วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

รวมเล่ม 17.4 เกาะสมุย น้ำใส ไอทะเล (19/3/2010)






19/3/2010


8.30 น.

การกลับคืนสู่ความมีสติในเช้าของวันใหม่ที่พวกคุณใฝ่ฝันถึงคืออะไร ผมเฝ้าใฝ่ฝันถึงการสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยการปลุกของระลอกคลื่นริมทะเลที่โหมกระหน่ำเข้ากระแทกชายหาดอย่างบ้าคลั่ง แล้วเช้าวันนี้ผมก็ได้สัมผัส ผมไม่รู้ว่าความสุขของพวกคุณคืออะไรและคุณมีวิธีหามันได้จากที่ไหน แต่ผมโชคดีที่ผมรู้และมักจะทำมันอยู่เสมอทุกช่วงเวลาที่โอกาสเดินทางมา มีคนมากมายเฝ้าไถ่ถามเมื่อรู้ว่าผมและเพื่อนร่วมทางกำลังจะไปทะเล ไปทำอะไรเหรอ ทะเลที่นั่นมีอะไร เล่นน้ำ ดำน้ำ เล่นกีฬาทางน้ำ หรือว่าอะไร ผมไม่รู้และไม่อยากรู้ว่าคำตอบของคนอื่นคืออะไร แต่สำหรับผม หน้าที่ของผมคือพาตัวเองไปให้ถึงอ้อมกอดของทะเลโดยไม่ต้องคิดว่าจะทำอะไร ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทะเลว่าจะให้ความสุขกับผมแบบไหน จำคำพูดผมไว้ เมื่อไรที่ทุกข์ พาตัวเองไปให้ถึงทะเลแล้วที่เหลือปล่อยให้ทะเลจัดการไป ไม่ต้องกังวล
คนใกล้ตัวเดินเข้ามาเตือนผมถึงข้อเขียนที่ผมสัญญาไว้ว่าจะจัดการให้ในเช้าวันนี้ น้ำใจที่ผมต้องการคืนกลับไปให้ “พี่” จำเป็นที่จะต้องถูกบรรจุพร้อมกับจดหมายฉบับที่ผมกำลังจะเขียนขึ้นเพื่อเป็นเสมือนเครื่องรางของขลังกันไม่ให้พี่ผลักน้ำใจกลับมาโดยไม่ยินยอมที่จะรับมัน เสียงและกลิ่นของทะเลตรงหน้าเป็นดังแรงที่มองไม่เห็นที่ช่วยผลักดันให้ปากกาของผมร่ายตัวหนังสือได้เร็วกว่ายามที่วางนิ้วบนแป้นพิมพ์ท่ามกลางป่าคอนกรีตยิ่งนัก และเมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ ผมปล่อยหน้าที่ให้กับคนใกล้ตัวในการลอกตัวหนังสือลงบนกระดาษอีกครั้งด้วยลายมือที่อ่านง่าย(กว่าลายมือไก่เขี่ยของผม) แต่เมื่อกระเพาะของเราทั้งสองส่งเสียงเรียกร้องขอทำหน้าที่ย่อยอาหารในช่วงเช้า เราจึงต้องจำยอมแต่โดยดี และการเขียนจดหมายด้วยตัวบรรจงจึงย้ายสถานที่ไปเกิดขึ้นที่ร้านอาหารของรีสอร์ทซึ่งแน่นอนว่ายังคงโอบล้อมไปด้วยอ้อมกอดของทะเลเช่นเดิม

10.15 น.

ข้าวต้มปลาหมึก ไส้กรอก แฮม เบคอน ขนมปัง ไข่คน ไข่ดาว ไข่ม้วน ถูกส่งผ่านเข้าสู่ร่างกายของเราสองคนในระหว่างบรรจงเขียนจดหมายตัวจริงขึ้นด้วยลายมือที่พี่น่าจะอ่านรู้เรื่อง ในระหว่างที่เราละเลียดอาหารอย่างสำราญปลายลิ้นอยู่นั้น เราไม่ลืมที่จะละเลียดบรรยากาศของทะเลรอบกายอย่างไม่เคยจะรู้สึกเบื่อเพราะเรารู้อยู่เสมอว่าเมื่อพรุ่งนี้เดินทางมาถึง การเดินทางโดยหันหลังให้กับทะเลก็จะเริ่มขึ้น และเมื่อการเดินทางสิ้นสุดลง การโอบล้อมของตึกสูงระฟ้าก็คงจะทำหน้าที่ของมันเช่นเคยเหมือนเช่นทุกวันก่อนหน้าที่ผมจะมาถึงเกาะสมุยแห่งนี้
ข้อความด้านล่างคือส่วนหนึ่งของข้อความในจดหมายที่ถูกส่งมอบถึงพี่ และความรู้สึกที่คุณได้รับเมื่ออ่านข้อความจบก็อาจจะเป็นความรู้สึกของ “พี่” เช่นเดียวกัน

พี่รู้หรือเปล่าว่าคนเราทุกคนเติบโตขึ้นได้อย่างไร ด้วยเวลาที่ผ่านไปในทุกวินาทีไม่ได้ทำให้เราโตขึ้น เราแค่แก่ลงต่างหาก ด้วยอาหารทุกมื้อที่เรากินเข้าไปมันก็ไม่ได้ทำให้เราโตขึ้น เราแค่ตัวใหญ่ขึ้นต่างหาก แล้วอะไรกันแน่นะที่ทำให้เราโตขึ้น สำหรับเราสองคน เรื่องราวทุกๆเรื่องราวที่เราก้าวผ่านในทุกวินาทีต่างหากที่ทำให้เราสองคนเติบโตขึ้น เราสองคนตระเวนท่องเที่ยวมาทุกภาคของประเทศ มุ่งมั่นเดินทางแสวงหาความหมายของชีวิตและประสบการณ์ร้อยพันที่จะทำให้เราเติบโตอย่างเข้มแข็ง และทุกที่ที่เราไปเยือนเรามักจะได้สิ่งนั้นไม่เว้นแม้กระทั่งการมาเยือนเกาะที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าวแห่งนี้ พี่รู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตัวมนุษย์คืออะไร สิ่งที่พวกเราทุกคนหวงแหนที่สุดคืออะไร สำหรับเราสองคนคำตอบคือหัวใจ แต่ก็แปลกที่ถึงแม้ของสิ่งนี้จะสำคัญที่สุดจนบางคนไม่กล้าแม้แต่จะ "เปิดใจ" แต่เราสองคนกลับพร้อมที่จะ "ให้ใจ" ไปกับทุกคนที่เราคิดว่าเค้า "จริงใจ" แน่นอนบางคนอาจจะดูแลเราสองคนไม่ดีทำให้เราสองคนต้อง "เจ็บใจ" แต่เราสองคนก็ไม่เคยระวังไปมากกว่าเดิมเพราะเรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนที่ให้ใจใครง่ายๆ เราเลือกแล้วที่จะ "วางใจ" กับคนที่เรามองแล้วว่า "ไว้ใจ" ได้เท่านั้น แต่ก็อย่างที่พี่รู้ มนุษย์กับทะเล ชาวเลอย่างพี่คงรู้ดีอยู่แล้วว่าเรา "เชื่อใจ" อะไรได้มากกว่า พี่รู้หรือเปล่าว่าเราสองคนไว้ใจพี่ตั้งแต่ที่เราคุยกันก่อนที่เราจะมาถึงเกาะแห่งนี้แล้ว เราไว้ใจพี่ผ่านเทคโนโลยีโดยไม่เคยเห็นหน้ากันสักนิด และเมื่อวินาทีแห่งการพานพบมาถึง เราสองคนรู้ตัวทันทีว่าเราไม่ได้ไว้ใจคนผิดแต่อย่างใด ทุกสิ่งที่พี่และครอบครัวแสดงออกต่อเราสองคนเราสัมผัสได้เสมอว่ามีความจริงใจฉาบมาด้วยตลอดเวลา กับข้าวของแม่ทุกอย่างเราสัมผัสได้ด้วยปลายลิ้นแต่รับรู้ได้ด้วยใจว่าแม่ทำทุกจานอย่างใส่ใจ วินาทีที่พี่พูดว่าให้เป็นกันเอง ใช้ชีวิตให้เหมือนบ้าน เหมือนพี่เหมือนน้อง เราสองคนตัดสินใจทันทีที่จะเชื่อ แต่ด้วยการที่เรายังคงต้องกินข้าวสองคนและไม่ได้ช่วยเก็บจาน เราสองคนจึงยังคงรู้สึกว่าพี่ไม่ได้ให้ใจเรามากกว่าลูกค้าทั่วไปในขณะที่เราสองคนให้ไปมากกว่านั้น และแล้วเราสามคนก็มีโอกาสได้กินข้าวร่วมกัน พี่รู้หรือเปล่าว่าคนเราไม่ได้เติบโตขึ้นเพียงเพราะประสบการณ์ดีๆเท่านั้น ประสบการณ์ร้ายๆกลับยิ่งทำให้เราโตเร็วกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด เหตุการณ์ทุกอย่างสร้างความผิดหวังให้กับเราทุกคนว่าสุดท้ายแล้วมนุษย์ยังคงน่ากลัวกว่าทะเล สึนามิยังมีลางบอกเหตุแต่มนุษย์ใจทรามไม่เคยเตือนเราเช่นนั้นเลย แต่หลังจากสึนามิผ่านไป นักท่องเที่ยวยังคงกลับมาหาทะเลเช่นเดิม มันเพราะอะไรกันนะ ทำไมพวกเราทุกคนจึงเลือกจดจำแต่สิ่งที่สวยงาม พี่คิดว่าเพราะอะไรกันนะ เราสองคนเองก็เลือกจดจำแต่สิ่งที่สวยงาม พี่รู้ไหมว่าทำไม ชีวิตคนมันสั้นเหลือเกินพี่เอ๋ย ถ้าเราต้องตกอยู่ในวังวนของความไม่เชื่อใจสิ่งต่างๆรอบกาย เราคงไม่สามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแน่นอน แล้วพี่ล่ะเลือกมองที่ส่วนไหน เมื่อพี่อ่านจบพี่คงรู้แล้ว่วาจะวางเราสองคนไว้ตรงไหน ลูกค้าหรือว่าพี่น้อง แต่สำหรับเราสองคน เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่และครอบครัวอยู่ตรงไหน สำหรับเราสองคนถ้าลองเรียกใครว่าพี่ ว่าพ่อ หรือว่าแม่แล้ว ความหมายไม่เคยผิดเพี้ยน เรียกอย่างไรเราสองคนรักอย่างนั้น และด้วยความที่เราเป็นอย่างนั้น เราไม่เคยสบายใจที่พี่ต้องชดใช้กับสิ่งที่พี่ไม่ได้เป็นคนทำ เราสองคนไม่มีอะไรจะมอบให้ แต่ขอส่งน้ำใจดีๆที่พี่มอบให้ ส่งกลับคืนมาภายในจดหมายนี้ เราขอร้องให้พี่รับน้ำใจของเรากลับไปโดยไม่อิดออดแม้เพียงนิด เพราะนี่เป็นสิ่งง่ายๆเพียงสิ่งเดียวที่มนุษย์ยังคงให้กันได้บนโลกที่สวยงามใบนี้ สุดท้ายอยากให้พี่และครอบครัวรู้ไว้เสมอว่า อย่าสิ้นหวังในความดีของมนุษย์ ไม่ว่าเหตุการณ์ร้ายๆจะผ่านเข้ามามากเท่าไรก็ตามเพราะวันหนึ่งมันก็จะต้องผ่านไป เหลือทิ้งไว้เพียงประสบการณ์ที่ทำให้พวกเราทุกคนเติบโต ขอเพียงพี่เชื่อในความสวยงามของทะเลมากกว่าที่จะจำติดตากับภาพสึนามิ ทะเลจะยังคงสวยงามเฉกเช่นนี้ต่อไป มนุษย์เองก็คงเช่นกัน พี่ว่าอย่างนั้นไหม** ถ้ามีใครถามเราสองคนว่า ไปสมุยมาเป็นอย่างไรบ้าง เราคงจะบอกแต่เพียงว่า "ไอทะเล" ที่นั่นมัน "ชื่นใจ" มากจริงๆ

12.30 น.

ผมยืม DVD หนังมาจากพนักงานรับรองหนึ่งเรื่อง และขณะนี้มันกำลังฉายตัวมันเองผ่านการรับชมของผมอยู่และอย่างที่ผมพยายามพร่ำบอก ข้างๆผมยังคงเป็นทะเล ใครหลายคนถามผมว่าอุตส่าห์มาเที่ยว ทำไมยังมาหมกตัวดูหนังอยู่ในห้องพัก ผมดูหนังแล้วมีความสุข ผมอยู่ในห้องพักแล้วมีความสุข ผมนอนฟังเสียงทะเลแล้วมีความสุข อะไรคือเหตุผลของการอยู่ข้างนอก ไร้สาระสิ้นดี
Life is beautiful คือชื่อหนังที่ผมกำลังชมอยู่ขณะนี้ บางคนอาจจะแปลความหมายของชื่อหนังว่า ชีวิตเป็นสิ่งสวยงาม แต่เมื่อผมสัมผัสเนื้อหาของหนังไปได้สักระยะ ผมรู้แล้วว่าคำแปลนี้คงไม่ตรงเสียทีเดียว ชีวิตไม่ได้สวยงามแต่การมีชีวิตอยู่ต่างหากที่สวยงาม หนังแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เพื่อนมนุษย์จะทำต่อกันได้ แต่ตัวเอกของเรื่องก็ยังคงแสดงให้เราเห็นเช่นกันว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องที่สวยงามเสมอ หรือพวกคุณคิดว่าอย่างไร
นอกจากความหมายและแง่คิดที่ผมจดจำมาจาก Life is beautiful แล้ว มีอีกสองอย่างที่ผมจดจำมาด้วย นั่นคือปัญหาเชาว์ที่ตัวเอกในเรื่องถาม – ตอบกัน อะไรเอ่ยแค่เอ่ยชื่อมันก็จะไม่อยู่ที่นั่นแล้ว และ อะไรเอ่ยยิ่งมีเยอะ ยิ่งมองไม่เห็น ผมชอบปัญหาทั้งสองข้อนี้มากนะ ผมไม่รู้ว่ามันมีปรัชญาอะไรแฝงอยู่หรือเปล่า หรือเพียงแค่ถามกันเล่นๆ แต่เมื่อมันทำให้ผมมีความสุข ผมก็ลืมทุกอย่าง

15.00 น.

ผมเดินทางออกจากที่พักเพื่อนำจดหมายที่เพียบไปด้วยน้ำใจไปให้กับ “พี่” ที่บ้าน แต่เมื่อไปถึงเรากลับพบแต่แม่กับพ่อโดยไม่พบพี่แต่อย่างใด เราฝากจดหมายไว้กับพ่อและแม่ และเอ่ยปากชวนพ่อกับแม่ไปกินข้าวเย็นกับเราที่ร้านอาหารบริเวณหาดละไมซึ่งพ่อกับแม่เองน่าจะไม่ได้ไปมาเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน และด้วยธุระของพี่ที่มีในช่วงเย็นพอดีนั่นทำให้แม่จึงเป็นเพียงแขกคนเดียวของเราในมื้อเย็นมื้อสุดท้ายของเราบนเกาะกลางทะเลแห่งนี้

17.30 น.

เราใช้เวลาเดินหาของที่ระลึกบริเวณหน้าทอนเป็นเวลาร่วมสองชั่วโมงแต่ก็ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมา แต่การชมเมืองด้วยเท้าเสียบ้างก็ดูจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศได้ดีอยู่ทีเดียว ก่อนที่จะไปรับแม่เพื่อที่จะไปสร้างมื้อเย็นเชื่อมความสัมพันธ์กันนั้น พระอาทิตย์ที่หน้าทอนก็มีโอกาสอวดโฉมให้พวกเราได้เห็นและเป็นการอวดโฉมที่เรียกได้ว่าติดตราตรึงใจครั้งหนึ่งทีเดียวสำหรับพระอาทิตย์ดวงเดิมที่ตกลงบนทะเลแห่งเดิมเพียงแต่เรากำลังยืนจดจ้องอยู่ในมุมที่แตกต่างจากวันอื่นๆที่ผ่านมา
ในทุกครั้งที่เราเข้าใกล้ธรรมชาติ แค่เพียงสิ่งเล็กๆง่ายๆเช่นพระอาทิตย์ตกดินในยามเย็น พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าหรือว่าหมู่ดาวในยามค่ำคืนเองก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความสุขให้กับเราอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลงทุนแต่อาจจะต้องลงแรงบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวย แต่เมื่อเราอยู่ในเมืองกรุง ทำไมเราไม่เคยตักตวงความสุขจากสิ่งเหล่านี้ได้เลยนะ พระอาทิตย์ขึ้นนั้นมีความหมายแค่เพียงช่วงเวลาที่เราจะต้องเดินทางไปต่อสู้กับงานกำลังจะเริ่มขึ้น และเช่นเดียวกันพระอาทิตย์ตกดินก็เป็นสัญลักษณ์ของการนั่งหลังขดอยู่กลางถนนเพื่อเดินทางรอนแรมกลับที่พักในยามเลิกงานนั่นเอง แล้วหมู่ดาวบนท้องฟ้าล่ะ ขอเอาเวลาไปนอนเพื่อที่จะตื่นมาสู้กับงานในเช้าวันรุ่งขึ้นดีกว่า อย่าว่ากันเลยนะ

18.00 น.

มีผู้คนมากมายที่บอกว่าชอบบรรยากาศในการร่ำสุรามากกว่าที่จะชอบรสชาติในตัวของสุราเอง ผมอยากจะให้ความเห็นคล้ายๆกันนี้เช่นกันในการร่วมวงอาหารกันระหว่างพวกเรากับแม่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่สั่งสมมาในรูปของประสบการณ์ถูกถ่ายทอดผ่านมาถึงพวกเราอย่างเป็นกันเองในลักษณะของแม่สอนลูกที่พวกเราคุ้นเคยกันดี มนุษย์เรามีวิธีที่จะเรียนรู้เรื่องราวต่างๆได้อยู่สองทาง หนึ่งคือประสบพบด้วยตัวเองและสองคือใช้ประสบการณ์สำเร็จรูปจากคนอื่นๆที่เค้าเหล่านั้นเคยประสบพบมา บ่อยครั้งผมพาตัวเองเข้าไปสู่วิธีหลังและครั้งนี้ก็เช่นกัน หน้ากระดาษนี้คงไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าอะไรบ้างคือสิ่งที่ผมได้มาจากอาหารเย็นมื้อสุดท้ายบนเกาะสมุยแห่งนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกพวกคุณก็คือ ประสบการณ์ของคนในวัยชรานั้นมีค่าต่อชีวิตที่กำลังก้าวเดินของพวกคุณมากกว่าที่พวกคุณคิดมากมายทีเดียว

21:00 น.

ผมเคารพมนุษย์ผู้ออกแบบอ่างจากุซซี่มากมายทีเดียว สิ่งประดิษฐ์หรูหราที่เป็นตัวแทนของความผ่อนคลายมักจะถูกผมใช้ประโยชน์เสมอในเวลาที่ไปพักผ่อนในห้องพักที่มีราคาแพงพอที่จะมีมันติดตั้งอยู่ ผมบรรจงใช้เวลาในค่ำคืนสุดท้ายของเกาะสมุยอย่างมีค่ามากที่สุด สายน้ำในจากุซซี่ไหลวนเอื่อยเลาะรอบขอบตัวของผมไปราวกับตั้งใจจะล้อเลียน ผมปล่อยตัวปล่อยใจให้สายน้ำเล้าโลมราวกับไม่ยี่หระต่อความหนาวเย็นใดๆ ระหว่างที่ปล่อยกายให้ถูกสัมผัสด้วยสายน้ำในจากุซซี่นั้น เหล่าคณะดวงดาวนอกบานหน้าต่างยังคงรวมตัวมาพบผมกันพร้อมหน้าดังต้องการจะร่ำลากับผมอย่างอาลัยอาวรณ์ ท้องฟ้าในยามค่ำคืนของเกาะแห่งนี้ช่างสวยเหลือเกิน สวยราวกับเป็นท้องฟ้าคนละผืนกับที่ผมเคยเห็นในเมืองหลวงที่ห่างไกล ดาวแต่ละดวงแข่งขันกันเปล่งแสงระยิบระยับแวววาวดังอัญมณีที่ฝังตัวอยู่บนผืนฟ้า ผมปิดไฟทั้งหมดในบริเวณใกล้เคียงและปล่อยให้แสงเทียนเพียงหนึ่งเล่มส่องแสงสว่างต่อสู้กับดาวทุกดวงบนท้องฟ้า บรรยากาศที่ทุกคนถวิลหาเกิดขึ้นกับผมอยู่ในขณะนี้ ผมพยายามเตือนตัวเองอีกครั้งว่าขณะนี้หมู่ดาวทั่วทั้งเกาะสมุยกำลังทอดอาลัยให้กับผม และเมื่อผมหลับตา เสียงคลื่นกระทบฝั่งยามค่ำคืนยังคงทักทายผมในแบบทุกค่ำคืนที่ผ่านมา แต่สำหรับผมคืนนี้ไม่เหมือนคืนไหน เพราะว่าจากวันนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไรผมจะมีคืนต่อไปบนเกาะสมุย เมื่อคนเรารู้ว่าอาจจะไม่มีวันต่อไป เราควรจะใช้ชีวิตในวันนี้อย่างไร ผมไม่รู้คำตอบของคนอื่นและไม่อยากรู้ วินาทีนี้ผมใช้ทุกสัมผัสพื้นฐานแนบกายเข้ากับสมุยราวกับร่วมรักกับหล่อนก็ไม่ปาน ถ้าหมู่ดาวบนท้องฟ้าเป็นดังดวงตาของเธอ เสียงคลื่นแสนไพเราะและผ่อนคลายเปรียบได้ดังคำรักจากลมปากของเจ้าหล่อน สายน้ำในจากุซซี่คงไม่ต่างกับสัมผัสอบอุ่นจากมือน้อยๆที่บรรจงแตะต้องราวกับจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในตัวของผม ผมบรรจงจูบเธอ จูบให้สมกับที่เธอให้ความสุขกับผม ผมสมมุติดวงจันทร์อร่ามดวงนั้นเป็นริมฝีปากเธอ และทุกสิ่งที่ผมทำในคืนนี้ ผมหวังเพียงว่าหลังจากวันนี้ ผมกับความงามในยามค่ำคืนของเกาะสมุยจะไม่อาจแยกจากกันได้ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปเท่าไร

1 ความคิดเห็น:

  1. การบรรยายบางช่วงยังเหมือนยังไม่เข้าถึงอารมณ์เท่าที่ควร แล้วก็รายละเอียดของบทความบางตอนยังเหมือนมันขาดหายไป อิอิ วันนี้ขอตัดคะแนนไป 1 คะแนน เอาไป 9 คะแนนนะ เดี๋ยวกลับมาแล้วจะบอก ว่าตรงไหนควรที่จะต้องแก้ไขนะ

    ตอบลบ