วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 20 "ฆ่าตัวตาย"



ผมเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก นาฬิกาข้อมือบอกผมว่าตอนนี้คือเวลาประมาณตีสอง ซึ่งเป็นตีสองของคืนวันธรรมดาๆวันหนึ่ง วันที่ไม่ได้มีความหมายสำหรับใครหลายๆคนรวมทั้งตัวผมเอง ผมบอกตัวเองว่าในเวลาแบบนี้คงไม่มีมนุษย์คนไหนมาเดินเล่นในที่ที่ผมกำลังยืนอยู่ และถ้าบังเอิญผมพบมนุษย์ที่มาเดินเล่นที่นี่คุณว่าผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่ผมเห็นมันคือมนุษย์จริงๆ
ในขณะที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำลายความมั่นใจของตัวเองด้วยความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวนั้น สายตาของผมก็พยายามที่จะตรวจสอบว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่กำลังอาบแสงจันทร์ในบริเวณนี้ใช่หรือไม่ แต่ด้วยความที่เวลามันค่อนข้างจะดึกสงัด นั่นทำให้ในขอบเขตของการมองเห็นของผมซึ่งถูกกำหนดด้วยแสงสลัวจากดวงจันทร์ มีผมเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ที่นี่ แต่นั่นมันก็เป็นแค่สิ่งที่ผมสัมผัสได้ด้วยตาซึ่งมันไม่สามารถยืนยันอะไรได้เลย เพราะความรู้สึกของผมมันพยายามตะโกนบอกออกมาว่าสิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่ความจริง

ในขณะนี้ผมยืนอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งก่อสร้างขึ้นมาท้ายสุดในบรรดาสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหลาย และอย่างที่ผมบอกผมเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกแต่ในขณะนี้ทุกอณูในกายผมมันกลับบอกผมว่าผมผูกพันกับที่นี่มานานแสนนาน ก่อนหน้าที่ผมจะมายืนอยู่ตรงนี้ ผมกำลังรื่นเริงอยู่ที่ลานเบียร์กับกลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมโดยไม่มีทีท่าว่างานเลี้ยงจะต้องมีวันเลิกราแต่อย่างใด แต่ในขณะที่ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าผมกำลังมีสติน้อยลงทุกทีๆเนื่องจากการที่ผมพยายามเพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายจนเกินพิกัด นั่นทำให้ยิ่งปริมาณแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นเท่าไร สติของผมก็ลดลงแทบจะแปรผกผันกันอย่างที่สุด และเมื่อระดับแอลกอฮอล์ขึ้นถึงขีดสุด เส้นบางๆที่ยึดสติของผมเอาไว้ก็ขาดผึง ผมไม่รู้ว่าผมสิ้นสติไปเป็นเวลานานเท่าไร แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกทีผมก็มาอยู่ที่นี่ ผมไม่รู้ว่าผมมาทำไม ผมไม่รู้ว่าผมมาเพื่ออะไร แต่ที่สำคัญที่สุดผมไม่รู้ว่าผมมากับใคร

หัวใจของผมเต้นเหมือนกับมันจะหลุดออกมาจากร่าง ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถมองเห็นหรือแม้กระทั่งไม่สามารถที่จะสัมผัสได้ แต่มันกำลังจ้องมองมาที่ผมราวกับจะกลืนกินผมด้วยความเครียดแค้นที่ผมได้สร้างความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสให้ ผมยังคงถามตัวเองว่าผมอยู่ที่นี่กับใคร ใครคนนั้นที่กำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนเด็กที่กลัวความมืด ความมืดที่พร้อมจะบดขยี้เด็กขี้ขลาดอย่างผม ความมืดที่พร้อมจะกลืนกินทุกอย่างแม้กระทั่งสติของคนที่เชื่อมั่นในวิทยาการสมัยใหม่อย่างที่สุดเช่นผม ผมพยายามตั้งสติและมองไปรอบๆตัวเองอีกครั้ง และแล้วสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดในวินาทีนี้ มันก็เกิดขึ้น ผมมองเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ทางหางตา อะไรบางอย่างที่กำลังจ้องมองมาที่ตัวผม ผมกลั้นหายใจด้วยความกลัว กลัวโดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร กลัวโดยที่ไม่สามารถใช้คำตอบใดในโลกมาตอบเหตุผลความกลัวนี้ได้ ขณะนี้ผมพยายามห้ามทุกสิ่งทุกอย่างในตัวผมไม่ให้ตื่นกลัวจนเกินไป แต่มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ก็ในสภาพที่ขนทั้งร่างลุกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความสะพรึงกลัวหลั่งไหลจากหัวไปจรดปลายเท้า ผมภาวนาให้มันไหลออกไปที่พื้นดิน แต่ดูเหมือนความคิดของผมมันจะไร้ค่า ความกลัวมันย้อนกลับขึ้นมาอีกครั้งจากปลายเท้ามุ่งตรงขึ้นสู่ศีรษะ จากศีรษะวิ่งกลับลงสู่เท้าอยู่อย่างนั้น แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมคิดว่ามีชีวิตสิ่งนั้นกำลังขยับตัวอย่างช้าๆ จากปลายหางตาของผม ค่อยๆคืบเข้ามาสู่กึ่งกลางม่านตาของผม ผมตัดสินใจเอาชนะความกลัวทั้งหมดที่เป็นเหมือนน้ำแข็งที่เกาะกุมขั้วหัวใจของผมด้วยการค่อยๆหันหน้าเข้าไปเผชิญกับสิ่งที่ผมกำลังกลัวมันอยู่ ผมก้มหน้าอย่างคนไม่อยากจะรับรู้อะไร ก้มลงมองปลายเท้าและมองเงาที่กำลังทอดยาวออกไป พระจันทร์ในคืนนี้สว่างพอที่ผมจะมองเห็นอะไรต่อมิอะไร แต่ไอ้อะไรต่อมิอะไรที่ผมว่านี้ ผมสาบานได้ว่าผมไม่อยากเห็นมันเลยจริงๆ ในขณะที่ผมกำลังก้มหน้ามองเงาของตัวเองอยู่นั้น ผมมองเห็นอะไรบางอย่างที่พื้น อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมแทบจะหยุดหายใจ ก่อนหน้านี้ผมเชื่อว่าผมยืนอยู่คนเดียวบนสะพานแห่งนี้ แต่ตอนนี้ที่ปลายเท้าผมมันไม่ได้มีเงาของผมคนเดียว เงาอีกเงากำลังค่อยๆคืบคลานเข้ามาหาเงาของผม มันคืบคลานเข้ามาเป็นจังหวะอย่างน่าสยดสยอง ตรงข้ามกับผมที่ตอนนี้หัวใจเต้นอย่าง
ไม่เป็นจังหวะอย่างที่สุด แต่ไม่ว่ามันจะคืออะไร นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผมจะได้เห็นมันอย่างเต็มตา ผมพยายามมองโลกในแง่ดีว่าคนอีกมากมายในโลกนี้ที่เชื่อเรื่องผีสางเทวดานางฟ้านางไม้ แต่พวกเขาเหล่านั้นอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่ามีอยู่จริงในโลกอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าเผาขนอย่างผม แต่ถ้าเลือกได้ผมอยากแลกช่วงเวลานี้กับพวกเขาทุกคนจริงๆ

ผมตั้งสติให้ดีที่สุดเพื่อจะได้ไม่หัวใจวายในขณะที่เงยหน้าขึ้นไปพบกับสิ่งนั้น แต่แล้วเมื่อผมเพ่งมองเงาที่พื้นอีกครั้งผมก็จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นอย่างเร็วที่สุด เพราะเจ้าของเงาที่คืบคลานเข้ามาหาผมนั้นกำลังยื่นแขนออกมาหาตัวผมอย่างช้าๆ และแล้วเมื่อผมเงยหน้าขึ้น ผมก็เห็นในสิ่งที่ผมไม่ได้จินตนาการเอาไว้ เห็นในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงอย่างที่สุด ผมเห็นตัวผมเอง และเป็นตัวของผมเองที่กำลังยื่นมือทั้งสองข้างมาในระดับที่จะบีบคอของผมได้ ผมพยายามมองแววตาของมัน ดวงตาของมันไม่สามารถปกปิดความแค้นใดๆได้เลย ทุกความรู้สึกของมันถูกส่งตรงมาที่ผมอย่างไม่มีอะไรลดทอน เหลืออีกเพียงแค่คืบเดียวมือทั้งสองข้างของมันก็กำลังจะบีบคอผมให้สิ้นลมหายใจเพื่อสนองความแค้นของมัน ผมกำลังจะถูกตัวผมเองฆ่าตายหรือนี่ และในขณะที่นาฬิกาชีวิตของผมมันกำลังจะหยุดเดิน ผมก้มลงมองพื้นอีกครั้งอย่างคนปลงตก แต่แล้วการก้มลงมองพื้นครั้งนี้มันกลับทำให้สถานการณ์ของผมแย่ลงไปอีก ผมเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นอีกครั้ง ผมพยายามนึกย้อนไปถึงตอนที่ผมกำลังสังสรรค์กับเพื่อนที่ลานเบียร์ ผมออกจากออฟฟิศและตรงมาที่ลานเบียร์เลยโดยที่ไม่ได้กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นรองเท้าที่ผมใส่มามันย่อมต้องเป็นรองเท้าหนังแท้สีดำยี่ห้อนำเข้าจากอิตาลีที่ผมซื้อมาเกือบหนึ่งปีแล้วแต่สภาพยังดีอยู่ในชนิดที่ถ้าทำความสะอาดสักหน่อยก็เรียกได้ว่าเกือบจะเหมือนใหม่เลยทีเดียว ผมสะดุ้งตัวเองออกจากภวังค์ของรองเท้าหนังอีกครั้ง เพราะสิ่งที่ผมกำลังก้มมองอยู่ในขณะนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดและไม่มีทางจะใช่เลยสักนิดเดียว รองเท้าผ้าใบสีขาวไม่มียี่ห้อคู่นี้ไม่ใช่ของผมแน่ แต่ทว่าตอนนี้มันสวมอยู่ที่เท้าผม ผมเริ่มคิดว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับชีวิตผมในคืนนี้แน่ แต่ดูเหมือนกับว่าแสงจันทร์ในคืนนี้ยังคงสนุกกับความกลัวของผมอยู่อย่างไม่มีทีท่าจะเลิกรา เจ้าหล่อนจึงได้พยายามสาดแสงลงมามากมายทวีคูณเพื่อทำให้ผมเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเห็นในสิ่งที่จะทำให้ผมกลัวยิ่งขึ้นไป เห็นในสิ่งที่จะทำให้ผมเข้าใกล้ขีดสุดของความกลัวของมนุษย์

ผมพยายามก้าวถอยหลัง ก้าวถอยหลังเพื่อที่จะหนีจากมือและดวงตาอาฆาตคู่นั้น มือที่ทำหน้าที่ส่งผ่านความอาฆาตของจิตใจซึ่งมันฉายเจตนาออกมาชัดเจนจากดวงตาคู่นั้น ใจผมอยากจะวิ่งหนีไม่ใช่แค่ก้าวถอยหลังอย่างที่ผมทำแต่ขาของผมมันไม่ค่อยตอบสนองความต้องการของผมเลยสักนิดเดียว มันทำราวกับว่ามันถูกเกล็ดน้ำแข็งแห่งความกลัวยึดติดมันไว้กับพื้นอย่างนั้น และแล้วสมองนอกรีตของผมก็คิดบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผมแทบจะกลั้นใจตายอยู่ตรงนั้น หรือว่าขาคู่นี้มันไม่ใช่ขาของผมและเมื่อผมคิดได้เช่นนั้นผมจึงกลั้นใจก้มลงไปดูอีกครั้ง ในค่ำคืนนี้ดูเหมือนกับว่าเยื่อนัยน์ตาของผมทั้งคู่มันจะไม่เคยทำให้ผมสมหวังเลยสักครั้ง เพราะในขณะนี้ ในขณะที่ผมกำลังค่อยๆยกสายตาจากรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่นั้นขึ้นมาเรื่อยๆและสิ่งที่ผมคาดหวังมันก็ไม่เกิดขึ้น กางเกงตัวนี้มันไม่ใช่ของผม กางเกงยีนฟอกซึ่งมีรอยขาดตรงหัวเข่าทั้งสองข้างตัวนี้ มันไม่ใช่ของผมและก็ไม่มีทางจะใช่ เลือดในกายของผมจับตัวกันแน่นอีกครั้ง จากตอนแรกที่ผมสงสัยว่าผมมาที่นี่กับใคร แต่ตอนนี้ผมกับต้องหาคำตอบของคำถามข้อใหม่ว่า ผมคือใคร

มือทั้งสองข้างของตัวผมเองมันกำลังบรรจงบีบเข้ามาที่คอบริเวณลูกกระเดือกของใครคนนี้ คนที่จิตของผมกำลังอยู่ในร่างของเค้า ผมพยายามต่อสู้ด้วยมือทั้งสองข้างที่ผมสาบานว่าผมไม่เคยเห็นมือคู่นี้มาก่อนในชีวิต ผมพยายามต่อสู้ไปตามสัญชาติญาณแต่สิ่งที่ทำให้ผมกลัวยิ่งกว่าการที่ผมกำลังจะถูกตัวเองฆ่าก็คือ ผมไม่เจ็บเลยสักนิด ไม่แม้แต่สักนิดเดียว มันเหมือนจิตของผมกำลังลอยวนเวียนดูร่างสองร่างกำลังต่อสู้กัน แล้วผมจะเอาใจช่วยใครได้ก็ในเมื่อจิตผมอยู่ในร่างอีกร่างซึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับตัวผมเอง

ผมกำลังจะตาย ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดสักนิด แต่ผมกำลังจะตาย ร่างที่ผมอยู่กำลังพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับตัวผมเอง ความเครียดแค้นที่อาศัยอยู่ในร่างของผมกำลังจะชนะ มันบีบคอผมมาเกือบสองนาที และร่างของผมไม่สามารถต่อสู้กับอาการขาดอากาศหายใจนานขนาดนี้ได้ ผมกำลังลอยละลิ่วตกลงจากสะพานขณะนี้ผมเห็นดวงจันทร์ชัดเจนเหลือเกินแต่หล่อนก็กำลังจะไกลผมออกไปทุกที ทุกที และทุกที สติของผมใกล้จะหมดลงอย่างสิ้นเชิง ผมถูกตัวผมเองบีบคอบนสะพานและโยนล่างของผมลงทิ้งน้ำ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้ และก่อนที่สติของผมจะขาดพระจันทร์ที่รักก็มอบความเมตตาให้กับผมเป็นครั้งสุดท้าย ตัวผมหมุนกลางอากาศก่อนที่จะสัมผัสพื้นผิวของแม่น้ำ และผมก็เผชิญหน้ากับเงาของตัวผมเองที่ฉายลงไปในพื้นน้ำ ผมรวบรวมสติอีกครั้งพร้อมกับจำภาพสุดท้ายที่ผมจะได้เห็น และเทียนสติของผมก็ดับลงพร้อมกับความทรงจำสุดท้ายที่ว่า ผู้ชายที่จมน้ำตายในคืนนี้ไม่ใช่ผม

เส้นใยแดดบรรจงสอดแทรกตัวผ่านม่านบังตาที่หน้าต่างด้วยอาการที่เต็มไปด้วยเจตนาเพื่อมาปลุกผมให้ตื่นจากการหลับใหล ผมไม่ปฏิเสธความหวังดีเหล่านั้นและพร้อมลืมตาขึ้นอย่างเต็มใจ ความรู้สึกแรกที่ผมสัมผัสได้หลังจากการพักผ่อนของผมนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในภวังค์แห่งความฝันนั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ภาพของสายตาแดงกล่ำเต็มไปด้วยความแค้นคู่นั้นยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผมอย่างยากจะลืมเลือน ผมสลัดศีรษะให้คลายจากความง่วงเหงาหาวนอนพลางบิดขี้เกียจอย่างเต็มกำลัง ลึกๆแล้วในใจผมหวังจะให้ความทรงจำที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นกระเด็นหลุดจากตัวผมไปบ้างหากมันจะเป็นไปได้ ผมบอกกับตัวเองว่าวันนี้ผมควรจะไปทำสังฆทานที่วัดดูสักนิดเผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้นบ้าง สุดท้ายในความคิดของชาวพุทธอย่างเราๆ การเข้าหาพระหาเจ้าบ้างก็น่าจะช่วยให้จิตใจอันขุ่นมัวได้ผ่องใสขึ้นและนั่นก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดที่ผมคิดได้ในช่วงเวลานี้ ผมพยุงตัวเข้าไปในห้องน้ำเพื่อที่จะแปรงฟันรวมทั้งอาบน้ำชำระร่างกายก่อนที่จะไปหาซื้อถังสังฆทานสักถังเพื่อนำไปทำบุญในช่วงบ่ายวันนี้ และเมื่อผมเป็นอิสระจากเสื้อผ้าที่ใส่นอนพร้อมทั้งยืนประจันหน้าอยู่กับกระจกเงาในห้องน้ำเพื่อเตรียมที่จะแปรงฟัน ร่องรอยจากฝันร้ายเมื่อคืนนี้ก็เผยตัวขึ้นมาราวกับต้องการจะเตือนสติของผมไม่ให้ลืมเรื่องราวของมันไป รอยนิ้วมือสีแดงบริเวณรอบลูกกระเดือกของผมมันกำลังแสดงตัวให้ผมเห็นอยู่ในกระจกเงาขณะนี้ ผมพยายามตั้งสติอีกครั้งพร้อมทั้งยืนยันกับตัวเองว่าเหตุการณ์ที่ผมถูกบีบคอเมื่อคืนนี้มันคือสิ่งที่เรียกว่าความฝัน เราทุกคนรวมทั้งตัวผมเองมีความเข้าใจกันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในฝันนั้นไม่ใช่ความจริง และไม่ว่าคุณจะบาดเจ็บหรือว่าล้มตายในความฝัน ที่สุดแล้วเมื่อคุณตื่นขึ้นมาทุกสิ่งทุกอย่างในความฝันก็จะจบสิ้นลงที่ตรงนั้น ก็แล้วถ้าความจริงมันเป็นอย่างนั้นแล้วรอยนิ้วมือที่ผมเห็นขณะนี้มันคืออะไร ผมพยายามนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานก่อนที่ผมจะเข้านอน แต่ไม่ว่าจะนึกย้อนไปนานเท่าไรผมก็ไม่พบสาเหตุที่น่าจะเป็นที่มาของรอยนิ้วมือปริศนาบนคอของผมเลยสักนิดเดียว

ผมพยายามละสายตาออกจากรอยนิ้วมืออันน่าสะพรึงกลัวรอยนั้นพลางรีบชำระล้างร่างกายอย่างหนักหน่วงที่สุด ความหนักหน่วงนั้นสืบเนื่องมาจากความคิดที่ว่าหากสายน้ำเหล่านี้จะสามารถชำระความกลัวของผมให้มันหลุดลอกออกจากหัวใจของผมได้บ้างผมคงไม่ยอมทิ้งโอกาสอันแสนสำคัญครั้งนี้แน่ๆ แต่พวกคุณก็รู้ว่าเหตุการณ์แบบนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่บางครั้งมนุษย์เราก็พยายามทำอะไรที่ไร้เหตุผลอย่างนี้เสมอๆ ผมใช้เวลาอีกสักครู่จนกระทั่งเสร็จสิ้นการชำระล้างร่างกายผมรีบแต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อให้พร้อมสู่การออกตามหาถังสังฆทานสักถังเพื่อคลายความกังวลและทำให้ทุกๆอย่างในชีวิตช่วงนี้ของผมดีขึ้น

ผมเดินออกจากวัดพร้อมทั้งความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความสุขซึ่งแตกต่างจากช่วงเช้าก่อนที่ผมจะเข้าไปทำบุญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งบรรยากาศของวัดซึ่งเต็มไปด้วยความสงบและบุคลิกของหลวงพ่อที่มากไปด้วยเมตตานั่นทำให้ผมรู้สึกว่าในค่ำคืนที่จะถึงนี้ความฝันเหล่านั้นคงไม่สามารถจะทำอะไรผมได้อีกต่อไป นอกจากความสบายใจที่เป็นเพียงรูปธรรมเหล่านั้น ผมยังได้ทราบถึงความรู้เกี่ยวกับความฝันที่นับได้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมที่สุดที่ผมได้รับมาจากหลวงพ่อในวันนี้ ท่านให้ความรู้กับผมว่าฝันของคนเรานั้นมีอยู่ 4 แบบด้วยกัน หนึ่งนั้นคือ “จิตอาวรณ์” คือฝันอันเกิดเนื่องมาจากจิตของผมเองที่ตื่นขึ้นมานิดๆในขณะที่กายผมกำลังหลับอยู่ และเมื่อตื่นขึ้นมาก็ไปนึกปรุงแต่งเอาจากสัญญาหรือความจำต่างๆที่ผมเคยมีมาก่อน ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าฝันของผมน่าจะเกิดขึ้นมาจากลักษณะนี้ นั่นคือจิตของผมปรุงแต่งมันขึ้นมาเอง แต่แล้วเมื่อผมได้ยินฝันประเภทที่สอง ความคิดของผมก็เปลี่ยนไป ประเภทที่สองนั้นคือ “เทพสังหรณ์” คือฝันที่เกิดจากการบันดาลของเทวดาหรือผีหรือผู้ที่อยู่ในภพภูมิอื่นตั้งใจมาบันดาลให้เห็น ผมขนลุกเกรียวไปทั้งตัวทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าของหลวงพ่อถึงฝันในลักษณะนี้ แต่ผมก็พยายามตั้งสติและเก็บรายละเอียดของฝันอีกสองประเภทเผื่อจะมีประเภทที่ใกล้เคียงกับฝันของผมมากกว่านี้ ฝันชนิดที่สามที่หลวงพ่อบอกผมมาคือ “กรรมบันดาล” คือ ความฝันที่บอกเหตุการณ์ล่วงหน้าว่าผลกรรมของคนนั้นกำลังจะส่งผลออกมา บางครั้งฝันเห็นตรงๆ หรือบางครั้งฝันเห็นเป็นภาพเปรียบเทียบต้องมาตีความอีกชั้นหนึ่ง ฝันลักษณะนี้ช่วยเพิ่มขีดอัตราความกลัวของตัวผมให้เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ เพราะถ้าฝันของผมเป็นฝันลักษณะนี้นั่นหมายความว่าผลกรรมที่ผมเคยทำมากำลังจะส่งผลให้ผมต้องเสียชีวิตลงเป็นแน่ และฝันประเภทสุดท้าย “ธาตุกำเริบ” คือ ความฝันที่เกิดจากการบอกเหตุจากภายในร่างกาย ที่เกิดผิดปกติหรือมีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆขึ้นมา นี่เป็นฝันประเภทที่ผมอยากจะให้มันเป็นฝันของผมมากที่สุดเลยทีเดียว จากความฝันทั้ง 4 ประเภท มีความฝัน 2 ประเภทที่ผมเฝ้าภาวนาอยากจะให้มันตรงกับสิ่งที่ผมกำลังเผชิญ แต่ก็มีความฝันอีก 2 ประเภทที่ในใจลึกๆของผมแล้ว ผมคิดว่ามันคือสิ่งที่บันดาลให้ความฝันเลวร้ายของผมมันกำเนิดเกิดขึ้นมา

ในช่วงเย็น ผมนัดกับเพื่อนสนิทกลุ่มใหญ่เพื่อหาร้านอาหารรอร่อยๆรวมทั้งบรรยากาศดีๆเพื่อสร้างความสุขในมื้อเย็นของวันนี้ อีกทั้งยังจะเป็นการนัดพบปะกันตามประสาเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่ในวัยเด็ก แต่พวกคุณก็รู้ว่านั่นมันคือเหตุผลที่รองลงไป เจตนาที่แท้จริงที่ผมทำลงไปเพราะผมกลัวความมืด ผมไม่อยากต้องเผชิญกับความมืดเพียงคนเดียว อันที่จริงผมผ่านค่ำคืนอันแสนเลวร้ายมาแค่เพียงคืนเดียว แต่นั่นก็เพียงพอจะทำให้ดวงอาทิตย์กลายเป็นเพื่อนที่ผมสนิทใจมากที่สุดและไม่มีช่วงเวลาใดๆเลยที่ผมจะอยากให้ดวงอาทิตย์ลับตาไป เมื่อผมรู้ว่าไม่ว่าจะอย่างไรดวงจันทร์สีเหลืองนวลก็ต้องมาทวงช่วงเวลาของเธอเป็นแน่แท้ ผมจึงพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยงานเลี้ยงเล็กๆกับเพื่อนสนิทในช่วงเย็นย่ำจนกระทั่งค่ำคืน แต่ถึงอย่างไรงานเลี้ยงก็ย่อมต้องมีวันเลิกราและในขณะนี้ผมกำลังยืนอยู่ในช่วงเวลาปลายสุดของงานเลี้ยงและมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความน่าสะพรึงกลัวที่กำลังตามมา

ผมกำลังจะนอน ผมจัดท่าทางการนอนให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้มันเป็นสาเหตุของการฝันร้ายใดๆทั้งสิ้น ผมเว้นช่วงเวลาหลังจากอาหารเย็นสักพักก่อนที่ผมจะนอนนับเป็นเวลาได้ประมาณ 3 ชั่วโมง และทั้งสองอย่างนี้เป็นสองสิ่งเล็กน้อยที่ผมพยายามป้องกันไม่ให้มีความฝันใดเกิดขึ้นในขณะที่การพักผ่อนของผมกำลังดำเนินไป ปกติแล้วในช่วงชีวิตที่ผ่านมาตัวของผมเองนั้นเรียกได้ว่าเป็นคนช่างฝันคนหนึ่งและตัวผมเองก็มีความสุขอยู่เสมอที่จะฝันไปถึงชีวิตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า แต่มาวันนี้ผมกำลังกลัวความฝัน ผมพร้อมจะทำหมันความฝันในทุกวิธีเพื่อไม่ให้มันเล็ดรอดมาทำลายชีวิตของผมได้อีก และสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำก่อนที่ผมจะหลับตาลงก็คือการสวดมนต์ นี่คือการสวดมนต์ที่ผมตั้งความหวังไว้มากที่สุดในทุกๆการสวดมนต์ตลอดชีวิตของผม “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ" ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ผมนึกในใจและปล่อยสติล่องลอยไปพร้อมกับบทสวดและคำแปลที่เป็นความหวังสูงสุดของผมในคืนนี้ คืนนี้ไม่มีดาวเลยแม้สักดวงเดียว แต่ผมก็ยังพอจะมีโชคดีอยู่บ้างที่แสงของพระจันทร์ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างเคร่งครัด นั่นทำให้ผัสสะการมองเห็นของผมเตือนสติผมอีกครั้งว่าผมกำลังอยู่บนสะพานแห่งเดิม สะพานที่ผมมาเยือนเมื่อคืนที่ผ่านมา สะพานที่แยกกายและจิตของผมให้อยู่กันคนละร่าง และในขณะนี้ผมไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าจิตของผมกำลังอยู่ในร่างของใคร ผมสูดลมหายใจพร้อมก้มลงมองเพื่อตรวจสอบตัวเองอีกครั้งหนึ่งว่าในขณะนี้ผมกำลังอยู่ในร่างของตัวเองหรือไม่ รองเท้าแตะสวมสีดำคู่เก่าคร่ำครึคู่นี้คือคำตอบ คืนนี้เป็นอีกคืนที่ผมกำลังอยู่ในร่างของใครคนหนึ่ง ผมภาวนาถึงตัวเองอีกครั้งว่าถ้าเป็นไปได้คราวหน้าผมอยากจะมีกระจกส่องหน้าติดตัวเข้ามาในความฝันด้วย เพื่อที่ผมจะได้เห็นหน้าของร่างกายที่ผมมาอาศัยอยู่ในขณะนี้ แต่ในเมื่อความคิดของผมมันไม่อาจจะเป็นจริงได้ ผมจึงต้องอยู่กับร่างแปลกหน้าอย่างไม่รู้ตัวตนดังเช่นเดิม ผมสูดลมหายใจเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้เต็มปอดอีกครั้งหนึ่ง หวังเพียงว่าปริมาณออกซิเจนจะแปรผันตรงกับปริมาณความมั่นใจในหัวใจของผม ขนแขนของผมลุกชันขึ้นอีกครั้งเมื่อเสียงฝีเท้าของชายนิรนามดังขึ้นในทิศทางด้านหลังของผม จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมสังหรณ์ใจไว้ก่อนเลยว่าถ้าผมหันหน้าไปเผชิญกับอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังเดินอยู่บนสะพานแห่งเดียวกับผมนี้ ผมคงไม่แคล้วจะได้เห็นตัวของผมเองกำลังเดินอยู่ทางด้านหลังเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมจึงไม่คิดที่จะหันไปเผชิญกับมัน ผมไม่อยากจะจำภาพความน่าสะพรึงกลัวใดๆกลับไปหลอกหลอนผมตอนตื่นอีกแล้ว ผมกลั้นหายใจและพยายามเงี่ยหูฟังเสียงนั้นอย่างตั้งใจอีกครั้ง เสียงรองเท้าอันคุ้นเคยกำลังใกล้เข้ามาทุกทีๆ ใกล้จนขนบริเวณต้นคอด้านหลังของผมกำลังลุกชันขึ้นอย่างไม่อาจห้ามปราม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป ผมหวังให้มันเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว เพียงเพื่อที่ผมจะได้ผ่านพ้นมันไปอีกครั้ง และอีกครั้ง

ผมกำลังหายใจไม่ออก หลอดลมของผมถูกบีบด้วยมืออันทรงพลังคู่หนึ่งจากทางด้านหลังของผม ผมสัมผัสได้ถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างคนคุ้นเคย ผมพยายามต่อสู้แต่เจ้าของร่างที่ผมกำลังใช้ต่อสู้นั้นช่างไม่มีแรงเอาเสียเลย ผมแปลกใจที่การถูกบีบคอครั้งนี้ของผมผมมีความรู้สึกเจ็บขึ้นมา ซึ่งมันแตกต่างเป็นอย่างยิ่งกับในคืนแรกที่ผมเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายนี้เพราะในคืนนั้นผมไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด และด้วยความแตกต่างลักษณะนั้นมันทำให้ผมรู้สึกแย่ลงไปอีกที่ผมจะต้องมารับรู้ความเจ็บปวดในขณะที่ผมกำลังฝันอยู่ ลมหายใจสุดท้ายของผมกำลังจะผ่านไป ผมรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าผมกำลังจะตาย ผมรวบรวมเรี่ยวแรงเป็นครั้งสุดท้ายเพียงเพื่อหันหน้าไปเผชิญกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะปลิดลมหายใจผมทางด้านหลัง และภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นและคงจะจดจำไปอีกนาน ดวงตาแดงกล่ำคู่นั้นยังคงมองผมอย่างเครียดแค้น และท้ายที่สุดเจ้าของดวงตาอันน่าหวาดกลัวคู่นั้นยังคงเป็นตัวผมเอง และนี่คือคืนที่สองที่ผมต้องจบชีวิตลงอีกครั้งด้วยเงื้อมมือของตัวผมเอง ผมกลัวเหลือเกินว่าคงจะมีสักค่ำคืนหนึ่งที่ผมจะตายลงในความฝันและไม่สามารถฟื้นคืนชีวิตขึ้นในเช้าตรู่แห่งความจริงได้อีกครั้ง

วันเวลาผ่านไปร่วมหนึ่งเดือนนับตั้งแต่คืนแรกที่ผมได้ตายด้วยน้ำมือของตัวผมเอง จากคืนนั้นเป็นต้นมาไม่มีคืนไหนที่ผมจะรอดพ้นไปจากความฝันอันเลวร้ายนี้ไปได้ ผมตายในร่างของใครต่อใครมากหน้าหลายตาแต่ยังคงตายลงในที่แห่งเดิมและมีบุรุษเพียงแค่คนเดียวที่ยังคงยัดเยียดความตายให้กับผมในทุกค่ำคืน ซึ่งบุรุษคนนั้นก็ยังคงเป็นตัวผมเอง ผมปรึกษาทุกคนเท่าที่จะทำได้ถึงสาเหตุรวมทั้งวิธีแก้ไขในเหตุการณ์ที่ผมเผชิญ ผมผ่านการสนทนากับผู้เชี่ยวชาญทางด้านไสยศาสตร์อย่างนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังพานพบกับผู้ทรงศีลแทบจะทั่วทุกพรมแดนที่ผมสามารถจะเดินทางไปได้ แต่สิ่งต่างๆเหล่านั้นกลับไม่ช่วยผมเลยสักนิด บางคืนผมหาทางแก้ด้วยการนั่งถ่างตาอยู่ทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอนซึ่งนั่นก็ทำให้ความฝันไม่สามารถจะทำอะไรผมได้แต่เมื่อสติของผมหลุดหายเพียงชั่ววูบ ความอ่อนเพลียของร่างกายกลับทำให้ผมต้องอยู่ในความฝันเป็นเวลานานกว่าการหลับในแบบปกติเสียอีก แต่แล้วไม่รู้ภูตผีปีศาจตนใดมาดลใจ ในที่สุดผมก็ค้นพบวิธีที่ดีที่สุดที่จะรอดพ้นไปจากฝันร้ายนี้อย่างชั่วนิรันดร์ ผมจะไม่หลับ ไม่ฝัน ไม่พบจิตของตัวผมเองไปฝังตัวอยู่ในร่างกายของใครและผมจะลืมดวงตาแดงกล่ำคู่นั้นไปตลอดกาลอย่างไม่มีวันนึกถึงมันอีก ผมพยายามทำมันให้เป็นไปอย่างเรียบง่ายที่สุด โดยผมยังคงเลือกที่จะตายด้วยน้ำมือของตัวผมเองอีกครั้งต่างกันแต่ว่าครั้งนี้ผมเป็นผู้ที่เลือกจะกำหนดชะตากรรมของผมเอง แทนที่จะเป็นผู้ถูกเลือกเหมือนทุกคืน และเมื่อผมเลือกแล้วผมหวังว่าจะไม่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับเช้าตรู่แห่งความจริงอีกต่อไป ผมแสยะยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจแก้ไขทุกอย่างด้วยวิธีนี้ “ลาก่อนความฝัน และลาก่อนโลกแห่งความจริง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น