วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 23.ลูกจุดโทษ



คุณกล้ายิงจุดโทษในนาทีสุดท้ายหรือเปล่า?

ผมตัดสินใจที่จะเลือกฟุตบอลเป็นอาชีพตั้งแต่ยังไม่ได้ทำบัตรประชาชน พ่อผมซึ่งเปรียบได้กับโค้ชคนแรกในชีวิตของผมบอกผมเสมอว่า ขาคู่นี้ของผมสามารถที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตผม จากเด็กธรรมดาคนนึงให้กลายเป็นดาวรุ่งที่คนทั้งโลกจับตามองได้ และตลอดมาผมเลือกที่จะเชื่อเช่นนั้น

ตั้งแต่ฟุตบอลนักเรียนไล่เรียงขึ้นมาจนเป็นระดับเยาวชนทีมชาติ เมื่อใดก็ตามที่ทีมได้จุดโทษ ผมเสนอตัวรับผิดชอบหน้าที่นี้เสมอและมันทำให้ผมรู้เป็นอย่างดีว่า มีคนมากมายที่ไม่กล้าแม้กระทั่งจะรับหน้าที่นี้แต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะเหยียบคุณให้จมดินหากคุณทำหน้าที่ผิดพลาด และคนพวกนี้ก็เป็นคนจำพวกเดียวกันกับพวกที่คอยหลบอยู่หลังคุณในเวลาที่คุณยิงจุดโทษและแสร้งดีใจเมื่อคุณทำหน้าที่ไม่พลาดทั้งที่ในจิตใจของเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาในความสำเร็จของคุณ ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเพราะผมรู้ว่ามีคนเหล่านี้อยู่ในทุกวงการ แน่นอนว่าในวงการของพวกคุณก็มี ผมยืนยัน แต่ถ้าผมไม่บอกคุณว่าเพื่อนร่วมทีมที่ดีก็มีเช่นกัน คุณคงคิดว่าผมขี้ระแวงจนเกินไป เอาเป็นว่าผมบอกคุณอีกครั้งละกันว่าเพื่อนร่วมทีมที่ดีก็มีอยู่จริงเช่นกันและแน่นอนในวงการของคุณก็คงมี

แน่นอนว่าเมื่อผมรับผิดชอบลูกจุดโทษมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการมันทำให้หน้าที่นี้ติดตัวผมมาจนกระทั่งผมก้าวเข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพในฐานะดาวรุ่งที่มาแรงที่สุดในขวบปีนั้น ในระดับสโมสรแน่นอนว่าแต่ละสโมสรย่อมมีเจ้าของสัมปทานเดิมรับหน้าที่ตรงนี้อยู่ และเมื่อผมก้าวเข้าไปในฐานะน้องใหม่ ผมเคารพในฝีเท้าของรุ่นพี่และไม่เข้าไปก้าวก่ายหน้าที่ของเขา แต่เมื่อโค้ชได้เห็นฝีเท้าของผมจนกระทั่งรู้แน่ชัดว่าผมน่าจะรับหน้าที่นี้ได้ดีกว่า เขาก็พร้อมที่จะยึดคืนมันมาจากนักเตะรุ่นพี่เพื่อมามอบให้กับผม และแน่นอนผมไม่เคยปฏิเสธ

การที่ผมถูกปลูกฝังให้เชื่อมั่นในตัวเองและกล้าที่จะรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองไม่ว่ามันจะยิ่งใหญ่แค่ไหน บางครั้งมันก็ทำให้ผมถูกมองด้วยสายตาที่ไม่หวังดีในหลายรูปแบบ แต่ผมก็เชื่อคำสอนของพ่อเสมอว่าชีวิตของเรา เราลิขิตได้เองและการยิงจุดโทษให้ทีมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมเลือกที่จะลิขิตอนาคตให้กับตัวผมเองและทีม

วันเวลาผ่านไปพร้อมกับประสบการณ์ที่เพิ่มพูนเข้ามา ผมประสบความสำเร็จในอาชีพอีกครั้งด้วยการถูกเรียกตัวเข้าสู่ทีมชาติเป็นครั้งแรกในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก และผมคือนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ถูกเลือกในการแข่งขันในครั้งนี้

การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกครั้งนี้ เราทำหน้าที่ได้ดีจนกระทั่งเข้าใกล้ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากที่สุดตั้งแต่ที่ประเทศเราเล่นฟุตบอลกันมา และด่านสุดท้ายที่เราจะต้องผ่านไปให้ได้ก็คือ ทีมชาติญี่ปุ่น มหาอำนาจฟุตบอลเอเชียในโลกยุคปัจจุบัน
ซึ่งจะเป็นฝ่ายมาเยือนเราที่กรุงเทพมหานคร ผมรู้ข่าวดีตั้งแต่ตอนซ้อมว่าผมจะได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงในนัดประวัติศาสตร์นี้ ความเครียดและความกดดันถาโถมจนทำให้ผมไม่สามารถข่มตานอนลงได้โดยง่าย โดยเฉพาะในคืนนี้ซึ่งเป็นคืนก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มในวันรุ่งขึ้น

คนดูร่วมเจ็ดหมื่นยัดทะนานเข้ามาเต็มความจุของสนามกีฬาแห่งชาติ อีกทั้งยังมีฝูงชนที่ซื้อตั๋วไม่ทันซึ่งรวมตัวกันดูจอใหญ่อยู่ที่หน้าสนาม และแน่นอน ฟรีทีวีทุกช่องทำหน้าที่ถ่ายทอดสดการแข่งขันนัดนี้สู่สายตาผู้ชมทั้งประเทศ เราจำเป็นที่จะต้องชนะเท่านั้น จึงจะได้ไปเล่นฟุตบอลโลก ในขณะที่ญี่ปุ่นขอเพียงแค่ผลเสมอก็เพียงพอ นั่นทำให้เราไม่ต้องคิดอะไรนอกเหนือไปจากบุก บุก บุก และบุก

จนแล้วจนรอดประตูขึ้นนำของเราก็ไม่เกิดขึ้น แต่แล้วพระเจ้าก็เข้าข้างประเทศของผมทั้งๆที่ท่านไม่เคยเข้าข้างประเทศของผมเลยตั้งแต่เราเริ่มเตะฟุตบอลกันมา

ญี่ปุ่นทำฟาล์วเราในกรอบเขตโทษทำให้ทีมเราได้จุดโทษในนาทีสุดท้ายของเกมส์และถ้าเราเปลี่ยนโอกาสสำคัญนี้ให้เป็นประตูได้ ฟุตบอลโลกครั้งแรกจะมาเยือนพวกเราทันทีโดยไม่ต้องสงสัย ในสนามตอนนี้เสียงดังอื้ออึงไปหมด สายตาทุกคู่ทั้งในและนอกสนามจับตาดูว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระอันใหญ่หลวงครั้งนี้ แน่นอนว่าถึงแม้ผมจะยังเด็กและใหม่ต่อทีมชาติ แต่ผมก็พร้อมจะรับหน้าที่โดยไม่มีอิดออด

ความผิดพลาดเพียงอย่างเดียวของโค้ช คือเขาไม่ได้มอบอำนาจลงมาว่า ใครจะเป็นคนรับผิดชอบหน้าที่นี้ ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ผู้เล่นบางคนก้มหน้าไม่สบตาใครราวกับว่ากลัวที่จะต้องรับผิดชอบความหวังของคนทั้งชาติ บางคนหัวเราะราวกับว่าตัวเองมีหน้าที่แค่รอใครซักคนเข้ามาจัดการภาระตรงนี้ และหลังจากนั้นเขาจะซ้ำเติมหรือเสแสร้งใดๆ ก็สุดแล้วแต่ บางคนก็ดูสบายๆเพราะรู้ตัวดีว่าเขาไม่มีความสามารถพอสำหรับหน้าที่ตรงนี้และไม่เคยพยายามที่จะมีมัน

โค้ชชี้มาที่ผม ผมเป่าปากโดยไม่รู้ว่าโล่งใจหรือหนักใจกันแน่ที่มันเป็นผม ผมมองไปที่ผู้เล่นอาวุโส หลายคนดูไม่พอใจที่ทำไมไม่เป็นเขา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เห็นพวกเขาเสนอตัว บางคนส่งสายตาเป็นกำลังใจให้ผมอย่างผู้ใหญ่ที่เข้าใจโลก ซึ่งผมก็ส่งสายตาแห่งไมตรีตอบกลับไป

ผมถือบอลไปวางที่จุดโทษ ขณะนี้ทั้งสนามเงียบกริบราวกับป่าช้า กองเชียร์ทุกคนกลั้นหายใจเพื่อรอลุ้นจุดโทษที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของประเทศ ถ้าผมยิงเข้า ทุกคนคงร่วมยินดีกับผม หนังสือพิมพ์คงพาดหัวว่า ผมเป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติ กลับกันถ้าผมพลาดปฏิกิริยาจากเพื่อนร่วมทีมคงมีหลายแบบ แต่จากมุมมองของคนภายนอกผมคงเป็นแค่เด็กอวดเก่งคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้คุณค่าของจุดโทษประวัติศาสตร์ครั้งนี้ แต่ดันเสนอหน้ามารับผิดชอบและหนังสือพิมพ์ก็คงพาดหัวข่าวไม่ต่างไปจากนี้

ผมรู้ดีถึงความสามารถของผมเองและไม่เคยขอรับผิดชอบอะไรที่มากมายไปกว่านั้น ผมไม่เคยไปจับโจร ไม่เคยไปผ่าตัด ไม่เคยทำอะไรมากกว่าในสิ่งที่ผมถนัด และผมมั่นใจว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่ใหญ่เกินกว่าที่ผมจะรับผิดชอบ

ผมยิงข้ามคาน ผมตั้งใจมากเกินไปจนไม่สามารถที่จะยิงให้เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมาได้ แต่ผมก็ยังยืนยันว่าผมทำดีที่สุดแล้ว

"เด็กโง่คนนึงทำให้ไทยอดไปบอลโลก" "หยิ่งยโสจนพลาดโอกาสสำคัญ" "ขี้เก็กจนทำทีมพัง" หนังสือพิมพ์ทุกเล่มในประเทศพาดหัวไม่ต่างไปจากนี้มากนักและมันเป็นไปตามที่ผมคาด เพื่อนร่วมทีมต่างพูดกันว่าทำไมไม่ให้เขายิง ทุกคนพูดเช่นนั้น แม้กระทั่งคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาโค้ชในช่วงเวลาสำคัญนั้น

คนทั้งประเทศโกรธและเกลียดจนถึงขั้นจะเนรเทศให้ผมไปเล่นฟุตบอลที่ประเทศอื่น เหตุผลที่เราไม่ได้ไปฟุตบอลโลก ทุกคนคิดว่าเป็นเพราะผม

ไม่มีแม้ซักวินาทีที่ผมจะคิดว่า ถ้าผมยิงเข้ามันจะเป็นเช่นไร คนทั้งประเทศคงจะแซ่ซ้องสรรเสริญผม ยกย่องผมราวกับพระราชา แต่พูดก็พูดเถอะ มันคงไม่มีวันนั้น

ผมใช้เวลาทำใจอยู่นานเช่นกัน โชคดีที่ผมมีครอบครัวเป็นกำลังใจและเข้าใจในตัวผมอยู่เสมอ นั่นทำให้ความผิดหวังของคนทั้งชาติก็ไม่สามารถที่จะทำให้ผมรู้สึกแย่ไปกว่านี้ได้

วันเวลาผ่านมาจนกระทั้งร่างกายผมไม่สามารถเล่นฟุตบอลต่อไปได้ ผมแก่เกินกว่าที่จะยืนหยัดในสนามได้ถึง 90 นาที และหลังจากผมแขวนสตั๊ด คำถามที่ผมพบบ่อยที่สุดคงหนีไม่พ้นคำถามจำพวก ถ้าย้อนเวลาได้ผมอยากจะย้อนไปแก้ไขจุดโทษลูกนั้นหรือไม่ ผมตอบไปว่า ถ้ากลับไปได้จริงๆ ผมก็จะกลับไปยิงอีกครั้ง และยืนยันที่จะไม่ให้คนอื่นยิง แต่ถึงแม้ วันเวลาจะย้อนกลับไปไม่ได้ ผมก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียใจ

พ่อผมสอนเสมอว่า ให้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดในทุกๆครั้ง และไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร จงเชิดหน้ายอมรับมัน

ผมบอกคุณไปแล้วว่า ผมไม่มีอะไรต้องเสียใจเพราะจุดโทษลูกนั้น ผมยิงดีที่สุดแล้วถึงแม้มันจะไม่เข้าก็ตาม แล้วคุณล่ะ ลูกจุดโทษนาทีสุดท้ายซึ่งทีมได้มันมาพร้อมๆกับที่จะต้องแบกความหวังของคนทั้งประเทศ ถ้าคุณเป็นผู้เล่นคนหนึ่งในสนามคุณกล้าที่จะยืดอกรับผิดชอบจุดโทษลูกนี้หรือไม่ หรือคุณเลือกจะเป็นผู้เล่นธรรมดาที่หลบอยู่หลังผู้เล่นคนอื่นและไม่พยายามสบตาใครๆไปชั่วชีวิต

2 ความคิดเห็น:

  1. -ถ้ามีโอกาสและมั่นใจว่าทำได้(มั่นใจนะ ไม่ใช่หลงตัวเอง)ก็จงทำเสียเถิด

    -ทำให้เต็มที่แต่อย่าตั้งความหวัง เวลาตกลงมาจะได้ไม่เจ็บและไม่นึกเสียใจเพราะได้ทำดีที่สุดแล้ว

    ตอบลบ
  2. ไม่คิดว่าพิมพ์ชื่อแล้วมันจะขึ้นให้เป็น "Aom กล่าวว่า..." เท่ห์เลย

    ตอนแรกคิดว่าพี่เอกจะใช้ประเทศสมมุติซะอีก อ่านมาเจอกรุงเทพแล้วรู้สึกว่ามันห่างไกลความจริงยังไงไม่รู้

    ตอบลบ