วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

DREAM บทที่ 2 ชีวิตที่แตกต่าง



ทาวน์เฮาส์หลังพอเหมาะซึ่งหน้าบ้านเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำครัวต่างๆ หลังนี้ตั้งอยู่ท้ายซอยลึกประมาณ 300 เมตรซึ่งซอยนี้เป็นซอยของหมู่บ้านที่ห่างจากโรงเรียนของพวกเราไม่ถึง 5 กิโลเมตร บ้านหลังนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชายหนุ่มพี่น้องสองคนภายในบ้าน หนึ่งนั้นคือตั๊กสมาชิกในกลุ่มของพวกเราที่พวกคุณรู้จักกันดีและอีกหนึ่งนั้นคือเตย น้องชายสุดที่รักที่อายุห่างกัน 5 ปีซึ่งขณะนี้กำลังจะขึ้นมัธยมต้นปีที่สอง ด้วยความที่พ่อแม่อยู่ต่างจังหวัดและเพียงแค่มาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งคราวนั่นทำให้ตั๊กเป็นดังพ่อบังเกิดเกล้าของน้องชายก็ไม่ปาน และเนื่องจากเหตุผลที่อยู่กันเพียงแค่สองคนทั้งบ้านแถมตัวบ้านยังตั้งอยู่ท้ายซอยที่อาหารการกินหายากพอๆกับอากาศหนาวในกรุงเทพนั่นทำให้งานอดิเรกของตั๊กคือการขลุกอยู่ในครัวเพื่อทำกับข้าวเลี้ยงปากท้องของตัวเองและน้องชายรวมถึงมันยังคิดเมนูใหม่ๆมานำเสนอให้กับเพื่อนๆเป็นครั้งคราว พวกเราทุกคนเองต่างก็คิดว่ามันเองก็มีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ไม่น้อยไปกว่าการเตะฟุตบอลแต่ด้วยความหลงตัวเองเล็กๆของมันทำให้ส่วนใหญ่พวกเราไม่เคยบอกความจริงเวลาที่มันถามถึงรสชาติอาหารของมัน
ในบางครั้งผมเองรู้สึกว่าตั๊กมีความคิดที่แปลกแยกไปบ้างและค่อนข้างจะไม่ก้มหัวให้กับโลกอยู่เสมอๆ ผมคิดว่านั่นอาจจะเป็นเพราะการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กันเพียงสองพี่น้องอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนของผมเรียนรู้วิธีต่อสู้กับโลกใบใหญ่อันโหดร้ายใบนี้ได้อย่างรวดเร็วกว่าใครๆ แต่วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของตั๊กก็กำลังจะเข้าที่เข้าทางกว่าพวกเราทุกคน เหตุผลเดียวที่สำคัญที่สุดคือผู้ชายคนหนึ่งที่สเปนที่แม่ตั๊กรู้จัก ผู้ชายคนนั้นกำลังจะกลายมาเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่สำคัญที่สุดบนชีวิตถนัดซ้ายของตั๊ก ผู้ชายที่ผมเชื่อว่าจะเป็นคนแรกที่จะสามารถไขว่คว้าความฝันของตัวเองมาวางแทบเท้าซ้ายของมันได้

“ลุงนพเค้าพาตั๊กเข้าไปคัดตัวที่บาร์เซโลน่าได้จริงหรือเปล่าแม่” ตั๊กสอบถามเพื่อความแน่นอนอีกครั้งก่อนที่จะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ “ลุงเค้าบอกว่าได้นะ แต่จะผ่านไม่ผ่านอยู่ที่ตัวตั๊กเอง แต่ถ้าตั๊กไม่ผ่านตั๊กต้องสัญญากับแม่นะว่า ลูกจะกลับมาเรียนหรือจะเรียนที่สเปนก็ได้แม่ไม่ว่า แต่ลูกต้องเรียนให้จบปริญญาตรีนะ แล้วจากนั้นถ้าลูกจะเตะฟุตบอลต่อไปแม่ก็ไม่ว่าแต่ขอให้หาเลี้ยงตัวเองได้” “ผมสัญญาครับแม่ ว่าแต่เราจะต้องไปกันเมื่อไร” “แม่คุยกับลุงนพแล้ว ลุงเค้าบอกว่าต้องไปก่อนเดือนสิงหาคมเพราะว่าช่วงนั้นฤดูกาลจะเปิดแล้ว ทางทีมโค้ชเค้าอาจจะยุ่งๆ ลุงอาจจะฝากเข้าไปลำบาก แต่ถ้าไปก่อนหน้านั้นลุงอาจจะช่วยได้” ก่อนสิงหาคม ตั๊กคิดในใจพร้อมกับรู้ในทันทีว่าถ้าตัดสินใจไปในคราวนี้ตัวเค้าอาจจะพลาดชมไทเกอร์คัพช่วงเดือนพฤศจิกายนซึ่งไทยจะเป็นเจ้าภาพในรายการนี้และที่สำคัญที่สุดคือมันอาจจะเป็นฟุตบอลรายการสุดท้ายที่พวกเราจะได้ชมร่วมกันในสนามศุภชลาศัย แต่คำว่าคัมป์ นูก็มีเสน่ห์จนตั๊กไม่สามารถจะปฏิเสธโอกาสสำคัญครั้งนี้ได้ ตั๊กจำเป็นต้องตัดสินใจทุกอย่างโดยรักษาไว้ทั้งความฝันและคำว่าเพื่อน สุดท้ายมันส่งยิ้มให้กับแม่ซึ่งเป็นผู้ที่หยิบยื่นทั้งชีวิตและความฝันให้กับมันเสมอมา “ครับแม่ เราเดินทางเดือนกรกฏาคมกันนะครับ”

“กูจะไปสเปนเดือนกรกฏาคมว่ะ สงสัยจะไปดูไทเกอร์คัพกับพวกมึงไม่ได้” ตั๊กโทรรายงานข่าวซึ่งเป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายให้กับเอ็มเป็นคนแรก “เออ ดีๆมึงไปเลยไม่ต้องสนใจพวกกู นี่มันความฝันของพวกเราทุกคน มึงไปก่อนเลยแล้วถ้ามึงได้ดียังไงอย่าลืมเพื่อนนะเว้ย” เอ็มสนับสนุนเพื่อนพร้อมทั้งไม่ลืมทวงบุญคุณแทนพวกเราทุกคน “เออ ถ้ากูไปรอด พวกมึงจะมาเมื่อไรบอกกูได้เลย เราเพื่อนกันเว้ย เออแล้วแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวกูโทรบอกคนอื่นๆก่อน” ตั๊กรับคำสัญญาพร้อมทั้งตัดบทสนทนาเพราะมันคิดว่ายังจะต้องโทรบอกอีกหลายคนแต่แค่คำตอบของเอ็มเพียงคนเดียวก็เพียงพอจะทำให้ตั๊กรู้แล้วว่าความก้าวหน้าของมันในคราวนี้น่าจะตอบโจทย์ความฝันของพวกเราทุกคนได้และมันก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครในหมู่พวกเราจะห้ามไม่ให้มันไปเพราะว่าถ้าเปลี่ยนจากตั๊กเป็นตัวของพวกเราเอง ทุกคนก็คงคิดแบบเดียวกับมัน


ในกลุ่มของพวกเราเอง เพื่อนคนที่พวกเราคิดว่ามันน่าจะไม่สนใจที่จะวิ่งไล่ตามความฝันในขณะนี้แต่กลับคิดอย่างรอบคอบว่าจะร่ำเรียนให้จบปริญญาตรีเสียก่อนจึงค่อยคิดหาลู่ทางกันต่อไป แต่จริงๆแล้วเอ็มเองไม่ได้คิดแค่นั้น การที่มันบอกพวกเราว่ามันจะเรียนให้จบปริญญาตรีก่อน พวกเราคิดกันไปเองว่ามันจะเรียนที่ประเทศไทยแต่จริงๆแล้วมันคิดไปไกลกว่านั้น เอ็มมีใจรักในทางวิศวกรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มันเฝ้าบอกกับพวกเราเสมอว่ามันจะเรียนวิศวะซึ่งในขณะที่มันบอกพวกเรานั้น พวกเรายังเด็กเกินไปที่จะรู้ความหมายที่แท้จริงของการศึกษาแขนงนี้ แต่พวกเราก็ยินดีไปกับมันด้วยที่มันค้นพบตัวเองว่าต้องการที่จะเดินไปทางไหนในขณะที่พวกเราเองยังคงวิ่งไล่เตะลูกบอลไปอย่างไม่รู้อนาคต

เอ็มเกิดมาในตระกูลของคนจีนซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ นั่นทำให้ชีวิตของมันส่วนใหญ่ผูกพันกับครอบครัวในแบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่จะทำอะไรแปลกแยกนั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับครอบครัวของมัน เอ็มทราบดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อกับแม่ตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้นั้น ท่านทำด้วยความหวังดีและอยากเห็นมันประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ในขณะนี้หัวใจของเอ็มร่ำร้องที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง เอ็มมั่นใจว่ามันโตพอที่จะเลือกทางเดินให้กับชีวิตของตัวเองได้แล้ว และการที่มันกำลังเปิดอินเตอร์เน็ตค้นหาหน่วยงานที่ให้ทุนการศึกษาเพื่อไปศึกษาต่อที่เมืองนอกอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเหตุการณ์แรกที่ตัวมันเองได้เริ่มสร้างเส้นทางเดินของชีวิตให้หันหัวแยกออกจากอาคารพาณิชย์ขนาด 5 ชั้นที่วางตัวอยู่ริมถนนใหญ่แห่งนี้


ประเทศเยอรมันเป็นทางเลือกแรกและแทบจะเป็นทางเลือกในฝันของเด็กหนุ่มที่หวังจะเอาดีทางวิศวกรรมทุกคนในภูมิภาคนี้ แต่การสอบชิงทุนไปเยอรมันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆของเด็กนักเรียนโรงเรียนประจำอำเภอย่านปริมณฑลอย่างพวกเรา เพราะการที่จะต้องไปแก่งแย่งชิงดีกับเด็กนักเรียนจากโรงเรียนชื่อดังที่กรุงเทพนั้นเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับพวกเรามากทีเดียว แต่เอ็มก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรที่จะยิ่งใหญ่พอจะขวางกั้นการไหลบ่าของพลังแห่งความฝันของมันได้และหลังจากนี้ช่วงเวลาทุกๆวินาทีของมันจะทุ่มเทให้กับการค้นหาทุนการศึกษาที่เหมาะสมอีกทั้งเตรียมตัวอ่านหนังสือเพื่อให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ทางปัญญาที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า


เมื่อปีที่แล้วที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้เขียนตำนานบทใหม่ในวงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกขึ้นมาด้วยการคว้าแชมป์ครบถ้วนทั้ง 3 ถ้วยหลักๆ นั่นคือ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และ ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ ซึ่งนอกจากจะสร้างความปลาบปลื้มและดีใจให้กับแฟนบอลแมนยูทั่วทั้งอังกฤษแล้ว ความประทับใจเหล่านั้นยังได้กระจัดกระจายข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเด็กหนุ่มในเมืองที่ห่างไกลจากเมืองแมนเชสเตอร์หลายพันไมล์และความยิ่งใหญ่ในปีที่ผ่านมานี้เองได้สร้างสัญลักษณ์แห่งความทรงจำครั้งยิ่งใหญ่ไว้ในใจเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งบอกกับตัวเองนับตั้งแต่วันนั้นว่าเค้าจะต้องพาตัวเองไปค้าแข้งที่โอลด์แทรฟฟอร์ดแห่งนี้ให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม และเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าใจว่าปีกของตัวเองแข็งแรงกล้าแกร่งพอที่จะบินไปหากินเองได้แล้ว เค้าก็ตัดสินใจว่าแมนเชสเตอร์คือเมืองที่เค้าตัดสินใจจะบินไปหากินที่นั่น เมืองที่เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆระหว่างมันกับเบ็คแฮม รอย คีน หรือจะเป็นไรอัน กิ๊กส์ และอีกไม่นานรายชื่อ 11 ตัวจริงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะต้องมีชื่อของมันอยู่ และพวกเราทุกคนก็รู้กันดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นได้แค่ต้นเพียงคนเดียวเท่านั้น
“กูว่ากูจะไปหางานทำที่อังกฤษว่ะ” ต้นเปลือยความในใจออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “แล้วมึงมีเงินไปเหรอวะ” เทพถามถึงเรื่องสำคัญที่กลัวว่ามันจะเป็นปัญหาสำหรับเพื่อน “กูว่าจะยืมพ่อไปก่อนสักสองแสน แล้วค่อยไปหางานทำที่โน่น” ต้นเล่าความตั้งใจให้เพื่อนรักฟังอย่างหมดเปลือก “เออ ถ้าพ่อมึงไม่ลำบากมันก็น่าจะโอเค แต่อยู่คนเดียวเหงานะโว้ย” “กูรู้น่ะ แต่มันเป็นความเหงาที่กูตามหามาทั้งชีวิตว่ะ” ประกายแววตาของต้นแสดงให้เทพเห็นอย่างชัดเจนว่ามันพูดจริงทุกประการ “กูไม่มีเงินว่ะ ไม่งั้นกูไปกับมึงแล้ว แต่มึงไม่ต้องกลัว ยังไงกูก็ต้องไปค้าแข้งยุโรปให้ได้ มึงรอกูนะ” เทพตัดพ้อให้กับตัวเองแต่ยังคงแสดงให้เห็นถึงหัวใจที่เข้มแข็งและมุ่งมั่นต่อความฝันตลอดมา “จะไปเมื่อไรบอกเพื่อนด้วยนะโว้ย” “คงเป็นปลายๆปีว่ะ เดี๋ยวดูความสะดวกอีกที แล้วเดี๋ยวมีไรเพิ่มเติม กูโทรมาเล่าให้ฟังละกันวะ แล้วเจอกันโว้ย”


หลังจากวางสาย เทพเริ่มตระหนักถึงความจริงที่โหดร้ายสำหรับมัน มันรับรู้ข่าวว่าตั๊กจะได้ไปสเปนเนื่องจากแม่มีคนรู้จัก เอ็มเองก็หาทุนสอบไปเรียนต่อที่เยอรมัน ต้นเองก็พยายามไปหางานทำที่อังกฤษ ส่วนตัวมันเองเล่าได้ทำอะไรให้กับความฝันบ้าง ถ้าพูดกันถึงฝีเท้า มันเองก็ไม่ได้เป็นรองใครในทีมแต่ด้วยฐานะของทางบ้านเองก็ไม่ได้ร่ำรวยพอที่จะส่งมันไปเมืองนอกได้มันพยายามคิดหาลู่ทางที่จะออกนอกกะลาอย่างเพื่อนๆบ้างแต่ด้วยความคิดของเด็กมัธยมปลายอย่างพวกเรา บางครั้งการก้มหน้ายอมรับกับสิ่งที่พระเจ้าขีดไว้ให้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วก็ได้


“มึงรู้เรื่องหรือยังวะว่าต้นมันจะไปอังกฤษน่ะ” เทพบอกในโทรศัพท์ “ยังเลยว่ะ มันจะหาทางไปเล่นกับแมนยูล่ะสิ ทีมในฝันของมันนี่นา” โยพอจะเดาความคิดของเพื่อนออก “ใช่ๆ แต่กูเองเริ่มคิดแล้วว่ะ ว่าแล้วพวกเราที่เหลือจะเอายังไงกันดีวะ สงสัยได้เรียนมหาลัยกันอยู่ที่นี่แน่ ไทยแลนด์ลีกแม่งก็เงินน้อย ไม่พอเลี้ยงตัวเองแน่นอน” เทพพูด “แต่ก็ยังได้เตะบอลละกันวะ ไม่งั้นมึงจะทำอะไรล่ะ ถ้าเล่นดีๆอาจจะมีแมวมองมาดูก็ได้โว้ย มองโลกในแง่ดีสิวะ กูว่าจะชวนมึงไปคัดตัวกันอยู่พอดี เลือกสักทีมในไทยแลนด์ลีกแล้วลองไปดูกัน กูว่าฝีเท้าเราก็พอไหวนะ นัทกับเอกมันจะไปด้วยกันหรือเปล่าวะ”โยเสนอทางเลือกและยังเผื่อแผ่มาให้กับผมและนัท “ก็ต้องลองถามมันดูว่ะ จะทำอะไรก็ต้องรีบๆแล้วล่ะ ไม่งั้นถ้าต้องเรียนจริงๆจะสมัครเรียนไม่ทัน” เทพพูด “เอาๆเดี๋ยวกูลองหาข้อมูลดูก่อนว่าทีมไหนน่าสน เอาใกล้ๆบ้านเรา แล้วเดี๋ยวกูชวนสองคนนั้นเอง แล้วมีอะไรเพิ่มเติมกูโทรไปบอก” “เออ ขอบใจว่ะ เหลือกันแค่สี่คนแล้วเรา แล้วคุยกันโว้ย” เทพกล่าวลากับเพื่อนรักพร้อมทั้งยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตวัยรุ่นของมันเอง แน่ล่ะถ้าสุดท้ายแล้วพวกเราไม่สามารถที่จะไปคัดตัวกับทีมใหญ่ในยุโรปได้ ไทยแลนด์ลีกก็คงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการใช้ชีวิตในช่วงวัยหนุ่มของพวกเราสี่คนที่ไม่มีโอกาสจะทำอย่างเพื่อนๆคนอื่นได้


บ้านพักข้าราชการหลังเก่าที่สร้างขึ้นด้วยไม้ทั้งหลังหลังนี้นั้น มันผ่านการอยู่อาศัยของหลายครอบครัวของกรมชลประทานที่เคยได้รับสวัสดิการจากทางราชการให้เข้ามาใช้เป็นที่พักพิงทั้งร่างกายและจิตใจอยู่ที่นี่ และในขณะนี้มันกำลังเป็นที่พักพิงของสามพ่อแม่ลูกที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีครอบครัวหนึ่งซึ่งกำลังจะเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของลูกชายคนเดียวของครอบครัว “พ่อว่านัทเรียนให้จบปริญญาตรีดีกว่า พ่อกับแม่มีกำลังส่งได้แน่นอน” พ่อบอก “แต่นัทว่านัทจะทำงานก่อนนะ จะได้หาเงินมาช่วยค่าใช้จ่ายที่บ้านได้ หรือถ้ามันพอไหวนัทก็จะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย” นัทบอกพ่อถึงความตั้งใจที่มี “แต่พ่อว่ามันจะลำบากนะลูก ลูกเองก็ยังเด็ก ทำงานไปมันจะได้สักกี่บาทเชียว อีกอย่างเดี๋ยวจะไม่มีเวลาไปเตะบอลกับเพื่อนนะลูก” พ่อพูด พ่อยังคงใจดีกับนัทอยู่เสมอๆ ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านจะไม่ได้ดีพอที่จะมีความสุขทางวัตถุในแบบที่ครอบครัวอื่นๆเป็น แต่นัทก็รู้สึกมีความสุขเสมอๆที่ได้เกิดขึ้นมาในครอบครัวธรรมดาๆครอบครัวนี้ พ่อเองไม่เคยห้ามไม่ให้นัทเตะฟุตบอลเพราะพ่อเองก็คงเข้าใจว่าฟุตบอลคือความสุขเดียวที่นัทมี ตั้งแต่เด็กมาของเล่นชิ้นเดียวที่นัทมีก็คือฟุตบอล ฟุตบอลที่เป็นทั้งของเล่นและเพื่อนรักของนัทมาตั้งแต่เพิ่งเริ่มเดินได้ พูดได้ว่ามันเองเตะฟุตบอลกับเดินได้แทบจะพร้อมๆกัน แล้ววันนี้เมื่อมาถึงทางแยกที่มันเองจะต้องเลือกเดินต่อไปนั้น แน่นอนว่าไม่ว่าทิศทางที่มันเลือกเดินจะเป็นทิศทางใด ฟุตบอลจะยังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมันเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม


ผมเองเกิดมาในตระกูลข้าราชการธรรมดา พ่อแม่เองไม่ได้มีสมบัติพัสถานมาจากต้นตระกูลแต่อย่างใด นั่นทำให้ทาวน์เฮาส์สองชั้นย่านชานเมืองแห่งนี้ดูจะมีขนาดพอเหมาะกับฐานะของพวกเราอย่างมิต้องสงสัย ครอบครัวผมมีกันสี่คน นอกจากตัวเองผมเองที่เป็นลูกแล้ว ผมยังมีพี่สาวที่โตกว่าผมร่วมๆ 7 ปีเป็นหนึ่งในครอบครัวของผมอีกคน พี่สาวผมเรียนจบปริญญาตรีและสามารถช่วยหาเงินเข้าบ้านมาได้ 2 – 3 ปีแล้ว นั่นทำให้ครอบครัวของเรามีสภาพคล่องมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากช่วงก่อนที่พ่อกับแม่ยังต้องรับภาระส่งพวกเราเรียนทั้งสองคนอยู่ และสืบเนื่องมาจากสภาพคล่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรานั้นเอง นั่นทำให้พ่อกับแม่เสนอว่าจะพาพวกเราสองพี่น้องไปเที่ยวกับพ่อแม่เป็นครั้งแรกๆนับตั้งแต่พวกเราโตมาเลยทีเดียว และหัวหินก็คือสถานที่ที่พวกเราสี่คนลงมติกันแล้วว่าเหมาะสมที่สุดทั้งไงแง่ของเวลาในการเดินทางและปัจจัยที่จะต้องเสียไปในการเดินทางครั้งนี้ ผมพยายามรบเร้าให้พ่อกับแม่เลือกไปก่อนกลางเดือนพฤษภาคมเพราะว่าช่วงเวลานั้นผมนัดกับเพื่อนๆไว้แล้วว่าเราจะมาดู UCL นัดชิงกันที่บ้านของผม และผมไม่อยากจะพลาดโอกาสนั้นไปเพราะการไปเที่ยวหนนี้ และพ่อกับแม่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจเหตุผลของผมเป็นอย่างดีนั่นทำให้การไปหัวหินครั้งนี้ของผมเป็นเวลาที่พอเหมาะพอเจาะที่สุดเท่าที่ผมจะควบคุมได้ ในขณะที่เพื่อนๆกำลังหาทางเดินให้กับชีวิตของตัวเองอยู่นั้น ผมกลับยังไม่ได้คิดถึงทางเลือกใดเลย ผมคิดแค่ว่าขอให้ผมได้อยู่กับครอบครัวให้มากที่สุดในช่วงเวลานี้ก่อนแล้วหลังจากนั้นทางเดินที่ผมสมควรจะต้องเดินมันคงจะเผยออกมาเอง บางครั้งผมเองก็ปล่อยหน้าที่นี้ให้กับพระผู้เป็นเจ้ามากเกินไปบ้าง แต่ผมคิดว่าบางครั้งท่านเองก็ชอบที่จะทำหน้าที่นี้เช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ที่หัวหินแห่งนี้ ที่ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาลอย่างที่ไม่ว่าผมและใครๆก็ไม่เคยคาดคิดถึงมัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น