไปสมัครบ้าง จะต้องทำอย่างไรล่ะ” เอ็มพูด “แล้วนายอยู่ที่เมืองไทยได้เล่นบอลอยู่ด้วยเหรอ พวกเราเห็นว่าไทยไม่ค่อยเก่งเท่าไรนี่ ในเอเชียยังดูน่าจะเป็นรองหลายๆทีม” ชไวนี่พูด “เราเป็นแชมป์เยาวชนของประเทศ แต่ก็อย่างที่นายพูดล่ะ ประเทศเรายังเป็นรองหลายๆชาติอยู่เยอะ ฟุตบอลโลกมีถ่ายทอดทุกนัด แต่ยังไม่เคยไปแข่งกับเค้าสักที” เอ็มเล่า “แล้วนายเล่นตำแหน่งอะไร” ลาห์มถาม “เราเล่นปีกขวา แล้วพวกนายล่ะ” “เราเล่นปีกเหมือนกันแต่เล่นได้ทั้งซ้ายและขวา ส่วนลาห์มเค้าเล่นกองหลัง และก็เช่นเดียวกันคือได้ทั้งซ้ายและขวา” ชไวนี่เล่า “แล้วจะลำบากหรือเปล่าถ้าพรุ่งนี้เราจะให้พวกนายพาเราไปดูซ้อมด้วย เราอยากคัดตัวด้วยน่ะ แต่ว่าอยากขอไปดูสถานที่ก่อน” เอ็มพูด “ได้สิ ไปดูด้วยกันเลย พรุ่งนี้เป็นข่าวดีของเราสองคนด้วย พอดีตัวจริงยังกลับจากพักร้อนยังไม่ครบ เค้าเลยดึงเราสองคนขึ้นไปซ้อมด้วย นายจะได้ดูของจริงล่ะ” ลาห์มบอก “จริงเหรอๆ ดีใจสุดๆเลยว่ะ ขอบใจนะเพื่อน ขอบใจจริงๆ” เอ็มกล่าวคำขอบคุณอย่างละล่ำละลักไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นการซ้อมของทีมเสือใต้ชุดใหญ่ในเช้าวันพรุ่งนี้ “แล้วคืนนี้อย่าเมาล่ะ เดี๋ยวเช้าตื่นไม่ไหว แล้วเดี๋ยวเช้าเจอกันที่นี่ละกัน พวกเราจะพาไป” ชไวนี่พูด “ได้ๆ แล้วพรุ่งนี้เจอกันแต่เช้า” เอ็มพูดพลางแสดงท่าทางบอกลา และแล้วเบียร์แก้วนี้ก็มีคุณค่ามากมายอย่างชนิดเอ็มคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

“ถึงแล้วพวก เป็นไงสนามซ้อมของพวกเรา ที่เมืองไทยมีอย่างนี้ไหม” ลาห์มถาม “สุดยอดจริงๆว่ะ ที่บ้านเราไม่มีขนาดนี้หรอก แล้วนี่ให้เราไปรอตรงไหนได้ล่ะ” เอ็มพูด “นั่งบนอัฒจรรย์ได้เลย วันนี้เค้าเปิดให้นักข่าวมาชมได้ นายก็นั่งกับพวกเค้านั่นล่ะ แล้วเดี๋ยวรอดูพวกเรา ตื่นเต้นๆ วันนี้จะได้ซ้อมกับชุดใหญ่” ลาห์มพูด “ได้ๆ เต็มที่นะเว้ยพวกนาย” เอ็มอวยพรเพื่อนใหม่ผมทองอย่างจริงใจ พร้อมทั้งสูดอากาศดีๆเข้าเต็มปอด ถึงแม้ว่าวันนี้เพื่อนจะพาเอ็มมาดูการซ้อมแต่เอ็มก็ไม่ลืมจะติดสตั๊ดคู่ใจมาด้วยเผื่อว่าพระเจ้าจะใจดีให้โอกาสเขาในวันนี้

โอลิเวอร์ คาห์น สเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก มาริโอ บาสเลอร์ บิเซนเต้ ลิซาราซุ วิลลี่ ซาญอล และอีกหลายๆคน คือชื่อของบุรุษที่กำลังเตะฟุตบอลกันอยู่ต่อหน้าเอ็มขณะนี้ และแน่นอนว่ามันไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาชมใกล้ๆขนาดนี้ มันคิดไปไกลถึงเวลาที่ตัวเองได้รับบอลทะลุช่องจากเอฟเฟ่นแบร์ก หรือช่วงเวลาซ้อมที่มันได้วัดความแข็งแกร่งกับลิซาราซู และเมื่อมันสัมผัสได้ถึงความต้องการในจิตใจของมันเองแล้ว เอ็มรู้ได้ทันทีว่าทั้งเรื่องฟุตบอลและเรื่องเรียน ตัวมันเองคงต้องตั้งใจให้ดีที่สุดไปพร้อมๆกันทั้งสองเรื่องโดยไม่ทิ้งเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแน่ๆ เพราะถ้าหวังรอให้เรียนจบก่อน ป่านนั้นลาห์มและชไวนี่คงจะขึ้นชุดใหญ่ไปแล้วแน่ๆ แล้วตัวมันเองล่ะไม่แก่เกินแกงไปแล้วเหรอ เอ็มยิ้มให้กับความในใจของตัวเองอีกครั้ง ก่อนนั่งมองไปในสนามซ้อมอันกว้างสุดลูกหูลูกตาอย่างมีความสุข นี่ล่ะสิ่งที่มันตามหามาตลอดชีวิต สนามหญ้าเขียวขจีที่คอยผลิตผลงานออกสู่ตลาดบุนเดสลีกาอย่างต่อเนื่องตลอดมา

ที่นี่คือแมนเชสเตอร์ เมืองที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดีว่ามีสองยอดทีมร่วมเมืองที่แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างชัดเจน ทีมหนึ่งใช้สีประจำทีมเป็นสีฟ้า อีกทีมหนึ่งใช้สีประจำทีมเป็นสีแดง และเมื่อฤดูกาลที่แล้วทีมสีแดงทีมนี้นี่เองที่เป็นแชมป์ในการแข่งขันฟุตบอลสโมสรยุโรปถ้วยที่ใหญ่ที่สุดและนั่นก็ทำให้ชื่อเสียงและความนิยมชมชอบสำหรับทีมฟุตบอลทีมนี้แพร่กระจายกว้างไกลออกไปทั่วทุกดินแดนบนโลก และในขณะนี้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวนั้นก็แบกเป้ 1 ใบพร้อมกับหัวใจ 1 ดวงที่ภายในบรรจุความฝันไว้อย่างเต็มที่ ฝันที่จะได้ลงเล่น ณ สนามที่ได้ชื่อว่าโรงละครแห่งความฝันแห่งนี้ และวันนี้เด็กหนุ่มคนนั้นก็ข้ามทวีปมาเยือนโรงละครแห่งความฝันถึงที่แล้วและมันก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระเจ้าแห่งเมืองนี้น่าจะพูดภาษาเดียวกับเขา

ภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องสำคัญสักเท่าไรสำหรับต้น เพราะมันเองก็ถนัดภาษาอังกฤษที่สุดในกลุ่มของพวกเราอยู่แล้ว แต่เมื่อมันเดินทางมาถึงที่แมนเชสเตอร์นี้ มันเองกลับต้องเริ่มต้นความรู้ในทางภาษาใหม่ทั้งหมดเพราะภาษาอังกฤษสำเนียงแมนเชสเตอร์นี้ไม่เหมือนกับที่มันเคยเรียนที่เมืองไทยแต่อย่างใดแต่ด้วยความที่มันตั้งใจจะทำงานหาเงินที่นี่ไปด้วยในขณะที่หาโอกาสเข้าไปคัดเลือกเป็นเยาวชนของแมนเชสเตอร์นั่นทำให้มันไม่ได้คิดจะเรียนภาษาแต่อย่างใดเพราะเชื่อว่าการได้ใช้ภาษาในสถานการณ์จริงน่าจะช่วยเพิ่มพูดความคล่องตัวทางภาษาให้กับมันได้ดีกว่าการไปนั่งเรียนตามโรงเรียนสอนภาษาด้วยซ้ำ และเนื่องจากมันเองไม่ได้มีญาติหรือคนรู้จักที่นี่ สิ่งที่มันต้องทำเป็นอย่างแรกก็คือหาคนไทยที่พอจะให้งานกับมันได้และถ้าเขาคนนั้นมีช่องทางสำหรับการเข้าไปเป็นเยาวชนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้นั่นก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นโชคสองชั้นของมันเลยทีเดียว แต่ทุกอย่างที่มันเคยคิดเคยฝันไว้เมื่อตอนอยู่เมืองไทย พอมาถึงที่นี่จริงๆ อะไรมันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใจคิด ถึงแม้ร้านอาหารไทยที่แมนเชสเตอร์จะมีอยู่บ้าง แต่มันก็เต็มไปด้วยนักเรียนไทยที่ทำงานหาเงินกันอยู่ที่นี่อยู่แล้วและไม่พร้อมที่จะรับคนเพิ่มอีกแต่อย่างใด แต่ด้วยความที่นิสัยคนไทยมีอะไรก็ช่วยเหลือกัน นั่นทำให้มันยังพอที่จะใช้ความเป็นคนไทยด้วยกันขอคำแนะนำเรื่องที่พักกับคนไทยที่มันได้เจอที่นั่นได้ และโชคดีครั้งแรกที่มันได้เจอที่นี่ก็คือที่พักที่มันคิดจะไปพักอยู่ห่างจากสนามซ้อมแคร์ริงตันไม่ถึง 2 กิโลเมตรและนั่นเป็นโอกาสดีทีเดียวที่มันจะไปแอบด้อมๆมองๆดูสักหน่อยเผื่อว่าที่นั่นจะมีประกาศรับสมัครนักฟุตบอลบ้าง และเมื่อมันถ่ายทอดความคิดของมันให้กับลุงเจ้าของร้านอาหารไทยที่มันไปขอคำแนะนำเรื่องที่พักให้แกฟัง แกก็ยิ้มอย่างเปิดเผยให้กับต้นพร้อมทั้งชี้แนะลู่ทางให้กับมัน “ลุงพอจะมีเพื่อนที่รู้จักอยู่บ้างเหมือนกันนะ พวกเจ้าหน้าที่ที่สนามมากินที่ร้านลุงบ่อยๆ เดี๋ยวถ้าลุงเจอลุงจะถามให้ ตอนนี้ว่างๆต้นก็หางานทำไปก่อนนะ ว่าแต่มาอยู่ที่นี่ไม่รู้จักใครเลยเหรอ” ลุงพูด “ขอบคุณมากครับลุง ผมไม่รู้จักใครเลยครับ ตอนอยู่เมืองไทยก็คิดแบบเด็กๆ ว่ามาหาคนไทยที่นี่ก็น่าจะไม่ยากเย็นอะไร แต่ลืมคิดไปว่าคนอื่นๆที่คิดแบบผมก็มีเยอะ พอมาที่นี่เลยเพิ่งรู้ว่างานมันหายาก” ต้นพูด “แต่ไม่มีอะไรยากเกินความพยายามของเราหรอกต้น ข้ามมาถึงที่นี่ได้ยังยากกว่า เรื่องแค่หางานทำไมเราจะทำไม่ได้” ลุงพูด “ครับลุง แล้วคุณลุงมาอยู่ที่นี่นานหรือยังครับ” ต้นถาม “ลุงเองก็แบกความฝันมาแบบต้นนั่นล่ะ คิดว่าจะมาเปิดร้านอาหารไทยที่นี่ แต่จนแล้วจนรอดก็เจ๊งไม่เป็นท่า จนจะตัดใจอยู่แล้ว พระเจ้าก็ส่งป้ามาเจอลุง ทำให้ลุงได้มีวันนี้ล่ะ” ลุงเล่าให้ต้นฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและต้นยังแอบเห็นอีกว่าแววตาของลุงนั้นเต็มไปด้วยความสุขในแบบที่ต้นแทบจะไม่เคยเห็นเลยทีเดียว “ถ้าอย่างนั้นสงสัยผมต้องพยายามหาแฟนที่นี่ให้ได้แล้วมั้งลุง เผื่อผมจะประสบความสำเร็จบ้าง” ต้นพูดหยอกล้อลุง

“ไม่แน่เรื่องหาแฟนอาจจะลำบากกว่าไปเป็นนักบอลก็ได้นะ แต่พูดก็พูดนะ ถ้าต้นไม่อยากจะทิ้งความฝันจริงๆ ต้นต้องอดทนให้มากๆนะ คนที่นี่มันดูถูกคนเอเชียเราจะตาย แม้กระทั่งคนดำมันก็ยังดูถูกเรา ถ้าเราฝีมือพอๆกับมัน มันก็ไม่เอาเราหรอก เราต้องแสดงให้มันเห็นว่าเราเก่งกว่ามันจริงๆ มันถึงจะยอมรับ”ลุงพูด “ครับลุง ผมไม่ถอดใจง่ายๆแน่ ยังไงๆผมก็ต้องทำให้ได้ แล้วลุงคอยดูผมละกันนะ” ต้นพูด “แล้วลุงจะคอยดู น้องชาย” ลุงพูดพร้อมกับยิ้มให้กับต้นอีกครั้ง ยิ้มอันแสนจะเป็นมิตรที่ต้นรู้ว่าจะหาได้จากคนไทยด้วยกันเท่านั้นจริงๆ

ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ คือชื่อของเด็กหนุ่มคนที่ลุงเจ้าของร้านอาหารไทยแนะนำให้ต้นรู้จัก เจ้าหนุ่มคนนี้มาจากสก็อตแลนด์และก็มาในรูปแบบเดียวกับต้น นั่นคือแบกเป้ข้ามประเทศมาเพื่อตามหาความฝันเช่นเดียวกัน และในวันพรุ่งนี้เฟล็ตเชอร์เองก็จะเดินทางไปสมัครที่แคร์ริงตันด้วยตนเองนั่นทำให้ลุงรีบแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันเพื่อที่ว่าต้นจะได้มีโอกาสไปสมัครด้วยพร้อมๆกันกับเฟล็ตเชอร์ แต่หลังจากแนะนำกันได้สักพัก ต้นได้รับรู้ปัญหาใหม่อีกว่าคนสก๊อตแลนด์นั้นพูดภาษาอังกฤษได้เข้าใจยากกว่าคนแมนเชสเตอร์เสียอีก เพราะฉะนั้นต้นจึงมักจะเงียบฟังเป็นส่วนใหญ่และพอมีโอกาสที่จะต้องแสดงความเห็นก็เลือกที่จะใช้ภาษามือช่วยแสดงความเห็นทำให้ทั้งสองคนเข้าใจกันได้ไม่ยาก จากที่คุยกัน ต้นรับรู้ได้ว่าเฟล็ตเชอร์เองเล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับเช่นกันกับรอย คีนและนิกกี้ บัตต์ สองกองกลางที่เป็นกำลังสำคัญให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในตอนนี้ ซึ่งทั้งสองคนนั้นก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับเฟลตเชอร์เช่นเดียวกัน แต่เมื่อคำถามเดียวกันนี้ถูกโยนย้อนกลับมาที่ตัวต้นเอง ก็แน่ล่ะว่าต้นย่อมตอบกลับไปว่าเบ๊คแฮมต่างหากคือแรงบันดาลใจของมันในตำแหน่งปีกขวานั่นเอง ถึงขณะนี้เด็กหนุ่มสองคนที่มาจากประเทศที่แตกต่างกันกำลังทำความรู้จักกันและกันให้ดียิ่งขึ้น เขาทั้งสองต่างไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าจะเคยได้ยินกันมาเสมอว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่ทุกคนก็รู้เป็นอย่างดีว่ามันไม่ได้แน่นอนเสมอไป ไม่ทุกครั้งที่ความพยายามจะแปรเปลี่ยนเป็นความสำเร็จได้ แต่สำหรับต้นในตอนนี้แล้ว ความพยายามอย่างดีที่สุดถึงแม้ว่ามันจะไม่ประสบความสำเร็จใดๆ แต่แค่ความรู้สึกของการได้พยายาม มันก็ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มจากเมืองไทยเอิบอิ่มไปด้วยความภูมิใจในตัวเองที่ล้นอยู่ภายใน และไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าวันใดวันหนึ่ง 11 ตัวจริงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีชื่อของเด็กหนุ่มจากไทยคนนี้อยู่ด้วย ความภูมิใจนั้นคงถูกส่งกลับไปยังครอบครัว ส่งไปยังเพื่อนๆในประเทศบ้านเกิดของเค้าอย่างแน่นอน

จบภาคแรก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น